วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ซิ่งเก๋งไล่ยิงเด็กแว้นเมืองพัทยาดับ1สาหัส2


เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 19 ส.ค. พ.ต.ท.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผกก.ป. สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นแก๊งซิ่งรถจักรยานยนต์ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบริเวณปากซอยสุขุมวิทพัทยา 41/2 บริเวณหน้าร้านดีฟาร์มาซี ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ เมืองพัทยา
ในที่เกิดเหตุพบรถ จยย. แบบแต่งซิ่ง จำนวน 3 คัน ล้มคว่ำอยู่บนถนน โดยพบหัวกระสุนขนาด .38 ตกอยู่จำนวน 1 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังพบผู้ถูกอาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .38 ยิงได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสนอนจมกองเลือด จำนวนทั้งหมด 3 ราย ทราบชื่อ นายรณชัย พรมสวัสดิ์ อายุ 19 ปี ถูกยิงเข้าที่ ขาขวา 1 นัด นายธีระพัฒน์ เกศแก้วเกลี้ยง อายุ 15 ปี ถูกยิงเข้าที่บริเวณกลางหน้าผาก กระสุนฝังใน และ นายทรงอภิรัตน์ แก้วคมตรง หรือฉายาแจ็ค วัดธรรมสามัคคี อายุ 18 ปี ถูกยิงเข้าที่บริเวณลำคอ 2 นัด จึงนำส่ง รพ.บางละมุง แต่ภายหลัง นายทรงอภิรัตน์ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา
สอบสวน นายธงชัย บุญล้อม อายุ 21 ปี หัวหน้าแก๊งซิ่ง ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนพร้อมกับน้องๆในกลุ่ม จำนวนประมาณ 40 คน ซึ่งรวมถึงผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตด้วย ได้นัดกันมารวมตัวเพื่อซิ่งรถเที่ยวยามราตรีที่ชายหาดบางแสน กระทั่งขากลับมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้ายเป็นชาย ขับรถเก๋งฮอนด้าแจ๊ส สีขาว ฝากระโปรงสีดำ ผ่านมา โดยคนขับได้ลดกระจกลง แล้วชักปืนยิงสาดเข้าใส่กลุ่มของผู้ตายที่ขี่อยู่ท้ายขบวน จนไดัรับบาดเจ็บและเสียชีวิตดังกลว่า
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นฝีมือของวัยรุ่นคู่อริ ซึ่งเคยไปมีเรื่องกันมาก่อน หรืออาจเป็นเพราะมือปืนไม่พอใจที่กลุ่มผู้ตายขี่รถปาดหน้า หรือซิ่งรถกวนเมือง จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตาม กฎหมายต่อไป.

จับแล้ว2โจ๋โหดรุมฆ่าเด็กเทคโนฯพระรามหก


จากกรณีที่นายภูวเดช เงินรุ่งเรือง อายุ 16 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีพระรามหก ที่ถูกกลุ่มนักเรียนของวิทยาลัยสารพัดช่างแห่งหนึ่ง ย่านจรัญสนิทวงศ์ รุมทำร้ายจนเสียชีวิตบนรถประจำทางร่วมบริการ สาย 110 เหตุเกิดบริเวณหน้าวัดเทพากร ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 68 แขวง-เขตบางพลัด เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างสถาบัน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว
ความคืบหน้า เมื่อเวลา 11.50 น.วันที่ 19 ส.ค. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชาญ แสงเสียงฟ้า รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สุรสิทธิ์ สุทธิพันธุ์ ผกก.สน.บางพลัด และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.4 บช.น. ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว นายแย้(นามสมมุติ)และนายแซ็ค(นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ผู้ต้องหาที่ร่วมกันฆ่านายภูวเดช ตามหมายจับของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
จากการสอบสวน นายแซ็ค ให้การรับสารภาพว่าใช้อาวุธมีดสปาต้าที่เตรียมมาฟันผู้ตายจริง เนื่องจากถูกผู้ตายมองหน้า เมื่อสอบถามผู้ตายว่าเรียนอยู่ที่ไหน แต่ผู้ตายไม่ตอบและเห็นว่าจะชักอาวุธออกมา จึงใช้มีดฟันไป 2 ครั้ง จากนั้นวิ่งหลบหนี ก่อนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ซึ่งตนไม่รู้ว่าใครยิง
ส่วนนายแย้ รับสารภาพว่า เป็นผู้ยิงผู้ตาย เพราะเห็นว่าผู้ตายได้ชักท่อนเหล็กออกมาจากกระเป๋า จึงคิดว่าเป็นอาวุธ เลยใช้ปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ ยิงใส่ไป 1 นัด สำหรับอาวุธปืนนั้นซื้อมาจาก นายหรั่ง (ไม่ทราบนามสกุล) ในราคา 3,500 บาท หลังจากก่อเหตุแล้วก็ได้นำอาวุธไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกลางสะพานพระราม 7
ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ผบช.น. เปิดเผยว่า ในส่วนของผู้ต้องหาอีกคน คือ นายเมา ซึ่งหลบหนีอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ กำลังอยู่ในระหว่างประสานเข้ามอบตัว นอกจากนี้ในส่วนของผู้ร่วมก่อเหตุรายอื่น ทางเจ้าหน้าที่ขอสอบปากคำผู้ต้องหาที่จับกุมได้อย่างละเอียดก่อน จึงพิจารณาเป็นรายบุคคลว่าใครทำผิดข้อหาใดบ้าง และจะดำเนินคดีในทุกรายที่เกี่ยวข้องต่อไป.

ซิวหนุ่มใหญ่เมืองผู้ดีลอบค้าโคเคน


เมื่อเวลา 00.10 น. วันที่ 19 ส.ค. พ.ต.ท.รัชทพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย ร.ต.ท.ธนดิท เถื่อนชำนาญ รอง สว.ฯ และกำลังชุดสืบสวน ร่วมกันจับกุมตัว นายดันแคน เจมส์ แม็คจี อายุ 54 ปี สัญชาติอังกฤษ พร้อมของกลาง ยาเสพติดประเภท โคเคน บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส จำนวน 9 ถุง โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณตรงข้ามลานเอ็กซ์ไชค์ผับ ถนนสายสาม หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบทราบว่า นายดันแคน มีพฤติกรรมค้าโคเคนให้กลับกลุ่มนักเสพชาวต่างชาติในตัวเมืองพัทยา และกำลังจะเอายาเสพติดไปส่งให้กับลูกค้าที่บริเวณดังกล่าว จึงนำกำลังไปดักซุ่มจับกุม กระทั่งนายดันแคน ขี่รถจักรยานยนต์มาจอด จึงแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น ก็พบโคเคนของกลางซุกซ่อนอยู่ภายในกระเป๋ากางเกง
สอบสวนนายดันแคน ให้การรับสภาพว่า ได้ซื้อโคเคนทั้งหมดมาจากเพื่อนชาวต่างชาติ ที่บริเวณซอยนานา กรุงเทพมหานคร ในราคาห่อละ 2,000 บาท ก่อนจะมาจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ตัวเมืองพัทยา ในราคาห่อละ 3-4 พันบาท ก่อนจะถูกตำรวจจับกุมได้ดังกล่าว.

ล็อกเอเย่นต์ยานรกอ้างเครือข่าย"ภาพ70ไร่"


เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 19 ส.ค. พ.ต.อ.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ผกก.สภ.เมือง จ.สมุทรปราการ พ.ต.ต.ศิริมงคล สุขะปาระมี สว.สส. นายสงวนศักดิ์ ศรีวัฒนพงศ์ ผอ.ส่วนวิเคราะห์และประมวลผลปราบปรามยาเสพติดภาค 1 และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดภาค 1 (ปปส.ภ.1) ร่วมกันแถลงผลจับกุม นางหญิงสุคนธ์ วิทยาภา หรือ ไก่ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2 / 108 ซอยดำรงลัทธพิพัฒน์ 2 แขวงและเขตคลองเตย เครือข่ายเอเย่นต์ยาเสพติดรายใหญ่   พร้อมของกลางยาไอซ์ น้ำหนักประมาณ 50 กรัม เครื่องชั่งดิจิตอล 1 เครื่อง และสมุดบัญชีรายชื่อลูกค้า และบัญชีรายการจำหน่ายยาไอซ์ จำนวน 43 แผ่น โดยจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 35 หมู่ 1 ซอยด่านสำโรง 45 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ ได้ทำการจับกุมกลุ่มผู้ค้าและผู้เสพรายย่อยในพื้นที่ ก่อนทำการสอบสวนขยายผลจนทราบว่า รับยาเสพติดมาจาก นางหญิงสุคนธ์ ซึ่งพักอาศัยอยู่ภายในซอยวัดด่านสำโรง 54 จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 เข้าทำการจับกุมตัวเอาไว้ได้พร้อมของกลางจำนวนดังกล่าว ทั้งนี้ นางหญิงสุคนธ์ ให้การรับสารภาพว่า สามีของตนอ้างว่าเป็นผู้รับยาเสพติดมาจากเอเย่นต์เครือข่ายของ  นักค้ายาราย ใหญ่ย่านคลองเตย เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่ ส่วนตนมีหน้าที่ทำบัญชีในการจำหน่ายยาเสพติด และเก็บเงิน โดยได้ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดมาแล้วนานกว่า 10 ปี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ก่อนควบคุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ได้ทำการอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหามาตรวจสอบ ประกอบด้วย สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ จำนวน 8 เล่ม มีเงินหมุนเวียนในบัญชีหลายล้านบาท รถเก๋งโตโยต้า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ภท 9477 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน รถจักรยานยนต์ฮอนด้า แอร์เบลด สีดำ ทะเบียน รกข 988 กรุงเทพมหานคร สัญญาซื้อข่ายอาคารชุดจำนวน 2 ฉบับ บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 3 ใบ เงินสดจำนวน 8,700 บาท พร้อมด้วยทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่งที่เก็บรักษาเอาไว้ในตู้เซฟธนาคารนครหลวง ตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534  เพื่อทำการสอบสวนขยายผลจับกุมสามีของนางหญิงสุคนธ์ และผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นิติเวชตรวจสอบศพจากเหตุเพลิงไหม้ "ไทเกอร์ผับ" มาตรฐานสากล


จากกรณีเหตุเพลิงไหม้สถานบันเทิง “ไทเกอร์ผับแอนด์ดิสโก้เธค” ตั้งอยู่ที่ซอยบางลา ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บ 11 ราย เหตุเกิดเมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา

วันนี้ ( 19 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.20 น.  พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมแพทย์นิติเวช รพ.ตร. ร่วมแถลงว่า คดีดังกล่าว ผบ.ตร.มีความหวงใยมาก โดยขณะนี้มีการส่งศพมาที่นิติเวช รพ.ตร. เพื่อทำการตรวจสอบ เนื่องจากสภาพศพทั้ง 4 รายนั้น ไม่สามารถติดตามญาติได้ เพราะถูกไฟไหม้จนเสียสภาพ ทางพนักงานสอบสวนได้เก็บรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว โดยอยู่ระหว่างติดตามญาติผู้เสียชีวิต และเพื่อให้มั่นใจว่าศพได้รับการตรวจสอบและคืนกับญาติได้ถูกต้องไม่ผิดพลาด เพราะหากผิดพลาดแล้วจะเป็นเรื่องยุ่งยากและสะเทือนใจในภายหลัง จึงได้จัดให้มีการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ซึ่งเป็นไปในกรณีเดียวกับที่ใช้กรณีสึนามิ รวมถึงเหตุวิบัติภัยที่ไครเชิร์ต ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นไปตามหลักของตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล(Interpol) โดยผู้เกี่ยวข้องที่มาร่วมเป็นทั้งแพทย์นิติเวช รพ.ตร. พิสูจน์หลักฐานตำรวจ และพนักงานสอบสวน

พล.ต.ท.จรัมพรกล่าวอีกว่า สำหรับข้อมูลวิธีการมี 2 ส่วน ซึ่งตามหลักการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลนั้น จะมีการเปรียบเทียบข้อมูลและข้อเท็จจริง 2 ส่วน ให้มีความถูกต้องสัมพันธ์กัน ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลสูญหาย ในส่วนนี้ใช้แบบฟอร์มสีเหลือง (yellow from) จำนวน 22 หน้า เป็นข้อมูลที่ได้จากญาติ เพื่อน หรือคนรู้จัก กับผู้ที่สูญหายไปจากชีวิตปกติในช่วงก่อนเกิดเหตุ โดยจะนำข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะรูปพรรณและสรีระ การแต่งกายในวันเกิดเหตุ ของใช้ติดตัวประจำวัน เครื่องประดับติดตัว เช่นสร้อย นาฬิกา แหวน ฯลฯ และข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้นำไปใช้เปรียบเทียบกับข้อมูลส่วนที่ 2 สำหรับ ซึ่งชั้นนี้ใช้ในชั้นพนักงานสอบสวน

“ต่อมาเมื่อศพส่งมาที่นิติเวช ก็จะใช้ ส่วนที่ 2 คือ ข้อมูลจากศพ ส่วนนี้ใช้แบบฟอร์มสีชมพู (pink from) จำนวน 22 หน้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการตรวจศพโดยแพทย์นิติเวช ซึ่งจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับศพ คือ 1.ข้อมูลทางกายภาย สภาพภายนอกของศพ ทรัพย์สิ่งของที่ติดอยู่กับศพ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลทรัพย์สินของ “บุคคลสูญหาย”หรือให้พยานยืนยัน 2.ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จากการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การเก็บลอกลายพิมพ์นิ้วมือ (ถ้าสามารถพิมพ์ลอกได้) ประวัติการทำฟัน (Odontologist) ตัวอย่างดีเอ็นเอ จากศพ เพื่อไว้เปรียบเทียบกับสารพันธุกรรม (DNA) จากทรัพย์สินของผู้สูญหาย บิดา-มารดา ของผู้สูญหาย เพื่อนำข้อมูลทั้ง 2 ส่วนมาเปรียบเทียบกันจึงชี้ชัดได้” พล.ต.ท.จรัมพรกล่าว

ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า จากศพทั้ง 4 ศพนั้น พบว่าผลการตรวจเบื้องต้นเป็น เพศชาย 2 คน เพศหญิง 2 คน ซึ่งเพศหญิงเป็นเอเชียทั้ง 2 คน เพศชายจากการตรวจสอบกะโหลกหรือร่างกายน่าจะเป็นชาวต่างชาติแถบยุโรป โดยแต่ละศพจะมีของติดตัว ศพแรกเป็นศพหญิง มีของติดตัวมาตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน เป็นสร้อยคอและนาฬิกา นอกจากนี้ตรวจเพิ่มเติมได้กำไลข้อมือข้างขวา ชิ้นส่วนชุดชั้นในและซิลิโคน ซึ่งได้เพิ่มเติมจากนิติเวช ศพที่ 2 เป็นชายชาวต่างชาติ ได้ของกลางเป็นโทรศัพท์ไอโฟน ศพที่ 3 เป็นผู้หญิง ได้ชินส่วนของโครงเสื้อชั้นในที่เป็นโลหะ เป็นหญิงเอเชีย และศพที่ 4 เป็นชายได้เข็มขัดหนัง กางเกงใน กางเกงยีนส์ยี่ห้อ LEE และนาฬิกา นอกจากนี้พบเหรียญ 10 บาท 2 เหรียญที่ติดตัวอยู่ ซึ่งสิ่งที่เราได้จะมีการเปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้มีบุคคลที่คาดว่าจะเป็นของญาติผู้เสียชีวิตมาให้เก็บดีเอ็นเอแล้ว โดยศพที่ 1 มีบิดา มารดา บุตรชาย มาให้เก็บดีเอ็นเอแล้ว รวมถึงแปรงสีฟันที่คาดว่าจะเป็นของผู้ตายด้วย ศพที่ 2 ชายชาวต่างชาติ ได้เก็บที่โกนหนวดและแปรงสีฟันจากห้องพักที่คาดว่าเช่าพักและหายไปหลังเกิด เหตุ ขณะนี้ทราบว่าพี่ชายกำลังเดินทางจากต่างประเทศมาตรวจสอบสิ่งของ ศพที่ 3มีบิดา มารดา น้องชาย มาขอตรวจสอบและเก็บข้อมูลไว้แล้ว ศพที่ 4 ชายชาวต่างชาติ ได้เก็บแปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บจากห้องพักที่จะนำไปเก็บสารพันธุกรรมได้ จากห้องพักแล้ว โดยสารพันธุกรรมจะเก็บจากกระดูก โดยนำกระดูกไปบดคาดว่าใช้เวลา 1-2 วันจะเสร็จสิ้น คาดว่าจะสอดรับผลการตรวจดีเอ็นเอกับที่ภูเก็ตได้

เปิดโครงการตร.สัมพันธ์สัญจร


เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 19 ส.ค. ที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ผช.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร. ร่วมกันเป็นประธานเปิดโครงการตำรวจสัมพันธ์สัญจร  ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์ผลิตรายการและข่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยภายในงานมีการแนะนำให้ประชาชนรู้จักสถานีวิทยุ Police Radio ซึ่งกระจายเสียงแจ้งข่าวเรื่องการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผ่านคลื่นวิทยุในข่าย 44 สถานีทั่วประเทศ และสามารถรับฟังแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.policeradiothailand.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และจัดกิจกรรมร่วมกับพี่น้องประชาชน
โดยมีการบันทึกเทปรายการวิทยุ “ตำรวจสัมพันธ์ (พิเศษ)” สัญจร เทปแรก สัมภาษณ์พิเศษ  พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. และโฆษก ตร. เป็นแขกรับเชิญพิเศษร่วมสนทนาในรายการ ซึ่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวในตอนหนึ่ง ว่า สิ่งที่ตำรวจนครบาลต้องเร่งปฏิบัติปราบปรามอย่างจริงจังคืออาวุธปืน ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนเน้นและสั่งการปราบปรามอย่างจริงจังนับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่ง ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เอาจริงเอาจัง และสิ่งที่กำชับเป็นพิเศษคือการปราบปรามยาเสพติด เนื่องจากพบว่าต้นเหตุของอาชญากรรมหลายๆคดี ก็มาจากสาเหตุของการเสพยาเสพติด โดยต้องขอความร่วมมือจากประชาชนในการแจ้งเบาะแส ซึ่งสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพมาได้ที่ตนโดยตรง จากนี้ไปทางเจ้าหน้าที่จะทำการเปิดช่องทางรับแจ้งเหตุ เมื่อได้ข้อมูลมาตนจะเป็นผู้พิจารณาเอง แล้วส่งจะเร่งชุดเฉพาะกิจ ซึ่งไม่ใช่ตำรวจท้องที่เข้าไปทำการสืบสวน ทั้งนี้ตนเชื่อว่าได้ผลดีกว่า นอกจากนี้เรื่องการงดตั้งด่านกวดขันวินัยจราจรในช่วงกลางวันก็จะดำเนินการ อย่างต่อเนื่อง มีผลสำรวจออกมาแล้วว่าประชาชนกว่าร้อยละ 79เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้สิ่งที่เจ้าหน้าที่จะต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ ในส่วนของงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนอย่ามองคดีในเชิงพาณิชย์ ที่ว่าทำคดีต้องเป็นเงินเป็นทอง ได้เงินถึงจะทำคดีให้จะไม่ให้เกิดอีก พนักงานสอบสวนมีเงินพิเศษอยู่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ทุกนายต้องให้บริการประชาชนทุกคน ทุกคดี ซึ่งการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องยึดอุดมคติให้ได้  2 ข้อ คือ มีความกรุณาปราณีต่อประชาชน และไม่มักมากในลาภผล แค่นี้ก็เป็นตำรวจที่ดีได้
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในงานดังกล่าวว่า มีการจัดกิจกรรมมากมายอาทิ มีการตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องทุกข์ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน มารับแจ้ง และมีการแสดงจากศิลปิน จาก บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไทหับ จำกัด บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมกิจกรรมด้วย นอกจากนี้การจัดโครงการดังกล่าว ศูนย์ผลิตรายการและข่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีการจัดโครงการที่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดนครสวรรค์ ในช่วงเดือนกันยายนนี้อีกครั้ง.

ฮือฮาจร.ทำคลอดทารกในแท็กซี่


เมื่อเวลา 09.45 น.วันที่ 20 ส.ค. ด.ต.มานะ จอกโคกสูง พร้อมด้วย ด.ต.โรจน์ไพศาล มงคลวงษ์ และส.ต.อ. อารยะ ป้อมค่าย บ.หมู่งาน 1 กก.6 บก.จร. รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ ว่ามีหญิงท้องแก่ขอความช่วยเหลือ กำลังจะคลอดบุตรอยู่ภายในรถแท็กซี่ สีชมพู ทะเบียน ทพ 8193 บริเวณสี่แยกสรรคโลก ถนนสุโขทัย แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต จึงเดินทางไปตรวจสอบเข้าช่วยเหลือพร้อมรถกู้ชีพจากวชิรพยาบาล
ที่เกิดเหตุพบน.ส.โชติกา ชื่นน้อย อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 101/248 ซอยริมทางรถไฟบางซื่อ แขวง-เขตบางซื่อ นั่งอยู่บริเวณเบาะหลัง สภาพท้องแก่ใกล้คลอดมีน้ำเดินออกมาเป็นจำนวนมาก จึงรีบช่วยเหลือทำคลอด ใช้เวลาทำคลอดประมาณ 20 นาที จึงคลอดทากเพศหญิงออกมาอย่างปลอดภัยครบ 32 ประการ

สอบถามคนขับแท็กซี่ ทราบว่ารับน.ส.โชติกามาจากบ้านพักย่านบางซื่อ จะไปส่งวชิรพยาบาล แต่การจราจรติดขัดอย่างมาก จึงจอดรถและขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและคลอดออกมาสำเร็จ จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวทั้งแม่และลูกส่ง วชิรพยาบาลต่อไปได้ สำหรับการทำคลอดดังกล่าวถือเป็นรายที่ 47 ของด.ต.มานะ จอกโคกสูง และเป็นรายที่ 107 ของกก.6 บก.จร.(จราจรโครงการพระราชดำริ)

นิติเวชตรวจสอบศพจากเหตุเพลิงไหม้ "ไทเกอร์ผับ" มาตรฐานสากล


จากกรณีเหตุเพลิงไหม้สถานบันเทิง “ไทเกอร์ผับแอนด์ดิสโก้เธค” ตั้งอยู่ที่ซอยบางลา ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บ 11 ราย เหตุเกิดเมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา

วันนี้ ( 19 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.20 น.  พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมแพทย์นิติเวช รพ.ตร. ร่วมแถลงว่า คดีดังกล่าว ผบ.ตร.มีความหวงใยมาก โดยขณะนี้มีการส่งศพมาที่นิติเวช รพ.ตร. เพื่อทำการตรวจสอบ เนื่องจากสภาพศพทั้ง 4 รายนั้น ไม่สามารถติดตามญาติได้ เพราะถูกไฟไหม้จนเสียสภาพ ทางพนักงานสอบสวนได้เก็บรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว โดยอยู่ระหว่างติดตามญาติผู้เสียชีวิต และเพื่อให้มั่นใจว่าศพได้รับการตรวจสอบและคืนกับญาติได้ถูกต้องไม่ผิดพลาด เพราะหากผิดพลาดแล้วจะเป็นเรื่องยุ่งยากและสะเทือนใจในภายหลัง จึงได้จัดให้มีการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ซึ่งเป็นไปในกรณีเดียวกับที่ใช้กรณีสึนามิ รวมถึงเหตุวิบัติภัยที่ไครเชิร์ต ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นไปตามหลักของตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล(Interpol) โดยผู้เกี่ยวข้องที่มาร่วมเป็นทั้งแพทย์นิติเวช รพ.ตร. พิสูจน์หลักฐานตำรวจ และพนักงานสอบสวน

พล.ต.ท.จรัมพรกล่าวอีกว่า สำหรับข้อมูลวิธีการมี 2 ส่วน ซึ่งตามหลักการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลนั้น จะมีการเปรียบเทียบข้อมูลและข้อเท็จจริง 2 ส่วน ให้มีความถูกต้องสัมพันธ์กัน ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลสูญหาย ในส่วนนี้ใช้แบบฟอร์มสีเหลือง (yellow from) จำนวน 22 หน้า เป็นข้อมูลที่ได้จากญาติ เพื่อน หรือคนรู้จัก กับผู้ที่สูญหายไปจากชีวิตปกติในช่วงก่อนเกิดเหตุ โดยจะนำข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะรูปพรรณและสรีระ การแต่งกายในวันเกิดเหตุ ของใช้ติดตัวประจำวัน เครื่องประดับติดตัว เช่นสร้อย นาฬิกา แหวน ฯลฯ และข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้นำไปใช้เปรียบเทียบกับข้อมูลส่วนที่ 2 สำหรับ ซึ่งชั้นนี้ใช้ในชั้นพนักงานสอบสวน

“ต่อมาเมื่อศพส่งมาที่นิติเวช ก็จะใช้ ส่วนที่ 2 คือ ข้อมูลจากศพ ส่วนนี้ใช้แบบฟอร์มสีชมพู (pink from) จำนวน 22 หน้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการตรวจศพโดยแพทย์นิติเวช ซึ่งจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับศพ คือ 1.ข้อมูลทางกายภาย สภาพภายนอกของศพ ทรัพย์สิ่งของที่ติดอยู่กับศพ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลทรัพย์สินของ “บุคคลสูญหาย”หรือให้พยานยืนยัน 2.ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จากการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การเก็บลอกลายพิมพ์นิ้วมือ (ถ้าสามารถพิมพ์ลอกได้) ประวัติการทำฟัน (Odontologist) ตัวอย่างดีเอ็นเอ จากศพ เพื่อไว้เปรียบเทียบกับสารพันธุกรรม (DNA) จากทรัพย์สินของผู้สูญหาย บิดา-มารดา ของผู้สูญหาย เพื่อนำข้อมูลทั้ง 2 ส่วนมาเปรียบเทียบกันจึงชี้ชัดได้” พล.ต.ท.จรัมพรกล่าว

ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า จากศพทั้ง 4 ศพนั้น พบว่าผลการตรวจเบื้องต้นเป็น เพศชาย 2 คน เพศหญิง 2 คน ซึ่งเพศหญิงเป็นเอเชียทั้ง 2 คน เพศชายจากการตรวจสอบกะโหลกหรือร่างกายน่าจะเป็นชาวต่างชาติแถบยุโรป โดยแต่ละศพจะมีของติดตัว ศพแรกเป็นศพหญิง มีของติดตัวมาตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน เป็นสร้อยคอและนาฬิกา นอกจากนี้ตรวจเพิ่มเติมได้กำไลข้อมือข้างขวา ชิ้นส่วนชุดชั้นในและซิลิโคน ซึ่งได้เพิ่มเติมจากนิติเวช ศพที่ 2 เป็นชายชาวต่างชาติ ได้ของกลางเป็นโทรศัพท์ไอโฟน ศพที่ 3 เป็นผู้หญิง ได้ชินส่วนของโครงเสื้อชั้นในที่เป็นโลหะ เป็นหญิงเอเชีย และศพที่ 4 เป็นชายได้เข็มขัดหนัง กางเกงใน กางเกงยีนส์ยี่ห้อ LEE และนาฬิกา นอกจากนี้พบเหรียญ 10 บาท 2 เหรียญที่ติดตัวอยู่ ซึ่งสิ่งที่เราได้จะมีการเปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้มีบุคคลที่คาดว่าจะเป็นของญาติผู้เสียชีวิตมาให้เก็บดีเอ็นเอแล้ว โดยศพที่ 1 มีบิดา มารดา บุตรชาย มาให้เก็บดีเอ็นเอแล้ว รวมถึงแปรงสีฟันที่คาดว่าจะเป็นของผู้ตายด้วย ศพที่ 2 ชายชาวต่างชาติ ได้เก็บที่โกนหนวดและแปรงสีฟันจากห้องพักที่คาดว่าเช่าพักและหายไปหลังเกิด เหตุ ขณะนี้ทราบว่าพี่ชายกำลังเดินทางจากต่างประเทศมาตรวจสอบสิ่งของ ศพที่ 3มีบิดา มารดา น้องชาย มาขอตรวจสอบและเก็บข้อมูลไว้แล้ว ศพที่ 4 ชายชาวต่างชาติ ได้เก็บแปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บจากห้องพักที่จะนำไปเก็บสารพันธุกรรมได้ จากห้องพักแล้ว โดยสารพันธุกรรมจะเก็บจากกระดูก โดยนำกระดูกไปบดคาดว่าใช้เวลา 1-2 วันจะเสร็จสิ้น คาดว่าจะสอดรับผลการตรวจดีเอ็นเอกับที่ภูเก็ตได้

สั่งล่าเสือคล้ำ-เสือชัยต้องสงสัยเด็ดหัวผู้ช่วยเรือนจำเมืองคอน


จากกรณี นายออด แซ่ผั่ว อายุ 49 ปี พนักงานผู้ช่วยเรือนจำกลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ถูกคนร้ายตามประกบยิงเสียชีวิต ที่ริมถนนเบญจมราชูทิศ-พระพรหม บ้านหนองเข้ หมู่ 5 ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าสาเหตุมาจากผู้ตายเป็นพยานคนสำคัญในการกวาด ล้างยาเสพติด ทำให้เครือข่ายค้ายาเสพติดในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชสูญเสียผลประโยชน์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมาตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 ส.ค. พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกติดตามความเคลื่อนไหวของ เสือคล้ำ และเสือชัย สองผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งสอบสวนพยามที่เหตุการณ์ เพื่อรวบรวมหลักฐานออกหมายจับกุม โดยได้กำชับให้ปฏิบัติการอย่างเฉียบขาด
ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช กล่าวอีกว่า ส่วนของเครือข่ายค้ายารายใหญ่ที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช  ที่อาจจะมีส่วนรู้เห็นหรือบงการสังหารนายออด รวมทั้งการตั้งค่าหัวตน 10 ล้านบาท ขณะนี้ทราบชื่อหมดแล้ว ซึ่งต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก หากปล่อยให้แก๊งค้ายาเหิมเกริมมากขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเจ้า หน้าที่และประชาชนอย่างรุนแรง ประชาชนจะขาดความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดล้มเหลว ส่วนตัวพร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาจะยอมไม่ได้ เป็นไงเป็นกันพร้อมที่จะสู้ทุกรูปแบบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังเกิดเหตุคนร้ายยิงนายออด เสียชีวิตอย่างอุกอาจ ทำให้เจ้าหน้าที่เรือนจำต่างวิพากวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง และเสียขวัญเป็นอย่างมาก ไม่กล้าออกไปไหนในที่เปลี่ยวเพียงคนเดียวเกรงจะถูกแก๊งค้ายาเสพติดตามคิด บัญชีเหมือนนายออด  ซึ่งเจ้าหน้าที่ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าการสังหารนายออด เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู และเชื่อว่าแก๊งค้ายามีเป้าหมายสังหารเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ด้านนายสุรพล แก้วภราดัย ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เปิดเผยขณะเดินทางไปร่วมงานศพ นายออด ที่บ้านเลขที่18 หมู่ 5 ต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ ตนไม่ยอมเด็ดขาด ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่ามาจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวดของนายออด  โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา ผู้ตายได้รายงานมายังผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนมาถึงตนในฐานะ ผบ.เรือนจำ ว่า มีบุคคลภายนอกเรือนจำไม่มีหมายเลขโทรศัพท์และไม่บอกชื่อโทรมาแจ้งจะให้สินบน 2 แสนบาท เป็นค่าใช้จ่ายซึ่งผู้ตายก็ได้ปฏิเสธไป กระทั่งวันที่ 30 ก.ค. ได้มีการพยายามลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาทางยาเวชภัณฑ์รักษาโรคของนักโทษคน หนึ่ง ซึ่งนายออดได้จับกุมยาเสพติดล็อตดังกล่าวได้ภายนอกเรือนจำ  จึงรายงานมาให้ทราบ และมีการไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของยาเสพติดกับพนักงานสอบสวน สภ.พระพรหม จนมาเกิดเหตุถูกไล่ยิงเสียชีวิตดังกล่าวซึ่งเชื่อว่าสาเหตุการตายมาจาก เรื่องดังกล่าว.

ม้าเหล็กขยี้เก๋งคารางดับสยอง4ศพ


เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 19 ส.ค. พ.ต.ท.ภิญโญ มุสิกสาร พนักงานสอบสวน สภ.นครชัยศรี จ.นครปฐม รับแจ้งอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถเก๋ง มีผู้เสียชีวิตหลายราย เหตุเกิดบริเวณจุดตัดทางรถไฟ หมู่ 4 ต.งิ้วราย อ.นครชัยศรี จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์ ในที่เกิดเหตุพบรถเก๋งยี่ห้อฟอร์ด สีขาว ทะเบียนป้ายแดง  ก 0712 สมุทรสาคร ถูกรถไฟขบวนท่องเที่ยว สายน้ำตกไทรโยค-กรุงเทพมหานคร พุ่งชนจนพังยับทั้งคัน ก่อนลากไปเป็นระยะทางยาว
ตรวจสอบภายในรถเก๋งพบผู้เสียชีวิต จำนวน 2 ราย ทราบชื่อ น.ส.อรัญญา อุดมสุข อายุ 32 ปี คนขับ และนางสมทรง อุดมสุข (ไม่ทราบอายุ) มารดาของ น.ส.อรัญญา นอกจากนี้ยังพบร่างของผู้เสียชีวิตกระเด็นออกมาจากตัวรถอีก 2 ราย คือ นางจันทร์จิรา แป้นคอน อายุ 37 ปี และ ด.ช.พงษธร แป้นคอน อายุ 6 ปี
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเพิ่งกลับจากเยี่ยมญาติที่หมู่บ้านเอื้ออาทร ต.ศาลายา จ.นครปฐม เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านพักที่ อ.นครชัยศรี เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ รถเก๋งคันดังกล่าวได้วิ่งตัดทางรถไฟ โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ากำลังมีรถไฟวิ่งผ่านมา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวค่อนข้างมืด และมีฝนตกลงมา จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุสลดดังกล่าว.

ผจก.บริษัทน้ำมันบึ่งเก๋งตกทางด่วนฉลองรัตน์สาหัส


เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 20 ส.ค. พ.ต.ท.กันตพล สินธวาชีวะ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทางด่วน 1 รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ตกจากทางด่วนฉลองรัตน์ ช่วงสะพานต่างระดับจตุโชค มุ่งหน้าถนนลำลูกกา ทำให้คนขับได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท. ณัฐพล โกมินทรชาติ รอง ผกก. สน.ทางด่วน 1 และประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัย 5 ทางด่วนพิเศษ ไปช่วยเหลือ

ที่เกิดเหตุ บริเวณด้านบนทางด่วนซึ่งเป็งแยกลักษณะตัววาย มีร่องรอยการเฉี่ยวชน เสาสัญญาณบอกป้ายทางแยกหักโค่น ส่วนบริเวณพื้นด้านล่างใต้ทางด่วนซึ่งเป็นป่าหญ้ารกและร่องน้ำ พบรถยนต์ยี่ห้อเชฟ โรเลต ออฟตร้า สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ญข 4372 กรุงเทพมหานคร ในสภาพพังยับเยินจมอยู่ในร่องน้ำใกล้กับตอม่อต้นที่ 3 นับจากจุดแยกตัววาย ระยะห่างประมาณ 100 เมตร เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ใช้รถเครนชักลอกยกขึ้นไปบนทางด่วนเนื่องจากไม่สามารถนำ รถเข้าไปลากซากรถออกมาได้ โดยมีคนขับรถอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสนั่งติดอยู่ที่เบาะคนขับ เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันงัดและนำตัวออกจากรถก่อนนำตัวไปส่งโรงพยาบาลสายไหม ทราบชื่อนายคงภพ บุรภัทรวัฒนา อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 25/24 ม.1 ต.ห้วยกะปิ อ.เมือง จ.ชลบุรี มีบาดแผลกะโหลกศีรษะแตก มีเลือดไหลออกทางปาก จมูก และหู จำนวนมาก อาการสาหัส ทางโรงพยาบาลต้องประสานขอเลือดจากสภากาชาดไทย โดยแพทย์ได้รีบนำตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที
จากการสอบสวนทราบว่า ผู้บาดเจ็บเป็นผู้จัดการบริษัทรถขนส่งน้ำมันแห่งหนึ่ง และจะขับรถไปตรวจโรงเก็บน้ำมันอยู่เป็นประจำ และคาดว่าก่อนเกิดเหตุนายคงภพน่าจะกำลังเดินทางไปตรวจโรงเก็บน้ำมันย่านลำ ลูกกา แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้บาดเจ็บน่าจะขับรถมุ่งหน้าด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงแยกระหว่างบางนากับบางปะอินตรงจุดเกิดเหตุได้เกิดความลังเล จึงเสียหลักพุ่งตกลงไปดังกล่าว อย่างไรก็ตามสาเหตุที่แท้จริงนั้นต้องรอการสอบปากคำผู้บาดเจ็บอีกครั้ง. 

ส.ว.จี้รัฐทบทวนกฎหมายพลังงาน


เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนางพรทิพย์ โล่ห์วีระ จันทร์รัตนปรีดา รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 เป็นประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้หารือว่า ขอให้รัฐบาลทบทวนหลักการสำคัญของ พ.ร.บ ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตลอดเวลา 41 ปี คือการอนุญาตให้ผู้สัมปทานส่งออกได้ไม่จำกัด หากจะขายในประเทศจะต้องใช้ราคาตลาดโลกและบวกค่าขนส่ง ขณะที่ผลตอบแทนรัฐได้รับเป็นเพียง 30 % จากยอดขายได้ ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ทั้งนี้รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายปรับยุทธศาสตร์ประเทศใหม่โดยจะลงทุนสาธารณูประ โภคขนาดใหญ่ สร้างรถไฟความเร็วสูง 6 สาย สร้างท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย รวมทั้งการลงทุนป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท เป็นเงินลงทุนทั้งหมดมาจากการกู้ การนำทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ การลงทุนมหาศาล อาจนำมาซึ่งปัญหาเงินเฟ้อ หากรัฐสามารถปรับให้ประเทศมีรายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมเพิ่มมากขึ้น สามารถมีเงินมาลงทุน โดยไม่ต้องกู้

น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ชะลอเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในปี 2555 เนื่องจากมีการคัดค้านเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่รัฐควรจะได้ ขณะที่อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการศึกษาฯว่า สามารถเก็บผลตอบแทนตามพ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยมฯ 12.5 %  แต่เมื่อปี พ.ศ.2532 ได้ลดลงโดยเปลี่ยนเป็นการเก็บขั้นบันได 5-15  % แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเปลี่ยนแปลงไป 400 % ดังนั้น จึงควรเปลี่ยนแปลงผลตอบแทน เพื่อให้ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด แต่อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติก็ชี้แจงว่าผลตอบแทนที่รัฐได้คือ 55% เอกชนได้ 45 % ซึ่งการคิดแบบนี้ถือว่าทรัพยากรเป็นสิ่งที่ได้เปล่าจึงไม่ถูกต้อง เพราะข้อเท็จจริงรัฐได้ผลตอบแทนเพียง 31 %  จึงอยากให้รัฐมีการแก้ไขก่อนที่จะมีการเปิดประมูลรอบที่ 21
ด้าน นายวิบูลย์ คูหิรัญ ส.ว.สรรหา หารือว่า ขณะนี้พลังงานไฟฟ้าของไทยเริ่มเข้าขั้นวิกฤตเพราะมีการคัดค้านการก่อสร้าง โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือคอนเวนชั่นนอลตลอดมา ทำให้ต้องไปก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำหรือถ่านหินในประเทศเพื่อนบ้านแล้วส่ง กลับมาขายในไทย ขณะที่ไทยมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์และลม รวมทั้งจากขยะโดยคัดค้านน้อยมาก เพราะคิดแต่เพียงว่าเป็นพลังงานสะอาด อย่างไรก็ตามกมธ.พลังงาน วุฒิสภา ได้เดินทางไปดูงานด้านไฟฟ้าที่ประเทศสเปนได้ข้อมูลและคำเตือนจากสเปนมาว่า ไม่ควรเร่งก่อสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และลมควรค่อย ๆ ศึกษาพร้อมวิจัยไปด้วย เพราะเกรงว่าจะเหมือนสเปนที่มีกำลังผลิตทั้งสิ้น1 แสนเมกกะวัตต์เป็นพลังแสงอาทิตย์และลมจำนวน 4 หมื่นเมกกะวัตต์ที่จะต้องผลิตทั้งหมดเพื่อจ่าย ส่วนอีก 1 หมื่นเมกกะวัตต์จ่ายจากระบบคอนเวนชั่นนอลและกำลังผลิตที่เหลืออีก 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้เป็นกำลังสำรองที่ต้องเดินเครื่องเบา ๆ ขนานไว้ ทำให้เป็นการลงทุนซ้ำซ้อน เพราะพลังแสงอาทิตย์และลมจ่ายได้ไม่สม่ำเสมอทำให้ค่าไฟที่สเปน ขณะนี้หน่วยละ 15 ยูโรเซ็นต์หรือ 6 บาท

ขณะที่ไทยหน่วยละ 3 บาท แต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆไปตามสัดส่วนเมื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมมากขึ้น นอกจากนี้จะต้องรีบศึกษาหาทางควบคุมระบบไฟฟ้าให้กำลังผลิตสม่ำเสมอจึงเห็น ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจประชาชน ให้มากเพื่อให้เข้าใจว่าการสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และลมไม่ได้ทำให้การก่อ สร้างโรงไฟฟ้าแบบคอนเวนชั่นนอลน้อยลงเพียงแต่ช่วยลดเชื้อเพลิงระบบ คอนเวนชั่นนอลได้.

ปชป.จี้กก.สิทธิฯเปิดผลสอบเหตุการณ์ชุมนุมปี52-53


เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยข้อเท็จจริงการสอบสวนเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง ปี 2552 - 2553 จากที่คณะกรรมการสิทธิฯ ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 9 ชุด เพื่อศึกษาเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้ง 9 เหตุการณ์ อาทิ เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 52 , เหตุการณ์ลอบยิงในวัดปทุมวนาราม เป็นต้น
ทั้งนี้ จากการสืบสวนข้อเท็จจริงของอนุฯ ทั้ง 9 ชุด จากที่ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างละเอียดทั้งภาพถ่ายและพยานหลักฐาน จากบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้ง คนเสื้อแดง เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ เช่น คณะอนุฯ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการระงับเหตุ วันที่ 10 เม.ย. ที่สี่แยกคอกวัว ซึ่งมีพยานหลักฐาน ภาพถ่าย และปากคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์ กรณีชายชุดดำลอบฆ่าพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม  เป็นต้น

น.ส.มัลลิกา กล่าวอีกว่า ผลสรุปของทั้ง 9 ชุด พบว่าการชุมนุมของผู้ชุมนุม เป็นการรุกล้ำสิทธิเสรีภาพ และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน ส่วนการปิดล้อมของรัฐบาล ถือเป็นการค่อยๆ รุกคืบปิดล้อม ที่ดำเนินไปตามหลักสากล ภายใต้กฎหมายที่มีให้ และไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยออกมา เพราะหลังจากที่คณะกรรมการชุดใหญ่ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง โดยไม่ต้องการให้เปิดเผยผลการสอบสวน จึงทำให้ประธานอนุฯ บางคนอึดอัด ที่ถูกยังยั้งไม่ให้เปิดเผยเรื่องเหล่านี้

“คณะกรรมการสิทธิฯ ควรเปิดเผยข้อเท็จจริง ตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เคลื่อนไหวไปตามแรงโน้มถ่วงของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ  หรือเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจรัฐบาล และขอให้คณะอนุฯ ออกมานำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์จะทำหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิฯ เพื่อให้ทางคณะอนุฯ ได้นำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการ”น.ส.มัลลิกา กล่าว

ส.ว.แนะนายกฯจับมือ5ทหารเสือปราบโกง


เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนางพรทิพย์ โล่ห์วีระ จันทร์รัตนปรีดา รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง ทำหน้าที่ประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว.ขอนแก่น หารือว่าการที่รัฐบาลได้จัดกิจกรรมหนึ่งกรมหนึ่งหน่วยปราบคอร์รัปชั่นคิดว่า รัฐบาลเกาไม่ถูกที่คัน แต่ที่ควรจะทำคือหัวหน้ารัฐบาล รวมทั้งผู้ที่มีอาวุธ และกำลังจะต้องเป็นตัวอย่างในการแสดงออกความรับผิดชอบต่อการปราบปรามการ ทุจริตมิชอบในวงราชการ ถ้าหน่วยงานที่มีพลังทำได้จะทำให้หน่วยงานอื่น ๆ เกรงใจหมด ถ้าหากนายกฯร่วมกับ 5 ทหารเสือ รมว.กลาโหม ผบ.ทบ.ผบ.ทอ.ผบ.ทร. และผบ.ตร. จะทำอย่างไรให้การคอร์รัปชั่นไม่เกิด เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับกระทรวงอื่น ถ้าสามารถทำได้จะเป็นการบูรณาการ เพราะถ้านายกฯทำได้ ทหารทำได้เหมือนเช่นเกาหลีใต้ เชื่อว่าภายใน 3-5 ปีจะดีขึ้น

ด้านพล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า จากผลการสำรวจของเพิร์สเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นพบว่าในปี 2554 ประเทศไทยมีตัวเลข 7.55 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2555 คะแนนลดลงไปเหลือ 6.57 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้น แสดงว่าเราโปร่งใส  อย่างไรก็ตามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นภัยคุกคามต่อสังคม เหมือนมะเร็งร้ายที่ทำให้คนตาย จึงเห็นด้วยกับแนวทางและมาตรการที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเข้มงวดการใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริต และประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ การเสริมสร้างมาตรฐานคุณธรรม และจริยธรรมหรือเรื่องที่เกี่ยวกับบุคลากรของภาครัฐทั้งหมด รวมทั้งการปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมของสังคมให้ซื่อสัตย์สุจริต และเปิดสายด่วน 1206 ให้ประชาชนแจ้งเบาะแส จึงอยากขอความชัดเจนของนายกฯคือมีมาตรการป้องกันการทุจริตในเชิงนโยบายอย่าง ไร และรัฐบาลจะให้พ่อค้า นักธุรกิจหยุดโกง ได้อย่างไร

ส.ว.พัทลุงจี้จัดการบุกรุกป่าพรุควนเคร็ง


เมื่อวันที่ 20 ส.ค.  ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา นางพรทิพย์ โล่ห์วีระ จันทรรัตนปรีดา รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง ทำหน้าที่ประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง กล่าวว่า จากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง จ.พัทลุง มีสาเหตุเกิดจากปัญหาการบุกรุกป่า  ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขปัญหาทะเลสาบ วุฒิสภา ที่มีนายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา เป็นประธาน ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเสนอต่อสภา และรัฐบาลว่าควรดำเนินการกับผู้บุกรุกและต้องลงโทษอย่างรุนแรง พร้อมขอให้รัฐบาลเร่งจัดทำแนวป่าให้ชัดเจน เร่งพิสูจน์สิทธิ์ของชาวบ้าน เพื่อป้องกันการบุกรุก และผู้ที่บุกรุกพื้นที่ใกล้ทะเลสาบ ถือเป็นการทำให้ระบบนิเวศน์เสียหาย จึงขอให้รัฐบาลดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ขณะที่ พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงษ์ ส.ว.มุกดาหาร ได้หารือถึงภัยแล้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ว่า  แม้จะมีฝนตกแต่ก็ไม่มาก ทำให้บางจุดนาข้าวเสียหาย จึงอยากเสนอไปยังรัฐบาลว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ปล่อย คาราวานรถจุดเจาะน้ำบาดาลจำนวน 100 คันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่คิดว่ายังไม่ทั่วถึง เพราะมี 2 กรมคือกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมพัฒนาที่ดินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ไปขุดแหล่งน้ำขนาดเล็กในที่นาของประชาชน ขณะที่งบประมาณที่ได้รับน้อยมาก จึงไม่สามารถทำได้ทั่วถึง ส่วนกรมชลประทานไปทำเฉพาะแหล่งใหญ่ ๆเท่านั้น ขณะที่ประชาชนที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถใช้น้ำได้  จึงขอให้รัฐบาลไปขุดสระน้ำในพื้นที่เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources