วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

รวบเครือข่ายยาบ้า2.5ล้านเม็ดไอซ์50กิโลกรัมมูลค่า1,000ล้าน


เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้(16 มี.ค.) พล.ต.ปราการ ชลยุทธ ผู้บังคับการกองกำลังผาเมือง พ.อ.วัชรพงศ์ แก้วแจ้ง ผบ.ฉก.ทพ.31 กองกำลังผาเมือง ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมสืบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) จ.เชียงราย ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง นำกำลังไปร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ไปซุ่มอยู่ที่รอบๆบริเวณบริษัทขนส่งพัสดุไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง เลขที่ 450/58 ต.รอบเวียง อ.เมือง ตั้งอยู่หลังโรงแรมลิตเติ้ลดั๊ก เขตเทศบาลนครเชียงราย ต.รอบเวียง ภายหลังจากสืบทราบมาว่าจะมีกลุ่มขบวนการค้ายาบ้าจะนำยาบ้ามาทำการส่งมอบกันบริเวณดังกล่าว ต่อมาพบรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ สีดำ สภาพใหม่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาจอดจากนั้นได้มีหญิง 2 คนลงมาจากรถและมีชาย 1 คนเดินมาเจรจากันที่รถ ทางเจ้าหน้าที่จึงจู่โจมเข้าตรวจค้น พบกล่องกระดาษสีน้ำตาลจำนวน 6 กล่อง วางอยู่หลังกระบะเมื่อเปิดออกดูพบยาบ้าบรรจุภายในรวมยาบ้า 2.5 ล้านเม็ด และยาไอซ์  50 กิโลกรัม จึงตรวจยึดเอาไว้พร้อมกับทำการควบตัวผู้ต้องทั้งหมดมาสอบสวน ทราบชื่อคนขับรถ นางปาริชาติ จรูณวิทย์ อายุ 28 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 22 บ้านใหม่สุขสันต์ หมู่ 4 ต.ตาดควัน อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย และคนที่นั่งมาด้วยทราบชื่อนางหัสฤดี อาทรประชาชิต อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 หมู่ 10 ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล จ.เชียงราย และคนที่มารับยาบ้าทราบชื่อนายดำรงค์ สมวะเวียง  อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 206/2 หมู่2 ต.ทาทุ่งหลวง อ.แม่ทา จ.ลำพูน สอบสวนทราบว่าผู้ต้องหาหญิง 2 คนรับจ้างขนยาบ้ามาส่งในจุดดังกล่าวในราคา 20,000 บาท โดยอ้างว่าที่รับจ้างในราคาถูกเนื่องจากเป็นการขนส่งระยะไม่ไกล
จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงทำการควบตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปขยายผลตรวจค้นที่บ้านของแต่ล่ะคนโดยเฉพาะที่บ้านของนางปาริชาติ จรูณวิทย์ พบว่าเป็นหมู่บ้านอยู่ในดอยสูงการเดินทางเข้าไปด้วยความยากลำบากและเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าเย้า จากการตรวจค้นภายในบ้านไม่มีสิ่งผิดกฎหมายเพิ่มแต่อย่างใด โดยพบเพียงคนแก่และเด็กอยู่ในบ้าน และไม่มีส่วนรู้เห็น เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวนขยายผลต่อไป ส่วนมูลค่ายาเสพติดทั้งหมดหากหลุดลอดการจับกุมไปได้จะมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท

 
 
 
 

ตร.ปากน้ำจับกัญชาอัดแท่ง20กิโล


วันนี้(16มี.ค.)พ.ต.อ.กมล  ปั้นศิริ  ผกก.สภ.พระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ พ.ต.ท.อธิวัฒน์ นุชถาวร  รองผกก.สส.พร้อมกำลังได้ร่วมกันแถลงจับกุมนายคำปน ชาลือ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเช่า เลขที่ 72/11 หมู่ 7 ซอยอยู่ทอง 4 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พร้อมของกลางกัญชาอัดแท่ง 22 แท่งน้ำหนัก 20 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 182,700 บาท โดยจับกุมได้ที่บริเวณกลางซอยรัตนะ ข้างห้างเทสโก้ โลตัส สาขาบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ทั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการจับกุมเอเย่นต์ยาเสพติดและผู้เสพรายย่อยในพื้นที่ และสอบสวนขยายผลทราบว่ารับกัญชามาจากผู้ค้ารายหนึ่งในย่านบางแก้ว สมุทรปราการ ทราบเพียงชื่อเล่นนายปุ่ม ในราคาแท่ง หรือ กิโลกรัมละ 9,000 บาท จึงวางแผนล่อซื้อจับกุมดังกล่าว
สอบสวน นายคำปน ให้การรับสารภาพว่า  กัญชาดังกล่าวรับมาจากนายไกล ซึ่งมีบ้านพักอยู่ในหมู่บ้านพังตอง ต.บ้านโคก อ.เมือง จ.มุกดาหาร โดยเอากัญชาอัดแท่งทั้งหมดใส่มาในกระเป๋าเดินทางสีดำนั่งรถทัวร์เดินทางกลับมาที่จังหวัดสมุทรปราการ  และนำมาเก็บเอาไว้ที่บ้านพักก่อนนำออกมาขายให้ลูกค้า จนกระทั้งถูกจับกุมได้ดังกล่าว  เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า มียาเสพติดประเภทที่ 5 (กัญชา )ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ก่อนควบคุมตัวพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.พระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

โชเฟอร์แท็กซี่คืนทองเสี่ยร้านทอง


เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้(16มี.ค.) ที่สถานีวิทยุพิทักษ์สันราษฎร์ หรือ “สวพ.91” ถนนพหลโยธิน นายศักดิ์ศรี เกษศรีแก้ว อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62 หมู่ 5 ต.ศรีแก้ว อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด คนขับรถแท็กซี่โตโยต้า อัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทศ 8421 กรุงเทพมหานคร ได้นำทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 540 บาท มูลค่า 13 ล้านบาท มาส่งคืนให้กับเจ้าของ คือ นายเอกรัตน์ กนกวรรณกรณ์ เจ้าของร้านค้าทองเยาวราช ภายในห้างฯบิ๊กซี จ.อุบลราชธานี ที่ลืมกระเป๋าใส่ทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 540 บาท มูลค่าประมาณ 13 ล้านบาท ไว้ในรถแท็กซี่คันดังกล่าว  หลังจากนำทองรูปพรรณมาเปลี่ยนลวดลายที่เยาวราช กรุงเทพ ก่อนเรียกแท็กซี่จากแยกเอสเอบี ถนนวรจักร กรุงเทพฯ ให้มาส่งในตลาดสี่มุมเมือง ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี แล้วลืมกระเป๋าใส่ทองรูปพรรณจำนวนดังกล่าวไว้ในรถแท็กซี่ จึงเข้าแจ้งความไว้กับตำรวจ สภ.คูคต และนายเอกรัตน์ประกาศให้รางวัลสินน้ำใจ 5 แสนบาท หากแท็กซี่นำทองคำมาคืน
โดยนายศักดิ์ศรีกล่าวว่า หลังจากนายเอกรัตน์ลงจากรถแท็กซี่ย่านตลาดสี่มุมเมือง จึงตรวจสอบบริเวณที่นั่งด้านหลัง พบกระเป๋าใส่ของวางอยู่ เปิดออกดูพบสร้อยคอทองคำเป็นจำนวนมาก และพยายามขับรถวนหาเจ้าของเพื่อนำส่งคืน แต่ขับวนอยู่สักพักไม่พบเจ้าของ ไม่ทราบว่าจะนำไปคืนให้ที่ไหน ระหว่างนั้นได้เล่าให้นายมนูญ เนตรลอย เพื่อนคนขับแท็กซี่และเป็นสมาชิก สวพ.91 ฟังเพื่อให้โทรศัพท์ติดต่อ สวพ.91 ว่าพบกระเป๋าใส่ทองวางอยู่หลังรถ และต้องการนำส่งคืนเจ้าของ จนกระทั่งส.อ.ศักดิ์พงษ์ บุญยวุฒิ ทหารสังกัดร.1 พัน 4 รอ. ซึ่งเป็นหลานชาย เห็นภาพข่าวทางหนังสือพิมพ์ว่าเจ้าของคือนายเอกรัตน์ จึงประสานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ  เพื่อนำทองคำมาส่งคืนเจ้าของ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมจึงไม่รีบแจ้งตำรวจเมื่อมีผู้โดยสารลืมทองคำไว้มากขนาดนี้ นายศักดิ์ศรีกล่าวว่าที่ไม่แจ้งตำรวจเพราะทองคำอยู่กับตน ไม่หายแน่นอน และต้องการคืนเจ้าของด้วยตัวเอง โดยไม่คิดเอาทองคำเหล่านี้มาเป็นของตัวเอง เพราะหลังจากเปิดกระเป๋าดูแล้วพบว่าเป็นกล่องใส่ทองคำ 10 กล่อง เมื่อเปิดดูแค่ 3 กล่อง รู้ว่าเป็นทองคำก็ไม่เปิดดูอีก และช่วง 2 วันที่ผ่านมา พยายามขับรถวนหาเจ้าของทองในบริเวณตลาดสี่มุมเมือง ขอยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการทองคำเหล่านี้ โดยที่ผ่านมาเคยมีผู้โดยสารลืมทรัพย์สินในรถแท็กซี่ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋า แต่ก็ส่งคืนเจ้าของทั้งหมด
ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. นายเอกรัตน์ เสี่ยเจ้าของทองคำได้เดินทางมารับมองทองรูปพรรณคืนทั้งหมด โดยเปิดแกะกล่องที่ปิดด้วยกระดาษกาวซึ่งบรรจุทองคำไว้จำนวน 10 กล่องดู ก็พบว่า ทองคำทั้งหมดอยู่ครบไม่ได้สูญหาย ทั้งนี้ เสี่ยร้านทอง กล่าวว่า รู้สึกดีใจอย่างมากที่ได้ทองคำคืน อยากขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถตามทองคืนมา และอยากขอบคุณนายศักดิ์ศรี แท็กซี่พลเมืองดี ที่มีน้ำใจเก็บกระเป๋ามาคืนให้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการรับมอบทองคืนแล้ว นายเอกรัตน์ ได้มอบสร้อยคอทองคำจำนวน 2 เส้น หนัก 5 บาท และ 3 บาท มูลค่า 2 แสนบาทให้เป็นสินน้ำใจ และจะมอบเงินสดส่วนต่างอีกให้ครบ 5 แสนบาทภายหลัง ตามที่ตั้งรางวัลไว้

รวบเดนคุกขี้ยาก่อคดีลักทรัพย์ข่มขืนซ้ำซาก


เมื่อเย็นวันนี้(16มี..ค.)  พ.ต.อ.สุวิทย์  ชาวสีทอง   ผกก.สภ. จอมบึง  อ.จอมบึง  จ.ราชบุรี รับแจ้งคนร้ายก่อคดีหลายแห่งมาหลบอยู่ในพื้นที่  ต.เบิกไพร จึงได้สั่งการให้ทาง   พ.ต.ท.นพดล  ปิ่นนิล  รอง  ผกก.ปป.  พร้อมทั้ง  พ.ต.ท.ประทีป  สุธาประดิษฐ  สวป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเข้าทำการจับกุม ทราบชื่อคือนายปัญญา  นพเกตุ  อายุ  23 ปี  อยู่บ้านเลขที่  32/1  หมู่  11  ต.จอมบึง  อ.จอมบึง  จ.ราชบุรี โดยสามารถจับกุมได้บริเวณบ้านเลขที่  11  หมู่  4  ต.เบิกไพร พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์  2  คัน
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่า  ผู้ต้องหาเพิ่งพ้นโทษมาเมื่อวันที่  17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาในคดีรับซื้อของโจร ถูกจำคุกที่เรือนจำกลางราชบุรี  3  ปี  4  เดือน   จากนั้นได้ก่อเหตุลักรถจักรยานยนต์นำไปแลกยาบ้าคันละ  20  เม็ด  รวม  40  เม็ด เพื่อนำมาเสพ  นอกจากนี้ยังมีคดีชิงทรัพย์และข่มขืนหญิงตั้งท้องได้  5  เดือน    ล่าสุดวันนี้ก็ได้บังคับข่มขืนหญิงสาวบริเวณไร่อ้อยข้างถนนพื้นที่หมู่ 7 ต.จอมบึง สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหาถึง  4  คดี จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พร้อมกับนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ 

18ล้อเบรกแตกฝ่าไฟแดงชนวินาศ


 เมื่อเวลา  16.00 น.  วันนี้(16 มี.ค.) ร.ต.ท.เทียนชัย   เนื่องจำนงค์  ร้อยเวร สภ.ศรีราชา  จ.ชลบุรี      ได้รับแจ้งว่า มีอุบัติเหตุรถบรรทุกพ่วง 18  ล้อ ชนกับรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชนกับอาคารข้างทาง  มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย   บริเวณสี่แยกอัสสัมชัญศรีราชา  ฝั่งขาเข้าพัทยา   กลางตัวเมืองศรีราชา    หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยสว่างประทีปศรีราชา  ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ  มิตซุบิชิ  สีขาว  หมายเลขเลขทะเบียน 70 – 0802 พะเยา  ของบริษัท  เอ็มเค  พะเยา  ทรานส์สปอต   จำกัด  สภาพรถด้านหน้าพุ่งชนอัดติดกับร้านวชิรศรีราชาพิมพ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพิมพ์ดีด   ด้านข้างพบรถโดยสารสองแถวสายศรีราขา – หนองค้อ  ยี่ห้อ อีซูซุ สีฟ้าเข้ม หมายเลขทะเบียน  10 – 3582 ชลบุรี  จอดอยู่สภาพรถด้านหน้าพังยับ  ติดกับรถพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า เวฟ สีดำ  หมายเลขทะเบียน คจก – 645 นครศรีธรรมราช  ถูกชนล้มอยู่ข้างรถ  ใต้ท้องรถโดยสายพบร่างของผู้บาดเจ็บสองรายคือ นางบุญนภา  แก้วสีใส  อายุ 42  ปี และหญิงไม่ทราบชื่ออีก 1 ราย  ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว   เจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องตัดถ่างงัดรถก่อนนำร่างผู้บาดเจ็บออกมาและนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา    แต่นางบุญนภาทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา  ในขณะที่หญิงอีกรายที่ไม่ทราบชื่อมีอาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน    
นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวน 11 คน  มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง   ซึ่งก็ได้ลำเลียงส่งโรงพยาบาลในพื้นที่รับรักษาตัวแล้ว    และยังพบรถที่ถูกชนได้รับความเสียหายอีก 2 คันเป็นรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า  ฟอร์จูนเนอร์  สีเทา หมายเลขทะเบียน   สม – 9541  กรุงเทพมหานคร  บริเวณหน้ารถได้รับความเสียหาย   จากการสอบสวนทราบว่า    รถบรรทุกพ่วง 18  ล้อ วิ่งมาจากทางชลบุรีมุ่งหน้าไปทางพัทยา  เมื่อวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุเกิดเบรกแตกจึงทำให้รถเบรกไม่อยู่จึงพุ่งฝ่าสัญญาณไฟแดงออกมาเป็นจังหวะเดียวกันที่รถโดยสารสองแถวที่วิ่งมาจากทางพัทยาเลี้ยวตามสัญญาณไฟเขียวเข้าเส้นโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา  จึงทำให้รถบรรทุกพ่วงพุ่งชนกลางลำรถโดยสารอย่างแรงชนลากไปตามพื้นถนนไปชนกับบรรดารถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่จอดรอสัญญาณไฟอีกฝั่งจนล้มระเนระนาดจนสุดท้ายไปชนกับอาคารร้านสอนพิมพ์ดีดดังกล่าว    หลังเกิดเหตุโชเฟอร์ขับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ  คือนายสุริยา  ศรีภาเวียง  อายุ 48  ปี ก็ได้ลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปหลบอยู่ในป้อมยามของตำรวจที่อยู่ใกล้กัน  เนื่องจากเกรงถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์   โดยอ้างว่า  ขับรถบรรทุกพ่วงวิ่งมาจากกรุงเทพฯเพื่อไปรับสินค้าที่ท่าเรือศรีราชา ฮาเบอร์   ขณะวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุเกิดเบรกแตกทำให้บังคับรถไม่อยู่วิ่งฝ่าไฟแดงชนกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านจนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว   เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตไว้ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources