วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การรักษาไซนัสอักเสบเฉียบพลัน


        
          - ให้กินน้ำเพียงพอ อย่าให้จมูกแห้ง

          - ยาแก้ปวด

          - ยาลดน้ำมูก

          - ให้ยาแก้อักเสบ – อะม็อกซีซิลลิน (amoxicilin) (ตามน้ำหนัก) หรือโคไตรม็อกซาโซล (co - trimoxazole) 10 วัน ถ้าแพ้เพนิซิลลิน (penicillin) หรือซัลฟา (sulfa) ก็ให้มาโครลิด (macrolides) หรือ  2nd gen. เซฟาโลสปอริน (cephalosporin)

          - ถ้าไม่ได้ผลให้กินยาต่อไปถึง 14 วัน

          - ถ้าไม่ได้ผลให้เปลี่ยนยาเป็นอะม็อกซีซิลลิน / คลาวูลาเนต (Clavulanate) 2nd gen. เซฟาโลสปอริน , มาโครลิด ตัวที่มีการควบคุมเชื้อโรคที่กว้างกว่าหรือให้ควิโนโลน (quinolones)

          การรักษาไซนัสอักเสบเรื้อรัง
          - ให้ทานน้ำเพียงพอ

          - ยาแก้ปวด

          - ยาลดน้ำมูก
 
          - 2nd gen. แอนติฮิสตามีน (antihistamine) ถ้าคิดว่ามีโรคภูมิแพ้ด้วย

          - ให้คอร์ติโคสตีรอยด์ (corticosteroid)

มือปืนดักยิงนายกอบต.หนองน้ำส้มกลางสายฝน


วันนี้( 6 ก.ค. ) พล.ต.ต.อนุรักษ์ แตงเกษม ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา  ร.ต.อ.พุฒิพงศ์ อินธาระ พงส.(สบ 1) สภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันที่บ้านเลขที่ 7/5 หมู่ 6 ต.หนองน้ำส้ม อ.อุทัย รีบไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.ธีระยุทธ์ ทองสาริ รองผกก.สส. พ.ต.ท.จักราวุธ คล้ายนิล รองผกก.ป.  พบว่าที่บริเวณรั้วบ้านมีรอยกระสุนปืน 2 นัด ที่หน้าบ้านพบกองเลือดขนาดใหญ่ มีรอยเลือดหยดเป็นทางเข้าไปภายในบ้าน  และหัวกระสุนขนาด.38 ตกอยู่ 1 หัว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนผู้บาดเจ็บทราบชื่อนายเสน่ห์ ผูกชอบ อายุ 47 ปี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองน้ำส้ม ญาติได้ช่วยเหลือนำส่งรพ.พระนครศรีอยุธยา อาการสาหัส มีบ้านแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่บริเวณลำตัวและตามร่างกายรวม 6 นัด  แพทย์ต้องเร่งช่วยเหลือนำเข้าห้องผ่าตัดเพื่อนำเอาหัวกระสุนออก

สอบสวนนางต้อย อินคำ อายุ 39 ปี ภรรยานายเสน่ห์ กล่าวว่าก่อนเกิดเหตุกำลังทำอาหารอยู่ในครัวได้ยินเสียงรถยนต์กระบะของสามี ขับเข้ามาจอดในโรงจอดรถ จากนั้นได้ยินปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัด จึงรีบวิ่งออกมาดูที่หน้าบ้านพบนายเสน่ห์ล้มฟุบลงอยู่ข้างรถ ขณะที่คนร้ายอยู่ด้านนอก และเห็นคนร้ายใช้มือลอดรั้วจ่อยิงซ้ำสามีอีกหลายนัดก่อนที่จะวิ่งขึ้นรถ จยย.ที่ติดเครื่องรออยู่หลบหนีไป สามีของตนเองเพิ่งจะเป็นนายกอบต.หนองน้ำส้มได้เพียงปีเดียว  ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครหรือขัดแย้งกับใคร ยังไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่าทำไมคนร้ายถึงต้องมาลงมือยิงด้วย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะดักรอนายเสน่ห์อยู่ที่บริเวณริมรั้วบ้าน จังหวะที่นายเสน่ห์จอดรถยนต์กระบะลงจากรถซึ่งติดกับรั้วบ้าน คนร้ายจึงได้กระหน่ำยิงใส่นายเสน่ห์ โดยตั้งประเด็นสังหารไว้สามประเด็น คือเรื่องธุรกิจถมดิน  การเลือกตั้งที่ผ่านมา และความขัดแย้งในหน่วยงาน.

คุกคนละ10 ปี 2 โจ๋ซิ่งจยย.ชิงทองเหยื่อสาว


วันนี้(6 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีชิงทรัพย์ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายอรรถพล หรือเทิง เปี่ยมประยูร อายุ 23 ปี และนายณัฐวุฒิ หรือเจี๋ย  ทองห่อ อายุ 26 ปี ทั้งสองเป็นชาวกรุงเทพมหานคร ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 -  2 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำ ผิด  ฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 54 เวลา 05.30 น. ขณะที่ นางปราณีย์  เวชสุวรรณ ผู้เสียหายเดินออกจากบ้านพักจะไปทำงาน ภายใน ซอยบ้านญวน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต จำเลยที่ 1 ได้ขี่รถ จยย. ทะเบียน ฬงฬ 346   กรุงเทพมหานคร โดยมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้าย ขับตามผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยที่ 2 ลงจากรถตรงเข้ากระชากสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง พร้อมพระเลี่ยมทอง 1 องค์ รวมมูลค่า 13,000 บาท  แต่ผู้เสียหายขัดขืน ใช้มือจับสร้อยไว้จำเลยที่ 2 จึงใช้มือบีบคอและผลักผู้เสียหายศีรษะกระแทกพื้นก่อนจะพากันหลบหนีไป และนำสร้อยคอไปจำนำได้เงิน 11,000 บาทมาแบ่งกัน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สามเสนติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองได้ พร้อมให้การรับสารภาพ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง,340 ตรี ประกอบมาตรา  83 จำคุกคนละ 10 ปี  และให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 อีก 1 ใน 3  เป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน เนื่องจากจำเลยที่ 2 กลับมากระทำผิดอีก หลังจากพ้นโทษคดีหลบหนีการควบคุมตัวตัวของศาลจังหวัดปราจีนบุรีภายในระยะ เวลา  5 ปี   ซึ่งคำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 5 ปี จำเลยที่ 2 ไว้ 6 ปี 8 เดือน .

ไต่สวนพยานโจทก์คดีหมิ่นประมาทนัดแรก “อภิสิทธิ์” ยันไม่เคยหนีทหาร


วันนี้(6 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  ศาลนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ในคดี หมายเลขดำ อ.1008/2553 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.และอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ 332

กรณีเมื่อวันที่ 29 ม.ค.-15 ก.พ. 53 นายจตุพร จำเลยได้กล่าวปราศรัยด้วยเครื่องกระจายเสียงต่อหน้าประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดง และประชาชนที่รับฟังและชมโทรทัศน์ช่องพีเพิล แชนเนล ที่มีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ โดยกล่าวหาโจทก์ว่าหนีทหาร  ไม่ได้ผ่านการเกณฑ์ทหาร อีกทั้งยังร่วมกับโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าใช้เอกสารเท็จในการเข้ารับ ราชการ นอกจากนี้จำเลยยังกล่าวหาโจทก์ประชุมร่วมกับนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ และพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผบ.ทบ.วางแผนล้อมปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง โดยจำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์  ใส่ร้ายโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย  เสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง

โดยนายอภิสิทธิ์ ได้ขึ้นเบิกความต่อศาลสรุปว่า จำเลยได้กล่าวปราศรัยบนเวทีของคนเสื้อแดง อ้างว่าประชาชนยังสงสัยคลิปเสียงการสั่งฆ่าประชาชน เมื่อเหตุการณ์เดือนเม.ย. 52 โดยกล่าวหาว่าตนได้ประชุมร่วมกับ นายสุเทพ และพล.อ.ประยุทธ เพื่อวางแผนสร้างสถานการณ์ ให้เห็นว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ล้อมปราบคนเสื้อแดง และยังปราศรัยอีกว่าโจทก์มีจิตใจโหดเหี้ยม จิตใจทำด้วยอะไร จึงสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง โจทก์ไม่เคยมีการประชุมเพื่อล้อมปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง และไม่เคยสร้างสถานการณ์ใดๆ ที่นำไปสู่ความวุ่นวาย มีเพียงพวกจำเลยและกลุ่มคนเสื้อแดงที่สร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย การปราศรัยดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ นอกจากนี้ คลิปเสียงที่อ้างว่าโจทก์สั่งฆ่าคนเสื้อแดงนั้น ได้รับการพิสูจน์จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้วว่า เป็นการตัดต่อคลิปเสียงที่มีการตัดต่อจากคำปราศรัยของตนเองในโอกาสต่างๆ เพื่อใช้ปลุกระดมการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งคดีการตัดต่อคลิปเสียงนั้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยอีกคดีและศาลอาญาได้มีคำสั่งรับฟ้องไว้แล้ว
               
นอกจากนี้ จำเลยยังปราศรัยในการชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า โจทก์หลบหนีการเกณฑ์ทหาร ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากปี 2530 โจทก์ได้ทำเรื่องผ่อนผันการเกณฑ์ทหารเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ และหลังจบการศึกษาก็ได้เดินทางมารับราชการที่โรงเรียนนายร้อยพระจุล จอมเกล้าฯ ติดยศร้อยตรี โดยได้เข้ารับการฝึกทหารเหมือนนักเรียนนายร้อยทุกประการ และไม่ได้ใช้เอกสารเท็จในการสมัครรับราชการทหาร เนื่องจากที่ผ่านมาทางโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ และกระทรวงกลาโหมไม่เคยมีการเรียกสอบสวนหรือดำเนินคดีในกรณีดังกล่าว
               
อย่างไรก็ตาม ก่อนเบิกความ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีบุคคลอื่นออกมากดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จนนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขอถอนตัวจากองค์คณะพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ว่า  เรื่องนี้ถือเป็นความคิดเห็นขององค์คณะตุลาการที่มีความเห็นตามกฏหมาย แต่เชื่อว่ารัฐบาลยังคงเดินหน้ากระบวนการล้มล้างความผิด แต่อยู่ที่ว่าจะเลือกใช้รูปแบบใด ทั้งนี้ รัฐบาลควรเห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลทบทวนนโยบายหลายเรื่อง และควรปรึกษากับภาคเอกชน เพื่อติดตามผลกระทบและแก้วิกฤตเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลมองข้ามผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลเอง ทั้งประชานิยม ,การขึ้นค่าแรง, แนวคิดการกู้เงินเพิ่ม ซึ่งถือว่าไม่มีประโยชน์ในการรับมือวิกฤตยุโรป ทำให้ประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้น
               
ด้านนายจตุพร กล่าวถึงกรณีคลิปเสียงของประธานสภาฯ ว่า คลิปเสียงดังกล่าวมีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถสั่งการประธานสภาได้ ประธานสภาฯ เป็นผู้ตัดสินใจเองได้ ส่วนนายจรัญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถอนตัวออกจากองค์คณะนั้น ไม่ได้เป็นเกมที่ผู้ถูกร้องทำการบีบบังคับให้ถอนตัวแต่อย่างใด

ปลัดศธ.แจ้งจับกล่าวหาเอี่ยวทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์


วันนี้ ( 6 ก.ค.)  ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสนิท ปัจจายา ทนายความ รับมอบอำนาจจาก น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. ให้ดำเนินคดีกับนายธีรพัฒน์ คำคูบอน รองประธานสมาพันธ์เครือข่ายอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย นายมงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.) และนายทนันชัย ตรังคานุกูลกิจ ประธานคณะกรรมการวิทยาลัยอาชีพบ้านผือ ในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
หลังจากที่บุคคลดังกล่าวกล่าวพาดพิงถึง น.ส.ศศิธารา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ตาม โครงการไทยเข้มแข็งของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มูลค่า 894 ล้านบาท ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ น.ส.ศศิธาราได้รับความเสียหาย เบื้องต้น พ.ต.อ.ประสพโชค รับเรื่องและสั่งการให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ต่อไป

แจ้งจับครูประจานลูกเป็นกะเทยจนคิดสั้นฆ่าตัวตาย


วันนีั้ ( 6 ก.ค.) ที่กองปราบปราม นางพรทิพา  อายุ 40 ปี พิธีกรสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีอาจารย์ใหญ่และอาจารย์ประจำชั้น ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.สามพราน จ.นครปฐม รวม 3 คน ประจานน้องเจินเจิน (นามสมมติ) ลูกชาย อายุ 14 ปี จนคิดสั้นกินยาพาราเซตามอลฆ่าตัวตาย แต่แพทย์ โรงพยาบาลวิชัยเวช  อ.อ้อมน้อย จ.สมุทรสาคร ทำการล้างท้องช่วยชีวิตไว้ได้
นางพรทิพา  กล่าวว่า ตนมีลูกทั้งหมด 3 คน โดย น้องเจินเจิน (นามสมมติ)  อายุ 14 ปี  คนกลาง   เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 ของโรงเรียนดังกล่าว  ทั้งนี้ตนได้หย่าร้างกับสามีที่รับราชการเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรตั้งแต่น้อง เจินเจินเรียนอยู่อนุบาล 2 แต่ก็ช่วยกันผลัดกันดูแลลูก ซึ่งตอนนี้ลูกทั้งสามคนพักอยู่กับพี่เลี้ยง ใน อ.อ้อมน้อย จ.สมุทรสาคร  ส่วนตนพักอยู่ จ.นนทบุรี
ทั้งนี้น้องเจินเจิน มีลักษณะตุ้งดิ้งเหมือนผู้หญิงตั้งแต่ยังเด็ก ชอบเอากระโปรงของตนมาใส่ ซึ่งตนก็ไม่เคยว่าอะไร กระทั่งเขาโตขึ้นก็ยังตุ้งติ้ง แต่ไม่กี่วันก่อนลูกโทรมาบอกว่าจะย้ายโรงเรียน และไม่อยากไปเรียนแล้ว เพราะถูกครูประจำชั้น ซึ่ง เป็นผู้หญิงด่าและประจานหน้าห้องว่าเป็นกะเทย หลังจับได้ว่าลูกแอบนำเสื้อซับในผู้หญิงไปใส่  นอกจากนี้ยังถูกครูผู้หญิงอีกคนที่เคยเป็นครูประจำชั้นตั้งแต่ ป.6 ตามมาด่าว่าอีกด้วย
ต่อมาเมื่อเช้าวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา  ลูกได้อาบน้ำแต่งชุดนักเรียนแล้วคิดสั้นกินยาพาราเซตามอล 1 กำมือประมาณ 20 กว่าเม็ด นอนแน่นิ่งในบ้านพัก โชคดีที่แม่บ้านมาเห็นจึงนำไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ทำการล้างท้องช่วยชีวิตไว้ได้ทัน อย่างไรก็ตามหลังทราบข่าวว่าลูกกินยาฆ่าตัวตาย ครูใหญ่และครูประจำชั้นก็ไม่เคยมาเยี่ยม ไม่โทรศัพท์มาถามอาการ ทั้งนี้จะเอาเรื่องครูให้ถึงที่สุด เพราะไม่อยากให้เขาไปทำกับลูกคนอื่นอีก
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า เบื้องต้นได้ให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.ดำเนินการสอบปากคำ  นางพรทิพา ก่อนประสาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเข้าไปตรวจสอบเรื่องจริยธรรมและจรรยาบรรณของอาจารย์ทั้ง3 ราย ส่วนจะเข้าข่ายผิดกฏหมายข้อไหนบ้างขอเวลาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสักระยะ

ฆ่าหมกส้วมสาวฟาร์มไก่ตู้ทองเคลื่อนที่


วันนี้ (6 ก.ค.)   พล.ต.ต.จำนงค์  รัตนกุล  ผบก.ภ.จ.ชลบุรี  พร้อมด้วย  พ.ต.อ.เสมอ  อ่อนละมั่ง  ผกก.สภ.บ่อทอง จ.ชลบุรี  ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายสนิท  หรือนิด  พลคำ  อายุ 28  ปี  นายสุรินทร์  บุญมี  อายุ 40 ปี  พร้อมเงินสด 40,000 บาท  สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท 1 เส้น  1  บาท  1  เส้น  และคีมตัดสายไฟ 1 อัน  นายเล็ก  คำดี  อายุ 30 ปี  พร้อมของกลางสร้อยคอทองคำ 50 สตางค์  1 เส้น  นายปี  บุญมี   พร้อมของกลางเป็นสร้อยคอและแหวนทองคำ อย่างละ 50 สตางค์  ทั้ง 3 คนเป็นชาวไทยใหญ่  และนายโด๊ด  โพธิเลา  อายุ 21 ปี  ชาวกัมพูชา
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา  เวลาประมาณ  15.00 น.  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อทองได้รับแจ้งว่ามีคนงานภายในฟาร์มไก่ชื่อปราถนาฟาร์มหายตัวไปตั้งแต่ วันที 2ก.ค. ที่ผ่านมา  จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบบ่อส้วมต้องสงสัย จึงตรวจสอบภายในพบศพเพศหญิงอืดคาบ่อ  เมื่อตรวจสภาพศพพบว่าคือนางสาววุนมี  สายทอง  อายุ 34 ปี  ชาวไทยใหญ่  คนงานที่หายตัวไป  จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงรีบเดินสำรวจหาข้อมูลหลักฐาน  ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุได้ทั้งหมด 5 คน ได้ที่แคมป์คนงานภายในฟาร์มไก่ปราถนาฟาร์มนั่นเอง
สอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้ลงมือก่อเหตุฆ่านางสาววุนมี จริง  โดยนายปีทำหน้าที่ดูต้นทาง  นายเล็กทำหน้าที่ตัดสายไฟเพื่อให้ไฟดับ  ส่วนนายโด๊ด  นายสนิท  และนายสุรินทร์  ช่วยกันใช้ไม้กระดานขนาดใหญ่ฟาดเข้าที่ศีรษะและลำตัวของนางสาววุนมีจนเสีย ชีวิต  แล้วทั้งหมดช่วยกันลากศพไปหมกบ่อส้วมหลังบ้านพักคนงาน  โดยมีเหตุจูงใจในการฆ่าเพราะอยากได้สมบัติของนางสาววุนมีที่ชอบใส่เครื่อง ประดับจำนวนมากๆ และเมื่อได้ทรัพย์สินแล้วได้นำมาแบ่งกัน  จนกระทั่งถูกจับกุมตัวพร้อมด้วยของกลางดังกล่าว

รวบยกแก๊งมือฆ่าลูกจ้างสัสดีเชียงราย


จากกรณีกลุ่มคนร้ายลวงนายวิชัย ศรีวิชัย อายุ 47 ปี ทำงานเป็นลูกจ้างประจำสำนักงานสัสดีจังหวัดเชียงราย และทำธุรกิจ ซื้อ-ขายรถยนต์มือสอง ให้นำรถที่จะขายออกไปให้ลูกค้าทดลองขับ ก่อนพาไปยิงทิ้งด้วยอาวุธปืนลูกซอง แล้วทิ้งศพไว้ในรถเก๋งของผู้ตายเอง พร้อมกับชิงสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท หลบไป เหตุเกิดบริเวณถนนหน้าสุสานคาทอริค ชุมชนบ้านน้ำลัด หมู่ 3 ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย เมื่อวันที่  3 ก.ค. ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า วันนี้( 6 ก.ค.) พ.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว ผกก.สภ.เมืองเชียงราย พ.ต.ท.สุพัฒน์ บุญลำ สว.สส. นำกำลังเข้าจับกุมตัวนายพันกร อภินันทร์วรโชติ อายุ 28 ปี นายนภดล สดศรี อายุ 28 ปี และ น.ส.มะลิวรรณ ใจมูล อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุเอาไว้ได้ พร้อมของกลางอาวุธปืนลูกซองยาว หมายเลขทะเบียน กพ.3/4347/2518 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 4 นัด โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง
จากการสอบสวนนายพันกร รับสารภาพว่าได้รับการติดต่อจากผู้หญิงคนใกล้ชิดของนายวิชัย คนตายว่า มีปัญหาส่วนตัวกันจึงขอจ้างตนในราคา 1 แสนบาท ให้ไปฆ่านายวิชัย โดยผู้ว่าจ้างคนดังกล่าวได้นำเงินสด 5 หมื่นบาท มามอบให้เป็นเงินล่วงหน้าด้วยตัวเอง ที่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนระดับมัธยมประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางแผนไปชวนนายนภดล ให้ไปเป็นเพื่อน และชักชวน น.ส.มะลิวรรณ เป็นพี่สาวของภรรยาตนเองให้โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อรถจากนายวิชัย และออกอุบายให้นำรถมาทดลองให้ขับหลังจากนั้นจึงให้ น.ส.มะลิวรรณ ทดลองขับรถ โดยมีนายวิชัย นั่งเป็นคู่ไปด้วย ก่อนที่ตนจะขับรถยนต์เก๋งอีกคันที่เช่ามาตามถึงจุดนัดหมาย ก่อนใช้อาวุธปืนลูกซองยาวที่เตรียมมายิงเข้าใส่นายวิชัยจนเสียชีวิต พร้อมกับหยิบฉวยสร้อยคอทองคำที่คนตายสวมใส่อยู่ 1 เส้น นำหนัก 5 บาท ติดมือไปด้วย ซึ่งภายหลังได้นำไปขายที่ร้านทองแห่งหนึ่งใน อ.ภูซาง จ.พะเยา แต่ยังไม่ทันได้นำเงินมาแบ่งกันใช้แต่มาถูกจับกุมตัวเสียก่อน
หลังจากนั้น พ.ต.ต.ผดุงพล พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพื่อนำมาประกอบสำนวน และกล่าวว่าหลังจากทางชุดสืบสวนได้จับกุมมือปืนพร้อมอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ รวมถึงหลักฐานต่างๆและเพื่อนร่วมขบวนการมาหมดและมีการรับสารภาพแล้ว อีกทั้งมีการซัดทอดถึงผู้จ้างวาน ทางเราก็จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอออกหมายจับผู้บงการนำตัวมาดำเนินคดี ตามกำหมายต่อไป.

จับกะเทยแสบชิงทองเมืองขุนแผนมาขายกรุงเก่า


วันนี้( 6 ก.ค.) พ.ต.ท.จักราวุธ คล้ายนิล รองผกก.ป. สภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา  รับแจ้งจาก น.ส.โสภี ฐิดาศิริ อายุ 33 ปี พนักงานขายทอง ร้านทองนริศรา ภายในตลาดอุทัย เลขที่ 15/16 หมู่ 1 ต.อุทัย อ.อุทัย ว่ามีชายต้องสงสัยกำลังนำทองมาจำหน่ายภายในร้าน ซึ่งมีลักษณะตรงกับทองมีการชิงทรัพย์มาใน จ.สุพรรณบุรี  ซึ่งทางร้านได้พยายามคุยถ่วงเวลา และล็อคประตูทางออกเอาไว้

หลังรับแจ้งจึงรีบนำกำลังไปตรวจสอบ พบผู้ต้องสงสัยทราบชื่อในเวลาต่อมาคือนายเอนก พันธุ์เขียน อายุ 31 ปี กำลังนำสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง ขายให้กับทางร้าน โดยตกลงขายให้ในราคา 1.5 แสนบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปสอบสวน จากการสอบสวนนานกว่า 1 ชั่วโมง นายอเนกรับสารภาพว่าสร้อยคอทองเส้นนี้ได้ชิงมาจากร้านทองมีโชค ใน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี  เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา  โดยตั้งใจจะมาขายที่พระนครศรีอยุธยา  สาเหตุที่ทำไปเพราะ ก่อนหน้านี้ได้ติดค่ายาบ้า 1.4 แสนบาท ไม่รู้จะหาเงินจากที่ใดไปใช้คืนให้กับเจ้าของยาบ้า จึงตัดสินใจเข้าไปชิงทองเพื่อนำมาขายเอาไปใช้หนี้ค่ายาบ้า  เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สองพี่น้องมารับตัวไปดำเนินคดี

ด้าน น.ส.โสภี กล่าวว่า คนที่นำทองเข้ามาขายนี้ มีทำทางคล้ายสาวประเภทสอง และลุกลี้ลุกลน สังเกตดูที่ทองพบว่าที่ตะขอ มีสัญลักษณ์ตรงกับที่เป็นข่าว ในหนังสือพิมพ์ที่มีการชิงทรัพย์ใน จ.สุพรรณบุรี จึงพยายามต่อรองเรื่องราคาให้นานที่สุด แล้วกดสัญญาณไปที่สถานีตำรวจ ไม่ถึง 5 นาที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมคนร้ายเอาไว้ได้ทัน.

โภคิน-วิรัตน์” โต้เดือดกลางศาลรธน.


 วันนี้ ( 6 ก.ค.)  เมื่อเวลา 10.10 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังค์เพื่อรับฟังการเบิกความและซัก ค้านพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ โดยได้เริ่มต้นไต่สวน จากนายโภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะพยานปากแรกฝ่ายผู้ถูกร้อง ซึ่งสาระสำคัญ นายโภคิน ยืนยันว่าคำร้องนี้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดดำเนินการกลั่นกรองก่อนชั้น หนึ่งก่อน เพราะมาตรา 68 วรรคที่ระบุคำว่า "ผู้ทราบ" ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าจะรับรู้ถึงการกระทำของผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง จริง
ดังนั้นรัฐธรรมนูญถึงได้มอบหมายให้อัยการสูงสุดเป็นผู้วินิจฉัยก่อนเพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยมีคำสั่งเมื่อปี 2549 เป็นแนวทางบรรทัดฐานเอาไว้ตามกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ในฐานะอดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชนยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7  อีกทั้งในบทบัญญัติก็ไม่มีประเด็นใดระบุให้สามารถยื่นได้ 2 ทาง
  “ส่วนข้อกล่าวหาว่า ขณะที่เนื้อหา มาตรา 68 ระบุถึงความผิดว่าต้องการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไปล้มล้างการปกครอง และได้มาซึ่งอำนาจโดยมิชอบ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขณะนี้การพิจารณาของรัฐสภาเพิ่งผ่านวาระ 2 รัฐธรรมนูญยังไม่ได้ถูกแก้แม้แต่คำเดียว ดังนั้นข้อเท็จจริงเมื่อมาสู่ศาลคือยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็คิดกันเองว่าอาจจะไปแก้แล้วเป็นความผิด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้จินตภาพมาลงโทษปัจจุบัน หรือสมมุติว่ารัฐสภาผ่านวาระ 3 ผลคือให้มีแค่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งจะไปยกร่างอย่างไรยังไม่มีใครรู้ ก็มีแต่การคาดเดา” นายโภคิน กล่าว
นายโภคิน กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ระบุว่า ในมาตรา 291 ห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น รัฐธรรมนูญตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่เคยมีบทบัญญัติว่าด้วยการห้ามแก้ไขรัฐ ธรรมนูญทั้งฉบับ จนกระทั่งรัฐธรรมนูญ 2540 ได้บัญญัติห้ามแก้ไขใน 2 ประเด็นคือ รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 ก็เขียนล้อมาจากรัฐธรรมนูญ 2540  จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองและรูปแบบของรัฐ ไม่เข้าใจว่าข้อหาดังกล่าวไปเอาความคิดจากที่ไหนที่ห้ามแก้ไขทั้งฉบับเพราะ ถ้าห้ามแก้ไขทั้งฉบับจะบัญญัติห้าม 2 ประเด็นไว้ทำไม เขียนห้ามแก้ไขทั้งฉบับไปเลยไม่ดีกว่าหรือ  ไม่เพียงเท่านี้การแก้ไขมาตรา 291
ทุกขั้นตอนเป็นเหมือนเมื่อครั้งพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ2534 เพื่อตั้ง  ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 โดยยึดโยงประชาชนชัดเจนผ่านการเลือกตั้ง ส.ส.ร. เมื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ก็นำกลับไปให้ประชาชนลงการประชามติ ถ้าบอกว่าต้องทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน คิดว่าไม่ถูกต้องเพราะเหมือนเป็นการทำให้รัฐธรรมนูญหนึ่ง มีความสูงส่งกว่ารัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่ง แต่รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีสถานะความเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเหมือนกัน ถ้าคิดแบบนี้รัฐธรรมนูญที่มาจากคณะรัฐประหารเป็นรัฐธรรมนูญต่ำที่สุดใช่หรือ ไม่    
 จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ผู้ร้องซักถามพยานได้ โดยช่วงหนึ่งนายวิรัตน์ กัลยาศิริ  ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้องที่สาม ซักว่าภายหลังมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วจะทำให้รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐสภาชุดปัจจุบันมีสถานะคงอยู่ต่อไปใช่หรือไม่ ซึ่งนายโภคิน ตอบว่า ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ส.ส.ร.จะให้มีเนื้อหาอย่างไร ในอดีตก็เคยมีการระบุในบทเฉพาะกาลว่าให้รัฐบาลและรัฐสภาดำรงอยู่ต่อไปจนกว่า จะครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือ กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ทันที จึงไม่บรรทัดฐานตายตัว
  ต่อมาการซักถามและการตอบชี้แจงระหว่างทั้งสองคนเริ่มดุเดือดมากขึ้น เมื่อนายวิรัตน์ ถามว่า "ในฐานะที่อาจารย์โภคินเคยเป็นอดีตประธานรัฐสภาสมัยรัฐบาลไทยรักไทยจึงมี ความรักใคร่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาตลอดใช่หรือไม่" และ"สมัยดำรงตำแหน่งประธานสภาฯได้ลงมติสนับสนุนให้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯใช่หรือไม่"  นายโภคิน ชี้แจงว่า "รัฐธรรมนูญ2540 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากเสียงข้างมากในสภา ทำให้การใช้สิทธิงดออกเสียงย่อมหมายถึงการไม่เห็นด้วย ผมไม่อยากดัดจริตเพราะตอนหาเสียงก็สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีผม ไม่อยากหลอกตัวเอง"
 เป็นผลให้ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้กำชับทั้งสองฝ่ายว่า "ไม่อยากให้ถามในประเด็นลักษณะนี้อีกเพราะข้อเท็จจริงเหล่านี้รู้ๆกันอยู่ ว่าใครพรรคพวกใคร และการชี้แจงของพยานรายนี้ก็เป็นการให้ความเห็นเชิงวิชาการไม่มีความจำเป็น ต้องสอบถามข้อเท็จจริงแบบนั้น นอกจากนี้ ขอฝากไปยังทั้งสองฝ่ายว่าเวลาจะพูดไม่ต้องพูดว่าตุลาการศาลที่เคารพเพราะออก ไปข้างนอกพวกท่านก็ด่าพวกผมอยู่ และที่นี่ก็ไม่ใช่สภา"
 ต่อมานายวรินทร์ เทียมจรัส ผู้ร้องที่สี่ ได้ซักถาม โดยประเด็นสำคัญหนึ่งคือการระบุว่าประชาชนมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 212 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ละเมิดสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนจึงมีสิทธิที่จะทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ และฝ่ายผู้แก้ไขใช้กฎหมาย ใช้หลักเกณฑ์ใดมาแก้รัฐธรรมนูญขอให้พูดให้ชัด
 โดยนายโภคิน  ชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 212 เป็นคนละเรื่องกับกรณีดังกล่าว เพราะการร้องตามมาตรา 212 ต้องเป็นกรณีที่สิทธิของคนผู้นั้นถูกละเมิดโดยการออกกฎหมาย แต่การแก้ไขมาตรา 291 ต้องเป็นการร้องตามมาตรา 68 ที่ระบุความผิดว่าต้องเป็นการใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยมิชอบ อีกทั้งการแก้ไขมาตรา 291 เป็นอำนาจของ 2 สภาคือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา นอกจากนี้รัฐธรรมนูญ 2550 ยังรองรับให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 5 หมื่นคนเข้าชื่อขอแก้ไขได้  ส่วนที่ถามว่าใช้อำนาจตามมาตราใด ใช้หลักเกณฑ์ใดมาแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ก็มาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญเปิดให้แก้ไขตัวเอง หลักเกณฑ์ก็เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ ถ้าคิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อย่างนั้นรัฐธรรมนูญ 2540 ก็เป็นการล้มล้างด้วย

“วรวัจน์”เร่งประสาน กสทช. แก้ปัญหาจอดำกีฬาโอลิมปิก


วันนี้(6 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายวรวัจน์ เอื้อภิญยกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าเรื่องของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา โอลิมปิก ระหว่างวันที่ 27 ก.ค. - 12 ส.ค. นี้ ซึ่งหลายฝ่ายห่วงว่าจะเกิดปัญหา “จอดำ” เหมือนช่วงการแข่งขันฟุตบอลยูโร ว่า ขณะนี้กำลังประสานงานอยู่ และพูดคุยกับทาง กสทช.อยู่ว่าจะมีกระบวนการแก้ไขอย่างไร จากนั้นก็อาจมีประกาศเป็นคำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาเพื่อให้เกิดความ ชัดเจน

“โภคิน” อึ้ง “วสันต์” ส่งเอกสารคำร้องขอยุบปชป. ข้ามขั้นตอน


วันนี้ ( 6 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการไต่สวนเพื่อรับฟังการเบิกความและซักค้านพยานฝ่าย ผู้ถูกร้อง กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ หลังจากที่เปิดโอกาสให้ผู้ร้องซักค้านนายโภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะพยานฝ่ายผู้ถูกร้องปากแรกเสร็จแล้ว นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้สิทธิสอบถามเพื่อทำความเข้าใจร่วมกับนายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ในฐานะพยานของฝ่ายผู้ถูกร้อง ในกรณีที่นายโภคินอ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งที่ 12/2549 ไม่รับคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ2540 ในข้อหาล้มล้างการปกครองเพราะต้องผ่านการพิจารณาของอัยการสูงสุดมาก่อน ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับกรณีมาตรา 68 ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน พร้อมกับส่งสำเนาคำร้องให้กับนายโภคินได้ดู
โดยนายวสันต์ กล่าวว่า ในฐานะที่ท่านเคยเป็นตุลาการมาก่อนท่านลองดูในคำร้องนี้ก่อน ข้อกฎหมายถ้าเราเห็นไม่ตรงกัน ไม่มีใครว่าอะไรแต่ข้อมูลต้องตรงกัน สำหรับกรณีดังกล่าวขอชี้แจงว่าในครั้งนั้นนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ในฐานะอดีตส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้ยื่นตรงขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เลยทันทีถือเป็นการข้ามขั้นตอน เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่นายสุรพงษ์ได้ใช้เพื่อยื่นคำร้องนั้นกำหนดไว้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำ สั่งให้พรรคการเมืองใดยกเลิกระทำการล้มล้างการปกครองก่อนถึงจะค่อยพิจารณา ยุบพรรคการเมือง
 "นี่อยู่ๆมายื่นให้ยุบพรรคเลยโดยไม่มีการขอให้ห้ามกระทำก่อน เหมือนกับอยู่ๆไม่ได้ฟ้องใครเพื่อให้ลงโทษจำคุกเลยแต่ขอให้ริบของกลางมัน เป็นไปไม่ได้อยู่ในตัว ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องส่วนเรื่องความเห็นต่างกันไม่มีใครทะเลาะ กัน” นายวสันต์ กล่าว
  ส่วนนายโภคิน ถึงกับอึ้งไปพักหนึ่งก่อน ตอบว่า ตรงนี้เป็นคำวินิจฉัยส่วนตัวไม่ได้เห็นคำร้องที่นายสุรพงษ์ยื่น แต่ในคำสั่งนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ระบุว่าต้องต้องผ่านการพิจารณาของอัยการ สูงสุดก่อน จากนั้นนายวสันต์ กล่าวว่า ความเห็นนั้นเป็นการลอกข้อความของมาตรา 63 วรรค 2 ลงมาเท่านั้น แต่ศาลไม่ได้ชี้ว่าต้องไปผ่านอัยการสูงสุดก่อนเสมอไปแต่อย่างใด จากนั้นประธานศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งพักการไต่สวน ในเวลา 11.50 น.และให้ดำเนินการต่อในเวลา 13.00 น. รวมแล้วใช้การไต่สวนวันที่ 2 ในช่วงเช้าทำได้เพียงปากเดียวเท่านั้น จากที่เดิมกำหนดไว้ 4-5 ปาก

“ขุนค้อน”เปิดปากครั้งแรกรับคลิปเสียงพูดจริงในกลุ่มคนสนิท


วันนี้(6 ก.ค.)ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เปลี่ยนใจเข้าชื่อแจงด้วยตนเองในฐานะผู้ถูกร้อง ที่ 1  ซึ่งก่อนหน้านี้มอบหมายให้นายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้มาชี้แจงแทนว่า  ตนได้พิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะให้ความร่วมมือกับศาล  ก็ได้แสดงเจตจำนงตั้งแต่แรกว่าคำสั่งศาลไม่มีผลผูกพันธุ์กับรัฐสภา แต่ก็ให้เกียรติเพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น และไม่อยากให้ตนเองกเป็นสาเหตุของคนไทยฆ่ากันตาย ถึงได้ถอยการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระ3   และเมื่อถอยแล้วจึงเห็นว่าวันนี้ต้องมาศาลรัฐธรรมนูญ  ส่วนคลิปเสียงที่ออกมาได้มีการมองว่าการทำหน้าที่ประธานไม่เป็นกลางนั้น ตนเห็นว่าในสภาได้มีการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจน จากเรื่องสำคัญหลายเรื่อง เช่น การขอให้ยื้อร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ...และการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ3  ซึ่งในประเด็นดังกล่าวตนก็ได้เห็นด้วยกับฝ่ายค้านก็ชี้ชัดว่าไม่มีใบสั่ง และทำหน้าที่เป็นกลาง โดยยึดข้อบังคับและรัฐธรรมนูญเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการชี้แจงในเรื่องคลิปเสียงอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการร้องตามมาตรา 68  แต่ก็เป็นข่าวที่ออกสู่สาธารณะทั้งที่ความจริง เป็นการพูดคุยกันในกลุ่มญาติพี่น้อง พรรคพวก เพื่อนฝูง แค่ 50 คน และเป็นการพูดภายใน นึกไม่ถึงว่าจะหลุดออกมา และก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร  อย่างไรก็ตามขณะนี้ก็ยังไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  เมื่อถามว่าหลังคลิปหลุดได้พูดคุยกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วหรือยัง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ได้คุยผ่านหลายคน ทั้งสมาชิกคนสำคัญของพรรค รวมถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี  ส่วนที่มีการพาดพิงพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ในระบอบประชาธิปไตยก็เห็นว่าอยู่ในกรอบที่จะหารือกันได้ เป็นเรื่องปกติทุกพรรคการเมืองก็ทำอย่างนี้ไม่เห็นมีอะไรที่ผิดปกติ ถ้าจะยึดตามหลักการตนเคยได้ให้สัมภาษณ์สื่อในช่วงที่ไม่ได้รับโทรศัพท์ก็ ต้องใช้ดุลพินิจในการตัดสินปัญหา
“ผมได้ย้ำว่าจะใช้ดุลพินิจโดยยึดถือผลประโยชน์ชาติและจะไม่ยอมให้คนไทย ฆ่ากันตายเด็ดขาด และก็ได้แสดงความเห็นในเรื่องร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ ว่าควรยื้อออกไปและได้บอกกับสื่อมวลชนว่าตนจะไปทำความเข้าใจกับทุกคนที่มี ส่วนเกี่ยวข้องและที่คลิปหลุดออกมาก็ถือเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าสิ่งที่ผม พูดและทำ และทำอย่างที่พูดไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย ซึ่งถ้ามีใบสั่งทำไมต้องถกเถียงกัน และที่ผ่านมาผมก็เปิดเผยมาโดยตลอด ว่าจะหารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ในเรื่องที่ตนไม่เห็นด้วย เพื่อโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นด้วยก็เป็นกติกาตามระบอบประชาธิปไตยและคลิปที่ออก มาถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะยืนยันหลักการของผมมาโดยตลอด”นายสมศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า เหตุการณ์นี้จะส่งผลต่อการทำหน้าที่หรือตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือ ไม่  นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่ที่ว่าจะนำไปเป็นประเด็นการเมืองหรือไม่ ซึ่งจริงๆไม่มีอะไรเลย  ตนมีความบริสุทธิ์ใจยึดประโยชน์ชาติและพูดตลอดว่าจะไม่ยอมให้คนไทยฆ่ากัน ตาย แม้แต่ในคลิปลับก็ได้พูด เมื่อถามย้ำว่า เสียงพูดในคลิปที่ระบุควรชะลอการโหวตร่างรัฐธรรมนูญ วาระ3ออกไปก่อนจะส่งผลต่อน้ำหนักที่จะชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า  ขึ้นอยู่กับคำถาม หากมีข้อข้องใจตนก็พร้อมที่จะตอบ เมื่อถามว่า ทันทีที่มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ในเรื่องร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ มีเลื่อนขึ้นมาอยู่ในวาระแรกของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตรงนี้จะมีทางออกอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัวควรยื้อออกไปและพยายามทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย และผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่แนวโน้มเป็นไปในแนวทางที่ดีหมายถึงหลายคนเริ่มคล้อยตามเห็นด้วย แต่ก็อยู่กับมติเสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยว่าจะเห็นอย่างไร  ซึ่งในส่วนของพล.อ.สนธิ  บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ซึ่งเป็น 1ใน4 ผู้เสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ นั้น ยังไม่ได้มีการหารือ   แต่ได้มีการหารือเฉพาะในส่วนผู้เสนอร่างพ.ร.บ.ฯทั้ง 3 คน  ซึ่งเป็นของส.ส.พรรคเพื่อไทยไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงาน การออกมาให้สัมภาษณ์ของนายสมศักดิ์ ถือเป็นการออกมายอมรับครั้งแรก หลังถูกพรรคประชาธิปัตย์นำคลิปเสียง มาเปิดเผยในรายการ "สายล่อฟ้า" เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา.

เฉลิมชี้ศาลรธน.ต้องฟังประชาชน


วันนี้ ( 6 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญว่า กรณีนี้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 50 ยังใช้อยู่ รัฐสภาเพียงแค่คิดยกร่าง แก้ไขม.291 เพื่อหาคนร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ซึ่งยังไม่ผ่านวาระ 3 ขณะนี้ยังมีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 50 ใช้อยู่ เรายังไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ แล้วที่อ้างว่าขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 50  เอามาจากไหน  เพราะท่านทั้งหลายเคยพูดว่ารับรัฐธรรมนูญปี 50  ไปก่อน แล้วไปแก้ไขวันข้างหน้า
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายแก้วสรร อติโพธิ ก็พูด หรือนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ บอกว่าห้ามแก้ม.291 แต่ตนไปค้นมาอาจารย์ก็ตกใจเลย เพราะอ่านแล้วใช่ว่าไม่ได้ห้ามแก้ อาจารย์เลยไปก่อน ก็ขอขอบคุณเลย วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำอะไร เพราะยังไม่มีฉบับใหม่แล้วฉบับไหนจะไปขัดรัฐธรรมนูญ
"ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ชัดเจนว่ามีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมือง เขาถึงบอกว่าวิพากษ์วิจารณ์ได้ไม่ดูหมิ่นศาล เมื่อเป็นศาลการเมืองท่านต้องฟังการเมือง อย่าเอาแต่ใจไม่ใช่เทวดามาจากไหน ต้องฟังประชาชน”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ส่วนกรณีคลิปนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ที่หลุดออกมานั้นถือเป็นการดิสเครดิตหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว วันนี้การเมืองเล่นกันแรงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องของนายสมศักดิ์ที่ไปงานเลี้ยงแล้วไปพูดกับ ใครต่อใคร คนที่คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริงๆเขาไม่พูดหรอก เหมือนสร้างราคาให้ตัวเอง ว่าไปคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างนั้นอย่างนี้  แล้วนายสมศักดิ์ไปพูดที่ไหนคลิปจริงหรือไม่ เห็นว่าไปเพชรบูรณ์ ทำไมไปพูดไกลเหลือเกิน แต่ระวังพวกดักฟังโทรศัพท์จะเข้าคุก

ชี้มีกลุ่มการเมืองข่มขู่ตุลาการหวังไม่ให้ทำหน้าที่



วันนี้ ( 6 ก.ค.) กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ปฏิบัติหน้าภายใต้พระปรมาภิไธย นำโดยน.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ ได้มีหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นแถลงการณ์ฉบับที่ 3 มีใจความว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้มีการเคลื่อนไหวจากพรรคการเมืองบางพรรค กลุ่มบุคคลและมวลชนบางกลุ่มที่ประกาศชัดเจนเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2555 ที่จะไม่ให้ความเคารพและแสดงการข่มขู่อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันสูงสุดของชาติ และตุลาการ
การเคลื่อนไหวและการข่มขู่ได้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะการข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผย โจ่งแจ้งเพื่อให้ตุลาการไม่มีศักยภาพที่จะปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างกำหนดไว้ใน เจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ  เป็นการทำลายการถ่วงดุลย์อำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ
ทางกองทัพปลดแอกประชาชน ฯ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนออกมาแสดงพลังประชาชนเพื่อปกป้องพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวและประเทศชาติเพื่อนนำความสงบเรียบร้อยมั่นคงมาสู่บ้านเมืองโดย เร็ว โดยมีนายนนท์นิพัทธ์ โพธิ์เดชธำรง รักษาผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางได้รับมอบหมายจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมา เป็นผู้รับหนังสือ

“สุเทพ”ไล่“สดศรี” พ้นเก้าอี้กกต.


วันนี้ ( 6 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามมาตรา68 หรือไม่นั้นว่า ตนเห็นใจและเข้าใจศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเมื่อพิจารณาตัดสินตามหลักการและเป็นคุณฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็จะไม่มีท่า ทีอะไร แต่เมื่อพิจารณาตรงกันข้ามก็จะถูกต่อว่า และข่มขู่อย่างที่เห็น
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ตนเชื่อมั่นในองค์คณะและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคงไม่หวั่นไหว ส่วนกรณีของนายจรัล ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ลาออกไปก่อนหน้านี้นั้น ถือเป็นเรื่องน่าชื่นชม เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยกนำมาโจมตีภายหลังอีก
"ส่วนกรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยงให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเคยให้ความเห็นกับร่างรัฐธรรมนูญปี50 ลาออกจากการเป็นองค์คณะเพื่อแสดงความรับผิดชอบนั้น ไม่จำเป็น เพราะถ้าใช้หลักการนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย คงไม่มีสิทธิ์ที่จะลงคะแนนในเรื่องรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก เพราะรัฐธรรมนูญจะส่งผลกับพรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะพ้นผิด" นายสุเทพ กล่าว
ส่วนกรณีที่ที่นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  เปรียบเทียบว่าหากตัวเองเป็นตุลาการจะลาออกแล้วนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ถ้าตนเป็นนางสดศรี ก็จะลาออกจาก กกต.ไปนานแล้วเช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมานางสดศรีก็มีพฤติกรรมทีหลายเรื่องที่ควรจะลาออก จนตนไม่อยากจะจดจำเรื่องเหล่านั้น

เชื่อ"ทักษิณ”ฉุน“ขุนค้อน”กร่างคาคลิป


วันนี้(6 ก.ค.)ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ปรากฏคลิปเสียงคล้ายนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มีการเผยแพร่และเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้นั้นว่า นายสมศักดิ์คงไปพูดกับหัวคะแนน และตนเข้าใจว่านายสมศักดิ์มีนิสัยเช่นนี้นานแล้ว เรื่องนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคงจะรู้สึกมาก เพราะสิ่งที่นายสมศักดิ์ ทำเหมือนเป็นการโอ้อวดตัวเอง ว่าสั่งสอนพ.ต.ท.ทักษิณ และเครือญาติ จนเชื่อฟัง ซึ่งคงทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ โกรธ ที่สำคัญคือ สิ่งที่นายสมศักดิ์ พูดออกมาแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นกลางทางการเมือง ในการทำหน้าที่ประธานสภาฯ จ้องเล่นงานกระทืบ มีความอาฆาตต่อฝ่ายค้าน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่กลัวถูกกระทืบ
เมื่อถามว่านายสมศักดิ์ระบุจะกุมอำนาจรัฐให้ได้เพื่ออยู่เหนือพรรคประชา ธิปัตย์ตลอดนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า หากเป็นการชนะโดยรักษากฎเกณฑ์ กติกาก็ทำได้ แต่ต้องไม่ใช่ในลักษณะการใช้กำลัง ใช้มวลชนข่มขู่ แต่ตนเองก็จะชักชวนประชาชนออกมาต่อสู้กับคนพวกนี้ และหากประชาชนลุกฮือขึ้นเขาก็จะทำไม่สำเร็จ

แจกทีโออาร์เชิญบริษัทต่างชาติร่วมประมูลโครงการแก้น้ำท่วม


วันนี้( 6 ก.ค.)  ที่กระทรวงการต่างประเทศ  นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้บรรยายสรุปแก่คณะทูตานุทูต ประมาณ 45 ประเทศ เพื่อแจกจ่ายข้อกำหนดรายละเอียด(ทีโออาร์)ในการเสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบ ก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดย กบอ. สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้คณะทูตานุทูตนำไปมอบให้แก่ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูล โดยนายสุรพงษ์ กล่าวว่า วันนี้(6 ก.ค.) เป็นวันแรกที่ได้เริ่มแจกทีโออาร์ที่มีทั้งฉบับภาษาไทยและอังกฤษ โดยโครงการนี้รัฐบาลได้เน้นถึงความโปร่งใส จึงได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนที่มีความสนใจรับเอกสาร เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกบริษัทที่มีความมาตรฐานและมีความสามารถทำ โครงการดังกล่าว
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า การก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย แบ่งเป็น 15 โครงการ คือ โครงการในลุ่มน้ำเจ้าพระยา 8 โครงการ และบริเวณลุ่มน้ำ 17 แห่ง จำนวน 6 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน และโครงการป้องกันน้ำท่วมใน กทม.อีก 1 โครงการ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 9-23 ก.ค.นี้ จะเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจโครงการของรัฐบาล มารับเอกสารแผนบริหารจัดการน้ำได้ที่สำนักงานโยบายและบริหารจัดการน้ำและ อุทกภัยแห่งชาติ(สบอช.) ภายในทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้มีข้อกำหนดว่าบริษัทต่างประเทศที่เป็นบริษัทเดี่ยว ซึ่งสนใจจะร่วมงานกับรัฐบาล ต้องประกอบกิจการมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี และมีมูลค่าโครงการ 30,000 ล้านบาท ส่วนที่เป็นกิจการร่วมค้าหลายบริษัท ซึ่งหนึ่งในบริษัทนั้นต้องมีงบลงทุนโครงการไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และที่สำคัญทุกบริษัทต้องได้รับการรับรองจากสถานเอกอัครราชทูตในแต่ละประเทศ ด้วย ทั้งนี้ กบอ.น่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการตรวจสอบคุณสมบัติแต่ละบริษัทที่เสนอตัวเข้ามา และในต้นปีหน้า บริษัทที่ผ่านการพิจารณาจะเริ่มดำเนินโครงการได้ทันที
ด้านนายดำรง ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในการบรรยายสรุปครั้งนี้ เป็นการบรรยายเฉพาะคณะทูตานุทูตเท่านั้น ไม่มีภาคเอกชนหรือบริษัทใดๆทั้งของไทยและต่างประเทศ ได้เข้าร่วมรับฟังและได้รับแจกจ่ายทีโออาร์ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ ทั้งนี้ นายปลอดประสพ จะเชิญภาคเอกชนและบริษัทต่างๆเข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันที่ 24 ก.ค.นี้ จากนั้นจะให้ภาคเอกชนที่สนใจจัดทำแผนแนวทางการดำเนินการเพื่อนำกลับมา พิจารณาต่อไป ทั้งนี้ บริษัทที่จะสามารถเข้าร่วมเป็นได้ทั้งบริษัทของไทยและต่างชาติ แต่ควรมีประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ในประเทศตัวเองด้วย

กรุงเก่าผวาตลิ่งทรุดหวั่นบ้านริมเจ้าพระยาพังทั้งแถบ


วันนี้( 6 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากชาวบ้านว่า บริเวณแนวตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้กับวัดกลางปากราน หมู่ 14 ต.ปากราน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา แนวตลิ่งได้ทรุดตัวลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแนวยาว หวั่นว่าบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ริมแม่น้ำจะพัง จึงลงเรือเดินทางไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาตรวจสอบ พบว่าแนวดินริมตลิ่งได้ทรุดตัวพังลงไปในแม่น้ำกว่าเมตรเป็นแนวยาวกว่า 1 กิโลเมตร แนวตลิ่งบางช่วงเจ้าของที่ดินได้สร้างเขื่อนกันดินทรุดแต่ทนกระแสน้ำไหล กระแทกไม่ไหวพังลงไปในแม่น้ำหลายจุด และยังพบว่าแท๊งน้ำประปาขนาดใหญ่ของวัดปากรานได้ทรุดตัวพังไปเสียหายจนไม่ สามารถจะใช้น้ำประปาได้

นางโนรีย์ กมลแมน สมาชิก อบต.หมู่ 14 ต.ปากราน กล่าวว่า บริเวณแนวตลิ่งแห่งนี้เมื่อช่วงน้ำท่วมใหญ่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร  เมื่อน้ำลดลงแนวตลิ่งกว่า 1 กิโลเมตร ได้ทรุดตัวพังลงตามระดับน้ำที่ลดลงเนื่องจากบริเวณนี้เป็นช่วงทางโค้งของแม่ น้ำซึ่งไหลผ่านมาอย่างแรง กระแสน้ำได้ไหลเข้ามากระทบริมตลิ่งจนตลิ่งและเขื่อนพัง ประกอบกับยังมีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่วิ่งผ่านจำนวนมากเป็นทางโค้งทำให้ เกิดคลื่นแรงถึงวันนี้แนวตลิ่งยังพังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านกว่า 5 หลังคาเรือนต้องรื้อบ้านย้ายไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว  ได้ทำเรื่องเสนอไปยังอบต.ปรากราน ซึ่งทางอบต.มีงบประมาณไม่มากในการสร้างเขื่อน โดยทางอบต.ได้ทำเรื่องผ่านอำเภอเสนอไปยังหน่วยงานของโยธาจังหวัดและกรมเจ้า ท่าให้เข้ามาช่วยดูแล ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านจำนวนมากยังไม่ได้รับคำตอบอยู่กันด้วยความหวาดผวา

ทางด้านนางลออ นาครพัฒน์  ชาวบ้าน หมู่ 14 ต.ปากราน กล่าวว่า ทุกวันนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ๆวัดบางคนถึงกับนอนไม่ค่อยหลับเครียดเมื่อ ฝนตกลงมาที่ไรเห็นแนวตลิ่งพังลงตลอดเวลา และช่วงนี้น้ำเหนือเริ่มไหลลงมาเกรงว่าบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำจะพังอยากให้ ทางราชการเข้ามาช่วยเหลือดูแล  จุดที่แนวตลิ่งพังอยู่ห่างจากวัดสนามไชย และวัดไชยวัฒนารามประมาณ 2 กิโลเมตร

"เฉลิม" ขู่ "ชูวิทย์" เตรียมรับหมายศาลยันไม่เคยยุ่งบ่อน


วันนี้( 6 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาโต้ว่าเป็น ด็อกเตอร์กฎหมาย แต่ไม่ใช้กฎหมายปราบปรามการลักลอบเปิดบ่อนการพนันที่ซอยกิ่งเพชรว่า อยากให้นายชูวิทย์ รอเตรียมรับหมายศาลจากตนไว้ได้เลย ซึ่งไม่ขอพูดในรายละเอียด เพราะนายชูวิทย์ได้ร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว เมื่อตำรวจไม่ผิด ต้องปกป้อง แต่อย่างไรก็ตาม จะนำทนายความไว้ตามดูการกระทำของนายชูวิทย์  2 คนด้วย

 ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า การตรวจเคหะสถานไม่ใช่จะไปบุกค้นได้ง่ายๆการค้นต้องมีหมายค้น และส่วนที่บอกเป็นความผิดซึ่งหน้านั้น ก็ต้องเจอต่อหน้าแต่นี่อยู่ในเคหสถาน อย่างไรก็ตามการที่เคหสถานมีอุปกรณ์การพนันไว้มันไม่ผิด แต่การจะจับต้องจับการเล่นขณะลักลอบเล่นไม่ใช่จับตอนเลิก เพราะตำรวจปกติเวลาไปจับการพนันหากเขาเลิกเล่นก็จับไม่ได้ แต่นายชูวิทย์พยายามเอาหลายเรื่องมาเป็นเรื่องเดียว และตนก็ไม่เคยบอกว่าไม่มีบ่อนที่กิ่งเพชร กลับไปเอาคำพูดเมื่อ 11 เดือนที่แล้วมาอ้าง ซึ่งเรื่องการจับกุมบ่อนแบบนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ คนเป็นรองนายกฯไปจับกุมบ่อนเองมีที่ไหน
     
"สำหรับผมห่วงตัวเองอยู่แล้ว และก็ยึดมั่นในคุณธรรม ศีลธรรมมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยเป็นเจ้าของซ่อง อาบอบนวด บังคับให้ผู้หญิงค้าประเวณี พวกที่มีอาชีพเช่นนี้หน้ามันคล้ำ ผมหน้าขาวอย่างกับไข่ปอก และจากนี้ต่อไปผมจะไม่พูดตอบโต้นายชูวิทย์อีก เพราะพูดไปก็เป็นประเด็นกับบางสื่อได้อีก ซึ่งผมไม่มีวันบกพร่องเรื่องการจับกุมบ่อนการพนัน เพราะผมเกลียดที่สุดพวกแมงดาหากินบนพื้นฐานความทุกข์ยากบนน้ำกาม" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

จับผู้รับเหมาดีดบ้านหนีน้ำท่วม


วันนี้ ( 6 ก.ค.)  ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.นิคม ชัยเจริญ สว.กก.1บก.ป.แถลงข่าวจับกุม นายภาคิน วงษ์มณี อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 165 หมู่ที่ 12 ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน  จ.สกลนคร ตามหมายจับศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา 38/2555 ลงวันที่ 12 เมษายน 2555 ข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ จับกุมตัวได้ที่หน้าห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส หมู่ 3 ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง     
  พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ นายภาคิน ได้ก่อเหตุหลอกลวงชาวบ้านที่ต้องการดีดบ้านเพื่อไม่ให้น้ำท่วม จากนั้นก็จะมีการเซ็นสัญญากันแล้วผู้ต้องหาจะขอเบิกเงินมัดจำแล้วหลบหนีไป จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีหมายจับคดีดังกล่าวรวม 6 คดี  เช่น จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ลพบุรี และ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการซ้ำเติมผู้ประสบภัย อย่างไรก็ดี หากใครที่เคยตกเป็นเหยื่อ สามารถเข้าแจ้งความ และดูตัวได้ที่ บก.ป.
  ด้าน นางโฉมยงค์ วงศ์วิสุทธิเวท อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77/ 1 หมู่ที่ 5 แขวงและเขตสายไหม กทม.กล่าวว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2554 ได้ว่าจ้าง นายภาคิน ดีดครัวไม้  กว้าง 7x9 เมตร ในราคา 1.4 แสนบาท ใช้เวลาดำเนินการ 20 วัน จึงทำสัญญากัน โดยนายภาคิน เบิกเงินไป 10,000 บาท จากนั้นเขาก็พาลูกน้องมาทำงาน แล้วเบิกเงินอีก 90,000 บาท เมื่อได้เงินแล้วก็ไม่มาทำงานอีกเลย เมื่อตนโทรศัพท์ไปหาก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด กระทั่งปิดเครื่องทิ้งไป จึงเข้าแจ้งความที่ สน.สายไหม เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลมีนบุรีได้ออกหมายจับที่ 352/2555 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2555 ข้อหาฉ้อโกง ก่อนจะมาถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว
สอบสวนนายภาคิน รับสารภาพว่า เคยทำงานรับจ้างต่อเติมบ้านและดีดบ้านกับพี่ชาย กระทั่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ได้แยกมารับงานเอง โดยมีลูกน้อง 3-4 คน รับงานดีดบ้านมาแล้ว 17-18 หลัง ได้ค่าจ้างจ้างตั้งแต่ 30,000-200,000 บาท ตามความยากง่าย ช่วงหลังตนขาดทุน ต้องจ่ายเงินค่าอุปกรณ์และค่าแรงลูกน้อง จึงหมุนเงินไม่ทัน กระทั่งถูกแจ้งความจับกุมดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.โรงช้าง จ.พระนครศรีอยุธยา ดำเนินคดีต่อไป

รองปลัดกทม.ตรวจตราเส้นทางเสด็จ


วันนี้ ( 6 ก.ค.)  นายจุมพล สำเภาพล รองปลัดกทม. พร้อมผู้อำนวยการเขตบางซื่อ ดุสิต พระนคร บางพลัดและตลิ่งชัน เข้าร่วมประชุมเตรียมความพร้อมและตรวจตราความเรียบร้อย โดยนำสื่อมวลชนลงเรือของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ล่องไปตามเส้นทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯจะทรงเสด็จพระราชดำเนินใน วันพรุ่งนี้
รองปลัดกทม.กล่าวว่าในวันนี้เป็นการตรวจตราความเรียบร้อยของเส้นทางที่จะ เสด็จ จากบริเวณท่าน้ำโรงพยาบาลศิริราชล่องไปตามทิศเหนือของแม่น้ำเจ้าพระยา ไปจนกระทั่งคลองบางเขนเก่า และย้อนกลับมายังสะพานพระรามที่8 โดยจะตรวจตราความเรียบร้อยและการทำงานของทั้ง 5 เขต ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม ในเรื่องของความสะอาด ขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ยังจะตรวจตราในเรื่องของจุดที่เปิดให้ประชาชนได้ร่วมถวายความจงรัก ภักดีและเฝ้ารับเสด็จ โดยทางกรุงเทพมหานครได้เตรียมจุดสำคัญไว้ คือ สวนหลวงรัชกาลที่8 ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้รองรับคนได้ประมาณ 5-6 พันคน และยังเตรียมรถถ่ายสดขนาดจอ 70 นิ้วไว้จำนวน 2 คัน
นายจุมพลกล่าวต่ออีกว่า นอกจากที่สวนหลวงรัชกาลที่8 แล้วยังมีที่วัดราชาธิวาส ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางสามารถรองรับประชาชนที่มารอรับเสด็จได้อย่างมากมาย ที่สวนสันติไชยปราการและบริเวณตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ทางกรุงเทพมหานครยังได้ตรวจตราความพร้อมในส่วนของกล้อง CCTV ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณท่าน้ำต่างๆ เพื่อสะดวกแก่การรักษาความสงบเรียบร้อยอีกด้วย ในส่วนของการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯนั้น ทางกรุงเทพมหานครได้เป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย จึงไม่อนุญาตให้ประชาชนไปรับเสด็จบริเวณท่าเรือหรือโป๊ะ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย ให้เฝ้ารับเสด็จได้แต่เพียงบนฝั่งเท่านั้น
“สำหรับในส่วนของการเดินทางสัญจรทางน้ำนั้น ในวันพรุ่งนี้ประชาชนสามารถสัญจรในแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างปกติ โดยทางกรุงเทพมหานครจะหยุดไม่ให้สัญจรทางน้ำก่อนเวลาเสด็จเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยตามกำหนดเวลาก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯจะทรงเสด็จพระราชดำเนินใน เวลา 16.30 น.-19.30 น. หลังจากนั้นประชาชนก็จะสามารถสัญจรทางน้ำได้อย่างปกติ สำหรับเรือที่ต้องจอดอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยานั้น ทางกรุงเทพมหานครจะได้มีการประชาสัมพันธ์ในจอดอยู่ในที่เหมาะสม ไม่ไปจอดเกะกะในที่ที่ไม่สมควร” รองปลัดกทม.กล่าว
สำหรับบรรยากาศในการล่องเรือตรวจตราความเรียบร้อยครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าประชาชนชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้ทำ ความสะอาดพร้อมทั้งประดับตกแต่งบ้านเรือนด้วย ธงสัญลักษณ์และพระบรมฉายาลักษณ์ กันอย่างพร้อมเพรียง รวมไปถึงวัดและสถานที่ราชการที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย นอกจากนี้ในส่วนของท่าน้ำกรมชลประทาน สามเสน เจ้าหน้าที่ได้เร่งจัดเตรียมเวทีเพื่อใช้รับเสด็จในพิธีเปิดโครงการชลประทาน อีกด้วย

ทลายแก๊งเงินกู้นอกระบบ รวบลูกน้องสาวพร้อมของกลางอื้อ


วันนี้ (5 ก.ค.) พ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รอง ผบก.ปอศ.หัวหน้าชุดเฉพาะกิจปราบปรามเงินกู้นอกระบบ บช.ก. พ.ต.อ.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผกก.3 บก.ป. และพ.ต.ท.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน รอง ผกก.3 บก.ป. พร้อมกำลังนำหมายศาลแขวงจังหวัดพิษณุโลก เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 5/4 หมู่ 7 ถนนประชาอุทิศ (โรงหมี่) ต.วัดจันทร์ อ.เมืองพิษณุโลก พบของกลางเป็นเงินสดจำนวน 178,850 บาท บัญชีเงินฝาก 14 รายการ พร้อมกับจับกุม น.ส.กรรณิการ์ จันทร์ศรี อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42/3 หมู่ 4 ต.เกาะเทโพ อ.เมือง จ.อุทัยธานี               
จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.กรรณิการ์ เป็นหัวหน้าสาขาพิษณุโลกของบริษัทธนชัย จำกัด ซึ่งทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล โดยบริษัทแห่งนี้มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศถึง 40 สาขา ส่วนสำนักงานใหญ่นั้นอยู่ในหมู่บ้านรัตนโกสินทร์สมโภช 200 ปี ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โดย น.ส.กรรณิการ์จะได้รับเงินเดือน ๆ ละ 3-4 หมื่นบาท และมีลูกน้องถึง 22 คน ทำหน้าที่ออกเก็บเงินกู้หรือดอกเบี้ยจากลูกหนี้ตามสายต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเข้าตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัย เป็นแหล่งปล่อยเงินกู้นอกระบบอีก 3 แห่ง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิษณุโลก พบการกระทำผิดลักษณะเดียวกัน 2 แห่ง จึงจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยการจัดหามาซึ่งเงินทุนแล้วให้ ผู้อื่นกู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.พิษณุโลก ดำเนินคดีต่อไป.

จับระเบิด-กระสุนปืนอาก้า-ยาไอซ์


เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 5 ก.ค. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทรวรลักษณ์ ผบก.สปพ. พ.ต.อ.พจน์ บุญมาภาคย์ รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.บุญส่ง นามกรณ์ ผกก.สน.ห้วยขวาง และฝ่ายสืบสวน สน.ห้วยขวาง นำกำลังเข้าจับกุมตัวนายสมพงษ์ เสือปรางค์ อายุ 34 ปี และ น.ส.กนกนารถ ไกรพล อายุ 19 ปี พร้อมของกลางระเบิด M 67 จำนวน 14 ลูก กระสุนปืนอาก้า 1,500 นัด ยาไอซ์ 3 กรัม กล้องส่องทางไกล 1 ตัว อุปกรณ์เสพยาจำนวนหนึ่ง สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ จำนวนมาก รถจยย. 2 คันโดยจับกุมนายสมพงษ์ได้ที่ศิริสุขแมนชั่น ห้อง 2614 ซอยประราษฎร์บำเพ็ญ 6 แขวงและเขตห้วยขวาง ส่วน น.ส.กนกนารถจับได้ที่ห้อง 128/191 ชั้น16  คอนโดเดอะลิธึม ใกล้กับศิริสุขแมนชั่น

พล.ต.ท.คำรณวิทย์เปิดเผยว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นการขยายผลมาจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้จับกุมนายสมบูรณ์ หรือ ใจ กุศล อายุ 42 ปี ของกลางยาไอซ์ 40 กรัม ยาบ้า 240 เม็ดในพื้นที่ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี จากนั้นนายสมบูรณ์ให้การซัดทอดว่าไปรับยามาจากนายนายสมพงษ์กับ น.ส.กนกนารถ จึงวางแผนจับกุมทั้งคู่ได้ดังกล่าว ขณะที่นายสมพงษ์ให้การรับสารภาพว่า ระเบิดและกระสุนปืนทั้งหมดเป็นของเพื่อนชื่อ “ตึ๋ง” ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ที่เพิ่งถูกตำรวจจับในข้อหามียาเสพติดไปเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมาเลยนำมาฝากไว้ ส่วนยาไอซ์เป็นของตนซื้อมาไว้เสพ.

เสธ.ไก่อูเบิกความไต่สวนการตายคนเสื้อแดง


วันนี้ (5 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนคดีชันสูตรการตาย ของ นายพัน คำกอง ชาวจ.ยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียม ใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ต ลิงก์ สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 ระหว่างเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่บริเวณราชประสงค์
โดยวันนี้อัยการนำตัว พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ผอ.กองปฏิบัติการจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทหารบก และโฆษกกองทัพบก เบิกความว่า เมื่อช่วงปี 2553 ขณะนั้นสถานการณ์บ้านเมืองมีความขัดแย้งกัน เนื่องมีกลุ่มความคิดแปลกแยกทางการเมือง และมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม นปช. โดยก่อนวันที่ 12 มี.ค. 53ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมกันที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ถ.ราชดำเนินนอก ซึ่งการชุมนุมงมีความรุนแรงมากขึ้น มีการปิดถนนและสถานที่ราชการสำคัญ
ต่อมานาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี จึงได้ประกาศแต่งตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบภายใน (ศอ.รส.) มีนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผอ.ศอ.รส.  พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. (ขณะนั้น) เป็นรองผอ.ศอ.รส. ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและบังคับบัญชา หน่วยงานด้านความมั่นคง ทั้งทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่พลเรือนในหลาย ๆ หน่วยงาน และมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ทหารจะออกปฏิบัติงานพร้อมกับตำรวจ ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน โดยช่วงวันที่ 6 - 7 เม.ย.2553 กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา  ซึ่งทราบจากข่าวโทรทัศน์ว่า มีนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นแกนนำกลุ่ม และกลุ่มผู้ชุมนุมได้แย่งปืนประจำตัวของเจ้าหน้าที่รักษาความสงบภายในอาคาร รัฐสภาด้วย

นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียด ทวีความรุนแรงบานปลายมากยิ่งขึ้น จึงประกาศ พระราชกำหนดการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังจากนั้นจึงแปรสภาพหน่วยงานศอ.รส. เป็น ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เพื่อให้สอดคล้องกับการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผอ.ศอฉ. และหัวหน้าผู้รับผิดชอบอีกตำแหน่งด้วย ซึ่งมีการประชุมกันทุกวันเพื่อประเมินข้อมูลข่าวสารจากสื่อและหน่วยงงานต่าง ๆ

พ.อ.สรรเสริญ เบิกความต่อว่า ตนเองได้รับมอบหมายให้เป็นโฆษก ศอฉ.มีหน้าที่นำมติของที่ประชุม ศอฉ.ไปชี้แจงให้ประชาชนและสื่อมวลชนทราบ เกี่ยวกับสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตประชาชนและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง  โดยมีกฎการใช้กำลัง 7 ขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล เน้นจากมาตรการเบาไปหาหนัก  และการใช้อาวุธ มี 2 ลักษณะ คือ 1. กระสุนซ้อมรบ หรือลูกแบ๊งค์ เพื่อปฏิบัติการจิตวิทยาข่มขวัญกลุ่มผู้ชุมนุม ปกติจะไม่มีลูกไฟออกจากปากกระบอกปืน แต่บางกรณีมีลูกไฟออกจากปากกระบอก แต่จะปรากฏประกายไฟน้อยมาก  2.กระสุนยาง ซึ่งใช้กับปืนลูกซอง  จะใช้ยิงในระยะห่างประมาณ 30 เมตร จะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการใช้กระสุนจริง ที่จะใช้วิธียิงขึ้นฟ้า หรือยิงเฉียงไปในทิศทางที่ปลอดภัย ซึ่งกระสุนจะไปไกลประมาณ 3 ก.ม..เพื่อข่มขวัญกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตามการจะใช้กระสุนจริง ก็ต่อเมื่อเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมประทุษร้ายต่อประชาชนหรือเจ้าหน้าที่จนเกิด อันตรายต่อชีวิต และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถหยุดยั้งด้วยวิธีการอื่นได้อีก โดยจะยิงไปยังจุดหรืออวัยวะของร่างกายส่วนที่ไม่สำคัญ

พ.อ.สรรเสริญ เบิกความอีกว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ศอฉ.ได้มีคำสั่งเพิ่มเติมขอคืนพื้นที่ โดยออกเป็นมติที่ประชุม  จากนั้นได้สั่งการทางวิทยุไปยังหน่วยกำลังต่างๆ  เพื่อให้เจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานบริเวณสะพานผ่านฟ้า และพื้นที่ใกล้เคียงโดยปฏิบัติตามกฎการใช้กำลัง โดยช่วงแรกสถานการณ์ไม่มีความรุนแรง กระทั่งก่อนเวลาประมาณ 17.00 น. ทาง ศอฉ.ได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยยุติปฏิบัติหน้าที่และถอนกำลัง เนื่องจากเห็นเวลา ใกล้จะมืดค่ำ เกรงจะมีกลุ่มอื่นสวมรอยก่อเหตุรุนแรงขึ้น
และวันเดียวกันเวลา 15.00 น. บริเวณสะพานปื่นเกล้าและถนนดินสอ กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้ก่อเหตุแย่งอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ กระทั่งช่วงหัวค่ำ เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ อยู่บริเวณแยกคอกหัวถูกกลุ่มนปช.ปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ไม่สามารถออกมาได้ ขณะเดียวกันก็มีเหตุการณ์ชายชุดดำที่แฝงกายอยู่ภายในกลุ่มคนเสื้อแดง ยิงระเบิดเอ็ม. 79 และระเบิดขว้างเข้าใส่ ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือเสธ.เปา อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 เสียชีวิตและทหารบาดเจ็บอีกหลายราย หลังเหตุการณ์ความรุนแรงวันที่ 10 เม.ย.2553 ปรากฏว่า อาวุธปืนของเจ้าหน้าที่สูญหายไป และแจ้งความไว้ที่สน.บางยี่ขัน ประกอบด้วย อาวุธปืน ทาโว่ 12 กระบอก และปืนลูกซอง 35 กระบอก และปรากฏว่าทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้นำอาวุธปืนที่แย่งจากเจ้าหน้าที่ไปโชว์บน เวทีการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า และต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถยึดคืนมาได้บางส่วนจากโรงแรมสวัสดี

จนกระทั่งวันที่ 19 พ.ค.2553 มีกลุ่มคนยิงปืนเอ็ม 79 เข้าในแฟลตตำรวจและสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส มีผู้บาดเจ็บหลายราย จึงมีคำสั่งให้กระชับพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังไปกดดันและเข้าไปได้แค่ถนนราชดำริ แยกเฉลิมเผ่าและแยกชิดลม และหยุดอยู่แค่นั้น ไม่เข้าไปยังแยกราชประสงค์ซึ่งกลุ่มนปช.ชุมนุมอยู่ โดยเป็นวิธีการสร้างความกดดันและกระะชับวงล้อมเข้ามาเพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุม ยุติการชุมนุมไปเอง และมีจุดประสงค์เพื่อจะเข้าไปควบคุมพื้นที่สวนลุมพินี ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทราบว่ามีการซุกซ่อนและยิงระเบิดเอ็ม 79 มาจากบริเวณนั้น ส่วนเหตุการณ์ยิงสกัดรถตู้ที่บริเวณถนนราชปรารภนั้น ตนเองไม่ทราบเนื่องจากปฏิบัติงานอยู่ในส่วนกลางไม่ได้ออกไปอยู่ในพื้นที่ดัง กล่าว แต่ทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งควบคุมดูแลตั้งแต่ บริเวณถนนราชปรารภ ถนนศรีอยุธยา ถนนพญาไท ถนนราชวิถีและถนนเพชรบุรี

ทั้งนี้พยานเบิกความเรื่องอื่นแล้วเสร็จ ศาลจึงนัดไต่สวนพยานต่อในวันที่ 6 ก.ค.นี้เวลา  09.00 น.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources