วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศาลไต่สวนการตายแท็กซี่แดงถูกยิงแอร์พอร์ตลิงค์


ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้( 10 ก.ค.)  ศาลนัดไต่สวนชันสูตรศพ ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของ นาย พัน คำกอง ชาวจ.ยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียม ใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 ระหว่างเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่บริเวณราชประสงค์
ในวันนี้พนักงานอัยการนำพยานขึ้นเบิกความจำนวน 5 ปาก ประกอบด้วย ร.ต.ท. วิทยา วงศ์แก้ว พงส.สน.พญาไท ร.ต.ท. สากล คำยิ่งยง พงส.สน.พญาไท ร.ต.อ. หญิง สุรีรัตน์ อัมพันศิริรัตน์ พงส.สน.ดินแดง พ.ต.อ.นพ.พรชัย สีธีรคุณ แพทย์รพ.พญาไท 1 และ นพ. ชัยยุทธ ต่างใจ แพทย์รพ.เกษมราษฎร์ประชาชื่น เข้าเบิกความ
โดยนาย โชคชัย อ่างแก้ว ทนายความญาติผู้ตาย กล่าวว่า การไต่สวนวันนี้พยานกลุ่มพนักงานสอบสวน เบิกความในประเด็นการไปร่วมชันสูตรศพนายพัน ที่ภายหลังถูกยิงแล้วถูกนำตัวรักษาที่รพ. โดยพยานกล่าวตอนหนึ่งว่า ในวันที่ 15 พ.ค. 2553  นอกจากนายพันจะถูกยิงเสียชีวิตแล้ว ยังมีผู้ชุมนุมอื่นๆถูกยิงเสียชีวิตกว่า 15-16 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่ง พงส.ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ เนื่องจากมีกำลังเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมพื้นที่อยู่ ขณะที่พยานกลุ่มแพทย์ ได้เบิกความประกอบเอกสารรายงานการตรวจพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตของนายพัน ระบุว่าถูกกระสุนขนาด .223 ที่ใช้กับอาวุธปืนเอ็ม 16 และอาวุธปืนทราโว่ของเจ้าหน้าที่ และยังเป็นกระสุนปืนชนิดเดียวกันกับที่ใช้ยิงนาย สมร ไหมทอง คนขับรถตู้ ผู้เสียหายที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและประจักษ์พยานในคดีด้วย ภายหลังศาลไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้วนัดไต่สวนครั้งต่อไปวันที่ 11 ก.ค. นี้ เวลา 09.00 น.

“กรมคุ้มครองสิทธิ” จ่าย 200,000 ประกันพนักงานเก็บขยะของกทม.เก็บซีดีเก่าขาย


วันนี้ ( 10 ก.ค.) ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ  นายไพฑูรย์  สว่างกมล   รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ  กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือนายสุรัตน์  มณีนพรัตน์  พนักงานประจำรถขยะของกรุงเทพมหานคร  จำเลยในคดีมีแผ่นซีดีเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิด ตามพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 2551 หลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับเป็นเงิน 133,400 บาทว่า  ในส่วนของกรมคุ้มครองสิทธิฯ วันนี้(10 ก.ค.) ตนได้ลงนามให้นำเงินจำนวน 200,000 บาท ไปช่วยเหลือในการประกันตัวนายสุรัตน์แล้ว
หลังจากก่อนหน้านี้เคยนำเงินจากกองทุนยุติธรรมไปช่วยประกันตัวในชั้น พิจารณาของศาลชั้นต้น  โดยจากนี้กรมคุ้มครองสิทธิฯจะให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องในการยื่นคำ ร้องต่อศาลฎีกาและยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการ  รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเรื่องจัดหาทนาย   เนื่องจากเห็นว่าการกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯน่าจะเน้นให้มีการดำเนิน การเอาผิดกับผู้ประกอบการมากกว่าการเอาผิดกับกลุ่มคนเหล่านี้ 

วุ่นหมอชิต2!ไล่จับทหารพรานพกระเบิด-ปืน


วันนี้(9 ก.ค.) ด.ต.สนทยา นาคบางแก้ว ผบ.หมู่ ป.สน.บางซื่อ  พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ  ร่วมกันจับกุมอาสาสมัครทหารพราน พลวัฒน์ วงศ์สิงห์ อายุ 24 ปี ชาวจ.อุบลราชธานี หลังพบมีท่าทางพิรุธ ยืนอยู่หน้าสถานีขนส่งหมอชิต 2 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร พร้อมวัตถุระเบิดชนิด อาร์จีดี(ลูกเกลี้ยง)  1ลูก และอาวุธปืนขนาด.38 และ.22 พร้อมเครื่องกระสุน
จากการสอบสวนพบว่า ขณะที่ ด.ต.สนทยา กำลังตรวจความเรียบร้อยหน้าสถานีขนส่ง พบผู้ต้องหาท่าทางมีพิรุธ จึงขอเข้าตรวจค้น แต่ผู้ต้องหาได้วิ่งหลบหนี ตำรวจพร้อมจยย.รับจ้าง ได้ช่วยวิ่งไล่ตามสกัด กระทั่งมาจนมุมที่บริเวณลานจอดรถ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจค้นภายในกระเป๋าเป้ของอาสาสมัครทหารพรานดังกล่าว พบว่าเป็นวัตถุระเบิด จึงได้แจ้งหน่วยเก็บกู้ วัตถุระเบิด หรือ อีโอดี เข้าทำการตรวจสอบและเก็บกู้ ขณะเดียวกันได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา มาสอบสวนยัง สน.บางซื่อ
โดยผู้ต้องหาให้การว่า เป็นอาสาสมัครทหารพรานหน่วย1012 จ.นราธิวาส ซึ่งกำลังเดินทางมาจากบ้านที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อไปประจำหน่วย ที่ จ.นราธิวาส ส่วนอาวุธที่ติดตัวมานั้นเป็นของส่วนตัวที่จะนำไปใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ ได้สอบสวนเบื้องต้นและกำลังประสานหน่วยทหารพรานดังกล่าวเพื่อตรวจสอบว่าเป็น อาสาสมัครทหารพรานจริงหรือไม่ เบื้องต้นแจ้งข้อหา พกพาอาวุธปืน พร้อมเครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ไปในที่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต

ฆ่าปาดคอแท็กซี่คาดวัยรุ่นหมายชิงทรัพย์


เมื่อเวลา 02.10 น. วันนี้(10 ก.ค.) พ.ต.ท.รักศักดิ์ รุ่งแสง พงส.(สบ3) สน.บางชัน รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกทำร้ายร่างกายเสียชีวิตภายในซอยหมู่บ้านสัมมากร 16 ซอยรามคำแหง 112 แขวงและเขตสะพานสูง กทม, จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ. วีรชัย  โพธิปัตชา ผกก.สน.บางชัน  พ.ต.ท. เจิดเกษม  ศิริโชติ สว.สส. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน สถาบันนิติเวช แพทย์เวรรพ.ตำรวจ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต๊กตึ๋ง
ที่เกิดเหตุเป็นซอยเปลี่ยว ที่หน้าบ้าน 144/9  ซึ่งเป็นร้านสุกฤตา ซักอบรีด พบรถแท็กซี่โตโยต้า อัลติส สีชมพู  ทะเบียน ทศ 3357 กรุงเทพมหานคร  ประตูหน้าด้านคนขับเปิดออก ใกล้กันนั้นพบศพนายเสาร์ นามโพ อายุ 48 ปี บ้านเลขที่21/17 อาคาร 7 เอื้ออาทรมีนบุรี แขวงและเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ โชเฟอร์รถคันดังกล่าว สภาพศพสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าชุมไปด้วยเลือด กางเกงยีน นอนตะแคงขวาจมกองเลือด มีบาดแผลถูกเชือดบริเวณลำคอเป็นแผลยาวลึกกว่า  10 ซม. ตรวจพบว่ากระเป๋าสตางค์ยังอยู่ภายในมีเงินสด 800 บาท ที่มิเตอร์พบตัวเลขขึ้นที่ 35 บาท มีคราบเลือดปรากฎในรถด้วย
สอบสวนน.ส.บังออน ศรีงาม อายุ 26 ปี ลูกจ้างร้านซักอบรีดให้การว่า ช่วงประมาณตี 1 กว่า ๆ ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ ตะโกน “ช่วยด้วย” ประมาณ 5 ครั้ง และมีการบีบแตรยาว ๆ อีก 2 ครั้งก่อนจะเงียบเสียงไป จึงเปิดไฟร้านและออกไปดูพบศพดังกล่าว จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที โดยตนพบว่าผู้ตายมักจะจอดรถหน้าป้ายรถเมล์ใกล้กับหมู่บ้านเป็นประจำ สำหรับซอยนี้ ปกติจะมืดและเปลี่ยว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่าที่ป้อมรปภ.ของหมู่บ้านรถคันดังกล่าว วิ่งเข้ามาแลกบัตรตอน 01.40 น. และภายในรถนอกจากผู้ตาย พบผู้โดยสาร 2 คน เป็นชายวัยรุ่น สวมเสื้อสีขาวทั้งคู่ โดยคนนั่งหน้าข้างผู้ตายสวมแว่น ส่วนคนหลังไม่ได้สวม ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะเรียกรถจากหน้าหมู่บ้านให้ไปส่ง ภายใน เมื่อรถวิ่งเข้ามาถึงจุดเกิดเหตุก็ลงมือก่อเหตุหมายชิงทรัพย์ แต่ผู้ตายขัดขืน และบีบแตรรถเสียงดังลั่น ทำให้คนร้ายลงมือเชือดคอ ก่อนหลบหนีไป โดยไม่ได้ทรัพย์สิน ไปด้วยเพราะมีเจ้าหน้าที่เดินทางมาเร็วและชาวบ้านออกมาดู ซึ่งจะได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าป้อมและล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป.

ศาลสั่งจำคุกเดือน “ตู่-จตุพร” หมิ่น “มาร์ค”


ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ ( 10 ก.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาหมายเลขดำ อ.404/2552 ที่นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนาย จตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332  จากกรณีเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 52
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้ว รับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี จำเลย เป็น. ส.ส.สัดส่วน สังกัดพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายค้าน โดยวันที่ 13 ม.ค.52 จำเลยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า “...โจทก์ออกมานั่งทำตัวเสมอกับพระเจ้าแผนดิน”
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 50,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ทั้งนี้หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับ และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือมติชนและผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย
ขณะที่นายจตุพร กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ตนน้อมรับคำพิพากษา แต่จะหารือกับทนายความเพื่อใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อไป เพราะคดีหมิ่นประมาทที่มีกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มีผลัดกันแพ้และชนะ โดยอาจจะนำคดีที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฟ้องหมิ่นประมาท ฯ นายสุเทพ มาเทียบเคียงในชั้นอุทธรณ์ต่อไปอย่างไรก็ตามไม่กังวลในคดีที่อื่นที่ถูกนาย อภิสิทธิ์ ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท เพราะตนพูดไปตามหลักฐานและเอกสารกระบวนการสู้คดีโดยวันหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ก็อาจตกเป็นจำเลยบ้างก็ได้

วอนฝ่ายค้านอย่านำเรื่องผลประโยชน์ประเทศเป็นเกมการเมือง


วันนี้ Z10 ก.ค.) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ได้นำจดหมายเชิญจากนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ที่ส่งถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อย่างเป็นทางการ ลงวันที่ 28 มิ.ย.2555 ขอให้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนชาวสหรัฐฯ ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา มาแสดงต่อสื่อมวลชน โดยนายสุรพงษ์ กล่าวว่า การนำจดหมายดังกล่าวมาแสดงเพื่อย้ำว่าการที่นายกรัฐมนตรีจะเยือนกัมพูชา ครั้งนี้ไม่ได้มีการแลกผลประโยชน์พลังงานในพื้นที่ทับซ้อนตามที่ฝ่าย ค้านกล่าวหา เพราะนางฮิลลารีได้กล่าวเชิญด้วยวาจาในระหว่างที่ตนเยือนสหรัฐฯ ซึ่งในเวทีนี้ นายรัฐมนตรีจะพูดถึงสิทธิบทบาทสตรีในฐานะเป็นผู้นำหญิง และแนวโน้มในการทำธุรกิจในอาเซียน ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน รวมถึงการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีจะใช้โอกาสนี้หารือทวิภาคีกับสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ที่ร่วมการประชุมเวทีนี้ด้วย โดยการหารือจะมีการหยิบยกการสร้างถนนเชื่อมโยงด่านปอยเปตเพื่อลดความแออัด ของด่าน ซึ่งถูกระงับไปในรัฐบาลที่ผ่านมา เพราะกัมพูชาไม่ต้องการความช่วยเหลือ และกรณีเขื่อนไชยบุรี ที่กัมพูชาและเวียดนามในฐานะประเทศท้ายน้ำ มีความไม่สบายใจ และต้องการให้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง ทั้งนี้ตนขอย้ำว่ารัฐบาลทำงานเต็มที่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้
ส่วนกระแสข่าวที่ว่ากระทรวงการต่างประเทศจะนำบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอ ยู)ไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป ปี 2544 มาพูดคุยเพื่อแบ่งผลประโยขน์ด้านพลังงานนั้น นายสุรพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน และยังอยู่ในระหว่างให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของไทยทำการศึกษาว่าจะดำเนิน การต่อจะเดินหน้าต่อหรือยกเลิก แต่นายกรัฐมนตรีให้นโยบายว่าอยากให้ทหารและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายต่างๆ มากล่าวหาอีก และถ้าจำเป็นก็ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ทั้งนี้ ตนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นรีบร้อน เพราะแม้จะตกลงกันได้ตอนนี้ แต่กว่าจะได้ใช้พลังงานก็ใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 20 ปี จึงขอให้ฝ่ายค้านยุตินำเรื่องผลประโยชน์ของประเทศมาเป็นประเด็นทางการเมือง ทั้งนี้ ตนไม่ทราบถึงเจตนารมณ์ของฝ่ายค้านที่จะยื่นตรวจสอบจริยธรรม แต่ยืนยันว่าทำตามหน้าที่ และไม่เคยพูดโดยปราศจากหลักฐาน ตนจึงขอเตือนกลับไปว่าขอให้คนที่จะยื่นตรวจสอบ ระมัดระวังตนเองให้ดี ซึ่งตนไม่อยากที่จะล้วงลึกรายละเอียดไปมากกว่านี้

“ปู” ยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนไปเขมรศุกร์ 13


ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (10 มี.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม.ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตการเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 13 ก.ค.อาจมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่า ไม่มีเรื่องนี้แน่ การไปกัมพูชามี 2 วาระใหญ่ คือ 1.ไปพูดปาฐกถาให้ภาคเอกชนได้รับฟังในฐานะแขกของ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ  และ 2.หารือทวิภาคีอย่างเป็นทางการกับสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในฐานะที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน อย่างไรก็ตามในการพบกับสมเด็จฮุนเซ็นนั้น ก็จะมีการหารือเรื่องการทำงานตามปกติ และความร่วมมืออื่น ๆ ซึ่งยืนยันว่าไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน  และไม่มีเรื่องเอ็มโอยูแน่นอน ส่วนปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหารนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวยอมรับว่า คงไปคุยในแง่รายละเอียด อย่างไรก็ตามหลักใหญ่แล้วจะเป็นการพูดคุยเรื่องการทำงานมากกว่าว่าจะทำอย่าง ไรให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในทุก ๆ ด้านมีการพัฒนาปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อถามว่าจะมีการพูดคุยเรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องของทางกระทรวงกลาโหมที่จะลองหารือกันในทางปฏิบัติ อะไรที่เป็นความร่วมมือกันได้ก็คงจะทำ  เมื่อถามว่าจะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีที่มีต่อกัน พูดคุยปัญหานี้อย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องขออนุญาตให้แยกออกจากกัน เรื่องความสัมพันธ์ต่าง ๆ ก็เป็นไปตามการทูตปกติ ส่วนข้อกฎหมาย เราก็ต้องเดินหน้าในเรื่องผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของประเทศ ซึ่งเราต้องทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ในการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของ ประเทศอย่างสูงสุด ขณะเดียวกันก็ต้องมองด้วยว่าทำอย่างไรให้ความสัมพันธ์ในด้านอื่น ๆสามารถเดินไปได้ด้วย เมื่อถามว่าจะนำบันทึกความตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ทำไว้เมื่อปี 44 กลับมาใช้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  “ยังไม่ได้พูดถึงเลย วันนี้เอาแค่รื้อฟื้นความสัมพันธ์ก็หนักแล้ว ก็ต้องช่วยกัน เอาแค่ตรงนี้ก่อนนะคะ”
ส่วนเนื้อหาที่จะไปพูดคุยกับนักลงทุนสหรัฐฯนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยหลักแล้วจะคล้าย ๆ กับที่ได้พูดคุยในช่วงการประชุม WEF ทั้งการตอกย้ำจุดยืนและความมั่นใจของประเทศไทยว่าเราเป็นศูนย์กลางในการ เชื่อมต่อกับภูมิภาคอาเซียน และมองความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯกับกลุ่มอาเซียน ซึ่งเราจะยืนยันความแข็งแรงในการรวมตัวของกลุ่มประเทศอาเซียนที่จะมีความ พร้อมในอีก 3 ปีข้างหน้า ความร่วมมือในการทำงานร่วมกันใน 3 เสาหลักของอาเซียน นอกจากนี้ก็จะยืนยันความพร้อมในการเตรียมป้องกันสถานการณ์อุทกภัยในปีนี้ โดยเฉพาะแผนเร่งด่วนในการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจ นิคมอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯเข้ามาลงทุน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนสถานการณ์การเมืองภายในประเทศนั้น ก็พร้อมชี้แจงต่อนักลงทุนสหรัฐฯ ว่าในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาจมีความคิดเห็นที่แตกต่าง รัฐบาลสนับสนุนการแสดงความคิดเห็นตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาลก็พยายามร่วมมือกับส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสงบและความปรองดองในประเทศ

“ปู” เชื่อศุกร์ 13 ไร้เหตุรุนแรงหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน


ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้(10ก.ค.)น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม.ถึงข้อกังวลที่ว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 13 ก.ค.ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งและแตกแยกในสังคมไทยอีก ครั้ง ว่า ต้องช่วยกัน เรื่องความขัดแย้งต่าง ๆ นั้นเราต้องค่อย ๆให้เวลาในการจะพูดคุยกัน ซึ่งบางครั้งเราเองก็ต้องมองทั้ง 2 มุม ทั้งมุมของการตอบโต้กันไปมาที่เป็นการตอบข้อโต้แย้งทั้ง 2 ฝ่าย แต่ขณะเดียวกันอย่าลืมว่าวันนี้สถานการณ์ของประเทศ เราไม่ได้เจอแค่ด้านนี้ด้านเดียว แต่เราเจอทั้งปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องความมั่นใจ ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งการที่จะทำให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นไปด้วยความราบรื่นคือความมั่นคง หรือความสงบในการที่จะพูดคุยกันด้วยสันติวิธี ซึ่งก็ต้องขอความร่วมมือกันด้วย
เมื่อถามว่าหากผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายที่เคลื่อนไหวอยู่ควรยุติหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่บอกไป การแสดงออกขอให้อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและสันติวิธี เมื่อถามว่าในวันที่ 13 ก.ค.ที่ไม่อยู่ในประเทศ ได้มอบหมายให้ใครดูแลเป็นพิเศษหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้กำชับทุกพื้นที่ให้คอยดูแลความสงบและความปลอดภัย เชื่อว่าถ้าทุกคนช่วยกันก็คงจะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็ต้องขอความร่วมมือกัน

โชเฟอร์แท็กซี่จอมป่วนทำเนียบร้องขอรับเงินเยียวยา


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้(10.ก.ค.) ระหว่างที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมเดินทางไปยังประเทศกัมพูชาในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ได้เกิดเหตุระทึกขวัญเมื่อมีรถแท็กซี่มิเตอร์ สีชมพู  ทะเบียน ทย 9522  กรุงเทพมหานคร มี นายพงศ์พิชาญ ธนาถิรพงศ์ เป็นคนขับ ได้ขับรถด้วยความเร็วสูงฝ่ารั้วเหล็กบริเวณประตู 1 สะพานชมัยมรุเชษฐ ถนนพิษณุโลก บุกเข้ามาถึงภายในทำเนียบรัฐบาล โดยขับวนหน้าตึกบัญชาการ 1 พร้อมกับบีบแตรเสียงดังลั่น สร้างความแตกตื่นให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตำรวจ ข้าราชการ และสื่อมวลชน
ขณะที่นายพงศ์พิชาญได้ ร้องตะโกนโวยวายเรียกร้องสิทธิ์รับเงินเยียวยาจากการได้รับผลกระทบจากการ ชุมนุมทางการเมือง เป็นครั้งที่ 2 โดยนำเงินออกมาปากับพื้น พร้อมระบุว่าเงินเยียวยาที่ได้รับจำนวน 6 แสนบาท ไม่เพียงพอ เพราะกรณีของตนเป็นการได้รับบาดเจ็บ ต้องได้รับเงินเป็นจำนวน 4 ล้านบาท
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เจรจาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเพื่อขอให้กลับออกไป แต่เจ้าตัวขัดขืน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่ดูแลความปลอดภัยภายในทำเนียบรัฐบาล ได้ประสานไปยังสน.ดุสิต เพื่อนำรถมาลากรถแท๊กซี่ออกจากทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับควบคุมตัวนายพงศ์พิชาญ ไปสงบสติอารมณ์และสอบสวนสาเหตุที่สน.ดุสิต
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายพงศ์พิชาญ เคยขับรถฝ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งดูแลความปลอดภัยบุกเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเรียกร้องเรื่องการจ่ายเงินเงินเยียวยาหลายครั้ง
ด้านนายสมพาส นิลพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก่อนหน้านี้นายพงศ์พิชาญ ได้มาร้องเรียน และได้รับเงินเยียวยาไปแล้ว ส่วนการเอาผิดเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ห่วงสถานการณ์การเมืองหลังศาลรธน.ตัดสิน


วันนี้(9 ก.ค.) ที่กองการบินกรมการขนส่งทหารบก(ขส.ทบ.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเรื่องการ แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ว่า ยังไม่ทราบว่าผลจะออกมาในรูปแบบใดทุกคนมีความคิดกันคนละอย่าง และตนไม่อยากให้ประชาชนเกิดความแตกแยกกัน ทั้งนี้ต้องติดตามดูว่าศาลจะพิจารณาอย่างไร ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยความยุติธรรมมีเหตุมีผลและยอมรับกันได้ สิ่งใดที่จะทำให้เกิดความรุนแรงและความแตกแยกในอนาคตก็ต้องละเว้น ทุกฝ้ายต้องพยายามมองถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ซึ่งทางรัฐบาลพยายามลดความรุนแรงลง แต่ฝ่ายที่จะโจมตีก็ต้องลดลงด้วย อย่างไรก็ตามเราเป็นห่วงในอนาคตว่าในเร็วๆนี้ หลังจากคำตัดสินวันที่ 13ก.ค.นี้จะเกิดอะไรขึ้น
“ผมไม่อยากให้มีการคาดการณ์อะไรล่วงหน้า ต้องไม่มีการพูดจาหรือข่มขู่ศาล ต้องปล่อยให้ศาลตัดสินสิ่งใดที่เป็นความยุติธรรมถูกต้องมีเหตุมีผล เราจะรู้ด้วยกันทั้งหมด หากทุกอย่างเป็นไปแบบนั้นผลก็จะออกมาดีกว่าที่เรากลัว ดังนั้นให้ทุกอย่างออกมาถูกต้องและยุติธรรมจะดีกว่า ทั้งนี้ผมยังไม่คิดไปถึงขั้นที่พรรคเพื่อไทยต้องโดนยุบพรรค เพราะหากยุบพรรคจะไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะยุบมาตั้งสองครั้งแล้ว ยุบครั้งที่สามก็ต้องมีพรรคใหม่เกิดขึ้น ถึงยุบพรรคไปรัฐบาลก็ยังอยู่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และผมยังสามารถทำงานได้ เพราะไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ถึงยุบพรรคไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น” พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าว.

รอสอบปมบิ๊กขรก.-คนดังครองที่ดินลำตะคอง


วันนี้( 9 ก.ค.) ที่กระทรวงมหาดไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.) เปิดเผยผลการตรวจสอบการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีการกระทำการทุจริต ออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบ ที่นิคมอุตสาหกรรมสร้างตนเองเขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา
โดยผลการตรวจสอบพบมีการครอบครองบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ ไม่ได้เป็นเกษตรกร ซึ่งผู้ถือครองส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับสูงมีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ทั้งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจและเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ข้าราชการระดับใหญ่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือภรรยาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ง ชาติ (คอป.) ว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือมีอำนาจในส่วนนี้โดยตรงก็ต้องทำ หน้าที่ไป คงไม่ไปปกป้องใครได้ เรื่องนี้เป็นแค่การมีข่าว อย่าไปปรักปรำว่าใครผิดขอให้หาข้อเท็จจริงไปก่อน. 

เรืองไกร” ยื่นคำร้องยุบ4พรรคการเมือง-2องค์กรอิสระ


ผู้สื่อข่าวรานงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้(9ก.ค.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบ 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนา และพรรคพลังชล  รวมทั้งขอให้ตรวจสอบ 2 องค์กรอิสระ ประกอบด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรรมนูญ มาตรา 291 ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68
โดยนายเรืองไกร กล่าวภายหลังการเข้ายื่นคำร้อง ว่า หลังจากการฟังการไต่สวนของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เห็นว่ามีประเด็นที่ต้องยื่นเพิ่มเติม โดยกรณีที่ผู้ร้องมายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พรรคการเมืองตามมาตรา 68 เป็น เรื่องที่ไม่ชอบ เนื่องจากรัฐสภาได้ผ่านวาระหนึ่งและวาระสองไปแล้ว โดยเฉพาะวาระหนึ่งที่มีการตั้งกรรมาธิการตามสัดส่วนของพรรคการเมือง ประกอบไปด้วย 6 พรรคที่ปรากฏอยู่ข้างต้น แต่ผู้ร้องเองได้ยื่นมาเพียง 2 พรรค จึงมายื่นเพิ่มเติมในประเด็นนี้  เมื่อคำวินิจฉัยออกมาในทิศทางใด ทั้ง 6 ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย รวมถึงองค์กรอิสระทั้ง 2 องค์ดังกล่าว เนื่องจากเข้าลักษณะเป็นบุคคลที่รับรู้เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้ว่าจะ ไม่ได้เป็นสมาชิกรัฐสภาก็ตาม
เมื่อถามว่า กรณีที่มีคนเรียกร้องให้ตุลาการที่เกี่ยวข้องอยู่ในกระบวนการยกร่างรัฐ ธรรมนูญปี 50 ประกอบด้วย นายนุรักษ์ มาประณีต นายสุพจน์ ไข่มุกด์ รวมถึง นายวสันต์  สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญที่มีมีคลิปออกมาเผยแพร่นอินเตอร์เน็ต ในการสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ นายเรืองไกร กล่าวว่า กรณีการถอนตัวของ 3 ตุลาการนั้นเป็นสิทธิไม่ใช่ องคณะตุลาการมาประชุมแล้วใช้ข้อห้ามไม่ให้ทั้ง 3 คนถอนจากการไต่สวนและวินิจฉัย ซึ่งเชื่อว่าจะมีปัญหาตามมา
นายเรืองไกร ยังกล่าวชี้แจงถึงกรณีที่สำนักข่าวอิสราออกมาระบุว่า ตนยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นเท็จว่า ตนมีหลักฐานที่จะนำไปชี้แจงได้ และพร้อมจะเป็นตัวอย่างให้ป.ป.ช.ตรวจสอบโดยมั่นใจว่า สามารถชี้แจงได้ไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เวลา14.00 น. นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำการเมืองกรีน จะเดินทางมาศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยื่นเรื่องให้ชัช ชลวร ถอนตัวออกจากองค์คณะ เพราะเห็นเป็นเสียงข้างน้อยว่าไม่รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา จึงไม่มีอำนาจในการร่วมพิจารณาแล้ว

ยิงสนั่นเมืองนักศึกษากาฬสินธุ์ตาย 3 เจ็บ 3


วันนี้( 10 ก.ค.) พ.ต.ท.ลังสันต์ ประคำ  สารวัตรเวร  สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ได้ รับแจ้งมีกลุ่มวัยรุ่นไล่ยิงกันบริเวณหน้าร้านขายรถมือสอง ถนนเลี่ยงเมืองกาฬสินธุ์  มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย หลังรับแจ้งเหตุ จึงรีบนำกำลังเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ  พบศพนายจีระศักดิ์ ชาตะนะ อายุ 20 ปี  สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงสีดำ สภาพศพที่ใบหน้ามีแผลถลอก ตามลำตัวถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่บริเวณหลัง 3 นัด  และห่างจากจุดเกิดเหตุจากจุดแรกประมาณ 1 กิโลเมตร บริเวณหน้าร้านขายรถมือสองสมเด็จง้วนเชียง   พบผู้บาดเจ็บสาหัส   3 ราย ทราบชื่อคือนายชินพงศ์ หาญกุล อายุ 19 ปี   ถูกยิง 2 นัด กระสุนเจาะเข้าที่ขาซ้ายเหนือเข่า 1 นัดและเจาะเข้า ซี่โครงขวา 1 นัด  นายธนกฤต โคตรรพัฒน์ อายุ 19 ปี   ถูกยิง กระสุนเจาะเข้าที่แก้มซ้ายทะลุคาง  ทั้งคู่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมาและ นายต่อศักดิ์  โสดภาคะสัง อายุ 20 ปี  ถูกยิงที่มือซ้าย 1 นัด แขนขวาอีก 1 นัด ไม่ถูกจุดสำคัญตำรวจจึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาล
สอบสวนนายต่อศักดิ์   ทราบว่ากลุ่มผู้ตายทั้งหมดเป็นนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพห้วยผึ้ง อ.ห้วยผึ้ง จ.กาฬสินธุ์  ซึ่งได้มาฝึกงานอยู่บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่ง   โดยก่อนเหตุได้นัดกันไปเที่ยวสถานบันเทิง จนเมื่อเวลา 03.00 น.สถานบันเทิงปิดลงจึงได้พากันเดินทางกลับโดยได้ขี่รถจักรยานยนต์ซ้อน 3 รวม 2 คัน แต่ได้ไปแวะซื้อบัตรเติมเงินที่ร้านสะดวกซื้อ สาขาทุ่งศรีเมือง ระหว่างนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง นั่งอยู่บริเวณด้านหน้าและได้เกิดมีปากเสียงกัน และเมื่อเดินทางกลับ รถได้วิ่งผ่าน ถึงหน้าโรงสีใต้ฟ้ากาฬสินธุ์ ถนนทุ่งศรีเมือง ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนั้น จึงได้ขี่จักรยานยนต์หลบหนี แต่กลุ่มคนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามไล่ยิง จนทำให้มีผู้เสียชีวิต  3 ราย
พ.ต.อ.เสริมศักดิ์ เนื้อนวล ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์  กล่าวว่า  สาเหตุน่าจะเขม่นกัน เพราะจากที่สอบสวนผู้เสียหายที่รอดชีวิตทราบว่า ได้เข้ามาเที่ยวตามสถานบันเทิงและไปจบลงที่ร้านสะดวกซื้อก่อนที่จะถูกไล่ยิง จนเสียชีวิต เบื้องต้นตำรวจจะเรียกเจ้าของกิจการให้ส่งพนักงานมาให้ปากคำ และจะทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกมุมเมืองว่ามีภาพหรือไม่ ทั้งนี้เชื่อว่า วัยรุ่นที่ก่อเหตุยิงกันจะเป็นกลุ่มคนในเมืองกาฬสินธุ์ และยังคงหลบอยู่ในพื้นที่

แพทย์เจาะปอด “พ่อคูณ” หลังพบมีภาวะน้ำท่วมปอด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้(10 ก.ค.)  นายแพทย์พินิศจัย นาคพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเฉพาะทางด้านต่าง ๆ รวม 6 คน เข้าทำการตรวจรักษาอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณเป็นการด่วน หลังแพทย์ทำการเอกซเรย์บริเวณทรวงอก พบว่า มีภาวะน้ำคลั่งอยู่ในปอดบริเวณส่วนบนด้านขวาผิดปกติประมาณ 300 ซีซี. จึงทำการผ่าตัดเจาะปอดบริเวณด้านหลังของหลวงพ่อ เพื่อดูดน้ำออกเป็นการด่วน ใช้เวลาในการทำหัตถกรรมรักษานานกว่า 30 นาที
ขณะเดียวกัน รพ.มหาราชนครราชสีมา ออกประกาศฉบับที่ 3 เรื่องอาการอาพาธพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) ระบุว่า คณะแพทย์ได้สรุปการตรวจพระเทพวิทยาคม  อาการโดยรวมดีขึ้น รู้สึกตัวดี ไข้ลดลง สัญญาณชีพและความดันโลหิตปกติ พูดคุยรู้เรื่อง แต่พบว่า มีน้ำในช่องปอดเพิ่มขึ้น ประมาณ 200-300 ซีซี. (ปกติไม่เกิน 50 ซีซี.) เป็นผลจากภาวะแทรกซ้อนของปอดอักเสบ ส่วนการตรวจเลือด เอ็กซเรย์ปอด อัลตร้าซาวด์ปอด และเจาะน้ำในปอด ผลการตรวจเป็นปกติ คณะแพทย์ยังคงให้การรักษาด้วยยาและติดตามอาการโดยใกล้ชิด

ชาวสวนยางสุราษฎร์ฯปิดถนนสาย 41 ตัดขาดเส้นทางล่องใต้


วันนี้ (10 ก.ค.) ที่บริเวณแยกบ้านท่าน้ำแห้ง พื้นที่หมู่ 4 ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี โดยการนำนายมนูญ อุปลา ประธานสมาพันธ์เกษตรกรชาวสวนยาง อ.เวียงสระ นายกิตติศักดิ์ วิโรจน์ ประธานสมาพันธ์เกษตรกร จ.สุราษฎร์ธานี ได้ตั้งเวทีปราศัยด้วยการนำรถบรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงจอดริมถนนสาย 41 (เอเซีย) ในช่องทางขาล่องใต้ เรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคายางพาราแผ่นดิบในราคา กก.ละ 120 บาทพร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 15,000 ล้านบาท ในการแทรกแซงราคายางพาราให้มีการจัดสรรงบประมาณอย่างทั่วถึงเพื่อให้ดึงราคา ยางพาราให้ได้ กก.ละ 120 บาท โดยมีกลุ่มเกษตรกรทะยอยเข้าร่วมกว่า 2,000 คน
นายมนูญ อุปลา ประธานสมาพันธ์เกษตรกร อ.เวียงสระ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นผลต่อเนื่องจากการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแล ปัญหาราคายางพาราแผ่นดิบ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลรับปากจะดำเนินการใช้งบประมาณจำนวน 15,000 ล้านบาทดึงตลาดราคายางพาราให้สูงขึ้น แต่จนถึงขณะนี้เวลาผ่านไป 20 วัน กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงในด้านราคา กลับกันยิ่งทำให้ราคายางพาราปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจน ณ ปัจจุบันราคาท้องถิ่นที่เกษตรกรขายได้เหลือเพียง กก.ละ 85 บาท
“ในเมื่อเราเรียกร้องอย่างสันติ และทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่ผู้เกี่ยวข้องยังเพิกเฉย เหมือนมองไม่เห็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน เราจึงจำเป็นต้องยกระดับของการเรียกร้องด้วยการปิดถนนสายหลักของภาคใต้ นายมนูญ กล่าวในที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายว่า เมื่อเวลา 12.30 น. กลุ่มเกษตรกรกว่า 500 คน ได้ปิดถนนสาย 41 ทั้งขาขึ้นและขาล่อง ทำให้การจราจรบนเส้นทางสายหลักของภาคใต้ต้องเป็นอัมพาต การจราจรติดขัดยาวร่วม 20 กม. ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต้องระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ อาสาจราจรทางหลวง กว่า 200 คน เข้าอำนวยความสะดวก ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุม ยังยืนยันที่จะเจรจากับรัฐบาล โดยไม่ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด เนื่องจากไม่มีความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหา และมีแนวโน้มที่จะชุมนุมขับไล่นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีด้วย โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา
พ.ต.ท.จตุพล เร่งถนอมทรัพย์ สว.ส.ทล.5 กก.2 บก.ทล. กล่าวว่า จากสถานการณ์การปิดถนนสาย 41 บริเวณแยกบ้านท่าน้ำแห้ง หมู่ 4 ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาราคายางพาราตำต่ำ ทำให้การจราจรบนถนนสาย 41 ติดขัดแต่ยังสามารถใช้เส้นทางสายรองได้ แต่ต่อมาทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดถนนสายรอง คือ ทางหลวง 4112 บริเวณ กม.ที่ 18-19 บริเวณบ้านบางใหญ่ ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง ทำให้การใช้เส้นทางสายเบี่ยงดังกล่าวถูกปิดไปโดยปริยาย
ล่าสุดตำรวจทางหลวงได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ รถตรวจการณ์ พร้อมกำลังอาสาจราจรทางหลวง คอยอำนวยความสะดวกตามจุดต่างๆ พร้อมแนะนำเส้นทางสำรอง คือ ทางหลวง 4256 และ ทางหลวง 4262 แทนเป็นระยะทางประมาณ 36 กม. ขณะเดียวกันได้ประสานไปยัง ทางหลวงกระบี่ ชุมพร พังงา และ นครศรีธรรมราช ให้ประชาสัมพันธ์ผู้ใช้เส้นทางขึ้น-ลงกรุงเทพ ไปใช้ถนนสาย 4 (เพชรเกษม) แทน โดยผู้ที่จะเดินทางจากกรุงเทพมุ่งหน้าภาคใต้ สามารถใช้เส้นทาง 4 ได้ที่บริเวณแยกปฐมพร จ.ชุมพร ส่วนผู้ที่เดินทางจากภาคใต้ล่าง จ.สุราษฎร์ธานีลงไป ให้ใช้เส้นทางแยก กม.18 เข้าเส้นทางหลวง 401 มุ่งหน้าไป อ.ตะกั่วป่า เพื่อตัดเข้าถนนหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ที่แยกโคกเคียน อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โดยตำรวจทางหลวงจะรายงานสภาพการจราจรให้ทราบทุกระยะจนกว่าสถานการณ์การ ชุมนุมจะคลี่คลาย

ปชป. โวยแดงสกรีนเสื้อขอบคุณ “ยิ่งลักษณ์”


ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้(10 ก.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย ใส่เสื้อแดงด้านหลังสกรีนข้อความ “ขอบคุณนายกฯยิ่งลักษณ์” ไปรอรับผู้ต้องหาคนเสื้อแดง ในคดีเผาศาลกลาง จังหวัดมุกดาหาร ว่า ตามภาพข่าวนอกจากนายเจ๋ง แล้วยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงใส่เสื้อดังกล่าวไปด้วย ซึ่งถ้าเป็นเงินส่วนตัวของ    น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการจ่ายเงินประกันตัวให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงดังกล่าว ก็จะไม่รู้สึกกระดากใจแต่การประกันตัวครั้งนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ และครม.ใช้เงินภาษีของประชาชน มาดำเนินการโดยเฉพาะเสื้อที่สกรีนข้อความดังกล่าว ไม่ทราบว่าใช้เงินจากภาษีประชาชนด้วยหรือไม่
“ผมขอเรียกร้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ถ้าไม่เห็นด้วยกับการถูกแอบอ้างชื่อไปใช้ในทางที่ผิดก็ควรออกมาห้ามปรามการ กระทำของบุคคลเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นพวกผมก็คงต้องหาช่องทางดำเนินการทางกฎหมาย เพราะมีการนำเงินภาษีของประชาชนมากล่าวอ้างว่าเป็นเงินของตัวเอง” นายชวนนท์ กล่าว
นายชวนนท์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ แกนนำคนเสื้อแดง ที่เคยประกาศว่าให้เผาเลยและพร้อมจะรับผิดชอบ แต่ขณะนี้นายณัฐวุฒิ รับผิดชอบด้วยการเป็นรัฐมนตรี ขณะที่คนที่ช่วยเหลือคนเสื้อแดง กลายเป็นประชาชนทั้งประเทศ และห้างร้านที่ถูกพวกท่านเผา จึงอยากให้คนเสื้อแดงตาสว่างเสียที ได้รับทราบว่าใครกันแน่ที่หลอกใช้ชีวิตของประชาชนเพื่อก้าวเข้าสู่อำนาจ และถ้านายณัฐวุฒิ จะแสดงความรับผิดชอบจริง ก็ควรนำเงินส่วนตัวของตัวเองไปประกันตัวให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมสกรีนเสื้อว่า “ขอบคุณอำมาตย์เต้น” จะเหมาะสมกว่า

ปชป.ตีปี๊บสตง.สั่งชะลอจ่ายเงินคูปอง 2พันบาท


วันนี้ (10 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ได้รับทราบข่าวว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีความเห็นในเบื้องต้น โดยขอให้รัฐบาลชะลอการจ่ายเงิน ในโครงการแจกคูปอง 2,000 บาท เป็นส่วนลดในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าให้กับประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปี ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการของกระทรวงพลังงาน ในสมัยที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นรมว.พลังงาน โดยสตง.เห็นว่า เข้าข่ายใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานผิดวัตถุประสงค์
ซึ่งจากการติดตามพบว่า โครงการนี้มีเป้าหมายที่จะแจกคูปอง 2,000 บาท 1ล้านคูปอง รวมวงเงิน 2 พันล้านบาท แต่แจกจริง 1.8 พันล้านบาท ประชาชนขอขึ้นเงิน 1.3 พันล้านบาท และมีการตรวจเอกสารแล้ว 500 ล้านบาท แต่จ่ายเงินไปแล้ว 300 ล้านบาท จึงอยากได้รับคำตอบจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร หากสตง.ชี้มูลว่าเป็นการใช้เงินที่ผิดวัตถุประสงค์เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่าเรื่องนี้มีคนทำผิดและมีเจตนาที่ทำผิดอย่างแน่นอน ดังนั้นพรรคจะติดตามหาคนผิดมาลงโทษ ซึ่งขณะนี้นายพิชัย ที่เคยยืนยันว่าเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์และใช้เงิน อย่างถูกต้องได้พ้นจากตำแหน่งแล้ว ผู้ที่ต้องรับผิดชอบและต้องตอบคำถาม คือ นายกรัฐมนตรี

“ชวนนท์” แปลกใจเขมรอ่อนข้อถอนทหารเขาพระวิหารก่อน “ยิ่งลักษณ์”ไปเสียมราฐ


วันนี้ (10 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ตนรู้สึกประหลาดใจ เกี่ยวกับท่าทีของประเทศกัมพูชา ที่มีท่าทีอ่อนลง โดยเฉพาะที่มีการแถลงว่า จะมีการถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารตามคำสั่งของศาลโลก ทั้งที่ก่อนหน้านี้กัมพูชามีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมถอนทหารออกจากบริเวณดัง กล่าว ซึ่งท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปพบสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรี ประเทศกัมพูชา และนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ที่เสียมราฐ ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ จึงสงสัยว่า 1.กัมพูชาใช้โอกาสนี้เพิ่มแรงกดดันในสังคมไทย เพื่อให้เห็นว่าไทยกระทำการผิดพันธกรณีจากคำสั่งของศาลโลก เพื่อช่วงชิงชัยชนะในการต่อสู้ในศาลโลก หรือ 2.กัมพูชาได้รับอะไรแลกเปลี่ยนจนเป็นที่พอใจหรือไม่ เช่น พื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย ที่มีแหล่งพลังงาน ทั้งก๊าซและน้ำมัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สมเด็จฮุนเซ็น รอคอยเรื่องนี้มาโดยตลอด

ปชป. จี้รัฐบาลรับมือวิกฤตยุโรป หลัง 5 เดือน ส่งออกลด 3หมื่นล้าน



วันนี้ ( 10 ก.ค.) นายชวนนท์  อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ายอดการส่งออก และ นำเข้า สินค้าเกษตรช่วงเดือน ม.ค. -  พ.ค.  55  เกินดุลน้อยกว่า ม.ค.- พ.ค. 54  สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ถึง 3 หมื่นล้านบาท หากดูรายละเอียดในแต่ละเดือนของปี 54  จะพบว่ามูลค่าส่งออกและนำเข้ามีมูลค่าเกินดุลมากกว่าปี 55 เกือบทั้งหมด มีเพียงแค่เดือน ก.พ. 55 เพียงเดือนเดียวที่เกินดุลมากกว่าปี 54 ประมาณ  4,000 ล้านบาท  อย่างไรก็ตาม  การลดลงของมูลค่าการส่งออกยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบจากวิกฤติยุโรป  ซึ่งหากได้รับผลกระทบจากวิกฤติยุโรป ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมโดยเฉพาะการส่งออกไปจีน จะยิ่งเกิดความเสียหายมากกว่านี้ และ ช้าเกินกว่าจะแก้ไข
อย่างไรก็ตามในการส่งออกข้าวที่ได้รับผลกระทบจาก จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล  จากข้อมูลพบว่ามูลค่าการส่งออกข้าว เดือน ม.ค. - พ.ค. 54 สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์  สูงถึง 15,000  ล้าบาท เทียบกับ ม.ค. - พ.ค. 55 ของรัฐบาลนี้ ที่อยู่แค่ 9,000  ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาในเชิงปริมาณจะพบว่าปริมาณการส่งออกจะยิ่งน้อยลงกว่ารัฐบาล ที่แล้ว เพราะราคาขายข้าวของรัฐบาลชุดนี้แพงขึ้นเนื่องจากผลกระทบของโครงการรับจำนำ ข้าว

"ปู"ไม่ห่วงศุกร์ 13 บอกฟังผลตัดสินศาลรธน.ที่เขมร


วันนี้(9 ก.ค.) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ถึงกรณีที่จะเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ว่า ตนเดินทางไปในฐานะเป็นแขกของนางฮิลลารี คินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อพูดคุยกับนักธุรกิจสหรัฐฯ และถือโอกาสไปเยือนกัมพูชาด้วย  เมื่อถามว่าเป็นห่วงสถานการณ์ในประเทศในวันดังกล่าวหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่บอกไป เราก็ต้องมีหน้าที่ทำงานไปโดยไม่เสียสมาธิ ภารกิจปกติก็ต้องดำเนินไป ซึ่งก็คงรอฟังผลการวินิจฉัยคดีที่ทางต่างประเทศ

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่นายกรัฐมนตรีจะนั่งควบ รมว.กลาโหมในการปรับครม.ที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆนี้ นายกรัฐมนตรี หัวเราะพร้อมย้อนถามกลับว่า ยังไม่ทราบเลย เมื่อถามว่าการปรับครม.มีความคืบหน้าไปแค่ไหนแล้ว  น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยัง  ขอทำงานก่อน มีเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบ ซึ่งไม่ว่าจะมีข่าวออกมาอย่างไร วันนี้รัฐมนตรีทุกคนต้องทำงานของตัวเองให้เต็มที่ เมื่อถามว่าครบ 1 ปี จะมีการประเมินผลงานรัฐมนตรีหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ก็ได้ติดตามงานไปเรื่อยๆ  ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อครบ 1 ปีก็ต้องประเมินผลอยู่แล้ว ทั้งนี้ในการปรับครม.นั้น จะยึดหลักเกณฑ์ความเหมาะสม ผลงาน เนื้องาน และก็ต้องดูภาพรวมด้วย โดยต้องมีทั้งผลงาน และดูความเหมาะสมของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งด้วยว่าเป็นอย่างไร เมื่อถามว่าอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่จะต้องรออีกนานหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะยังไม่ทราบว่าจะปรับเมื่อไหร่ ถ้าจะปรับแล้วจะแจ้งให้ทราบ

ตำรวจลั่นเอาอยู่หากมีป่วนศาลรัฐธรรมนูญ


ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้(10 ก.ค.) พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น. เปิดเผยภายหลังการหารือ เตรียมความพร้อมการดูแลความปลอดภัยศาลรัฐธรรมนูญ ในช่วงการพิจารณาคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 13 ก.ค.นี้  ว่า จากการประเมินเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า จะมีกลุ่มที่สนับสนุน คัดค้าน และให้กำลังใจตุลาการฯ เดินทางมาที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้มีการวางกำลังเพื่อป้องกันหากมีมวลชนบุกรุกเข้ามายังสำนักงานศาลรัฐ ธรรมนูญ ซึ่งเบื้องต้นก็ได้วางกำลังไว้ 3 กองร้อย  เพื่อดูแลความปลอดภัยเนื่องจากที่ตั้งของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังมีหน่วย งานราชการอีกหลายแห่งตั้งอยู่ด้วย จะมีการเตรียมแผนรับมือเพื่อรักษาสิทธิ์ และอำนวยความสะดวกให้กับข้าราชการที่จะต้องเดินทางมาปฎิบัติงานในวันดัง กล่าว
ทั้งนี้ให้ความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่การรายงานข่าวว่าจะมีมือที่สามเข้ามาสร้างสถาการณ์ แต่ก็ได้มีการวางกำลังไว้บริเวณรอบนอก มีจุดตรวจและชุดลาดตระเวณ รวมทั้งชุดสืบสวนหาข่าว ทั้งนี้ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ประจำทั้ง 5 จุด ที่เป็นจุดเข้า-ออกอาคาร ซึ่งจะตรวจและคัดกรองบุคคลเข้า-ออกในวันดังกล่าวอย่างเข้มงวด  อย่างไรก็ตามในวันที่ 12 ก.ค.จะส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน มาประจำที่ศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับซักซ้อมเหตุการณ์จำลองเพื่อเตรียมรับมือในวันจริง หากเกิดสถานการณืที่คับขับก็สามารถเรียกำลังเสริมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ ในทันที

“เชื่อว่าในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ไม่น่าจะเกิดความวุ่นวายใดๆขึ้น แต่หากมีความวุ่นวายเกิดขึ้นก็มั่นใจ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถรับมือ และควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็ขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบของกฎหมาย” พล.ต.ต.ปริญญากล่าว
พล.ต.ต.ปริญญา กล่าวต่อว่าการปฎิบัติการครั้งนี้ ใช้เพียงอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน ประกอบด้วย  โล่ห์  หมวก กันชน และแก๊สน้ำตา ทั้งนี้ยืนยันว่าจะไม่ใช่ความรุนแรง ในการควบคุมฝูงชน แต่ปฎิบัติไปตามมาตรา หรือระดับความรุนแรงของมวลชน อย่างไรก็ตามเราได้นำบทเรียนจากเหตุการณ์ในอดีต โดยเฉพาะการควบคุมมวลชนที่หน้าอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่  30-31 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อนำมาประยุคใช้และปรับชั้นตอนการควบคุมฝูงชนขึ้นใหม่
ส่วนมาตรการณ์ดูแลรักษาความปลอดภัยขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พล.ต.ต.ปริญญากล่าวว่า  ไม่ได้เพิ่มกำลังหรือต้องจัดเจ้าหน้าที่ไปอารักษ์ขา เนื่องจากตุลาการมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว การเข้าออก ก็มีช่องทางพิเศษ  แต่หากมีมวลชนปิดล้องทางเจ้าหน้าที่ก็พร้อมจะเคลียช่องทางเพื่ออำนวยความ สะดวกในการเข้า-ออก

ปล่อยตัว " 9 เสื้อแดง"ผู้ต้องขังคดีความขัดแย้งทางการเมือง


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ก.ค. ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่  นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. นพ.เหวง โตจิราการ มาร่วมรอรับการปล่อยตัวแนวร่วมกลุ่ม นปช. ผู้ต้องขังคดีอาญาเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง จากศาลจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 9 คน หลังจากศาลฎีกา ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้วางเงินประกัน คนละ 1 ล้านบาท ซึ่งมีเงื่อนไขว่า ห้ามออกนอกประเทศอย่างเด็ดขาด โดยมีกลุ่มแนวร่วม นปช. จำนวนประมาณ 100 คน มารอรับและให้กำลังใจผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัว

ด้านนายนรินทร์พงศ์ ฯ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำสั่งปล่อยตัวผู้ต้องขัง 13 คนจากจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งวันนี้ทั้งหมดก็ได้เดินทางมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สมาคม ก่อนจะยื่นเอกสารต่อศาลเพื่อเป็นหลักฐานว่า ทั้งหมดไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด ส่วนผู้ต้องขังที่เหลือยังอยู่ระหว่างยื่นคำร้อง โดยการประสานกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งขณะนี้มีผู้ต้องขังอีกประมาณ 20 คน ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว โดยกรมคุ้มครองสิทธิ์และเสรีภาพ ได้ยื่นคำร้องให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องขัง ที่ถูกจับในการชุมนุมของกลุ่มนปช. รวม 31 คน ใน 4 จังหวัด คือ จังหวัดมหาสารคาม 9 คน จังหวัดอุดรธานี 5 คน จังหวัดอุบลราชธานี 4 คน และจังหวัดมุกดาหาร 13คน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีวางเพลิงเผาทรัพย์ และบุกรุกสถานที่ราชการ

ด้านนางธิดาฯกล่าวว่า แม้ว่าเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าทั้ง 9 คน จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่ผู้ต้องขังในคดีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับการเมืองจะได้รับสิทธิในการต่อสู้ คดีความอย่างเต็มที่ ส่วนวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคำร้องคัดค้านการพิจารณาแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ มาตรา 68 ทางกลุ่ม นปช.ยังไม่กำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน แต่ยืนยันว่า จะต่อสู้อย่างระมัดระวัง มีเหตุผล และด้วยสติปัญญา เดินทางมายังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่
ขณะเดียวกันได้มีการทำบันทึกการรายงานตัวของกลุ่ม นปช. 13 คน ที่ศาลจังหวัดมุกดาห
าร ได้รับการปล่อยตัวก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นการแสดงว่า จำเลย ทั้งหมดที่ได้รับการประกันตัวจะไม่หลบหนี และให้ศาลเห็นว่า จำเลย ทั้งหมดไม่มีการหลบหนี เพื่อที่จะอนุญาตให้ประกันตัว ผู้ต้องขัง ที่ยังไม่ได้รับการประกันตัวต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศ บริเวณเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ มีกลุ่ม นปช. เดินทางมาเป็นกำลังใจและร่วมปล่อยตัวผู้ต้องขัง และมีการมอบของที่ระลึกแก่นายกสมาคมทนายความ เพื่อนำไปมอบให้กับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี จากนั้นผู้ต้องขัง ซึ่งถูกปล่อยตัว จะเดินทางไปขอบคุณ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต่อไปอีกด้วย

สืบสวนภาค1รวบแก๊งโจรกรรมรถจยย.


วันนี้( 9 ก.ค.) พล.ต.ต.ทวิชชาติ พละศักดิ์ ผบก.สส.ภ. 1 พ.ต.อ.ศุภากรณ์ จันทาบุตร ผกก.ปพ.บก.สส.ภ. 1 ร่วมแถลงข่าวจับกุมนายพิษณุ หรือเปี้ยก แก้วทองคำ อายุ 22 ปี  นายอนุภาพ หรือตุ๊ เซ็นปัก อายุ 20 ปี ในข้อหาร่วมกันร่วมกันลักทรัพย์รถจยย. และรับของโจร พร้อมของกลางเป็น รถจยย. 7 คัน อุปกรณ์การโจรกรรมรถจยย. โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ ร่วมกันตั้งแก๊งโจรกรรมรถจยย.ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี อ่างทอง มาแล้วกว่า 30 คัน

สอบสวนนายพิษณุ ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันออกตระเวนโจรกรรมรถจยย. ที่จะจอดตามตลาดนัด สถานบันเทิง หอพัก โดยใช้กุญแจผี ซึ่งเป็นกุญแจหกเหลี่ยมแบน ซึ่งทำมาจากปีกเครื่องบิน นำไปใช้ไขสตาร์ทรถจยย.  จะใช้เวลาเพียง 2-5 นาที โดยจะเลือกเอาเฉพาะรถจยย.ที่ไม่มีการป้องกัน เช่น การล็อคล้อ ถ้ามีการล็อคเพียงคอของรถจยย.จะง่ายต่อการโจรกรรม ปัจจุบันยกแก๊งโจรกรรมรถจยย.มีมาก เพราะทำง่ายโจร แย่งตลาดกันซื้อขาย ทำให้ราคาขายรถจยย.ที่โจรกรรมราคาตกลงเหลือเพียงคันละ 2,000-3,000 บาท จากเดิมที่มีการซื้อขายกันในตลาดมืดราคาคันละ 5,000 บาท

พล.ต.ต.ทวิชชาติ เปิดเผยว่า สำหรับแก๊งนี้จะมีด้วยกัน 5 คน หลบหนีไปได้ 3 คน กำลังให้ฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามตัวผู้ต้องหา หลังจากโจรกรรมรถจยย.แล้วจะนำไปขาย ได้เงินมาจะนำไปเที่ยวในสถานบันเทิง และซื้อยาบ้ามาเสพ

แม่เฒ่าวิ่งตามรถไฟกระโดดพลาดโดนทับขาขาด


วันนี้( 9 ก.ค.)  ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์” ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุกรุงเทพ มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง  ว่าเกิดเหตุคนพลัดตกลงจากรถไฟ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บริเวณชานชลาขาเข้า สถานีรถไฟบางเขน  ถนนวิภาวดีรังสิต  แขวงลาดยาว เขตจตุจักร จึงเดินทางไปตรวจสอบ
พบผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่ง ทราบชื่อต่อมาภายหลัง น.ส.สายหยุด ภาพโลหะ อายุ 66 ปี ชาว จ.สระบุรี นอนหงายที่บริเวณรางรถไฟ ภายในสถานีรถไฟบางเขน ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด และมีสีหน้าที่ซีดเผือกดวยความตกใจอยู่ตลอดเวลา โดยมีบาดแผลฉกรรณ์ มีลักษณะฉีกขาด จนกระดูกขาโผล่ออกมา ที่บริเวณขาท่อนล่าง ด้านซ้าย ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มุงดู เป็นจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพจึงได้ช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่ง รพ.ภูมิพลฯ อย่างเร่งด่วน

จากการสอบถามประชาชนผู้เห็นเหตุการณ์ ได้ความว่า  ก่อนเกิดเหตุนั้น ก็ได้มีรถไฟ ขบวนที่ 233 กรุงเทพ – สุรินทร์  ได้จอดรับ –ส่งผู้โดยสาร อยู่ภายในสถานนีรถไฟบางเขนปกติ ซึ่งในระหว่างที่รถไฟขบวนดังกล่าวกำลังที่จะวิ่งออกจากสถานี ฯนั้น  น.ส.สายหยุด ก็ได้พยายามที่จะวิ่งตามและกระโดดขึ้นไปบนรถไฟ แต่เกิดเสียหลักพลัดตกลงจากขบวนรถไปดังกล่าวฯ จนทำให้รถไฟทับขาข้างซ้ายจนขาด เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่การรถไฟ ประจำสถานีรถไฟบางเขน ได้ทำการประสานพนักงานสอบสวน สน.นพวงษ์ เพื่อเดินมาตรวจสอบที่เกิดเหตุเพิ่มเติมต่อไป

สลด!พ่อพิมพ์เครียดผูกคอลาโลก


เมื่อเวลา 05.30 น. วันนี้(9 ก.ค.) พ.ต.ท. กิตติ โพธิ์สุข พงส.(สบ3) สน.ประชาชื่น ได้รับแจ้งเหตุมีคนผู้คอตายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ในเขตจตุจักร กทม. จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ) และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารโรงอาหารของโรงเรียนดังกล่าวสูง 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นโรงอาหารส่วนชั้นที่สองเป็นห้องประชุม เจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพชายผูกคอตนเองอยู่บริเวณริมระบียงด้านหน้าของชั้นสอง สภาพศพใส่เสื้อยืด สวมกางเกงสแลคสีดำ มีเชือกไนล่อนยาวประประมาณหนึ่งเมตรผูกคอ ร่างห้อยออกมานอกระเบียง ต่อมาทราบชื่อ นายประจวบ ใจด้วง อายุ 49 ปี เป็นครูสอนวิชาสังคมศาสตร์ และเป็นครูหัวหน้าสายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนดังกล่าว อย่างไรก็ดีจากจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พฐ ระบุว่าผู้ตายเสียชีวิตโดยการผูกคอตนเอง ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หรือถูกทำร้าย
สอบถามเพื่อนครูโรงเรียนเดียวกันให้การว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้เข้าเวรประจำดูแลโรงเรียน ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้โทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นครูโรงเรียนเดียวกัน โดยกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า เตรียมทำศพด้วย อีกทั้งยังติดต่อทางโทรศัพท์กับพระรูปหนึ่งที่คุ้นเคยโดยได้พูดคุยและบอกลา
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิฐานว่าผู้ตายนั้นมีโรคประจำประตัวคือ โรคกระดูกทับเส้นประสาท อาจเป็นเหตุทำให้ผู้ตายเกิดอาการเครียด แล้วทำให้เกิดคิดสั้นจนเกิดเหตุดังกล่าว จึงติดต่อญาติผู้ตายให้มารับศพไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนาต่อไป

กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจโรงกลั่นบางจากหาเหตุเพลิงไหม้


วันนี้( 9 ก.ค.) พล.ต.ต.อภิรัตน์ ปรักกมะกุล ผบก.พฐก. พ.ต.อ.มาโนช รัตนโชติ ผกก.สน.พระโขนง พ.ต.ท.รุ่งชาติ รุ่งทอง รอง ผกก.สส.สน.พระโขนง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และทีมพนักงานสอบสวนจาก สน.พระโขนง เดินทางเข้าตรวจสอบหอกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 ภายในบริษัทบางจากปิโตเลียม จำกัด (มหาชน) ซอยสุขุมวิท 64 ถนนริมทางรถไฟสายเก่า แขวงบางจาก เขตพระโขนง ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุนั้น ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและทีมพนักงานสอบสวนได้รับฟังบรรยายสรุป เหตุการณ์ทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ของบริษัทบางจากฯ เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางเข้าไปตรวจสอบภายในหอกลั่นที่เกิดเหตุ โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนตามเข้าไปบันทึกภาพทำข่าวแต่อย่างใด
ภายหลังจากใช้เวลาการตรวจสอบจุดเกิดเหตุนาน 2 ชั่วโมง 30 นาที พล.ต.ต.อภิรัตน์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้เข้ามาตรวจสอบสภาพความเสียหายโดยรวม ซึ่งตรวจพบวัตถุพยานได้แก่รอยไหม้ และสภาพความเสียหายต่างๆ ซึ่งก็ได้ข้อมูลไปบางส่วนแล้ว โดยหลังจากนี้ก็จะไปประชุมวางแผนว่าจะต้องทำงานอย่างไรต่อไป เนื่องจากโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อนและการตรวจวัตถุพยานเหตุเพลิงไหม้นั้นก็ ไม่เหมือนกันคดีฆาตกรรม จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุของเพลิงไหม้เกิดจากอะไร และยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาของการทำงานว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด ซึ่งหลังจากประชุมวางแผนเสร็จแล้วก็จะเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง
ขณะเดียวกันทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทบางจากแจ้งให้สื่อมวลชนทราบว่า ขณะนี้ทางบริษัทบางจากได้ส่งทีมช่างจำนวน 30 ทีม เข้าไปซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้ว 80 หลังคาเรือน ซึ่งหากประชาชนรายใดต้องการซ่อมแซมเองโดยไม่รอทีมช่างของบริษัทบางจาก ก็สามารถนำบิลค่าเสียหายมาเบิกเงินได้ในภายหลัง

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources