วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"หญิงเป็ด" เฮ ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ


ที่ห้องพิจารณา 915 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (18 ก.ค.) ศาลอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์  คดีหมายเลขดำ อ.3262/255 ที่นายอภิชัย ล้อไพบูลย์ทรัพย์ อดีตผอ.สำนักงานกฎหมาย (นักบริหารระดับ  9) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นโจทก์ฟ้อง 1.คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีต ผู้ว่าการ สตง.  2.นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตรองผู้ว่าการ สตง.(ขณะนั้น) เป็นจำเลยที่ 1 และ2 ฐานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเมื่อวันที่  15 ก.พ.50 โจทก์ยื่นใบลาพักผ่อนต่อจำเลยที่ 2  เพื่อขอลาพักผ่อนในวันที่ 19 - 20 ก.พ.50  โดยจำเลยที่ 2 อนุญาตให้ลาพักผ่อนวันที่ 19 ก.พ.50 เพียงวันเดียว โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่ง ต่อมาจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ย้ายโจทก์ จากตำแหน่งบริหารไปเป็นตำแหน่งวิชาการ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือนร้อนและเสียหายทางการเงิน  จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามความผิดด้วย
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานละคำเบิกความโจทก์ในชั้นไต่สวนมูล ฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล จึงให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์  ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่มีมูล ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน.

อุทธรณ์ยืนไม่รับฟ้องกรณีสลายการชุมนุม7ต.ค.51


ที่ห้องพิจารณา 915 ศาลอาญา  ถนนรัชดาภิเษก  เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ศาลอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.4142/2551 ที่นายสิทธิพร โพธิโสดา ผู้เสียหายจากการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)เป็นโจทก์ ฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ  อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์  อดีตรอง ผบ.ตร.  พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน อดีต รอง ผบช.น.เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดเกี่ยวกับชีวิต และร่างกาย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 กลุ่มพันธมิตรฯ ไปชุมุนมที่ปิดล้อมทางเข้า-ออกอาคารรัฐสภาเพื่อขัดขวางมิให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์  นายกรัฐมนตรี(ขณะนั้น) และคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จำเลยที่ 1 สั่งการให้จำเลยที่ 2 - 5 สลายการชุมนุม ด้วยแก๊สน้ำตา เพื่อเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีเข้าปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภาได้ เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไปได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บสาหัส ส่วนโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะ พล.ต.ต.อำนวย จำเลยที่ 5 เท่านั้น  แต่ศาลมีคำสั่งให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบทความ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์อ้างว่า โจทก์ประสงค์ยื่นถอนฟ้องเพียงจำเลยที่ 5 เท่านั้น  มิได้ถอนฟ้องจำเลยทั้งหมด  จึงขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องขอโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า การถอนฟ้องเป็นเรื่องของโจทก์ที่กระทำผิดพลาดเอง  ขณะที่ฟ้องโจทก์ก็ไม่มีมูล  อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้นจึงให้ยกฟ้อง.

หนุ่มหึงโหดยิงกิ๊กดับ ผัวโดดเอาร่างบังโดนลูกหลงเจ็บอีกคน


เมื่อเวลา 03.00 น. วันนี้ (18 ก.ค.) พ.ต.ท.รัฐพล สุ่มมาตย์ สารวัตรเวร สภ.สามควายเผือก อ.เมืองนครปฐม รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ที่โรงงานชำแหละไก่สดเลขที่ 61/1 หมู่ 4 ต.มาบแค รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.ชนะ สุวรรณโกมล ผกก.สส.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.พงศธร ศรีเปลี่ยนจันทร์ ผกก.สภ.สามควายเผือก ที่เกิดเหตุ พบศพนางวรรณี อินทร์เผื่อน อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90/3 หมู่ 4 ต.มาบแค นอนจมกองเลือดเสียชีวิตในชุดเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงยีนขาสั้นสีน้ำเงิน มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนขนาด .38 มม. ที่ศีรษะ แขนซ้าย และข้อมือรวม 3 นัด ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บพลเมืองดีช่วยกันนำส่ง รพ.ศูนย์นครปฐม ทราบชื่อนายประทุม อินทร์เผื่อน อายุ 47 ปี สามีของผู้ตาย มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนขนาดเดียวกันที่ท้อง 2 นัดและเฉี่ยวคออีก 1 นัดอาการสาหัส
จากการสอบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุรายนี้ คือนายสุเมธ เก่ทอง อายุ 44 ปี เป็นกิ๊กกับผู้ตายและเคยทำงานเป็นคนงานชำแหละไก่ หลังก่อเหตุได้ขี่รถจยย.หลบหนีไป อยู่บ้านเลขที่ 51 ม.4 ต.มาบแค อ.เมือง จ.นครปฐม ใกล้กับที่เกิดเหตุ หลังก่อเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์แบบหญิงหลบหนีไป ส่วนสาเหตุมาจากนางวรรณีได้ แอบเป็นกิ๊กกับนายสุเมธ ต่อมาผู้ตายได้ขอเลิกกับนายสุเมธ แต่มือปืนไม่ยอมและขู่จะฆ่าทิ้ง กระทั่งก่อนเกิดเหตุนางวรรณีได้ให้สามีขี่รถมาส่งที่โรงงาน พร้อมกับขอให้อยู่เป็นเพื่อน เพราะกลัวนายสุเมธจะมาทำร้าย ระหว่างนั้นนายสุเมธขี่รถจยย.มาจอด ก่อนเดินตรงเข้ามาชักปืนยิงใส่นางวรรณีหลายนัด จังหวะนั้นนายประทุมได้กระโดดเข้าเอาตัวรับกระสุนจนบาดเจ็บไปด้วย ซึ่งจะติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป สำหรับนายสุเมธแนวทางการสืบสวนพบว่าเป็นเด็กนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง ซึ่งหลังก่อเหตุอาจหลบหนีไปขอความช่วยเหลือจากลูกพี่ก็เป็นได้.

"คำรณวิทย์"มอบเงินเยียวยาแพะแท็กซี่


จากกรณีตำรวจสน.ลาดกระบัง พร้อมด้วยชุดสืบสวนสอบสวนกก.สส.บก.น.3 จับกุมนายนายชรินทร์ ช้ำเกตุ อายุ 35 ปี คนขับแท็กซี่ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาชิงทรัพย์น.ส.ชลลดา จาระสิทธิ์ อายุ 25 ปี พนักงานฝ่ายครัว บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน) และยังถูกผู้เสียหายอีกประมาณ 4 คน เข้าชี้ตัวยืนยันว่าถูกนายชรินทร์ ก่อเหตุชิงทรัพย์ จากนั้นนายชรินทร์ ได้เดินทางเข้ามอบตัวที่สน.ลาดกระบัง และปฏิเสธข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำมีนบุรี กระทั่งเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนกก.สส.บก.น.3 ได้จับกุมทินภัทร สิริโสภาโชติกุล อายุ 36 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ ซึ่งเป็นคนร้ายตัวจริงที่ก่อเหตุได้ พร้อมของกลางหลายรายการ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ได้มอบเงินเยียวยาจำนวน 20,000 บาท ให้กับนายชรินทร์ โชเฟอร์แท็กซี่ที่ถูกจับผิดตัว พร้อมกับเปิดเผยว่า หลังจากที่น.ส.ชลลดา พนักงานฝ่ายครัวของการบินไทย เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ลาดกระบัง ว่าถูกโชเฟอร์แท็กซี่ชิงทรัพย์ โดยจำหมายเลขทะเบียนได้ คือมจ -621 ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามที่น.ส.ชลลดา ให้ข้อมูล เหตุเกิดวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นวันที่ 2 ก.ค.นายชรินทร์ เมื่อรู้ว่าตกเป็นผู้ต้องหาก็เดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจ โดยมีผู้เสียหายที่ทราบข่าวเดินทางเข้ามาชี้ตัวอีก 4 คน และชี้ตรงกันหมด ตำรวจจึงต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยนายชรินทร์ถูกขังอยู่ที่โรงพัก 2 วัน ก่อนจะถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำมีนบุรีอีก 7 วัน รวม 9 วัน
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวอีกว่า  หลังจากนั้นไม่กี่วัน ได้เกิดคดีในลักษณะเดียวกันอีก ซึ่งผู้เสียหายได้มาแจ้งความ ที่สน.ลาดกระบัง ว่าถูกคนขับแท็กซี่หมายเลขทะเบียน มจ-621 ทำร้ายและข่มขืน แต่เนื่องจากนายชรินทร์ถูกจับกุมไปแล้ว ตำรวจชุดสืบสวนจึงรื้อคดีขึ้นมาใหม่พร้อมทั้งเร่งสืบสวนหาเบาะแสคนร้าย กระทั่งสามารถติดตามจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ในที่สุด พร้อมกับยึดของกลางได้หลายรายการ คดีที่เกิดขึ้นทำให้นายชรินทร์เป็นผู้รับเคราะห์ไป ตนจึงได้เชิญนายชรินทร์มาพูดคุยและมอบเงินเยียวยาส่วนตัวจำนวน 2 หมื่นบาท ซึ่งนายชรินทร์เองก็เข้าใจในการทำงานของตำรวจ และไม่ติดใจเอาความอะไร และจะเป็นพลเมืองดีหากมีข้อมูลที่เกี่ยวกับคดีอาชญากรรมก็จะคอยแจ้งเบาะแส ให้กับตำรวจด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการสั่งให้ปิดข่าวหรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ไม่มี ตนเพิ่งทราบเรื่องเมื่อช่วงเช้าจากสื่อมวลชน ไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวเลย พอรู้เรื่องก็ประสานไปยังท้องที่เกิดเหตุว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จากนั้นก็เชิญนายชรินทร์และผกก.สน.ลาดกระบัง เข้ามาพูดคุยทำความเข้าใจกัน
ต่อคำถามว่าจะต้องมีการพิจารณาตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ จับกุมผิดตัวหรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ก็ต้องมาพูดคุยกัน แต่ต้องยอมรับว่าตำรวจทำงานเต็มที่ ทั้งนี้ตนยอมรับถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพราะทำงานเต็มที่จึงเกิดความผิดพลาดขึ้น ตนไม่โทษผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะเข้าใจการทำงานดี เมื่อเกิดเหตุก็ต้องดำเนินคดีไปตามขั้นตอน ผู้เสียหายชี้ตัว ทะเบียนรถที่คนร้ายตัวจริงปลอมขึ้นมาก็ไปตรงกับของนายชรินทร์ หน้าตาก็คล้ายกันอีก เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ อย่างกรณีของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ที่จับคู่แฝดผิดตัว
เมื่อถามว่าในส่วนของตำรวจต้องมีมาตรการเน้นย้ำหรือไม่ในเรื่องการจับผิด ตัวเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำอีก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ได้เน้นย้ำอยู่แล้ว ตำรวจไม่มีนโยบายจับแพะอยู่แล้ว ยกตัวอย่างคดีที่ยายฆ่าหลาน ทำไมตำรวจต้องรอจนงานศพเสร็จสิ้น เพราะตำรวจต้องการหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้จับผิดตัว ตำรวจไม่ได้รีบจับยายทั้งๆที่รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ายายน่าจะเป็นคนทำ เนื่องจากมีพิรุธหลายอย่าง คดีนี้ก็เช่นเดียวกันตำรวจก็ไม่ได้รีบร้อน แต่พอผู้ต้องหามามอบตัว ผู้เสียหายก็ชี้ยืนยันตรงกันทุกคน หลักฐานทุกอย่างตรงหมด ถ้าทุกคนมองว่าตำรวจผิด ตนก็ขอรับผิดแทนลูกน้อง และขอชื่นชมที่ติดตามจับกุมคนร้ายตัวจริงมาได้
ทางด้านนายชรินทร์ กล่าวว่า ตั้งแต่ก้าวแรกจนกระทั่งออกจากคุกมาก็คิดอยู่ในใจตลอดเวลาว่า ตนจะไม่เรียกร้องอะไรจากใครทั้งนั้น ไม่ว่าเจ้าทุกข์ทุกรายที่ชี้ตัว ตนไม่อยากได้อะไรจากใครทั้งนั้น ตนเข้าใจเพราะเขาก็เดือนร้อน ตนอยากอยู่กับครอบครัวสิ่งที่ตนต้องการตอนวินาทีนั้น คือ แค่อิสรภาพ พ่อตนเสียชีวิตเหลือแต่แม่ และมีลูกเล็กๆ อีก 2 คน ตนต้องมารับชะตากรรมตรงนี้แล้วเขาจะอยู่กันอย่างไรตนคิดแค่นั้น แต่ตอนนี้ตนก็ได้อิสรภาพคืนมาเหมือนเดิมแล้ว ตนไม่ขออะไรมากกว่านี้ ตนติดคุกในเรือนจำ 7 วัน ติดคุกที่สน.ลาดกระบัง 2 วัน
นายชรินทร์ กล่าวด้วยว่า ตนขับแท็กซี่เป็นอาชีพเสริมหลังเลิกงาน ขับถึงสี่ทุ่มเพราะต้องขี่รถจยย.ไปทำงานพร้อมกับภรรยาตอนตีห้าครึ่งส่วนรถ แท็กซี่ก็จอดไว้ที่บ้าน วันที่ตัดสินใจเข้ามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า เราไม่ได้ทำ แต่รถแท็กซี่ทะเบียนที่ก่อเหตุนั้นเป็นรถของตนตรงตามที่เขาแจ้งมา ตนก็อยากจะรู้รายละเอียดเหมือนกันจึงไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นตนก็เลิกขับรถแท็กซี่เด็ดขาดเลย ตนไม่รู้จักกับคนร้ายตัวจริงที่ถูกจับกุมได้ คนร้ายใช้ทะเบียนรถตนไปสวมรอย ตนต้องชื่นชมการทำงานของตำรวจด้วยที่ยังจับคนร้ายตัวจริงมาได้ไม่อย่างนั้น ตนก็ยังไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนที่ถูกผู้เสียหายชี้ตัวทำไมไม่คัดค้านว่าไม่ได้ก่อเหตุ นายชรินทร์ กล่าวว่า ตอนนั้นมึนไปหมดทำอะไรไม่ถูกคิดอยู่อย่างเดียวว่า แม่และลูกของตนจะอยู่อย่างไร และตนก็ไม่มีเพื่อนหรือญาติที่พอจะช่วยเหลือได้ นอกจากนี้ตนคงจะไม่ไปร้องเรียนต่อกรมคุ้มครองสิทธิ์หรือหน่วยงานอื่นๆ ขอแค่ได้อิสรภาพทำงานเลี้ยงดูแม่และลูกก็พอไม่ขออะไรแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากได้ยินคำขอโทษจากเจ้าทุกข์ที่ชี้ตัวหรือไม่ นายชรินทร์ กล่าวว่า อยากได้ยินเหมือนกันแต่ตนไม่ได้อยากเรียกร้องอะไรจากเขาเลย เข้าใจว่าเขาก็เดือนร้อนไปแล้วที่สูญเสียทรัพย์สิน ถ้าไม่ได้คำขอโทษก็ไม่เป็นไรเพราะตนก็สบายใจแล้ว อีกทั้งเจ้านายที่ทำงานก็ไม่ได้ไล่ออก เพราะรู้ตั้งแต่แรกว่าตนไม่ได้เป็นคนทำ เจ้านายก็ให้ตนกลับเข้าไปทำงานเหมือนเดิม
ขณะที่พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รองผบช.น. รับผิดชอบงานด้านสืบสวน เปิดเผยว่า สำหรับผู้ต้องหาตัวจริงที่ถูกจับกุมคือนายทินภัทร สิริโสภาโชติกุล ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่615/2555 ลงวันที่ 10 ก.ค. 2555 ในข้อหาข้อหาชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ ,ข่มขืนกระทำชำเรา และพกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งนายทินกรก็รับสารภาพว่าก่อเหตุชิงทรัพย์ผู้โดยสารจริง และบางรายได้ลงมือข่มขืนด้วย อีกทั้งได้ตัดสติ๊กเกอร์ทะเบียนรถแท็กซี่ปลอม นำมาติดทับทะเบียนรถที่ใช้ก่อเหตุไว้ภายในรถโดยสาร เพื่อตบตาผู้เสียหายกรณีที่ไปแจ้งความ
พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามผู้เสียหายทั้งหมดที่ถูกนายทินภัทรก่อเหตุ เพื่อให้เข้ามาแจ้งความดำเนินคดี ล่าสุดติดต่อได้แล้ว 12 ราย ติดต่อไม่ได้ 2 รายและไม่ได้แจ้งความ 2 ราย  จากการตรวจสอบพบว่านายทินภัทรเคยก่อเหตุปล้นทรัพย์ผู้โดยสารในหลายท้องที่ โดยสน.ลาดกระบังก่อเหตุ 2 ราย สน.บึงกุ่ม ก่อเหตุ 2 ราย สน.บางชัน ก่อนเหตุ 3 ราย สน.พญาไท 1 ราย สน.วังทองหลาง 3 ราย และสน.อุดมสุข 3 ราย ซึ่งมีผู้เสียหายบางรายถูกข่มขืนอีกด้วย.

ยิงถล่มรถช่างเสี่ยเย็บกระเป๋ากว่า 30 นัด


เมื่อเวลา 14.00 น.  วันนี้ (18 ก.ค.) พ.ต.อ. นครินทร์  สุคนธวิท  ผกก.สน.ท่าข้าม ได้รับรายงานจากฝ่ายสืบสวนว่า เมื่อเวลา 04.00 น. วันเดียวกันได้รับแจ้งเหตุคนร้ายยิงถล่มรถยนต์ภายในบ้านเลขที่ 88/426 หมู่ 6  เคหะธนบุรี ถนนพระราม 2 ซอย 69 แยก 3 -7 แขวงแสมดำ เขตท่าข้าม รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียว พบนายสบู่ อรเอี่ยม อายุ 40 ปี เจ้าของบ้านกับนางกาญจนา  อรเอี่ยม อายุ 37  ปี ยืนรอตำรวจอยู่ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ โดยภายในโรงจอดรถพบรถเก๋งโตโยต้า รุ่นวีออส สีฟ้า ทะเบียน ญฐ-7338 กรุงเทพมหานครโดนกระสุนปืนขนาด .22 กับ 11 มม. พรุนทั้งคันกว่า 30 นัด
จากการสอบนายสบู่ให้การว่า  ตนและภรรยามีอาชีพเย็บกระเป๋าหนังส่งตามร้านค้าต่าง ๆ ก่อนเกิดเหตุได้นอนหลับอยู่ในบ้าน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงดังถี่ยิบสนั่นหวั่นไหว เลยตกใจสะดุ้งตื่นก่อนลงมาดูข้างล่าง พบรถเก๋งโดนยิงจนพรุน ส่วนสาเหตุตนไม่ทราบเพราะไม่เคยมีเรื่องกับใคร แต่เมื่อราว 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา น้องชายที่อยู่ จ.ร้อยเอ็ดมาเยี่ยมตนที่บ้าน พร้อมกับขอยืมรถเก๋งไปหาเพื่อนที่ จ.สมุทรสาคร พอเอารถมาคืนตนได้รีบเดินทางกลับทันทีพร้อมกับบอกว่า "ขอโทษเรื่องเมื่องคืนด้วย" โดยตนก็ไม่รู้ว่าขอโทษตนเรื่องอะไร แม้จะพยายามติดต่อน้องชายแต่ไม่สามารถติดต่อได้ เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายคงขับรถยนต์มาจอดหน้าบ้าน จากนั้นใช้ปืน 2 กระบอก ระดมยิงใส่รถเก๋งเหมือนโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ก่อนจะเร่งเครื่องหลบหนีไป โดยคนร้ายไม่ได้มุ่งเอาชีวิตคงแต่อยากขู่เท่านั้น ส่วนสาเหตุน่ามาจากน้องชายของเจ้าของบ้านไปมีเรื่องกับคนอื่น แต่คนร้ายไม่รู้ว่าน้องชายไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ เลยพาพวกมายิงรถเก๋งเป็นการสั่งสอน ซึ่งจะติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป.

แก๊งค้ายาเสพติดสุดชั่ว ใช้เด็กเฝ้าของและส่งยาให้ลูกค้า


เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (18 ก.ค.) นายมนตรี ปรีดา ปลัดอำเภอเมืองนครปฐม พร้อมชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด อำเภอเมืองนครปฐม ร่วมกับกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลดอนยายหอม ร่วมกันล่อซื้อจับกุมนายศักดิ์ชััย รอดพลอย อายุ 28 ปี และนายทรงพล คุ้มเงิน อายุ 20 ปี พร้อมของกลางยาไอซ์ 31 กรัม ยาบ้า 218 เม็ด เงินล่อซื้อ 20,000 บาท ปืน 1 กระบอก สร้อยคอทองคำและโทรศัพท์มือถือ ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งอีกคนหลบหนีไปได้หวุดหวิด เบื้องต้นตำรวจทราบชื่อนามสกุลแล้ว
ทั้งนี้สืบเนื่องจากตำรวจทราบว่าแก๊งค้ายาเสพติดรายนี้ เป็นเครือข่ายใหญ่ใน ต.ดอนยายหอม จึงได้วางแผนล่อซื้อกระทั่งสามารถจับกุมได้สำเร็จ โดยก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาแก๊งนี้จะให้เด็กอายุ 14 กับ 15 คอยเฝ้าของหรือเอายาไปส่งแทน เพื่อป้องกันไม่ให้โดนจับ กระทั่งตำรวจต้องวางแผนหลายชั้นจนจับกุมได้พร้อมของกลางดังกล่าว.

ช่างตัดผมชะตาขาดมือปืนเหี้ยมบุกยิงดับคาร้าน


เมื่ออเวลา 21.45 น. วันที่  17 กรกฎาคม 55  พ.ต.ท.ขวัญชาติ แจ่มจำรัส สารวัตรเวรสอบสวน สภ.สามโคก จ.ปทุมธานี รับแจ้งมีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง อปพร.และเป็นเจ้าของร้านตัดผม จนเสียชีวิต ขอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบด้วย เหตุเกิดภายในบ้านเลขที่ 87 ม.5 ต.บางโพธิ์เหนือ อ.สามโคก หลังรับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น พร้อมทั้งรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพ.ต.อ.ประวิทย์ ม่วงนวล ผกก.สภ.สามโคก , พ.ต.ท.พีรธรรม ธรรมธีรดิลก รอง ผกก.(ป)สภ. สามโคก พ.ต.ท.ธวัชชัย อาภาขจร สวป. พร้อมด้วยพ.ต.อ.วรพจน์ ชูเชิด ผกก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี , พ.ต.ท.ภูริสิทธิ์  ทับทิมทอง  สว.สส.สภ.คูบางหลวง ฯ ปฏิบัติหน้าที่ ภ.จว.ปทุมธานี    พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ภ.จว.ปทุมธานีร่วมกับพ.ต.อ.ปรีดี พงษ์เศรษฐ์สันต์ รอง.ผบก.ศพฐ.เขต 1(ศพฐ.1) และเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน เขต 1(ศพฐ.1), เจ้าหน้าที่แพทย์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต๊กตึ๊ง          

ในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวและเปิดเป็นร้านตัดผมไม่มีชื่อ โดยภายในร้านใกล้กับเก้าอี้นั่งตัดผม เจ้าหน้าที่พบศพชายนอนหงายจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่กับพื้น ทราบชื่อต่อมาคือนายวิชัย ทองจันทร์ อายุ 54 ปี เดิมบ้านเลขที่ 87 ม.5 ต.บางเตย อ.สามโคก ในสภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่คาง ศรีษะด้านหลัง และที่กลางหลังจำนวน 4 นัด          

สอบสวนนายประทีป ทองจันทร์ น้องชายของนายวิชัย ผู้ตายกล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุนั้น ขณะที่นายวิชัย ทองจันทร์ กำลังนั่งกินเหล้าอยู่หน้าบ้านกับตนเอง และเพื่อนบ้านอีกคน ระหว่างที่กำลังนั่งกันอยู่นั้น ก็ได้มีชาย 2 คน อายุประมาณไม่เกิน 45 ปี ขับขี่รถจักรยานยนต์มาจอดหน้าบ้าน โดยทั้งสองคนสวมหมวกกันน็อก และสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำ เมื่อ2คนร้ายมาจอดรถที่หน้าบ้าน ชายที่นั่งซ้อนท้ายก็ลงจากรถ และตะโกนสอบถามว่า ที่นี่มีเบียร์ขายหรือไม่ ซึ่งนายวิชัยฯผู้ตาย  ก็ได้ลุกขึ้นจากวงเหล้าแล้วตอบไปว่า “ที่นี่ไม่มีเบียร์ขาย” จากนั้นชายคนดังกล่าวก็พูดอีกว่า ใช้ชื่อวิชัย หรือไม่ ซึ่งเมื่อนายวิชัยฯ ตอบไปว่าใช่ ทันใดนั้นชายคนที่ถามหานายวิชัยฯ นั้นก็ชักอาวุธปืน ออกมายิงใส่ร่างของนายวิชัยฯ เป็นจำนวนหลายนัด ซึ่งนายวิชัยเองเมื่อถูกยิงครั้งแรก ที่หน้าบ้านก็พยายามหันหลังวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน แต่ก็ไม่พ้นเพราะคนร้ายยิงใส่ร่างจำนวนหลายนัด และไปล้มลงขาดใจตายที่ข้างเก้าอี้ตัดผมในบ้าน ส่วนคนร้ายก็พากันขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทันที            

ด้านนายสมพงษ์ (นามสมมุติ) เพื่อนบ้าน กล่าวว่า สาเหตุการสังหารในครั้งนี้ เชื่อว่ามาจากเรื่องการเมืองท้องถิ่นอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาไม่นาน นายวิชัยฯผู้ตาย ได้ให้การสนับสนุนผู้สมัครนายก เทศบาลตำบลบางโพธิ์เหนือรายหนึ่ง แต่แพ้การเลือกตั้ง และในวันที่ 16 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ สมาชิกสภา ก็จะหมดวาระลง และนายวิชัยฯ ก็ได้รับการสนับสนุนให้ลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาลตำบลฯในครั้งนี้อีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าสาเหตุต้องมาจากเรื่องการเมืองแน่นอน เพราะนายวิชัยฯผู้ตายนั้น ไม่เคยมีเรื่องวิวาทกับใครมาก่อน และเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่สามโคกและเป็น อปพร.ของอำเภอสามโคกอีกด้วย ก็มักจะมีคนรู้จักผู้ตายจำนวนมาก          

หลังการสอบสวน เจ้าหน้าที่จะได้สืบสวนสอบสวน พร้อมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมอบศพนายวิชัยฯ ให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง นำส่งชันสูตรยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ (ศูนย์รังสิต) เพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริงต่อไป

ฝากขังยายฆ่าหลาน


เมื่อวลา 10.00 น.วันที่ 18 ก.ค. ที่สน.พระโขนง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ได้ควบคุมตัว นางเสริม (นามสมมุติ) อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาฆ่าด.ช.โย อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ เสียชีวิตภายในคอนโด ซอยสุภาพงศ์ 1 ไปขออำนาจศาลจังหวัดพระโขนงเพื่อฝากขัง โดยแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่น และท้ายคำร้องเจ้าหน้าที่ได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี โดยนางเสริมมีสีหน้าเคร่งเครียดและซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด โดยมีน.ส.ไก่ (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี ลูกสาวและผู้เป็นแม่ของผู้ตายมารอดูแม่ที่ศาล พร้อมทั้งนำยาโรคประจำตัวมาให้อีกด้วย
ทางด้านนางเสริมกล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนยอมรับผิดทุกอย่าง และขอชดใช้กรรมที่ก่อไว้ ส่วนเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเพราะเหม็นห้องน้ำ และเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่ได้ฝันถึงหลานที่เสียชีวิตแต่อย่างใด
ขณะที่น.ส.ไก่ กล่าวว่าตนตั้งใจมาดูแม่พร้อมทั้งเอายามาให้เนื่องจากแม่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง อีกทั้งตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้เหมือนคนตายทั้งเป็นที่ต้องเสียทั้งลูกและแม่ติดคุก เมื่อตนได้ยินแม่รับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าด.ช.โย ก็รู้สึกช็อคมาก
ส่วนเมื่อวานนี้ตนได้คุยกับแม่ และแม่ยืนยันรับผิดทุกอย่างและไม่ต้องประกันตัวเนื่องจากต้องการชดใช้กรรมใน คุก ตนก็ยืนยันว่าจะรอแม่จนกว่าจะพ้นโทษกลับมาอยู่กันเป็นครอบครัวอีกครั้ง เพราะตอนนี้ไม่หลือใครแล้ว เหลือแม่เพียงคนเดียว หลังจากทราบเรื่องที่แม่สารภาพตนก็จุดธูปไหว้ดวงวิญญาณลูกชาย ว่าอย่าโกรธยายที่กระทำเรื่องดังกล่าวลงไป สำหรับเหตุการณ์ที่แม่เคยต้องโทษคดีฆ่าคนตายครั้งแรกนั้นเป็นคนยื่นประกัน ตัวเอง โดยแม่ติดคุกอยู่ประมาณเกือบ 1 ปี เนื่องจากตอนนั้นตนอายุไม่ถึง 20 ปี จึงต้องรอให้ตนอายุครบ 20 ปี จึงสามารถประกันตัวแม่ออกมาได้สำเร็จ และรู้สึกสงสารแม่ที่ต้องผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน.

รวบกระเทยแสบตุ๋นหนุ่มแดนปลาดิบกว่า 1,000 ราย


เมื่อเวลา 12.30 น. วันนี้ (18 ก.ค.) พล.ต.ต. รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ธัมรงค์ วงศ์แป้น รอง ผบก.สส. พร้อมพวกร่วมกันแถลงจับกุมนายอุทัย นันทะขันท์ สาวประเภท 2 อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 2 ต.นาสะอาด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร เลขที่ 86/2553 ลงวันที่ 3 ก.พ.53 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและหมายจับคดีฉ้อโกงอีกหลายคดี โดยจับกุมได้ที่อพาร์ทเมนต์ แห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 93 มูลค่าความเสียหายกว่าหลายสิบล้านบาท ผบก.สส.บช.น.เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากทางเจ้าหน้าที่ได้รับการประสานงานจากสถานทูตญี่ปุ่นประจำ ประเทศไทย ว่านักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ถูกนายอุทัยสาวประเภท 2 ชาวไทยหลอกให้โอนเงินทำให้สูญเงินไปจำนวนมาก โดยผู้ต้องหาจะทำทีเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าไปหลอกต้มตุ๋นเหยื่อ ด้วยการทำทีเข้าไปตีสนิท โดยเน้นไปที่นักท่องเที่ยวชาวเอเชีย หลังจากนั้นจะหลอกต้มตุ๋นเหยื่อว่าบังเอิญทำกระเป๋าสตางค์หาย จากนั้นจะขอยืมเงินไปก่อน แล้วจะให้ญาติโอนเงินกลับมาใช้หนี้ให้ เมื่อผู้เสียหายสอบถามไปยังนายอุทัยเรื่องเงินที่จะใช้หนี้ ผู้ต้องหาก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่า ยังไม่สามารถโอนให้ได้เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการโอนเงินระหว่างประเทศ จากนั้นหลบหนีไป

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ก.ค. เวลา 15.00 น.เจ้าหน้าที่กก.สส.3บก.สส.บช.น. สืบทราบว่านายอุทัย ได้พักอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 93 จึงแสดงตัวพร้อมหมายจับ ก่อนควบคุมตัวมาทำการสอบสวน เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า กระทำลักษณะดังกล่าวจริง ทำมาแล้วหลายรายและมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 1,000 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท สาเหตุที่เลือกเหยื่อเป็นชายชาวญี่ปุ่น เนื่องจากมีความโกรธแค้นชายชาวญี่ปุ่น ที่หลอกตัวเองไปเที่ยวแล้วทิ้งไว้ที่เกาะพีพี จึงได้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่านายอุทัย มีหมายจับคดีฉ้อโกงอยู่หลายคดี หลังจากนี้จะได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ญาติวีรชนพฤษภา 35 ร้อง “ยงยุทธ”


เมื่อเวลา11.30 น. วันนี้ (18 ก.ค.) ที่กระทรวงมหาดไทย นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 พร้อมด้วยญาติวีรชนกว่า 10 คน ได้เดินทางเข้าพบนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงาน และติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) พร้อมยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องต่อนายยงยุทธว่า ไม่ควรเลือกปฏิบัติ โดยขอให้รัฐจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองปี พ.ศ.2535 เหมือนกับการจ่ายเงินเยียวยาของ ปคอป.ที่ผ่านมาด้วย เพื่อแก้ไขและกู้ศักดิ์ศรีญาติวีรชนคืนมา ขณะเดียวกันญาติวีรชนพฤษภา 35 ได้มอบดอกไม้ให้กำลังใจแก่นายยงยุทธ เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นรมว.มหาดไทยต่อไปจนกว่าภารกิจต่าง ๆ จะบรรลุเป้าหมาย
โดยนายเมธากล่าวว่า คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากที่ผ่านมา กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อนุมัติงบประมาณตามกฎหมายสงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ ซึ่งขัดแย้งและผิดข้อเงื่อนไขกับที่คณะกรรมการอิสระ เพื่อติดตามผู้สูญหายและช่วยเหลือผู้เสียหาย จากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯเป็นประธานได้เสนอไว้ โดยนายยงยุทธกล่าวในระหว่างการหารือว่า จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯและนำเข้าสู่การพิจารณาของครม.เพื่อดำเนินการต่อไป.

“เฉลิม” สั่งตำรวจนครบาล ภาค 1 และภาค 7 ลุยกวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่


ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 13.00 น. วันนี้ (18 ก.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ทางรัฐบาลจีนจะส่งข้าราชการฝ่ายการเมือง และอธิบดีกรมตำรวจจากปักกิ่งมาพบตน เพื่อเอาข้อมูลสำคัญที่ตนขอไปเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด ในประเทศเพื่อนบ้านมาให้ โดยเป็นข้อมูลบัญชีผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดทำได้ดีขึ้น ตอนนี้การแก้ปัญหายาเสพติดมีความคืบหน้ามาก ไม่เหมือนสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว 2 ปี 7 เดือน ไม่ทำอะไรเลย วันนี้ทางผบช.ภ.5 ได้รายงานว่าสามารถจับยาบ้าได้ 8 แสนเม็ด ตามเส้นทางที่ตนกำหนด เพราะปัจจุบันยาบ้าจะไม่ลำเลียงผ่านเส้นทางหลัก แต่จะผ่านเส้นทางรอง จาก จ.เชียงราย ไป จ.แพร่และออกทาง จ.สุโขทัย โดยสายข่าวรายงานให้ตนทราบเป็นระยะ วันนี้ต้องฟันธงไปเลยว่ายาเสพติดไม่มีในประเทศไทย แต่ผลิตที่พม่าทั้งนั้น เป็นพวกว้า ฝั่งท่าขี้เหล็ก ถ้าพิชิตศึกตรงนั้นได้จบ

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนจะขอความกรุณาไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.อีกครั้ง ให้เอารั้วลวดหนามไปกั้นบริเวณชายแดนเพิ่มเติม เพื่อให้เข้า-ออกลำบาก เพราะจะเหลือช่องทางเล็ก ๆ เท่านั้นทำให้ตรวจสอบและติดตามจับกุมได้ง่ายขึ้น ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ได้เพิ่มด่านตรวจมากขึ้น ทำให้การทำงานกระชับ มีประสิทธิภาพ และเกิดผล ส่วนทางกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ สามารถจับสารตั้งต้นได้จำนวนมาก ถ้าไม่มีสารตั้งต้นเขาก็ผลิตไม่ได้ การแพร่ระบาดของยาเสพติดไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ตนได้สั่งการไปยังตำรวจนครบาล ให้ทำการกวาดล้างครั้งยิ่งใหญ่ในพื้นที่กทม. และสั่งการ ผบช.ภ. 1 และ ผบช.ภ.7 ที่ดูแลจังหวัดปริมณฑลให้ดำเนินการด้วย เพราะกทม.กับปริมณฑลมีความต้องการยาเสพติดสูงถึง 70 % โดยให้เริ่มลงมือทันที ทั้งการตรวจค้น ปิดล้อม และต้องเข้มงวดสถานบริการ ห้ามเด็กอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าไปใช้บริการ ที่สำคัญห้ามตั้งโต๊ะจำหน่ายยาเสพติดเหมือนสมัยก่อนเด็ดขาด

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงการเข้าพบของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ ว่า เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งได้ทำประจำอยู่แล้ว วันนี้การป้องกันถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง แต่การป้องปราม และการบำบัด ทางกระทรวงมหาดไทยต้องช่วยด้วย เพราะมีบุคลากรมากกว่า ทั้ง ผวจ. นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส่วนการหาบุคคลมาทำหน้าที่เลขาธิการ ป.ป.ส.แทน พล.ต.อ.อดุลย์นั้น ถือเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และรมว.ยุติธรรม ตนไม่มีสิทธิคิด และไม่กล้าเสนอ ตนทำงานได้กับทุกคน.

“เฉลิม” หนุน “เพรียวพันธ์”เป็นรมต.


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าไม่ได้ยินข่าวดังกล่าวเลย ตนนั่งประชุม ครม.ด้านซ้ายของนายกรัฐมนตรีทุกวันอังคารก็ไม่เคยได้ยินข่าวนี้ โดยเฉพาะกระแสข่าวที่จะมีการปรับให้ตนไปนั่งเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ก็ไม่จริง  ตนเคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวแล้ว หากให้ตนไปอยู่กระทรวงมหาดไทย แล้วจะให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ  รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ไปนั่งที่ไหน ทุกวันนี้ตนอยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีก็ทำงานสนุกอยู่แล้ว โดยเฉพาะการแก้ปัญหายาเสพติด
เมื่อถามว่าที่บอกยังสนุกกับงานแสดงว่าตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรียังเหนียว แน่นอยู่ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ทราบ รู้แต่ว่าสนุกในการทำงานตรงนี้ ส่วนจะเหนียวแน่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน หากพล.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.เกษียณอายุราชการแล้วจะมานั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีในครม.  ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าส่วนตัวมองว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์มีความเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องการการปราบปรามยาเสพติด อีกทั้งยังมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถ และเป็นคนเรียบง่าย ซึ่งเรื่องนี้ตนเคยพูดมาตลอดก่อนที่จะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.แล้ว ส่วนท่านจะเข้าสู่เส้นทางการเมืองหรือไม่ ก็ต้องไปถามเอง อีกทั้งการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ตนไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีข่าวว่าที่รัฐบาลยังไม่ตัดสินใจปรับครม.เพราะต้อง การรอให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เกษียณอายุราชการก่อนและมารับตำแหน่งรัฐมนตรี  ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่ใช่คนตัดสินใจปรับครม.
เมื่อถามว่างานที่พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ดูแลอยู่ในขณะนี้คืองานด้านยาเสพติด และงานด้านความมั่นคง ถ้าเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลจะกระทบกับเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีของ ร.ต.อ.เฉลิมหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่เป็นไรเลย ถ้านายกรัฐมนตรีตัดสินใจอย่างนั้นตนก็เคารพ และส่วนตัวตนยืนยันว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์มีความเหมาะสมทั้งดูแลความมั่นคงและปัญหายาเสพติด.

มหาดไทยหักกทม.ยันจ่าย2หมื่นทุกบ้านไม่ได้


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ก.ค. นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงปัญหาการจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม ว่าการที่กทม.เสนอให้จ่าย 2 หมื่นบาท เท่ากันทุกครัวเรือนนั้นเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ กทม.เป็นท้องถิ่น มีงบประมาณเป็นของตัวเอง หากไปรับปากกับม็อบ เขาสามารถจ่ายให้กับชาวบ้านได้เองอยู่แล้ว แต่จะให้รัฐบาลมาจ่ายคงไม่ได้ เพราะรัฐบาลต้องจ่ายให้มาตรฐานเท่ากัน ไม่เช่นนั้นจังหวัดอื่นที่ได้รับเงินไปแล้วเขาก็ต้องร้องเรียนกันไม่หยุด

นายประชา กล่าวอีกว่า ส่วนที่กทม. ระบุว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ส่งบัญชีรายการเยียวยาเพียง 5 รายการ แต่ต่างจังหวัดส่ง 8 รายการนั้น ที่จริงระเบียบนี้ไม่ควรมาใช้กับเรื่องน้ำท่วม แต่ควรใช้กับเหตุการณ์ไฟไหม้มากกว่า เพราะเมื่อน้ำท่วมที่ผ่านมา มีคนที่เดือดร้อนจำนวนมาก ไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอที่จะไปสำรวจได้ขนาดนั้น ตนกล้ายืนยันว่า 58 จังหวัดที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทำเพียง 5 รายการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ ปภ.ได้นำเอกสารมาชี้แจงต่อสื่อมวลชน ใน 3 กรณี โดยกรณีแรก กทม.ระบุว่าไม่มีอำนาจการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่ได้รับการร้องขอจาก ปภ. ให้ดำเนินการ ซึ่งข้อเท็จจริงคือ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 กำหนดให้ผู้ว่าฯกทม. เป็นผู้อำนวยการ กทม. รับผิดชอบให้การสงเคราะห์แก่ผู้ประสบภัย มีผู้อำนวยการเขต เป็นผู้ช่วยเหลือรับผิดชอบสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น และทำบัญชีรายชื่อผู้ประสบภัยและทรัพย์สินที่เสียหายไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งออกหนังสือรับรองไว้เป็นหลักฐานในการรับการสงเคราะห์ฟื้นฟู
เอกสารระบุต่อว่า ปภ. ได้ส่งบัญชีรายการเยียวยาให้ กทม. เพียง 5 รายการ แต่ไม่ได้ส่งบัญชีรายการเยียวยาทั้ง 8 รายการ ข้อเท็จจริงคือ ปภ.ได้มอบอำนาจให้ กทม. ดำเนินการช่วยเหลือครอบคลุมทุกรายการ แต่จากการที่กทม.ได้ขอขยายวงเงินที่ผ่านมา ระบุว่าจะให้ความช่วยเหลือเพียง 5 รายการ จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของ กทม.ที่จะต้องตรวจสอบ หากปรากฏความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ก็สามารถช่วยเหลือได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ส่วนกรณีสุดท้าย คือ กทม.ขอให้ ปภ.จ่ายเงินเยียวยาค่าซ่อมบ้าน 2 หมื่นบาท เท่ากันทุกครัวเรือนนั้น ข้อเท็จจริงคือ  เรื่องนี้จะต้องดำเนินการไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ ระบุว่า ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมที่เสียหายตามจริงหลังละไม่เกิน 2 หมื่นบาท
ส่วนที่หน้าสำนักงานเขตดอนเมือง เมื่อเวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีชาวบ้านย่านดอนเมือง ราว 300 คน เดินทางมาชุมนุมรอฟังคำตอบบริเวณหน้าสำนักงานเขตดอนเมือง ถนนกำแพงเพชร 6 หลังจากได้ยื่นข้อเสนอให้กับทางเขตพิจจารณาจำนวน 3 ข้อ เมื่อวันที่ 12 ก.ค.55 สาเหตุเพราะไม่พอใจที่ทางการจ่ายเงินชดเชยค่าน้ำท่วมอย่างไม่เป็นธรรมและล่า ช้า โดยชาวบ้านได้รวมตัวกันและยังคงยืนยันข้อเสนอเดิมคือ 1.ขอให้เว้นหลักเกณฑ์ การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากเกิดความไม่เป็นธรรมจากหลักเกณฑ์นี้ 2.ให้ทางการจ่ายเงินชดเชยให้ชาวบ้าน ในจำนวน 20,000 บาทเท่ากันทุกหลังคาเรือน 3.ไม่ให้ทางสำนักงานเขตแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มชาวบ้านที่มาประท้วงทั้ง ทางแพ่งและอาญา

ต่อมานายภูมิพัฒน์ ดำรงเกียรติศักดิ์ ผอ.เขตดอนเมือง ได้ออกมาเจรจากับกลุ่มชาวบ้าน โดยให้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมส่งตัวแทนไปฟังคำตอบจำนวน 10 คน ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับทางกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นอย่างมาก และยังคงยืนยันว่าจะรอฟังคำตอบอยู่ที่หน้าสำนักงานเขตเท่านั้น จะไม่มีการเจรจาแต่อย่างใดอีก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการควบคุมฝูงชนจาก บก.น.2

ถ้ามีกม.ปรองดองต้องมีนิรโทษกรรมแน่ “เหลิม” ยันถ้าให้เป็นแม่ทัพผ่านฉลุย


เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าถ้าจะมีการปรองดองเกิดขึ้น จะต้องมีการนิรโทษกรรมด้วย ว่า เรื่องนี้ตนพูดมาบ่อยแล้ว ว่าถ้าใช้บริการตนจะดำเนินการชี้แจงให้ทราบรายละเอียดทั้งหมด โดยจะทำความเข้าใจทีละมาตรา และมีเหตุผลประกอบทั้งหมด เมื่อถามย้ำว่าในร่างพ.ร.บ.ปรองดองที่เสนอจะมีเรื่องการนิรโทษกรรมบรรจุไว้ ด้วยใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า “ เรียบร้อย ไม่มีปัญหา”
ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ ตม.อำนวยความสะดวกให้นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ ซึ่งเป็นผู้ที่กระทำการมิบังควรต่อพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หน้าศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา หลบหนีไปต่างประเทศ แต่ถูกกัปตันสายการบินไทยไม่ให้ขึ้นเครื่อง  ว่า ไม่ได้หลบหนี เพราะต้องผ่าน ตม. เรื่องนี้ตำรวจตรวจสอบได้ง่าย ส่วนข่าวที่ ตม.อำนวยความสะดวกให้ขึ้นเครื่องนั้น ตนไม่ทราบ อ่านเจอแต่ข่าว อย่างไรก็ตามจะโทรศัพท์ไปตรวจสอบให้ ทั้งนี้ในเรื่องการป้องกันการหมิ่นพระบรมราชานุภาพที่ตนเป็นประธานอยู่นั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก แต่ไม่ขอพูดรายละเอียด เพราะไม่เหมาะสม.

"โอ๋-ตู่"ส่งตชด.ดูแลเขาพระวิหารแทนทหาร


เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 18 ก.ค. ที่กองการบินกรมการขนส่งทหารบก(ขส.ทบ.) พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม และผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชน เดินทางไปยังหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 23 (ฉก.กรมทพ.23) อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อกระทำพิธีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.)เข้าไปทดแทน กำลังทหารในพื้นที่เขาพระวิหาร
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวก่อนออกเดินทางว่า ภารกิจที่เดินทางไปวันนี้ เพื่อไปปรับกำลัง และนำเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปทำงานร่วมกับทหารในพื้นที่บริเวณ ที่วางกำลังทหารอยู่ ซึ่งเป็นการดำเนินการแยกกับทางประเทศกัมพูชา คือ ต่างคนต่างทำ ซึ่งทางกัมพูชาก็ทำพิธีปรับกำลังทหารในวันนี้เช่นกัน และในวันนี้ถือโอกาสเดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นๆในพื้นที่

“ผมอยากย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การที่มีความห่วงใยในเรื่องของอธิปไตย มันเป็นหน้าที่ของทหารและกระทรวงกลาโหมโดยตรงอยู่แล้ว เราคิดมากกว่าท่านเยอะ ไม่ต้องเป็นห่วงในการเสียดินแดนอธิปไตย ไม่ได้เกี่ยวกันเลย ขอร้องอย่าได้กลัวเรื่องนั้น เราทำเต็มที่และคิดแล้วว่า ไม่มีเรื่องเสียดินแดนถึงได้ทำ ซึ่งทางทหาร ตระหนักและทราบดี ไม่ต้องห่วงเรื่องการเสียดินแดน ขอใช้คำว่าไม่เสียเปรียบใคร”
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอีกว่า  มีการพูดกันบ่อยครั้งว่า เรื่องของเราน่าจะใช้หนทางของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) เป็นคนดำเนินการ ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางเราได้ใช้อยู่ หมายความว่า ทางเราได้ตั้งคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจดับบิวจีเป็นเจ้าหน้าที่ทำงาน ขึ้นมา 1 ชุด ภายใต้การทำงานของจีบีซีที่ได้มีการพูดคุยกันมาแล้ว 2 ครั้งในเรื่องของการปรับกำลัง  หรือเรียกว่าลูกทำแทนพ่อ ซึ่งตนคิดว่าบรรยากาศ บริเวณเขาพระวิหารดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ท่านห่วงเรื่องอะไรทั้งหลายตนก็ขอขอบคุณ  เราก็นำคำห่วงใยของท่านมาทำ

เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า เราอาจจะเสียดินแดนในการปรับกำลังทหารครั้งนี้  พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า คำว่าอาจจะเสียดินแดน นั้นหมายถึงการพูดขึ้นมาลอยๆ มาถามตนอย่างนี้ ตนไม่ตอบ แต่ยืนยันว่า ไม่มีแน่นอนในการเสียดินแดน  อย่าไปพูดให้เสียความรู้สึกกันเปล่าๆ เมื่อถามต่อว่า แสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ทราบข้อมูลแล้วออกมาพูดทำให้ประชาชนเกิดความสับสน พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า อย่าไปเสริมต่อถ้าฟังตนสัมภาษณ์ อย่าไปคิดอย่างอื่น ที่ทำ คือ การทำให้เห็นกันจริงๆ โปร่งใส

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีประชาชนในพื้นที่ออกมาชุมนุมเพื่อคัดค้าน การปรับกำลังทหาร พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า  ตนได้ข่าวมาเหมือนกัน ถ้าหากเป็นอย่างนี้ก็ต้องมาพูดคุยทำความเข้าใจกัน ว่าไม่มีการเสียดินแดน แต่อย่างใด

ต่อมาเวลา 09.30 น.คณะของรมว.กลาโหม และผบ.ทบ.ได้เดินทางมาถึงหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 โดยมีพล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ต.ชลิต เมฆมุกดา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6 ) และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้การต้อนรับ จากนั้นคณะของรมว.กลาโหมและผบ.ทบ.เข้ารับฟังการบรรยายสรุปจากแม่ทัพภาคที่ 2 กว่า 1 ชั่วโมง

จากนั้นเวลา 11.00 น. พล.อ.อ.สุกำพล ได้เป็นประธานในพิธีการวางกำลังตชด.จำนวน 2 กองร้อยแทนกำลังทหาร โดยพล.อ.อ.สุกำพล กล่าวให้โอวาทตชด.ตอนหนึ่งว่า หลังจากที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำสั่งมาตรการชั่วคราวเมื่อวันที่ 18 ก.ค.54 ให้ไทยและกัมพูชามีการปรับกำลังทหาร ซึ่งอยู่ในเขตทหารชั่วคราวในบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการให้สอดคล้องกับ คำสั่งดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 13ก.ค.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฯ ฮุน เซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้พบปะหารือที่เมืองเสียมราฐและได้ร่วมแถลงข่าวในเรื่องการปรับกำลังทหารใน พื้นที่ ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะเริ่มดำเนินการในวันนี้ ทั้งนี้การปรับกำลังเป็นการปรับกำลังโดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย และฝ่ายไทยก็จะปรับกำลังในช่วงเวลาพร้อมกันกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ซึ่งตนทราบว่าพล.ท.จีระศักดิ์ และผู้บังคับบัญชาทหารทุกระดับได้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายตำรวจมา อย่างต่อเนื่องในการเตรียมการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปประจำการในพื้นที่

“วันนี้พวกท่านถือเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยในการพิทักษ์รักษาอธิปไตยและบูรณภาพ แห่งดินแดนของชาติ ขอท่านเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นอย่างเคร่งครัด และไม่กระทำการใดๆที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ การเข้าไปอยู่ในพื้นที่ ขอให้พวกท่านทุกคนประสานการปฏิบัติกับฝ่ายทหาร รวมทั้งพัฒนาสัมพันธ์กับประชาชนอย่างใกล้ชิด ท่านจะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อเรื่องสวัสดิการและสถานการณ์ความกดดันความ ยากลำบาก รวมทั้งหากมีการยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม ขอให้นึกถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ผมและผู้บังคับบัญชาจะให้การดูแลเอาใจใส่พวกท่านอย่างเต็มกำลังความสามารถ รวมทั้งด้านสวัสดิการและความเป็นรอยู่ต่างๆ โดยจะหมั่นมาเยี่ยมให้กำลังใจ ขอให้ทุกคนมีขวัญและกำลังใจที่ดี” รมว.กลาโหม กล่าว

 หลังจากนั้นพล.อ.อ.สุกำพล ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เรามาทำพิธีให้ตชด.สับเปลี่ยนกำลังกับเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณปราสาทเขา พระวิหาร จะเห็นได้ว่าเรามีการปรับกำลังจริงๆ ซึ่งกำลังตชด.ที่ลงไปมีขวัญกำลังใจที่ดี ส่วนรายละเอียดจำนวนทหารที่ปรับออก ไม่ขอเปิดเผย เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะพูด ส่วนการปรับกำลังทหารทางไทยและกัมพูชาไม่ได้มีการประสานกัน กัมพูชาเพียงบอกว่า เขาจะสับเปลี่ยนกำลังของเขา โดยต่างคนต่างปรับกำลัง เป็นคนละที่กัน ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า  ทางกัมพูชาจะให้ทหารแต่งชุดพลเรือนและตำรวจลงไปในพื้นที่ชายแดนนั้น จากที่เป็นข่าวก็คงต้องไปดูว่า  จริงหรือไม่  ซึ่งการดำเนินการทุกอย่าง ถ้าเป็นลูกผู้ชาย ตกลงกันแบบไหนต้องทำแบบนั้น สำหรับการปรับกำลังขั้นต้นทางฝ่ายไทยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทำงานร่วมกัน นี่คือก้าวที่หนึ่งเริ่มขึ้นแล้วสำหรับการปรับกำลังและต่อไปคงจะมีการปรับ ขึ้นตามลำดับ แล้วคงจะแจ้งให้สื่อได้ทราบต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นการถอนทหารออกจากพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวตอบแทนรมว.กลาโหมว่า "ทำไม อยากให้ถอนให้เห็นหรืออย่างไร และทำไมต้องถอนให้เห็นล่ะ" 

นายกฯกดปุ่มโอนเงินกองทุนสตรี31ก.ค.นี้


เมื่อวันที่ 18 ก.ค. นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลจะจัดงาน"พลังสตรี พลังขับเคลื่อนประเทศไทย" ที่ฮอลล์ 9 อาคารอิมแพ็ค เมืองทองธานี ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เพื่อเปิดตัวกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และกดปุ่มโอนเงินไปยังจังหวัดต่างๆพร้อมกันทั่วประเทศ โดยภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การเสวนาขับเคลื่อนการพัฒนาบทบาทสตรี การนำเสนอวีดิทัศน์ "บทบาทที่หลากหลายคือรากฐานการพัฒนา" ซึ่งจะถ่ายทอดเรื่องราวของบทบาทสตรีที่มีส่วนช่วยเติมเต็มและขับเคลื่อน สังคม และโอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาตนเอง

นางนลินี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะมีการจัดแสดงนิทรรศการ ประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "เพราะแม่คือต้นแบบ" นิทรรศการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โซนที่ 1 ความหวังในความมืด กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของกองทุนฯ โซนที่ 2 อุโมงค์แห่งความหวัง กล่าวถึงแนวทางในการบริหารกองทุนฯ โซนที่ 3 ยุทธศาสตร์เพื่อความสำเร็จ กล่าวถึงยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของกองทุนฯ
โซนที่ 4 “เลดี้ ฮอลล์ ออฟ เฟม” ที่กล่าวถึงบทบาทสตรีไทยในภูมิภาคและโลก เช่น นางปราณี เผอิญโชค นักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก คณะนักวอลเล่ย์บอลสาวทีมชาติไทย น.ส.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิทยาศาสตร์ดาวรุ่ง น.ส.กฤษณา ไกรสินธุ์ ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา ประธานมูลนิธิศูนย์ศึกษาที่อยู่อาศัยแห่งเอเชียในประเทศไทย และโซนที่ 5 รากแก้วแห่งความยั่งยืน นำเสนอบทบาทกองทุนที่จะแก้ไขปัญหาให้แก่สตรีที่ขาดโอกาส เช่น สตรีพิการ และผู้สูงอายุ
สำหรับไฮไลท์ของการจัดงานคือการกดปุ่มโอนเงินให้แก่กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ทั่วประเทศ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานพิธีดังกล่าว รวมทั้งจะเชิญคณะทูตสตรีจากประเทศต่างๆเข้าร่วมงาน ทั้งนี้ในช่วงพิธีเปิดจะมีการขับร้องเพลง "ผู้หญิงแกร่ง" โดยนิโคล เทริโอ อิน บูโดกัน และตุ๊ก วิยะดา ที่กล่าวถึงความมุ่งมั่นและความเข้มแข็งของผู้หญิงที่ไม่ย่อท้อในชีวิตด้วย

“วรเจตน์” เล็งร่างรธน.ฉบับนิติราษฏร์


เมื่อวันที่ 18 ก.ค.55 นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะ แกนนำคณะนิติราษฏร์ กล่าวถึงกรณีไม่ได้รับการตอบสนองจากภาคการเมือง ที่จะให้ลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าสิ่งที่เสนอไปเป็นข้อเสนอทางวิชาการที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง โดยเฉพาะข้อเสนอให้ปรับโครงสร้างศาลรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับภาคประชาชน และมีการถ่วงดุลนั้น ไม่ใช่บอกให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญอย่างที่หลายคนเข้าใจ และยังคงยืนยันว่ารัฐสภาสามารถลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่ล้มล้างการปกครอง และไม่ได้สั่งห้ามดำเนินการ
นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้ ดังนั้นคำวินิจฉัยที่ออกมาจึงเป็นลักษณะการให้คำแนะนำ อย่างไรก็ตามคณะนิติราษฏร์ มีแนวคิดที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนิติราษฏร์ หวังจะให้เป็นรัฐธรรมนูญต้นแบบที่มีความเหมาะสมกับสังคมไทย เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้นำไปใช้เป็นแนวคิดในการปรับแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเนื้อหายังคงความเป็นราชอาณาจักรไทย และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งมีความเป็นนิติรัฐมากขึ้นด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมความคิดของสมาชิกในคณะนิติราษฏร์

อดีตครูโคราชเฮง!คว้ารางวัลที่1 ลุ้นโชคเดลินิวส์


หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ร่วมกับพันธมิตร ได้จัดงานแถลงข่าวและจับชิ้นส่วนทายผลที่ผู้อ่านเดลินิวส์ ได้ส่งมาร่วมสนุกในกิจกรรม “ลุ้น แชมป์ยูโร 2012 ลุ้นโชคกับเดลินิวส์” เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ถนนวิภาวดีรังสิต
โดยมี ดร.ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ร่วมกับตัวแทนจากบริษัทพันธมิตร ประกอบด้วย นายกิตติพงษ์ สิปิยารักษ์ ประธานกรรมการปฏิบัติการ บริษัท อาซาตซู จำกัด ผู้แทนของ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด นายชวลิต พันธ์ทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายอารักษ์ พรประภา กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี ฮอนด้า จำกัด นายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) นายสมชัย สุทธิกุลพานิช ประธานคณะที่ปรึกษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายอุกฤษณ์ สุคโต ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ไทย เพรสทีจ โอโต เซลส์ จำกัด และนายสมใจ กุมภิโร ผู้อำนวยการโพโลแซทคอม บริษัท โพลีเทเลมีเดีย จำกัด
พร้อมทั้งการได้รับเกียรติจาก นายอิคนาซิโอ ซากัส เอกอัคราชทูตแห่งราชอาณาจักรสเปน ประจำประเทศไทย นายสมบัติ คุรุพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.เสกสรร นาควงศ์ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล รองประธานคณะกรรมาธิการท่องเที่ยวและกีฬา สภาผู้แทนราษฎร นายธนา ไชยประสิทธิ์ กรรมการบริหารคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย นายองอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยาน และจับชิ้นส่วนทายผลเพื่อมอบโชคให้กับผู้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่ส่งเข้าร่วมลุ้นโชคใหญ่ในกิจกรรม “ลุ้นแชมป์ยูโร 2012 ลุ้นโชคกับเดลินิวส์”  ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เดลินิวส์ได้จัดอย่างต่อเนื่องมา เพื่อเป็นการสมนาคุณให้แก่ผู้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้ลุ้นโชคจากผลการ แข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ที่ประเทศโปแลนด์ และประเทศยูเครน เป็นเจ้าภาพช่วงที่ผ่านมา โดยมีศิลปิน ดารานักร้อง นักแสดงจากค่ายต่าง ๆ สร้างสีสันให้กับพิธีการจับชิ้นส่วนในครั้งนี้อย่างคับคั่ง
จากการที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้เปิดรับชิ้นส่วนทายผลที่ผู้อ่านได้ตัดจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ แล้วส่งเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555 ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2555 โดยการทายผลว่าทีมชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2012 คือทีมชาติใดนั้น ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากผู้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์อย่างดียิ่ง และเกินความคาดหมาย โดยมีจำนวนชิ้นส่วนทายผลที่ส่งเข้าร่วมกิจกรรมมีจำนวนมากถึงประมาณ 25 ล้านใบ และสามารถแยกเป็นชิ้นส่วนที่ผู้อ่านส่งและทายถูกต้องว่า ทีมชาติสเปน จะเป็นทีมชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2012 จำนวนประมาณ 12 ล้านใบ และชิ้นส่วนที่ทายไม่ถูกต้องอีกจำนวนประมาณ 13 ล้านใบ
สำหรับรางวัลต่าง ๆ ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 ทองคำแท่งหนัก 100 บาท สนับสนุนโดยปตท. มูลค่า 2,410,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รวมมูลค่า 2,410,00 0 บาท รางวัลที่ 2 รถยนต์ Mitsubishi รุ่น TRITON Plus Double Cab มูลค่ารางวัลละ 776,000 บาท จำนวน 2 รางวัล รวมมูลค่า 1,552,000 บาท รางวัลที่ 3 รถยนต์ Mitsubishi รุ่น TRITON Plus Mega Cab มูลค่ารางวัลละ 689,000 บาท จำนวน 5 รางวัล รวมมูลค่า 3,445,000 บาท รางวัลที่ 4 รถยนต์ Mitsubishi รุ่น MIRAGE มูลค่ารางวัลละ 506,000 บาท จำนวน 10 รางวัล รวมมูลค่า 5,060,000 บาท รางวัลที่ 5 ทองคำแท่งหนัก 10 บาท สนับสนุนโดยบริษัท เอ พี ฮอนด้า จำกัด มูลค่ารางวัลละ 241,000 บาท จำนวน 10 รางวัล รวมม ูลค่า 2,410,000 บาท รางวัลที่ 6 ทองคำแท่งหนัก 5 บาท สนับสนุนโดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)  มูลค่ารางวัลละ 120,500 บาท จำนวน 23 รางวัล รวมมูลค่า 2,771,500 บาท รางวัลที่ 7 รถจักรยานยนต์ Honda รุ่น CBR 250R มูลค่ารางวัลละ 101,000 บาท จำนวน 3 รางวัล รวมมูลค่า 303,000 บาท
รางวัลที่ 8 รถจักรยานยนต์ Honda รุ่น Click 125i Forward มูลค่ารางวัลละ 51,500 บาท  จำนวน 22 รางวัล รวมมู ลค่า 1,133,000 บาท รางวัลที่ 9 รถจักรยานยนต์ Honda รุ่น Spacy i มูลค่ารางวัลละ 41,300 บาท จำนวน 30 รางวัล รวมมูลค่า 1,239,000 บาท รางวัลที่ 10 สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท สนับสนุนโดย ปตท. มูลค่ารางวัลละ 24,500 บาท  จำนวน 24 รางวัล รวมมูลค่า 588,000 บาท รางวัลที่ 11 โทรศัพท์มือถือ iPhone 4S สนับสนุนโดย AIS มูลค่ารางวัลละ 22,450 บาท จำนวน 50 รางวัล รวมมูลค่า 1,122,500 บาท รางวัลที่ 12 โทรศัพท์มือถือ BlackBerry Bold 9900 สนับสนุนโดย AIS มูลค่ารางวัลละ 19 ,900 บาท จำนวน 50 รางวัล รวมมูลค่า 995,000 บาท รางวัลที่ 13 โทรศัพท์มือถือ BlackBerry Curve 9360 สนับสนุนโดย AIS มูลค่ารางวัลละ 10,900 บาท จำนวน 100 รางวัล รวมมูลค่า 1,090,000 บาท รางวัลที่ 14 กล่องรับจานดาวเทียม PSI มูลค่ารางวัลละ 4,900 บาท จำนวน 100 รางวัล รวมมูลค่า 490,000 บาท
นอกจากรางวัลหลักทั้ง 14 รางวัลที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีรางวัลพิเศษ สำหรับผู้ที่ทายถูกต้องแต่พลาดรางวัลหลักทั้ง 14 อันดับ ให้ได้ลุ้นกันรอบ 2 โดยบริษัท ไทย เพรสทีจ โอโต เซลส์ จำกัด ได้สนับสนุนให้ได้ลุ้น อีก 2 รางวัล ได้แก่  รางวัลพิเศษที่ 1  รถยนต์ FIAT 500 รุ่น SPORT PREMIUM มูลค่า 1,850,000 บาท จำนวน 1 รางวัล และ รางวัลพิเศษที่ 2 รถยนต์ FIAT 500 รุ่น LOUNGE PREMIUM มูลค่า 1,850,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รวมทั้ง รางวัลหลัก จำนวน 430 รางวัล รวมมูลค่า 24,609,000 บาท และ รางวัลพิเศษ จำนวน 2 รางวัล รวมมูลค่า 3,700,000 บาท ในการจัดกิจกรรม “ลุ้นแชมป์ยูโร 2012 ลุ้นโชคกับเดลินิวส์” ครั้งนี้ รวมแล้วมีจำนวนรางวัลทั้งสิ้น 432 รางวัล รวมมูลค่าทั้งหมด 28,309,000 บาททีเดียว และ จะมีการประกาศผลผู้โชคดีทั้งหมดทุกรางวัล ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ 24 กรกฎาคม นี้
ผลการจับชิ้นส่วนผู้โชคดี ที่ได้รับ รางวัลที่ 1 ทองคำแท่งหนัก 100 บาท มูลค่า 2,410,000 บาท ได้แก่ น.ส.สถาพร ธัญญขันธ์ อยู่บ้านเลขที่ 196 ถนนพายัพทิศ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา , รางวัลที่ 2 รถยนต์ Mitsubishi รุ่น TRITON Plus Double Cab มูลค่ารางวัลละ 776,000 บาท จำนวน 2 รางวัล รวมมูลค่า 1,552,000 ได้แก่ คุณเกษธิปดี อุทุม (กทม.) คุณยุวภา เต๊ะอั้น (นนทบุรี), รางวัลที่ 3 รถยนต์ Mitsubishi รุ่น TRITON Plus Mega Cab มูลค่ารางวัลละ 689,000 บาท จำนวน 5 รางวัล รวมมูลค่า 3,445,000 บาท ผู้โชคดีได้แก่ คุณชวลัย ลมาทวี (สมุทรปราการ), คุณเดชพล อภิชาตผดุงกิจ (กทม.), คุณพิศวง กันจุไร (กทม.), คุณวรรณรัก ยิ้มฟุ้งเฟื่อง (นนทบุรี) และคุณสุชาติ ทองโอ (ตรัง)
ส่วน รางวัลพิเศษที่ 1 รถยนต์ FIAT 500 รุ่น SPORT PREMIUM มูลค่า 1,850,000 บาท ได้แก่ คุณจำเนียร พันธุ์โกศล (กทม.), รางวัลพิเศษที่ 2 รถยนต์ FIAT 500 รุ่น LOUNGE PREMIUM มูลค่า 1,850,000 บาท ได้แก่ คุณณภสินธุ์ ปานขวัญ (ชัยนาท)
สำหรับรายชื่อผู้โชคดี ที่ได้รับรางวัลทั้งหมด จะประกาศในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 24 ก.ค. นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการจับรางวัลคูปองทายผลการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ผลปรากฏว่า รางวัลที่ 1 ทองคำแท่งหนัก 100 บาท ตกเป็นของน.ส.สถาพร ธัญญขันธ์ อายุ 63 ปี อดีตข้าราชการครูบำนาญ อยู่บ้านเลขที่ 196 ถนนพายัพทิศ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปพบเป็นบ้าน 2 ชั้น มีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ในชุมชนทุ่งสว่าง เขตเทศบาลนครนครราชสีมา ใกล้กับโรงเรียนวัดทุ่งสว่าง มีนายยวญ จันทบุรี ผอ.ร.ร.วัดทุ่งสว่าง พร้อมเพื่อนครูและเด็กนักเรียนมาร่วมแสดงความยินดี
น.ส.สถาพร ผู้โชคดีเปิดเผยที่มาของการได้รับโชคใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มเบิกบานว่า เป็นแฟนพันธุ์แท้ของเดลินิวส์มานานกว่า 30 ปี เป็นสมาชิกรับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์มาอ่านทุกวัน พอถึงช่วงของการร่วมสนุกทายผลการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ก็ตัดคูปองทายผลส่งไปร่วมชิงรางวัล โดยตัดทุกฉบับที่มีอยู่ร่วม ๆ 60 ใบ ตอนแรกส่งทายผลไปก่อนรอบแรกในช่วง 8 ทีมสุดท้ายประมาณ 30 ใบ และส่งรอบที่ 2 อีก 30 ใบในช่วง 4 ทีมสุดท้าย โดยทายว่าทีมชาติสเปนจะคว้าแชมป์ประมาณ 10 ใบ
ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งผลการจับรางวัลว่าตนได้รับรางวัลใหญ่ รู้สึกตกใจมากผสมกับความดีใจ คิดว่ามีคนโทรศัพท์มาล้อเล่นหรือลอกลวง แทบไม่เชื่อตัวเองและไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับโชคใหญ่ ก่อนหน้านี้ 3 วัน ได้ไปกราบสักการะพระพุทธรูปหลวงพ่อเขียวที่วัดทุ่งสว่าง ซึ่งอยู่ใกล้ๆบ้าน และบนบานว่า ขอให้ได้โชคใหญ่ แล้วจะสร้างศาลาคลุมองค์พระพุทธรูปถวายให้ วันถัดมาก็มีจิ้งจกหล่นใส่ศีรษะ ก็อธิษฐานว่าขอให้โชคดี จนกระทั่งได้รับรางวัลใหญ่อย่างคาดไม่ถึง หลังจากได้รางวัลแล้วตั้งใจว่าจะนำทองคำแท่งส่วนหนึ่งไปขาย เพื่อนำเงินมาทำบุญสร้างศาลาคลุมพระพุทธรูปให้กับทางวัด รวมทั้งบริจาคเงินส่วนหนึ่งให้กับทางโรงเรียนวัดทุ่งสว่าง ซึ่งตนเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มานานกว่า 35 ปี เพราะครองชีวิตโสดและผูกพันอยู่กับโรงเรียนและวัดบ้านเกิดมาโดยตลอด และเป็นคนชอบทำบุญทำกุศลอยู่แล้ว เชื่อว่าบุญกุศลที่สะสมมาตลอดชีวิต ช่วยส่งผลทำให้ตนได้รับโชคใหญ่ในครั้งนี้.

เด้งหน.อุทยานฯสิรินาถเซ่นบุกรุกที่ดินภูเก็ต


จากกรณีนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ (หาดในยาง) อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อติดตามปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ สิรินาถ โดยเบื้องต้นพบรีสอร์ตและโรงแรมหรูจำนวน 10 แห่ง มูลค่ารวมกันนับหมื่นล้านบาท  บุกรุกก่อสร้างในพื้นที่อุทยานฯ สิรินาถ ซึ่งนายดำรงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการบุกรุก ที่ดินอุทยานฯ สิรินาถ โดยมีนายสุนทร วัชรดิลกกุล ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน พบว่าโรงแรม ภูเก็ต อคาเดีย ในทอน บีช  ต.สาคู อ.ถลาง มีที่มาของการออกเอกสารสิทธิ์ไม่ชัดเจนและรุกล้ำเข้าในเขตอุทยานฯ สิรินาถ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่แจ้งความดำเนินคดีไว้เป็นแห่งแรกนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ผู้สี่อข่าวรายงานว่า นายดำรงค์ ได้มีคำสั่งย้ายนายจิระพล อ่ำขำ หัวหน้าอุทยานฯ สิรินาถ ไปช่วยปฎิบัติราชการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง จ.พังงา โดยให้นายโอภาส นวลมังสอ หัวหน้าอุทยานฯเขาลำปี สลับมาทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานฯ สิรินาถแทน

ทั้งนี้นายจิระพล ให้สัมภาษณ์ว่า  ไม่ทราบสาเหตุของการโยกย้ายสลับตำแหน่งครั้งนี้  คงแล้วแต่ทางผู้บังคับบัญชาจะเห็นเหมาะสม ที่ผ่านมาการทำงานของตนไม่ได้มีความอึดอัดใจอะไร  ทำตามหน้าที่ ถูกผิดว่าก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ในส่วนของโรงแรมภูเก็ต อคาเดียฯ ก็ได้เข้าแจ้งความไว้แล้ว หลังจากนี้ให้เป็นเรื่องของคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการบุกรุกที่ดิน อุทยานฯ สิรินาถ และหัวหน้าอุทยานฯ สิรินาถคนใหม่ต่อไป

แหล่งข่าวกรมอุทยานฯ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ย้ายนายจิระพลสลับตำแหน่งกับนายโอภาสนั้น เนื่องจากนายโอภาสถนัดงานด้านการป้องกัน ปราบปรามและมีความแม่นยำในข้อกฎหมายเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินอุทยานฯ มากกว่า จึงให้เข้ามาดำเนินการกรณีการบุกรุกที่ดินอุทยานฯ สิรินาถ ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายทุนรายใหญ่ทั้งชาวไทยและต่างชาติแทน ที่สำคัญยังมีนายทุนของพรรคการเมืองในซีกฝ่ายค้านเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ โรงแรมอย่างน้อย  2 ใน 10 แห่ง ที่กรมอุทยานฯ กำลังตรวจสอบนี้ด้วย  จึงต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างรัดกุม

ตำรวจภาค5 รวบยาบ้า840,000 เม็ด


เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 18 ก.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา ผบช.ปส.และชุดสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาค้ายาบ้า 2 ราย นายวันชัย ใจซื่อสกุลดี อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 232 ม.14 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย และนายธนากร ศิริชัยธนากร อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 ม.14 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ได้ที่บริเวณด่านตรวจนางฟ้า บนถนนสายงาว - ร้องกวาง ม.6 ต.ทุ่งน้าว อ.สอง จ.แพร่   พร้อมของกลางยาบ้า 420 ก้อน ก้อนละ 2,000 เม็ด รวมยาบ้า 8.4 แสนเม็ด ยาไอซ์ น้ำหนัก 2 กก.รถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา ทะเบียน บ-2315 กทม.(ป้ายแดง) และโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ – เชียงราย ของพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบการจับกุมยาบ้ากว่า 1 ล้านเม็ด พร้อมวิสามัญคนร้าย 7คน  พร้อมกับกำชับให้มีการตั้งด่านตรวจค้นอย่างเข้มงวด จนเมื่อวันที่ 17 ก.ค.เวลา 20.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สอง ได้ตั้งด่านตรวจนางฟ้า พบรถกระบะต้องสงสัยดังกล่าวมีนายวันชัย เป็นผู้ขับ และมีนายธนากร เป็นผู้โดยสารมาด้วย จึงได้เข้าทำการตรวจค้น พบยาบ้าบรรจุอยู่ในกระเป๋าจำนวนกว่า 8.4 แสนเม็ด และยาไอซ์ซุกซ่อนอยู่ภายในรถคันดังกล่าวน้ำหนักกว่า 2 กก. เมื่อสอบสวนผู้ต้องหาให้การว่า ได้เดินทางไปรับของกลางมาจาก อ.แม่สาย เพื่อที่จะนำส่งต่อไปที่ กทม.โดยเบื้องต้นพบว่า กลุ่มค้ายาครั้งนี้เป็นเครือข่ายเดียวกับที่จับได้เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ทั้งนี้ชุดสืบสวนสอบสวนจะทำการสอบปากคำผู้ต้องหา เพื่อขยายผลการจับกุมต่อไป

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources