วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

ต่างชาติเหยื่อไฟไหม้'แกรนด์ ปาร์ค อเวนิว' อาการยังน่าห่วง


Pic_244253

ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ โรงแรมแกรนด์ ปาร์ค อเวนิว ยังพบผู้ป่วยอาการน่าเป็นห่วง 1 ราย เป็นชายชาวต่างชาติ ไม่ทราบสัญชาติ รักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ...

ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 9 มี.ค. นายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอนุภาพ เกสรสุวรรณ์ รองอธิบดีกระทรวงท่องเที่ยวฯ พ.ต.อ.ศุภพล อรุณสิทธิ์ รอง ผบก.ทท. ผศ.นพ.อภิชัย อังสพัทธ์ ผช.ผอ.ด้านผู้ป่วยวิกฤติ รพ.จุฬาฯ แพทย์เจ้าของไข้ ร่วมกันตรวจเยี่ยมผู้ป่วยชาวต่างชาติ 2 ราย จากกรณีเหตุไฟไหม้ ที่โรงแรมแกรนด์ ปาร์ค อเวนิว ซอยสุขุมวิท 22 เมื่อกลางดึกของวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ป่วยรายแรกเป็นหญิงชื่อ MISS. CHERKASHINA MARINA อายุ 54 ปี สัญชาติรัสเซีย พักรักษาตัวอยู่ที่ ชั้น 3 ตึกจงกลนีวัฒนวงศ์ มีอาการสำลักควัน มีแผลฉีดขาดเล็กน้อยที่ศีรษะ และแขนด้านขวา มีปัญหาการเต้นของหัวใจ ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ รู้สึกตัวดี สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำเองได้ รายที่ 2 MR.SEREGIN EVGENY อายุ 39 ปี สัญชาติรัสเซีย รักษาตัวอยู่ที่ ชั้น 3 ตึกมงกุฎเพชรรัตน์ ได้รับบาดเจ็บระบบทางเดินหายใจจากควันไฟ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ลืมตาตอบสนองได้

ผศ.นพ.อภิชัย เปิดเผยว่า ผู้ป่วยรายแรกปลอดภัยดี แต่น่าเป็นห่วงผู้ป่วยรายที่สอง เนื่องจากได้สูดควันไฟเข้าไปเป็นเวลานาน ช่วงเช้าได้ตรวจสอบ พบว่าเสมหะยังมีเขม่าปะปนอยู่ จึงต้องเฝ้าระวังอาการอีกประมาณ 1 – 2 วัน ผู้ป่วยทั้ง 2 มีอาการเครียด เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารได้ เพราะพูดได้แต่ภาษารัสเซีย และไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ส่วนผู้เสียชีวิตหญิงชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อ และสัญชาติ ที่เสียชีวิตก่อนที่จะนำส่งนิติเวชจุฬา ขณะนี้กำลังรอการชันสูตรพลิกศพ โดยยังไม่มีญาติของผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยทั้ง 2 รายมาติดต่อ

ด้านนายสุวัตร กล่าวว่า เดินทางมาดูนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.กล้วยน้ำไท รพ.เทพธารินทร์ รพ.กลาง และ รพ.จุฬาฯ ส่วนใหญ่มีอาการสำลักควันไฟ ทางกระทรวงจึงเดินทางมาดูแลเรื่องสวัสดิการต่างๆ พ.ร.บ.ธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บได้รับสิทธิ และให้มั่นใจ ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 20 คน และมีผู้เสียชีวิตหญิง 1 คน แต่ไม่ทราบชื่อและสัญชาติ นอกจากนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบรายชื่อของนักท่องเที่ยวอีกหลายคน

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบผู้บาดเจ็บที่ รพ.กล้วยน้ำไท 1 ถนนพระราม 4 พบว่ามีผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษา จำนวน 10 ราย เป็น ประกอบด้วย 1.MISS ALLA ELIZAROVA อายุ 49 ปี 2.MISS PANYCH INNA อายุ 28 ปี 3.MISS ANASTASIA KURNOS อายุ 25 ปี 4.MR.DMITRIY ELIZAROVA อายุ 45 ปี 5.MR.PANYCM VLADIMIR อายุ 29 ปี 6.MR.GALIULLIN SERGEI อายุ 23 ปี สัญชาติรัสเซียรวม 6 ราย 7.MISS OKA YURIE อายุ 41 ปี สัญชาติญี่ปุ่น 8.นายคมสัน ดีพร้อม อายุ 26 ปี 9. ชายชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อ สัญชาติ อายุประมาณ 40 ปี และ 10.หญิงชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อ สัญชาติ อายุประมาณ 40 ปี

นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ ผอ.รพ.กล้วยน้ำไท เปิดเผยว่า ผู้ป่วยทั้งหมดได้รับบาดเจ็บจากการสูดควันไฟเข้าไป โดยชาวรัสเซีย 6 คน และชาวญี่ปุ่น 1 คน มีอาการสำลักควันเล็กน้อย จึงรักษาเบื้องต้น ก่อนอนุญาตให้กลับบ้านได้ ส่วนผู้ป่วยชาวไทยตอนนี้ยังพักรักษาตัวและมีสติพูดคุยได้ปกติ แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ชายชาวต่างชาติ ผิวขาว ผมสีทอง ไม่ทราบชื่อ และสัญชาติ ที่ต้องพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู เพราะมีความดันต่ำ อาการไม่ดีขึ้น ต้องใช้ยาช่วยบีบหัวใจ ม่านตาขยาย ไม่ตอบสนอง เนื่องจากขณะนำตัวส่งโรงพยาบาลหัวใจหยุดเต้น จึงต้องใช้การกระตุ้นไฟฟ้า เพราะสำลักควันไฟเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมี หญิงชาวต่างชาติ ผิวขาว ผมสีทอง รูปร่างใหญ่ อายุประมาณ 40 ปี หลังถูกนำส่งมาที่ รพ. ก็ได้เสียชีวิตเมื่อเวลา 03.00 น. เนื่องจากสูดควันไหม้เข้าไปจำนวนมาก จนสมองไม่ทำงาน ก่อนที่จะนำศพส่งไปยังนิติเวช รพ.จุฬาฯ เมื่อช่วงเช้า

ด้าน นายคมสัน ผู้บาดเจ็บคนไทย เปิดเผยว่า เป็นอาสาบรรเทาสาธารณภัย รหัสใต้ 39 – 36 ได้เข้าไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่เกิดเหตุ และลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากโรงแรม โดยได้แบ่งกันไปหลายทีมกระจายไปตามชั้นต่างๆ ส่วนตนอยู่ที่ชั้น 4 ใกล้ห้องจัดเลี้ยงที่เป็นต้นเพลิง ระหว่างนั้นมีหญิงชาวต่างชาติสำลักควัน ตนจึงนำออกซิเจนที่เตรียมไปให้กับหญิงดังกล่าว และหนีลงมาที่บันไดหนีไฟจนถึงชั้นล่าง หลังจากนั้นตนก็เกิดอาการมึน เพราะสูดควันไฟเข้าไป เพื่อนๆ จึงช่วยกันนำส่ง รพ. เมื่อถามว่าระหว่างเกิดเหตุเพลิงไหม้สปริงเกอร์ทำงานหรือไม่ นายคมสัน กล่าวว่า เนื่องจากที่เกิดเหตุมีควันจำนวนมาก และชุลมุน จนไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสปริงเกอร์ทำงานหรือเปล่า ส่วนอาการตอนนี้ดีขึ้นคาดว่าในช่วงเย็นน่าจะออกจาก รพ. ได้.

แหล่งที่มาข้อมูล www.thairath.co.th

อธิบดีเซ็ง! เมียหลวง-น้อย ขรก.ฟัดกันวุ่น กระทบงานราชการ


Pic_244266

อธิบดีกรมอุทยานฯ แฉเอง! เมียหลวง-เมียน้อย ข้าราชการป่าไม้ฟัดกันวุ่น ทำงานราชการเสียหาย แถมให้เมียหาผลประโยชน์นอกลู่นอกทาง ออกระเบียบสั่งเมียหัวหน้าหน่วยงานออกจากบ้านพักภายใน 7 วัน...

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ เรียกประชุมระดับผู้บริหารและหัวหน้าหน่วยงานภาคสนาม เช่น หัวหน้าหน่วยงานในโครงการพระราชดำริ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่า หน่วยจัดการต้นน้ำ เป็นต้น กว่า 1,000 คน เข้ารับมอบนโยบาย โดยนายดำรงค์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญขณะนี้คือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องการเพาะกล้าไม้ เพื่อปลูกป่าต้นน้ำตามนโยบายของรัฐบาล โดยขณะนี้ทราบว่ามีกล้าไม้ค้างเก่าอยู่ 2 ล้านกล้า ก็ขอให้หน่วยงานที่มีความพร้อมดำเนินการปลูกตามแผนระยะสั้นไปก่อนที่จะรองบประมาณทั้งหมดออกมา

นายดำรงค์ กล่าวว่า ความสำเร็จในการปลูกป่าคือเรื่องกล้าไม้ ดังนั้นต้องเร่งเพาะกล้าไม้ทั้งไม้โตเร็ว และไม้เนื้อแข็งที่โตช้าเพื่อเตรียมดำเนินโครงการระยะยาวต่อไป นอกจากนั้นขอให้ทุกหน่วยเร่งสำรวจว่าพื้นที่ของตัวเองควรจะต้องมีจุดพิทักษ์ป่าเพิ่มเติมเท่าใดบ้าง เพราะผ่านมา 10-20 ปีก็ยังอยู่ในสภาพเดิม จนบ้านเรือนประชาชนล้อมพื้นที่ของกรมอุทยานฯ ไว้หมดแล้ว ทั้งนี้ในเรื่องสัตว์ป่าต้องให้ความสำคัญในเรื่องการแจ้งคุ้มครองสัตว์ป่า ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ถ้ามีการร้องเรียนว่าประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแจ้งคุ้มครองสัตว์ป่ากับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ แล้วไม่ได้รับความร่วมมือ เมื่อเรื่องมาถึงตนท่านจะต้องถูกดำเนินการ

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวอีกว่า อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ขณะนี้ตนได้รับร้องเรียนในเรื่องภรรยา ภรรยาน้อย เข้าไปตบตีกันวุ่นวายในที่ทำการสำนักงานป่าไม้เขต สำนักงานหน่วยงานภาคสนาม ทั้งที่ทำการอุทยานฯ เขตรักษาพันธุ์ทั่วประเทศและพื้นที่อื่นๆ ดังนั้นใครที่มีภรรยาหลวง หรือภรรยาน้อยโดยเฉพาะที่ทำงานอยู่ในสำนักงานที่ตัวเองเป็นหัวหน้าหน่วยรับผิดชอบดูแล ขอให้ไปเอาภรรยาออกจากที่พักในอุทยานฯ เขตรักษาพันธุ์ฯ ภายใน 7 วัน เพราะมีปัญหาทั้งเรื่องการหึงหวง ตบตีกันเลอะเทอะไปหมด ดังนั้นขอให้ไปกำจัดออกไปให้หมด

“ได้รับร้องเรียนในเรื่องเหล่านี้เต็มไปหมด มีมาขอให้มีการตั้งกรรมการสอบหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ของกรมอุทยานฯ ที่ให้เมียหลวง หรือเมียน้อยมาเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน ซึ่งสุดท้ายก็เข้ามาบงการทุกอย่างแทนสามีที่เป็นหัวหน้าหน่วยงาน ทำให้การปฏิบัติงานขาดประสิทธิภาพประสิทธิผล เป็นผลเสียกับทางราชการ ทำให้เจ้าหน้าที่คนอื่นปฏิบัติงานได้ไม่เต็มที่ เพราะเกรงใจเมียหัวหน้าฯ ด้วย และไม่รู้จะฟังใคร ทำให้บริหารจัดการการทำงานกันไม่ได้ ดังนั้นหากใครมีเมียหลวงหรือเมียน้อยทำงานอยู่ในสำนักงานก็ขอให้เอาออกภายใน 7 วัน เพราะทำให้การปกครองเสียหมด ทั้งเมียน้อยเมียหลวงเข้ามาทำแทนผัวให้วุ่นไปหมด” นายดำรงค์ กล่าว

นายดำรงค์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้มีภรรยาหลวงมาร้องห่มร้องไห้กับตน ทำราวกับตนเป็นศิราณีที่ต้องให้คำปรึกษา เล่นเอาตนปวดหัวไปหมด โดยภรรยาหลวงมาร้องเรียนว่าสามีที่เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ให้เงินเลี้ยงดู ส่งเสีย ขอให้ตนต้องตั้งกรรมการสอบสามี ตนขอให้ทุกคนที่มาในวันนี้ไปเคลียร์เรื่องเหล่านี้ให้เรียบร้อย ให้จบโดยเร็วที่สุด ดังนั้น ตนจะออกเป็นระเบียบว่าห้ามไม่ให้ทั้งเมียหลวง เมียน้อย ไปนั่งกินนอนกินกับสามีในบ้านพักของอุทยานฯ เขตรักษาพันธุ์ฯ หรือตามหน่วยต่างๆ เพราะนอกจากปัญหาการหึงหวง ตบตี เลอะเทอะเป็นเรื่องที่น่าอายแล้ว ยังมีปัญหาเจ้าหน้าที่บางคนปล่อยให้ทั้งเมียหลวงและเมียน้อย ทำเรื่องนอกลู่นอกทางหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ดังนั้นให้ไปเช่าบ้านให้อยู่ข้างนอกหน่วย จะมีเป็น 10 คนก็ไม่ว่าแต่ขอให้ไปอยู่นอกหน่วย ยกเว้นกรณีที่เมียหลวงป่วย เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ไม่มีลูกเต้าดูแล แต่อย่ามาตบตีกันในหน่วยให้อายเขา เสียทั้งเวลาราชการ และเสียทั้งเวลาตั้งกรรมการสอบ หากพบว่าใครยังไม่ปฏิบัติตาม และมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาที่กรมอุทยานฯ ท่านจะต้องถูกย้ายเข้ามาประจำที่กรมอุทยานฯ.

แหล่งที่มาข้อมูล www.thairath.co.th

ไอ้หื่นงัดบ้านม.3 ปืนจี้ข่มขืน แจ้งตำรวจล่าตัว


Pic_244236

อาศัยจังหวะที่แม่เด็กไปเฝ้าไข้สามีที่โรงพยาบาล ไอ้หื่นบุกงัดบ้าน ใช้ปืนจี้ข่มขืน นร.ชั้น ม.3 ก่อนหนีไปอย่างลอยนวลที่อุดรธานี แม่เด็กเชื่อเป็นคนละแวกบ้าน เพราะรู้ความเคลื่อนไหวเป็นอย่างดี ตร.เร่งล่าตัวดำเนินคดี ...

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ขณะที่ ร.ต.อ.หญิง สรัษนันท์ โลมจะบก พงส.สบ.1 สภ.เมือง อุดรธานี ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพัก มีนางน้อย นามสมมติ อายุ 46 ปี ราษฎร ต.นาข่า อ.เมือง จ.อุดรธานี นำ น.ส.เล็ก นามสมมติ อายุ 16 ปี บุตรสาวเข้าแจ้งว่า ถูกคนร้ายงัดบ้านเข้าไปจี้ข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ เหตุเกิดกลางดึกเมื่อคืนวันที่ 8 มี.ค.

นางน้อย ให้การว่า น.ส.เล็ก กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.อุดรธานี มีนิสัยเรียบร้อย ก่อนเกิดเหตุ 2 วันก่อน สามีของตนป่วยต้องเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ตนจึงต้องไปนอนเฝ้า แล้วปล่อยให้ น.ส.เล็ก นอนเฝ้าบ้านตามลำพัง ช่วงหัวค่ำเมื่อวานนี้ ก่อนออกไปโรงพยาบาล ตนรู้สึกเป็นห่วงลูกและบ้าน แต่เพราะโรงเรียนยังไม่ปิดเทอมลูกจึงไปนอนที่โรงพยาบาลไม่ได้ แต่ก็บอกให้ปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยก่อนเข้านอน ซึ่ง น.ส.เล็ก บอกว่าสามารถอยู่คนเดียวได้ ไม่กลัว แต่พอเช้าวันนี้ตนได้พาสามีกลับบ้าน พบ น.ส.เล็ก นั่งรอตนอยู่กับครูประจำชั้น น.ส.เล็กให้ตนฟังว่า หลังจากตนไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล น.ส.เล็ก ได้ปิดประตูบ้านเข้านอน กลางดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีคนร้าย เป็นชายอายุประมาณ 20 ปี สวมกางเกงขาสั้นสีขาว เสื้อสีเขียวขาว บุกเข้ามาภายในบ้าน เข้ามานั่งคร่อมบนตัว พร้อมกับใช้ปืนจี้ขู่บังคับไม่ให้ส่งเสียงร้อง จากนั้นได้บังคับข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ก่อนจะถือปืนเดินหลบหนีออกไปทางประตูหลังบ้าน

นางน้อย ให้การอีกว่า พอตื่นเช้า น.ส.เล็ก ก็ได้ไปโรงเรียนตามปกติ และเล่าให้ครูประจำชั้นฟัง ครูจึงพากลับบ้าน นั่งรอให้ตนกลับมาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ตนฟัง หลังทราบเรื่องจึงปรึกษากับครูคิดว่า คนร้ายน่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กัน เพราะสามารถรู้ว่าตนและสามีไม่อยู่บ้าน ปล่อยให้ น.ส.เล็ก นอนเฝ้าบ้านตามลำพัง จึงอาศัยจังหวะนี้เข้ามาบังคับข่มขืนลูกสาวของตน จึงมาแจ้งตำรวจ ให้ช่วยติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีให้ด้วย ร.ต.อ.หญิง สรัษนันท์ โลมจะบก พนักงานสอบสวน ได้ส่ง น.ส.เล็ก ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เพื่อหาร่องรอยการถูกข่มขืน และจะได้ติดตามตามคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป.

แหล่งที่มาข้อมูล www.thairath.co.th

พลังจากหยกช่วยปรับสมดุลผิวกระจ่างใส



การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดถูกจัดให้เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการปรนนิบัติผิวหน้า “ออริจินส์” ขอนำเสนอวิธีการปรนนิบัติผิวแบบใหม่ “เจด ทู ทรีทเม้นท์” ทรีตเมนต์ที่ผสานพลังความสมดุลแห่งหยก อัญมณีสิริมงคลของคนจีนสมัยโบราณ ที่เชื่อกันว่าจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ความร่ำรวย และโชคลาภ กับที่สุดในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใหม่ล่าสุด “ดร.แอนดรูว ไวส์ ออริจินส์ เมกะ-ไบรท์ สกิน อิลลูมิเนติ้ง คอลเลกชั่น” ประกอบด้วย คลีนเซอร์เนื้อโฟมสูตรอ่อนโยน,โลชั่นให้ความชุ่มชื่นไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์, ผลิตภัณฑ์ลดเลือนสีผิวไม่สม่ำเสมอ, เจลครีมเนื้อบางเบาเพิ่มความชุ่มชื่น และยูวี เฟส โฟรเทคเตอร์ เอสพีเอฟ 40 ที่ผนึกการดูแลเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ผิว 5 ประการ ได้แก่ คืนผิวดูกระจ่างใส, ขับผิวแลสว่าง, ลดความหมองคล้ำ, ช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอ และพร้อมรับมือกับกระบวนการทำร้ายผิว ซึ่งเปิดให้บริการที่เคาน์เตอร์ออริจินส์ ทุกสาขา ถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้

หยกได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตที่ยั่งยืนและสมบูรณ์ โดยเฉพาะด้านความงามของผิวพรรณ เนื่องจากจักรพรรดินีของจีนในอดีตมีเคล็ดลับในการดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ด้วยการนำหยกที่มีความเย็นจากธรรมชาติมาใช้นวดหน้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ทำให้รู้สึกสบายผิวและช่วยให้ผิวดูกระชับ สดใส  จึงเป็นที่มาของการปรนนิบัติผิวในแบบเจด ทู ทรีทเม้นท์ เลือกสรรหยกสีเขียวอ่อนเนียนเรียบเป็นเนื้อเดียวกัน เจียระไนออกแบบให้มีลักษณะปลายโค้งมนประหนึ่งสัญลักษณ์แห่งสายน้ำ ที่สามารถไหลเวียนได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ผนวกเทคนิคการกดจุดตามศาสตร์จีน เริ่มต้นปรนนิบัติด้วยการกดเปิดจุดผิวหน้า“เชินเหมิน” บริเวณข้อมือทั้งสองข้าง เพื่อกระตุ้นผิวให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นการไหลเวียนของโลหิต และช่วยให้สารสกัดที่มีประสิทธิภาพเข้าสู่ผิว เพื่อไปหล่อเลี้ยงผิวได้ดียิ่งขึ้น พร้อมการนวดที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ ผลักครีมลึกบำรุงผิวได้อย่างตรงจุด ซึ่งความเย็นของหยกช่วยให้รู้สึกสบายผ่อนคลายผิว รูขุมขนดูกระชับ

นอกจากเข้ารับการปรนนิบัติผิวที่เคาน์เตอร์ออริจินส์ ทุกสาขา สาว ๆ ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของผิวสว่างกระจ่างใสแบบง่าย ๆ ด้วยตัวเองที่บ้านได้ ด้วยการนำหยกห่อผ้าบางๆ หรือสำลีชุบโทนเนอร์ นำมาไล้ทั่วผิวหน้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้รู้สึกสบายผ่อนคลายผิว ถ้าต้องการให้ผิวหน้ากระชับแนะให้นำหยกไปแช่น้ำเย็นและนำไปประคบผิวหน้าให้ทั่วจุดละ 1-2 นาที สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการให้ผิวหน้าดูกระชับและอ่อนเยาว์ ให้นำหยกมานวดขึ้นจากใต้ขากรรไกรไล่ขึ้นไปตามแนวกรอบหน้าให้ทั่วใบหน้า ใบหน้าจะสดใส เปล่งประกาย และหากมีการใช้ดวงตาอย่างหนักมาตลอดทั้งวัน ให้นำหยกมาวางประคบรอบดวงตา 5-10 นาที ความเย็นของหยกจะช่วยดูดความร้อน และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา ส่วนใครที่รู้สึกว่าผิวเริ่มแห้ง แต่ยังไม่สามารถทาครีมบำรุงได้ในเวลานั้น วิธีแก้ไขให้นำหยกมาประคบหรือถูที่ผิวเบา ๆ จะช่วยให้รู้สึกสบายผิวมากขึ้น.

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

‘เจนี่’ ปัด ‘ไฮโซตั้ม’ ขอแต่งงาน เผยสวีทนิวยอร์กนาน 1 เดือน


Pic_244066

เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ รับควงไฮโซ ตั้ม-สิริเกียรติ เที่ยวอเมริกา 1 เดือน ปัดวาเลนไทน์ฝ่ายชายขอแต่งงาน แจงแค่ทานข้าวปกติ เผยแฮปปี้-ได้รู้จักกันมากขึ้น อุบเซอร์ไพร์สปาร์ตี้สละโสด วุ้นเส้น-วิริฒิพา รับรองสนุกแน่...
หายหน้าหายไปนานมากเลยจริงๆ สำหรับนางเอกวิกพระราม4 “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ที่ล่าสุดมีข่าวว่าไปเที่ยวกับแฟนหนุ่มไฮโซ ‘ตั้ม-สิริเกียรติ วาทะพุกกณะ’ ที่ประเทศอเมริกามานาน 1 เดือน อีกทั้งฝ่ายชายยังทำเซอร์ไพร์สขอแต่งงานในวันวาเลนไทน์อีกด้วย ว้าว! แถมพอกลับมาสาวเจนี่ดูเด็กลงสดใสขึ้นเยอะอีกตางหาก งานนี้เมื่อผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์เจอสาวเจ้าขณะมาร่วมงานครบรอบ 2 ปี นิตยสาร Euro Tuner ณ The Nine neighborhood center (พระราม9) เลยเข้าไปพูดคุยถึงข่าวดังกล่าว รวมถึงอัพเดทงานปาร์ตี้สละโสดของเพื่อนสาว ‘วุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์’ ที่แว่วว่าจะจัดขึ้นเร็วๆ นี้

เห็นว่าไปเที่ยวพักผ่อนมาเป็นยังไงบ้าง? “สนุกค่ะ” ไปเที่ยวที่ไหนมา? “ไปเมืองนอกมาค่ะ ไปเที่ยวอเมริกา นิวยอร์กค่ะ ไปทำงานด้วยค่ะ แล้วก็บินมาเที่ยวที่แอลเอค่ะ” มีข่าวว่า ‘พี่ตั้ม’ ทำเซอร์ไพร์สขอแต่งงานที่นิวยอร์กเลย? “โอ๊ย (หัวเราะ) พี่ตั้มไม่ได้ไปนิวยอร์กไปแอลเอค่ะ ไม่มีค่ะๆ” วาเลนไทน์ไปไหนหรือมีของขวัญพิเศษอะไรไหม? “ก็ทานข้าวธรรมดาค่ะ ของขวัญพิเศษไม่มีค่ะ (หัวเราะ)”

ยืนยันว่ายังไม่มีการขอแต่งงาน? “ยังๆ ยังค่ะ” แต่ถูกเม้าท์ว่าคู่ต่อไปที่จะแต่งต่อจากวุ้นเส้นจะเป็นเรา? “ยังๆ ขอเป็นอะไรที่ช้าๆ แล้วก็เรื่อยๆ ดีกว่าเนอะ” ทริปนี้สวีทกันมากน้อยแค่ไหน? “ก็เป็นทริปที่เราได้รู้จักกันมากขึ้น” เขาตามไปหรือว่าไปพร้อมกัน? “ตามไปค่ะ” เขาลางานไปเลยไหม? “(หัวเราะ) เดือนนึงค่ะ” มีกิจกรรมพิเศษที่ทำด้วยกันที่นู้นด้วยไหม? “ก็ไปนู้นไปนี้ ส่วนมาจะขับรถไปเรื่อยๆ มากกว่าค่ะ” มีจุดที่ประทับใจบ้างไหม? “ก็มีความสุขค่ะ” แอบไปหาที่ฮันนีมูนล่วงหน้าหรือเปล่า? “ไม่มีๆ (หัวเราะ) ไม่มีค่ะ”

ได้ใช้ชีวิตร่วมกันแฮปปี้มากขึ้นไหม? “ต่างคนก็ต่างเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไปก็เหมือนไปเป็นบัดดี้กันค่ะ” ได้เห็นความดีหรืออะไรในตัวของเขาเพิ่มขึ้นไหม? “ความดีของพี่เขาก็เหมือนสิบอยู่แล้วค่ะ (หัวเราะ)” แล้วถ้าเขาขอแต่งงานจริงๆ จะตอบรับไหม? “ให้พี่เขาขอก่อนดีกว่าค่ะ” ตอนนี้พร้อมแล้วหรือยัง? “ณ ขณะนี้ก็ยังค่ะ เพราะว่างานเจนี่ค่ะ ละครสามเรื่องจ่อคอหอยอยู่เนี่ยค่ะ ไปเที่ยวนี่ก็รู้สึกผิดแล้วกลับมาต้องรีบทำงานก่อนค่ะ” แสดงว่าที่หายหน้าไม่เห็นเลย ไปทำงานถ่ายละคร? “ไม่ค่ะ ไปเที่ยว(หัวเราะ)” หนึ่งเดือนเต็มเลยเหรอ? “(ยิ้ม) รู้สึกผิดอยู่เนี่ย”กลับมาครั้งนี้มาตะลุยละครให้หมดเลย? “ใช่ค่ะ” ละครเยอะขนาดนี้หวานใจถามหรือเปล่าว่าจะมีเวลาให้กันไหม? “ก็งอนก่อนที่จะรับแล้วค่ะ (หัวเราะ) งอนไปแล้วเรียบร้อย” มีข่าวว่าทางช่อง3 จะไปน้องๆ รุ่นใหม่ขึ้นมา คิดว่าตัวเองจะหายไปเลยไหม? “เราก็อยู่ในสถานะของเราที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปค่ะ เจนี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ขึ้นสูงคือว่ามันไปของมันเรื่อยๆ ค่ะ”

ช่วงนี้ดูแอ๊บแบ๊วเหมือนเด็กๆ? “ตอนนี้มีความรักก็ขอนิดนึง (หัวเราะ)” ถามถึงปาร์ตี้สละโสดของ ‘วุ้นเส้น’ หน่อยเป็นยังไงบ้าง? “อุ๊ย! อันนี้ต้องอุบไว้ก่อนเพราะว่าเดี๋ยวไม่เซอร์ไพร์ส แต่รับรองสนุกแน่นอนค่ะ” เมื่อไร เร็วๆ นี้หรือเปล่า? “น่าจะก่อนแต่งประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ ก็คือรอให้เพื่อนๆ ทุกคนว่างพร้อมกัน รอพอลล่ากลับมาเพราะว่าอยากจะให้ทุกๆ คนอยู่ด้วยกัน” เรียกว่าต้องมีอะไรเซอร์ไพร์ส ‘วุ้นเส้น’ แน่อนอน? “เซอร์ไพร์สแน่นอน ตัวจี๊ดของกลุ่ม”.

คอมวยไทยมึน!!บัวขาว ล่องหนคาดขัดแย้งในค่าย


 จากกรณี ยอดนักมวยไทยขวัญใจมหาชนชื่อดัง บัวขาว ป.ประมุข หรือนายสมบัติ  บัญชาเมฆ อายุ 27 ปี อดีดนักชกแชมป์มวยเค วัน (K-1) 2 สมัย และแชมป์ไทยไฟต์ ปี 2554 หายตัวไปอย่างลึกลับ ส่วนสาเหตุแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับ บัวขาว ป.ประมุข เปิดเผยว่า ตอนนี้ทีมงานของ บัวขาว ได้แตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทาง โดยทีมเทรนเนอร์และคู่ซ้อมที่ฝึกซ้อมกับบัวขาวแยกตัวไปก่อน และส่วนใหญ่ปิดโทรศัพท์มือถือ เพราะไม่ต้องการตอบปัญหากับผู้สื่อข่าว อย่างไรก็ตาม ปัญหาความร้าวฉานระหว่างคนในค่าย ป.ประมุข กับ บัวขาว นั้น มีมานานพอสมควร นับตั้งแต่หลังเสร็จสิ้นการชกมวยไทยนานาชาติ ไทยไฟต์ 2011 รอบชิงชนะเลิศ เมื่อ 18 ธ.ค. 2554 ที่ท้องสนามหลวง
วันนี้ (9 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่ค่ายมวย ป.ประมุข ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง หมู่ 5 ต.สาวชะโงก อ.บางคล้า ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง  เพื่อสอบถามถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของนักมวยชื่อดังรายนี้
ด้าน  “เสี่ยอุ๊” ธีรพัฒน์ โรจนตัณฑ์ เปิดเผยว่า “ การที่บัวขาวหายตัวไปนั้น ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ หรือค่าตัวนักมวยแต่อย่างใด อย่างแน่นอน เพราะตนเติบโตมากับบัวขาว ตั้งแต่เราเป็นเด็กๆด้วยกัน จนกระทั่งมารับช่วงเป็นผู้จัดการต่อจาก คุณพ่อ (นายประมุข โรจนตัณฑ์) ได้สามปี ก็ไม่อยากให้ทุกอย่างมาพังลง ยังพูดกับบัวขาวอยู่เสมอว่า ไม่เคยมองว่าบัวขาวเป็นลูกน้อง แต่บัวขาวเป็นเหมือนน้องของตน ปัญหาหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเงิน เพราะทุกครั้งที่บัวขาวขึ้นชก ตนเป็นคนรับค่าตัว ก็จะส่งผ่านให้กับพี่ชาย ซึ่งเป็นคนทำหน้าที่แจงรายละเอียด ก่อนจ่ายให้บัวขาว เพื่อความโปร่งใสทุกไฟต์ที่ชก แต่การที่บัวขาวมาหายตัวไปครั้งนี้ ก็ยังงงๆ ที่เจ้าตัวออกจากค่ายไปโดยไม่บอกกล่าว”
“ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ผมไม่อยากจะพูดมาก เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องบานปลายใหญ่โต แต่อยากอธิบายให้ฟังว่า บางครั้งเรื่องของคุณขอมา ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่เราลำบากใจกันหลายครั้ง บัวขาวมีโปรแกรมรับเชิญ ให้ไปโชว์ตัว และไปร่วมงานต่างๆมากมาย หรือแม้กระทั่งล่าสุดได้รับเกียรติจากคณะรัฐบาลไทย ให้เดินทางไปร่วมกับ ท่านนายกรัฐมนตรีหญิง เพื่อโปรโมตความมั่นใจของประเทศไทย ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเราก็เข้าใจว่า งานดังกล่าวถือเป็นเกียรติอย่างสูงของพวกเราที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ทว่า สำหรับบัวขาวนั้น มีโปรแกรมที่จะต้องขึ้นชกต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ อย่างในสัปดาห์นี้ ที่ภูเก็ต ก็จำเป็นต้องขอถอนอย่างกระทันหัน รวมทั้งโปรแกรมขึ้นชกกับ “ฟาบิโอ ปินก้า”  นักชกฝรั่งเศส ในรายการ La Nuit Des Titans วันที่ 17 มี.ค. ล่าสุดทางผู้จัดก็จำเป็นต้อง ถอนบัวขาวออกจากรายการ เมื่อทราบข่าวการหายตัวไปดังกล่าว”
“บัวขาวนั้น มีอาการบาดเจ็บสะสม แต่เขาเป็นคนที่มีระเบียบวินัย มุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมไม่ขาด จนผมเองซึ่งเป็นคนใกล้ชิด ยังรู้สึกเป็นห่วงแทน ยิ่งหากเราจำเป็นต้องเดินทางไปโชว์ตัวต่างประเทศในช่วงนี้ ก็จะทำให้ส่งผลเสียต่อการฟิตซ้อม กว่าจะกลับมาเข้าค่าย ระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ก่อนถึงวันชกก็จะยิ่งเป็นปัญหากับตัวบัวขาวเอง แต่เขาไม่พูด และเราเองก็พูดไม่ออก” เสี่ยอุ๊ กล่าว
สำหรับกรณีข่าว ความแตกแยกภายในค่าย ที่่เทรเนอร์ ตัดสินใจ แยกทางออกจากค่ายนั้น ผจก.ค่าย ป.ประมุข กล่าวว่า “เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง คนที่ขอแยกทางนั้นไม่ใช่เทรนเนอร์ที่ฝึกสอนประจำ แต่เป็น เจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด ธีรวัฒน์ ยิ้วยิ้ม ซึ่งต้องยอมรับว่า พี่เขาเป็นหมอกายภาพที่เก่งมากคนหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว แต่บางครั้งความคิดเห็นเราแตกต่างกัน โปรแกรมการวางแผนงานเราต่างกัน ก็เลยทำให้ไปด้วยกันไม่ได้ แต่ขอรับรองว่าเราไม่ได้แตกคอกัน เรื่องของบัวขาวรอเวลาให้เขาพร้อม ได้พักผ่อน พักฟื้นสภาพร่างกาย และจิตใจ สักระยะ เมื่อเขากลับมา ผมจะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างแน่นอนครับ ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงในตัวบัวขาวทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับ บัวขาว มีค่าตัวในการชกไฟต์ละ 1 ล้านบาท แบ่งกันฝ่ายละครึ่งระหว่างเจ้าของค่าย ป.ประมุข 50-50 ก็จะเหลือ 500,000 บาท โดยแหล่งข่าวรายเดิมระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัญหาภายใน มาจากเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่แบ่งกันไม่ลงตัว ซึ่งไม่เกี่ยวกับเงินค่าตัวแต่ละไฟต์ที่แบ่งครึ่งกัน และไม่ใช่เหตุผลที่ทางค่าย ป.ประมุข รับงานมากเกินไป ล่าสุด บัวขาว ได้ออกรถยนต์บีเอ็มดับเบิ้ลยู สปอร์ตรุ่นใหม่ป้ายแดง มูลค่าไม่ต่ำกว่า 7-8 ล้าน โดย บัวขาว ได้ขับออกจากค่ายไปไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์แล้ว ไม่ใช่เพิ่งออกไปเมื่อ 1 มี.ค. ตามที่เป็นข่าว ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า บัวขาว ยังอยู่ในกรุงเทพฯ แต่อาจจะพักอยู่บ้านเพื่อนสนิท หรือ บ้านของแฟนสาว ย่านคลองสาม จ.ปทุมธานี ก็เป็นไปได้  
ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ได้รับการติดต่อเข้ามาจากหญิงสาว ที่กล่าวว่าเป็นเพื่อนสนิทของ บัวขาว แต่ไม่อยากออกนาม ว่า บัวขาว ได้แจ้งกับเพื่อน ๆ ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตัวเอง มีอาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะที่ขา และเหน็ดเหนื่อยกับการฟิตซ้อม และการชกมาก อยากพักผ่อนเงียบ ๆ สักระยะประมาณ 2-3 อาทิตย์ ก็จะกลับเข้าค่ายต่อไป แต่ช่วงนี้อยากพักสภาพร่างกาย และสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้าก่อน เพราะกรำศึกและมีโปรแกรมการชกช่วงหลังถี่มาก และขอยืนยันว่า บัวขาว ไม่ได้หนีอยู่กับผู้หญิง หรือแฟนสาวแต่อย่างใด เป็นแค่บาดเจ็บ และเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น และไปพักกับครอบครัวที่ต่างจังหวัด ไม่ใช่ที่กรุงเทพฯ

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

โฟร์-บ่าววี"ปลื้ม"คว้าปริญญาม.ราม


วันนี้ (8 มี.ค.)  2 ศิลปินชื่อดังจาก บริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน)  บ่าววี-พ.จ.อ.วีรยุทธิ์ นานช้า และ โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร เข้าพิธีพระราชทานปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดย บ่าววี เข้ารับปริญญา ในวันนี้  ส่วนโฟร์เข้ารับปริญญาบัตรพรุ่งนี้ ( 9 มี.ค.)  ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
บ่าววี บัณฑิตใหม่คณะรัฐศาสตร์ สาขาการปกครอง บอกว่า  ดีใจมากครับ ที่ผ่านมาต้องเรียนหนังสือ และทำงานเพลง รวมทั้งทำงานราชการไปด้วยพร้อม ๆ กัน ก็ต้องขอขอบคุณกำลังใจจำทุกคน ทั้งพ่อแม่ แฟนเพลง รวมทั้งผู้ใหญ่ทุกท่านที่ทำให้มีวันนี้ และอยากบอกว่าไม่มีใครแก่เกินเรียนครับ
ส่วนนักร้องสาว โฟร์  ก็จบคณะรัฐศาสตร์เช่นกัน  บอกว่า ใช้เวลาเรียน 2 ปีครึ่ง เตรียมตัวศึกษาต่อปริญญาโท โดยตั้งใจเรียนคณะเดิม ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเช่นเดิม ดีใจที่เรียนจบ โดยเฉพาะคุณพ่อและคุณแม่ ดีใจมาก เพราะเป็นห่วงที่ตนต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย ค่อนข้างหนัก แต่ตนเองเป็นคนชอบเรียน และก็ขอเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ เยาวชน อย่าทิ้งการเรียน

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

"บัว" น้องสาวบีม-กวี แต่งแล้ว พิธีหมั้นเรียบง่าย



วันนี้ 9 (มี.ค.) เมื่อเวลา06.00 น.  ได้มีพิธีมงคลสมรสระหว่าง นายพิพัทธ์ วิริยะเมตตากุล หรือ ตั้ม ทายาทคนที่ 2 ของ เจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลวิภาวดี กับ นส.  สโรชา ตันจรารักษ์ หรือ บัว น้องสาว นายกวี ตันจรารักษณ์ หรือ บีม นักร้องชื่อดังจากค่ายอาร์เอส ที่บ้านพักในซอย ณวมินทร์ 155 แขวงคลองกลุ่ม เขตบึงกลุ่ม กทม. หลังจากประสบปัญหาน้ำท่วมเมื่อเดือน พ.ย. 54 จึงได้เลื่อนมาเป็นวันนี้

โดยพิธีแห่ขันหมาก เริ่มเวลาประมาณ 06.30 น. เจ้าบ่าวมาในชุดราชประแตน พร้อมขบวนขันหมากครบเครื่องมีญาติๆและเพื่อนสนิทไม่กี่รายเข้าร่วมงานอย่างเรียบง่าย เป็นกันเอง จากนั้นเวลา 07.30 น. ได้ฤกษ์สวมแหวนหมั้น และรดน้ำสังข์ ก่อนจะร่วมกันถ่ายรูปกับญาติๆ และเพื่อนๆอย่างมีความสุข

ภายหลังเสร็จพิธีแล้ว บัว สโรชา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นฤกษ์ดีทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ เมื่อสวมแหวนหมั้นแล้ว เหมือนรู้สึกเป็นความฝันอยู่นิดๆ แต่มันก็เป็นความจริง ส่วนเจ้าบ่าวใส่ชุดราชประแตนเห็นแล้วหล่อมาก... หล่อกว่าใส่สูทอีก
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า  แต่งแล้วจะมีทายาท หรือ มีน้อง เลยไหม?  บัว สโรชา กล่าวด้วยหน้ายิ้มแย้มว่า  "คุยกัน แล้วจะขอใช้ชีวิต 2 คนไปก่อน แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติ ส่วนจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ แต่เป็นหญิงก็น่ารักดี"

เมื่อถามว่า แล้วงานในวงการบันเทิงจะทำอย่างไร   บัว สโรชา กล่าวว่า "ถ้ามีโอกาสก็คงได้ทำ แต่ตอนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว มี่ครอบครัวด้วย ล่าสุดมีติดต่อเข้ามาแต่ยังยุ่งอยู่ โดยส่วนตัวมีธุรกิจเสื้อผ้าและบริษัททัวร์"
ด้าน ตั้ม พิพัทธ์ เจ้าบ่าว กล่าวว่า ตื่นเต้นมาก สวมแหวนแล้วไม่ค่อยเข้า จริงๆ ตอนแรกสวมแล้วไม่มีปัญหา แต่พอมาใส่วันจริงๆค่อนข้างลำบาก อาจเป็นเพราะว่าตื่นเต้น  ที่สำคัญงานนี้มีการกั้นประตูเยอะมาก ตอนเดินมา ตื่นเต้นมากไม่รู้ว่าจะผ่านได้หรือเปล่า ตอนแรก เห็นเจ้าสาวแล้วสวยมากไม่เคยเห็นใส่ชุดไทยเลย เหมือนนางฟ้าคู่กับเทพบุตร

ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วจะไปฮันนีมูนกันที่ไหน   ตั้ม พิพัทธ์ กล่าวว่า  "แล้วแต่น้องบัวครับ เพราะว่าตามใจเค้า แต่ยังไม่ได้คุยกันว่าจะไปที่ไหน ส่วนจะมีลูกเลยไหมก็คิดๆอยู่ สำหรับสินสอททองหมั้น มีทองหนักร้อยบาท ส่วนแหวนไม่ขอระบุว่าเท่าไร เงินสด 4.4ล้านบาท เครื่องเพชรอีกจำนวนหนึ่ง แล้วก็เรือนหอซึ่งบ้านและที่ดิน มูลค่า 70 ล้านบาท ส่วนพิธีฉลอง มงคลสมรสจะมีขึ้นในวันที่ 10 มี.ค. ที่โรงแรมพลาซ่าแอธนนี่

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ยกเค้าบ้านนักธุรกิจย่านนิมิตรใหม่มูลค่านับสิบล้าน


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 มี.ค. พ.ต.ท.บุญเลิศ รสลื่น พงส.(สบ3) สน.นิมิตใหม่ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายยกเค้าบ้านนักธุรกิจภายในหมู่บ้านเค ซี โฮม การ์เด้น โครงการ 19 นิมิตใหม่ 40 ถนนนิมิตใหม่ แขวงคลองสามวาตะวันออก เขตมีนบุรี กทม. ได้ทรัพย์สิน เครื่องเพชร พระเครื่อง และเงินสด รวมมูลค่านับสิบล้านบาท จากการสอบสวนทราบว่า ช่วงเย็นของเมื่อวาน (8 มี.ค.) มีคนเห็นกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน ได้ขับรถเก๋งน่าสงสัย ไม่ทราบยี่ห้อ มาจอดแถวๆใกล้หมู่บ้าน ก่อนที่จะสบโอกาสลงมือในช่วงกลางดึก ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าของไม่อยู่บ้าน
ด้าน พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ ผกก.สน.นิมิตใหม่ กล่าวว่า คาดว่าคนลงมือคงมีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพมาก เนื่องจากแทบจะไม่เหลือหลักฐานทิ้งเอาไว้เลย มีการสวมถุงมืออย่างหนาแน่น ทำให้การตรวจสอบหาหลักฐานในระดับสน.แทบจะเป็นไปไม่ได้ จึงต้องให้ทาง กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้ามาช่วยเหลือในด้านการเก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งวันนี้ก็ได้เข้าไปตรวจสอบหาหลักฐานที่เกิดเหตุแล้ว เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่ดีกว่า แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถระบุกลุ่มคนร้ายหรืออะไรได้เลย ส่วนคดีนั้นก็ยังไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี ส่วนเจ้าของบ้านนั้นขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนอยู่ ขอให้สอบสวนเสร็จก่อนแล้วจึงเปิดเผยรายละเอียดอีกครั้ง

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ตรวจสอบโรงแรมแกรนด์ ปาร์ค อเวนิว สงสัยอาจมีการต่อเติม


วันนี้ (9 มี.ค.) ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ นายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอนุภาพ เกสรสุวรรณ์ รองอธิบดีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา พ.ต.อ.ศุภพล อรุณสิทธิ์ รอง ผบก.ทท. เดินทางมาเยี่ยมอาการชาวต่างชาติ  2 รายที่มาพักรักษาตัวจากกรณีเหตุไฟไหม้ ที่โรงแรมแกรนด์  ปาร์ค อเวนิว ซอยสุขุมวิท 22 เมื่อกลางดึกของวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมาโดยมี ผศ.นพ.อภิชัย อังสพัทธ์ ผช.ผอ. รพ.จุฬาฯ ด้านผู้ป่วยวิกฤติแพทย์เจ้าของไข้ รอต้อนรับและร่วมกันตรวจเยี่ยมผู้ป่วยชาวต่างชาติ 2 ราย

ผศ.นพ.อภิชัย เปิดเผยว่า รพ.จุฬาลงกรณ์ ได้รักษาผู้ป่วยชาวต่างชาติจากเหตุไฟไหม้โรงแรม แกรนด์ ปาร์ค อเวนิว เมื่อเวลาประมาณ  23.00 น. (วันที่  8  มีนาคม 2555)  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  ได้รับผู้ป่วยชาวต่างชาติจำนวน  2 ราย และผู้เสียชีวิตอีก 1 ราย ผู้ป่วยรายแรกเป็นหญิงชื่อ มารีนา แชร์คาชิน อายุ 54 ปี สัญชาติรัสเซีย  มีอาการสำลักควัน  มีแผลฉีกขาดเล็กน้อยที่ศีรษะ มีแผลที่แขนด้านขวา มีรอยแดง (Burn ระดับ 1) บริเวณหลัง และมีปัญหาการเต้นของหัวใจ  ขณะนี้รักษาตัวอยู่ ห้องสังเกตุอาการ ตึกจงกลนีวัฒนวงศ์  ชั้นที่ 3

ผู้ป่วยรายที่ 2 เป็นชาย ชื่อ นายเยฟกานี เซอร์จิน อายุ 39 ปี  มีอาการหนักกว่ารายแรก เนื่องจากสูดควันไฟเข้าไปเป็นจำนวนมาก ดูดเสมหะออกมามีเขม่าควันไฟติดออกมาด้วย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและคงต้องใส่อยู่อย่างน้อยอีก 3 วัน เพื่อช่วยเรื่องของระบบทางเดินหายใจจากควันไฟ   แต่ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่ตึกมงกุฎเพชรรัตน ชั้นที่ 3
                  
ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นหญิงชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อและสัญชาติ เสียชีวิตแล้วเมื่อมาถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กำลังรอการชันสูตรจากแพทย์ของศูนย์อำนวยการชันสูตรพลิกศพ  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
ด้านนายสุวัตร เผยว่า จากเหตุไฟไหม้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 20 คน และมีผู้เสียชิวิตหญิง 1 คน แต่ไม่ทราบชื่อและสัญชาติ นอกจากนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบรายชื่อของนักท่องเที่ยวอีกหลายคน   วันนี้ตนและคณะเดินทางมาดูนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บได้รับสิทธิ และให้มั่นใจ ผู้บาดเจ็บกระจายพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.กล้วยน้ำไท รพ.เทพธารินทร์  รพ.กลาง และ รพ.จุฬา ส่วนใหญ่จะสำลักควันและถูกไฟลวกตามร่างกาย ทางกระทรวงจึงเดินทางมาดูแลสวัสดิการต่างๆ และจะประสานกับบริษัททัวร์ที่คนเจ็บเป็นลูกทัวร์ให้เข้ามาดูแลเรื่องตวามสะดวก ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเองไม่ผ่านบริษัททัวร์ ซึ่งเป็นจุดบอดของ พรบ.ธุรกิจท่องเที่ยว แต่อุบัติเหตุครั้งนี้ทางโรงแรมมีประกันฯอยู่แล้วดังนั้นผู้บาดเจ็บทุกรายไม่ต้องวิตกเรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังเร่งจัดหาล่ามแปลภาษาเนื่องจากคนไข้ไม่สามารถสื่อสารกันได้
 
ส่วนความคืบหน้า ที่ โรงแรมแกนด์ ปาร์ค อเวนิว กรุงเทพ ยังคงปิดให้บริการ โดยมีการนำเชือกมากั้นบริเวณหน้าทางเข้าเอาไว้ไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป ส่วนลูกค้าที่เข้าพักในโรงแรม แล้วไม่ได้รับบาดเจ็บก็ได้ทยอยกันเช็กเอาท์ เก็บข้าวของออกจากโรงแรม มีบางรายที่ต้องการพักอยู่ที่โรงแรมต่อ ซึ่งทางโรงแรมได้ย้ายให้ไปพักอยู่ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค ก่อน

ขณะเดียวกันทางสำนักงานเขตคลองเตยได้นำประกาศเรื่องห้ามใช้อาคารอันอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน มาติดไว้โดยรอบโรงแรม โดยมีข้อความระบุว่า "เนื่องจากได้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารโรงแรมแกรนด์ ปาร์ค อเวนิว กรุงเทพ สูง 15 ชั้น ตั้งอยู่เลขที่ 30 ซอยสุขุมวิท 22 แขวงคลองเตย และเขตคลองเตย ซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัย เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2555 สำนักงานเขตคลองเตยจึงแจ้งความมายังเจ้าของหรือผู้ครองครองอาคารดังกล่าวว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรือใช้อาคารตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะได้รับการตรวจสอบอาคารด้านความปลอดภัยจากวิศวกรโยธา ผู้เชี่ยวชาญหรือสถาบันที่เชื่อถือได้ หากฝ่าฝืนมีความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับวันละสามหมื่นบาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน" 
 
ด้าน นางวิภารัตน์ ไชยานุกิจ ผอ.เขตคลองเตย พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตคลองเตย เจ้าหน้าที่สำนักการโยธาฯ เจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. เจ้าหน้าที่จากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เดินทางเข้าตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุบนห้องจัดเลี้ยงบนชั้นที่ 5 ของโรงแรม เพื่อหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ รวมทั้งความเสียหายของโรงแรมที่ถูกเพลิงไหม้ โดยภายหลังเปิดเผยว่า   ต้นเพลิงอยู่บริเวณห้องจัดเลี้ยงชั้นที่ 5 เพลิงไหม้วัสดุอุปกรณ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ตกแต่ง รวมทั้งพรม โดยขณะเกิดเหตุห้องจัดเลี้ยงดังกล่าวนั้นถูกปิดอยู่ ไม่ได้ใช้งาน เพลิงไหม้ทำให้เกิดควันจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ได้รับบาดเจ็บสำลักควันจำนวนมาก
 
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่า กทม.เดินทางเข้ามาตรวจสอบภายในโรงแรมที่เกิดเหตุ โดยใช้เวลาในการตรวจประมาณ 1 ชั่วโทง ก่อนเปิดเผยว่า จากการเข้าตรวจสอบของวิศวกรผู้เชี่ยวชาญแล้วพบว่า อาคารดังกล่าวสูง 17 ชั้น มีการขออนุญาตต่อเติมในปี 2532 หลังจากนั้นก็ยื่นหนังสือขอดัดแปลงอาคารในปี 2535 โดยทางกทม.ได้อนุญาตในปี 2536 ในการต่อเติมส่วนอื่นๆ ทั้งนี้จากการตรวจสอบห้องพักและบริเวณอื่นๆ ในโรงแรมนั้นพบว่ามีสปริงเกอร์ทั้งหมด แต่จุดเกิดเหตุภายในห้องจัดเลี้ยงนั้นไม่มีสปริงเกอร์ รวมทั้งความสูงระหว่างพื้นและเพดานนั้นเตี้ยมากจนผิดสังเกตุ ด้านหลังของห้องนั้นสามารถทะลุเข้าไปยังลานจอดรถได้ จึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการแอบต่อเติมดัดแปลงในภายหลัง จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักการโยธาเข้าไปตรวจสอบอีกครั้งว่ามีการต่อเติมหรือไม่
 
นายธีระชน ยังกล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับกรณีที่ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้นั้น ผู้ตายเพิ่งมาเสียชีวิตในช่วงเช้า เนื่องจากขาดอากาศหายใจ โดยช่วงเกิดเหตุที่ได้นำส่งโรงพยาบาลไปนั้นยังหมดสติอยู่ นอกจากนี้ยังพบคราบเลือดติดอยู่ภายในโรงแรมด้วย ซึ่งคาดว่าผู้ได้รับบาดเจ็บน่าจะทุบกระจกหลบหนีออกมา ทั้งนี้ทางกทม.จะตั้งชุดตรวจสอบอาคารจำนวน 50 ชุด ประกอบด้วย 4 ส่วนด้วยกันคือ เจ้าหน้าที่การโยธาฯ เจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าหน้าที่เทศกิจ และสำนักงานเขตฯ ร่วมกับภาคเอกชน เข้าไปตรวจสอบอาคารทั้งหมดที่สร้างก่อนและหลังปี 2535 โดยภายในใน 1 ต.ค.นี้ จะเริ่มทำการตรวจสอบอาคารทั้งหมด 50 เขต ว่ามีใบอนุญาตใบดัดแปลงหรือต่อเติมอาคารหรือไม่ หากไม่พบก็จะมีโทษจำคุก 3 เดือน ปรับไม่เกิน 60,000 บาท ถ้าเป็นรายวันก็ปรับวันละ 10,000 บาท ทั้งนี้ทางกทม.จะรอผลการประชุมของสภากทม.ว่าควรจะมีการกำหนดโทษเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ยื่นแบบดัดแปลงอาคารแล้วยังไม่ปฏิบัติแก้ไขตัวอาคารตามที่ได้ยื่นแบบหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นมาอีก เนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้นั้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
 
ด้านนายพิชญะ จันทรานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมการความปลอดภัย วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า วันนี้ทางวิศวกรรมสถานฯนั้น จะเข้ามาตรวจดูว่า ทำไมเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้นั้น ควันไฟจึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบว่า มีบันไดทางขึ้นลงหลักของโรงแรมติดอยู่กับลิฟท์และห้องจัดเลี้ยง แต่ไม่มีผนังหรือประตูกั้นบริเวณบันไดระหว่างชั้นจึงทำให้ควันไฟลอยขึ้นไปยังชั้นอื่นและกระจายไปทั่วโรงแรมอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือว่าเป็นข้อบกพร่องของอาคารเก่าที่บันไดไม่มีประตูหรือผนังกั้นบันไดทางขึ้นหลักอยู่
 
นายพิชญะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังพบว่าห้องพักแต่ละชั้นนั้นแบ่งโซนออกเป็น 3 ฝั่ง แต่บันไดหนีไฟของโรงแรมที่มีอยู่นั้นมีอยู่เพียงฝั่งเดียว และมีลักษณะไม่ถูกต้องเนื่องจากแคบ ส่วนห้องพักอีก 2 ด้านนั้น ไม่มีบันไดหนีไฟอยู่ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้จึงทำให้แขกที่พักอยู่ในห้องอีก 2 ฝั่งนั้น ต้องวิ่งออกมาหาบันไดหนีไฟที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมีความห่างเกิน 10 เมตร ไม่ถูกต้องถามกฎข้อบังคับของกทม.ปี 2544 อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบในเรื่องความเสียหายเบื้องต้นพบว่า ห้องจัดเลี้ยงจุดเกิดเหตุนั้นเสียหายมากที่สุด นอกจากนั้นก็บริเวณชั้น 5-6  ส่วนชั้นอื่นๆ นั้นได้รับความเสียหายไม่มากนัก ส่วนความเสียหายในเรื่องโครงสร้างนั้นต้องให้ทางวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเรื่องโครงสร้างอาคารเข้ามาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources