วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

"ฮอดจ์สัน"ยันสิงโตไม่มีอะไรต้องเสียใจ


รอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ยืนยันว่า นักเตะ "สิงโตคำราม" ทุกคน ไม่มีอะไรต้องเสียใจ และสามารถเดินเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจต่อไปได้ ถึงแม้ว่า อังกฤษ จะแพ้ต่อ อิตาลี ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ 2-4 และตกรอบก่อนรองชนะเลิศ "ยูโร 2012" ก็ตาม แต่ สตีเวน เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม ยอมรับ ต้องกลับบ้านแบบหัวใจสลายอีกครั้ง

อังกฤษ กับ อิตาลี ทำอะไรกันไม่ได้ ในเกม 90 นาที ที่สนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม ในกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที แต่ทั้งคู่ก็ยังทำประตูกันไม่ได้อีก จึงต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นทีม "อัซซูรี" ที่ทำได้ดีกว่า เมื่อเอาชนะไป 4-2 โดยคนที่ยิงไม่เข้าของ อังกฤษ ก็คือ แอชลีย์ ยัง และ แอชลีย์ โคล ทำให้ อิตาลี ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบกับ "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ในวันพฤหัสบดีนี้ต่อไป ขณะที่ อังกฤษ ตกรอบแบบเจ็บปวด และถือเป็นการแพ้ในการดวลจุดโทษ ในรายการใหญ่เป็นครั้งมี่ 6 จาก 7 ครั้งของทีมสิงโตคำรามด้วย

อย่างไรก็ตาม ฮอดจ์สัน ออกมาเผยหลังเกมว่า ลูกทีมทำได้ดี และพยายามกันเต็มที่แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องเสียใจแต่อย่างใด โดยกล่าวว่า "การตกรอบด้วยการยิงจุดโทษเป็นสิ่งที่โหดร้าย แต่ถึงแม้เราจะตกรอบ แต่เราไม่ได้ตกรอบด้วยความพ่ายแพ้ และผมคิดว่านักเตะทุกคนสามารถเดินเชิดหน้าได้ นักเตะทุกคนทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเพื่อประเทศชาติ และทุกคนก็น่าจะดีใจ ผมตำหนิผู้เล่นไม่ลงจริง ๆ เมื่อเห็นความพยายามของพวกเขา ทุกคนก็วิ่งจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง พวกเขาอ่อนล้า, เป็นตะคริว แต่ก็ยังวิ่งต่อไป แต่เมื่อถึงการยิงจุดโทษมันเป็นเรื่องของโชค และโอกาส แต่โชคร้ายที่ อิตาลี ได้โอกาสนั้นไป"

ด้าน สตีเวน เจอร์ราร์ด มิดฟิลด์กัปตันทีมชาติอังกฤษ ที่ตะคริวขึ้นระหว่างเกม ยอมรับว่า การตกรอบครั้งนี้ ทำให้ตนเองต้องกลับบ้านพร้อมหัวใจที่แหลกสลาย เพราะทุกคนได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วจริง ๆ โดยดาวเตะ ลิเวอร์พูล กล่าวว่า "ทุกคนพยายามกันมาก และทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม ผมคิดว่าเราทำให้ประเทศชาติภูมิใจ แต่มันเป็นอีกครั้งที่ต้องกลับบ้านแบบใจสลาย ซึ่งยากมากที่จะยอมรับได้ การยิงจุดโทษครั้งนี้ เราหวังว่าจะมีโชคช่วยบ้าง แต่เราก็ไม่มีและต้องให้เครดิตแก่ อิตาลี ด้วย พวกเขาคือทีมที่ยอดเยี่ยม และมีโชคช่วยในการยิงจุดโทษ"

อัซซูรีรับโชคช่วย-ชี้เจอเยอรมนีหนัก


เชซาเร ปรันเดลลี เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลี ยอมรับว่า ลูกทีมมีโชคช่วยทำให้เอาชนะ ทีมชาติอังกฤษ ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ 4-2 และผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศยูโร 2012 ได้สำเร็จ นอกจากนั้นระบุด้วยว่า เกมตัดเชือก ที่จะพบกับ ทีมชาติเยอรมนี ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ ถือเป็นงานหนักอีกครั้งของอิตาลี เพราะทีมอินทรีเหล็กชุดนี้แข็งแกร่งทั่วแผ่นอย่างแท้จริง แถมได้พักมากกว่าด้วย
อิตาลี เสมอกับ อังกฤษ ในเวลา 90 นาที ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่โอลิมปิก สเตเดี้ยม ในกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที แต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดทำประตูได้อีก จึงต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ และเป็น อิตาลี ที่ยิงแม่นกว่า และเอาชนะไป 4-2 โดยผู้ยิงประตูสุดท้ายให้ทีมก็คือ อเลสซานโดร เดียมานติ มิดฟิลด์ตัวสำรองจากสโมสรโบโลญญา ทำให้ทีม อัซซูรี ผ่านเข้ารอบตัดเชือกไปพบกับ เยอรมนี ในวันพฤหัสบดีนี้
ภายหลังจบเกม เชซาเร ปรันเดลลี กุนซือทีมชาติอิตาลี ยอมรับว่า ลูกทีมมีโชคช่วยไม่น้อยทำให้ได้ผ่านเข้ารอบในครั้งนี้ โดยเผยว่า "การยิงจุดโทษเป็นเรื่องของโชคถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ผู้เล่นชั้นยอดอาจจะยิงไม่พลาด เพราะพวกเขามีความนิ่ง และมีสมาธิที่ดีกว่า อีกทั้งเคยตกอยู่ในความกดดันแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ว่ายังไง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือโชค และเราก็โชคดี ที่โชคเลือกอยู่ข้างเรา"

สำหรับเกมรอบรองชนะเลิศกับ เยอรมนี ในวันพฤหัสบดีนี้ นั้น ปรันเดลลี ยอมรับว่า อิตาลี คงต้องลงเล่นในฐานะทีมเป็นรอง เนื่องจากทีมอินทรีเหล็กชุดนี้แข็งแกร่งทั่วแผ่น และยังมีเวลาพักมากกว่า อิตาลี ถึง 2 วันด้วย โดยเขาเสริมว่า "ไม่ต้องสงสัยว่า เยอรมนี จะต้องเป็นต่อแน่นอน ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขามีเวลาเตรียมตัวมากกว่าเราถึง 2 วันเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะ เยอรมนี ชุดนี้แข็งแกร่งมากด้วย ดังนั้น ถ้าหากเราแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และต่อสู้เพื่อชัยชนะเหมือนเกมกับ อังกฤษ อีกครั้ง แฟนบอลก็น่าจะได้เห็นแมตช์ที่ยอดเยี่ยมอีกนัด"

กระทิงดวลโทษดับโปรตุเกสลิ่วชิงดำยูโร2012


ศึกฟุตบอลยูโร2012 รอบรองชนะเลิศ เมื่อวันพุธที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่สนามดอนบาสส์ อารีน่า ในเมืองโดเนตส์ค ประเทศยูเครน ระหว่าง "แชมป์เก่า" สเปน พบกับ "ฝอยทอง" โปรตุเกส
เกมนี้ บิเซนเต เด บอสเก กุนซือ "กระทิงดุ" สร้างเซอร์ไพร้ส์ ด้วยการส่ง อัลวาโร เนเกรโด ลงยืนเป็นหัวหอกเดี่ยว ซึ่งถือเป็นการลงสนามนัดแรกของเขาในทัวร์นาเมนต์นี้ ดร็อป เชส ฟาเบรกาส เป็นตัวสำรอง ขณะที่ตำแหน่งอื่น ๆ ใช้ชุดเดิมเป็นหลัก นำทัพโดย ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสตา, ดาบิด ซิลบา ด้าน โปรตุเกส โค้ช เปาโล เบนโต ส่ง ฮูโก อัลไมดา ลงยืนเป็นหน้าเป้าแทนที่ เฮลเดอร์ ปอสติกา ที่เดี้ยงยาว ส่วนตำแหน่งที่เหลือใช้ทีมชุดเดิมที่ลงเล่นเป็นนัดที่ 7 ติดต่อกันเข้าให้แล้ว นำทัพโดย คริสเตียโน โรนัลโด, นานี และเปเป
เปิดฉากการแข่งขันมาได้ 9 นาที สเปน เกือบขึ้นนำ จากการยิงของแบ๊กขวา อัลวาโร อาร์เบลัว แต่บอลข้ามคานออกไปนิดเดียว นาที 29 "กระทิงดุ" ได้ลุ้นอีกครั้ง จากการยิงของ อิเนียสตา แต่ลูกข้ามคานออกไปเหมือนเดิม นาที 31 โรนัลโด ได้โอกาสทองที่จะยิงประตูให้ โปรตุเกส แต่ซัดด้วยซ้าย บอลหลุดเสาออกไปไม่กี่คืบเท่านั้น ครบ 45 นาทีแรก ยังเสมอกัน 0-0 ในรูปเกมที่ โปรตุเกส เล่นได้ไม่เป็นรอง สเปน เลย
เข้าสู่ครึ่งหลัง เกมของทั้งสองทีมเริ่มระมัดระวังตัวกันมากขึ้น ทำให้บอลส่วนใหญ่อยู่บริเวณกลางสนาม โอกาสลุ้นทำประตูกันมีน้อยมาก โดย โรนัลโด ได้ลุ้นจากการยิงฟรีคิกระยะอันตราย 2 ครั้ง แต่ซัดข้ามคานไปหมด ครบ 90 นาที ยังเจ๊ากัน 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
ช่วงต่อเวลาพิเศษ สเปน เป็นฝ่ายครองบอลบุกแทบจะข้างเดียว และน่าได้ประตูขึ้นนำในนาที 104 อิเนียสตา ได้ยิงจ่อ ๆ ลูกเปิดเข้ากลางของเพื่อน ระยะแค่ไม่กี่หลา แต่ รุย ปาทริซิโอ โกลแดนฝอยทอง โชว์ซูเปอร์เซฟป้องกันไว้ได้อย่างสุดยอด ครบ 120 นาที สเปน เสมอกับ โปรตุเกส 0-0 ต้องดวลจุดโทษชี้ขาด ผลปรากฏว่า สเปน ยิงแม่นกว่าชนะ โปรตุเกส 4-2 โดยทาง "กระทิงดุ" ชาบี อลอนโซ ยิงติดเซฟ ปาทริซิโอ แต่อีก 4 คน อันเดรส อิเนียสตา, เกราร์ด ปิเก, เซร์คิโอ รามอส, เชส ฟาเบรกาส ยิงเข้าหมด ฝั่ง โปรตุเกส เปเป กับ นานี ยิงเข้า แต่ เจา มูตินโญ และบรูโน อัลเวส ยิงไม่เข้า ขณะที่ โรนัลโด ซึ่งจะยิงเป็นคนสุดท้าย ทว่า ไม่ได้ยิง เพราะทีมแพ้ไปก่อนแล้ว
สำหรับในรอบชิงชนะเลิศ สเปน จะรอพบผู้ชนะระหว่าง เยอรมนี กับ อิตาลี ที่จะลงเตะตัดเชือกกันที่สนามเนชั่นแนล สเตเดี้ยม กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มิ.ย. เวลา 01.45 น. (ตามเวลาประเทศไทย).

รวบเด็กช่างกลยิงกันเจ็บ 1 ราย


เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. พ.ต.อ.ศักดา ดามาพงษ์  ผกก.สน.ภาษีเจริญ  พ.ต.ท. คงศักดิ์  ปานน้อย สว.สส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ได้รับแจ้งเหตุเด็กนักเรียนช่างกลก่อทะเลาะวิวาทและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ บริเวณปากซอย เพชรเกษม 48  ถ.เพชรเกษม  แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ  จึงไปตรวจสอบพบกลุ่มนักเรียนดังกล่าวหลบหนีไป ส่วนผู้บาดเจ็บมีพลเมืองดีนำส่งโรงพยาบาลเพชรเกษม 2  ทราบชื่อคือ นายเก่ง (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี นักศึกษาชั้นปวช.ปีที่ 1 วิทยาลัยเทคโนยีชื่อดัง ถูกยิงด้วยอาวุธปืน ขนาด .38  ที่ด้านหลัง 1 นัด เบื้องต้นแพทย์ได้ช่วยเหลืออาการปลอดภัย
ส่วนผู้ก่อเหตุจับกุมได้ในเวลาต่อมาทราบชื่อ คือ นายต้อย อายุ 18 ปี นักศึกษาปวช. ชั้นปีที่  2 วิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยของกลาง อาวุธปืนปากกาไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก มีดปลายแหลมยาว 1 ฟุต  1 เล่ม และขวาน 1 เล่ม
จาการสอบสวนเพื่อนผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่าก่อนเกิดเหตุ ตนพร้อมด้วยรุ่นน้องกว่า 10 คน ที่มีบ้านอยู่ย่านอ้อมน้อย ได้นั่งรถเมล์ สาย 81 ที่วิ่งระหว่าง อ้อมน้อย –ปิ่นเกล้า มาเรียนด้วยกันทุกวัน เนื่องจากถ้าเดินทางมาคนเดียวจะไม่ปลอดภัย เพราะระหว่างทางจะเจอพวกนักศึกษาช่างกล หลายสถาบัน โดยขณะเกิดเหตุเป็นช่วงที่รถเมล์คันดังกล่าวจอดติดไฟแดงอยู่ ระหว่างนั้นที่ฝั่งตรงข้าม ซอยเพชรเกษม 48  ได้เจอกลุ่มผู้ก่อเหตุ อยู่ที่ป้ายรถเมล์และได้ตระโกนท้าทายพวกตน  และพวกรุ่นน้องบางคนได้มีการตะโกนท้าทายกลับโต้ตอบกัน  ก่อนที่ผู้ก่อเหตุพร้อมพวกอีกกว่า 20 คน จะวิ่งข้ามสะพานลอยมาเมื่อถึงรถประจำทางที่พวกตนโดยสารอยู่ หนึ่งในผู้ก่อเหตุจำได้คือนายต้อยได้ใช้อาวุธปืน ยิงขึ้นมาบริเวณประตูหลังรถโดยสารประทางที่มีประชาชนอยู่บนรถจำนวนมา ทำให้กระสุนปืนถูกนายเก่งได้รับบาดเจ็บ  พวกรุ่นน้องของตนจึงลงจากรถไปตะลุ่มบอนกัน ก่อนที่กลุ่มผู้ที่ก่อนเหตุจะหลบหนีไป พวกตนจึงนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล

รวบ"โหร" หลอกข่มขืนนักเรียน



เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม. พ.ต.ท.อัศวิน หวังสู้ศึก รอง ผกก.1 ปคม. นำหมายศาลอาญาเลขที่ 953/2555 ลงวันที่ 27 มิ.ย.55 เข้าทำการจับกุมนายทรงวุฒิ เจริญชัย อายุ 57 ปี เจ้าสำนักโหราศาสตร์ชื่ออาจารย์ณัชชวี เลขที่ 65/7 ถนนพุทธมณฑลสาย 3 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี เป็นธุรกิจจัดหาให้มีการค้าประเวณี
โดยขณะที่เข้าจับกุมเจ้าหน้าที่พบเด็กนักเรียนหญิง ชั้น ม.2 ย่านบางแค จำนวน 4 คน นั่งรอทำการเปลี่ยนชื่อ โดยตึกดังกล่าวสูง 3 ชั้น ชั้นล่างเปิดเป็นตำหนักดูโหราศาสตร์ ดูดวง ดูฤกษ์ ชั้น 2 เปิดเป็นห้องทำพิธีกรรมลงนะหน้าทอง ส่วนชั้น 3 เป็นห้องเปล่า จากการตรวจค้นภายในชั้น 2 พบถุงยางอนามัยจำนวนมาก อวัยวเพศชายปลอมจำนวน 1 อัน กาแฟปลุกเซ็กส์หลายซอง ยาไวอาก้า เสื้อผ้าและกางเกงในผู้หญิงจำนวนมาก จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

พ.ต.อ.ชิตภพ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา(25 มิ.ย.) มีนักเรียนหญิงโรงเรียนชื่อดังย่านศาลายา 4 คน เดินทางเข้าพบตำรวจ บก.ปคม. ว่า ได้ถูกผู้ต้องหากระทำชำเรา และบังคับให้ค้าประเวณี โดยทั้งหมดถูกหลอกจากเพื่อนผู้หญิงที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนให้ไปหาผู้ต้องหา โดยอ้างว่าทุกคนกำลังมีเคราะห์ หากทำการเปลี่ยนชื่อแล้วจะดีขึ้น ทุกคนก็หลงเชื่อ โดยผู้ต้องหาจะให้เด็กนักเรียนหญิงแต่ละคนสลับกันขึ้นทำพิธีที่บริเวณชั้น2 ทีละคน โดยผู้ต้องหาจะหลอกให้นักเรียนหญิงถอดเสื้อผ้าออกหมด แล้วให้นอนลงก่อนจะนำผ้าขาวมาคลุมตัวไว้ ก่อนที่จะร่ายมนต์คาถาต่างๆ จากนั้นก็จะใช้มือลูบคลำที่อวัยวเพศ ก่อนจะลงมือข่มขืน
โดยจะทำกับเด็กทุกคน แล้วจะบอกกับทุกคนว่า พิธีกรรมสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้จะโชคดี ชีวิตเจริญก้าวหน้า มีเงินมีทองเข้ามาตลอด หลังจากนักเรียนทุกคนกลับบ้านไปแล้ว ผู้ต้องหายังโทรฯติดต่อกับทุกคน ถ้าใครอยากได้เงินใช้ให้มาหาอาจารย์ แต่หากใครไม่มาหาจะเสกคุณไสยเข้าท้อง ซึ่งเด็กทุกคนก็กลัวจึงเดินทางมาอีก ก่อนที่ผู้ต้องหาจะหลอกให้ค้าประเวณีกับผู้ชายต่างๆ โดยคนที่ได้ค่าตัวสูงสุดอยู่ที่ 4,000 บาท ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง
พ.ต.อ.ชิตภพ กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าตนเป็นชาวอุดรธานี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้บวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ที่วัดที่อุดรฯ ได้ประมาณ 10 พรรษา เกิดศรัทธาและคลั่งไคล้ไสยศาสตร์จึงเดินทางมาหาห้องเช่าที่กรุงเทพฯ ก่อนจะมาเปิดตำหนักที่ตึกดังกล่าว พร้อมกับตั้งตนเป็นอาจารย์รับดูดวง ดูฤกษ์ เปลี่ยนชื่อ นามสกุล และดูโหราศาสตร์ ส่วนถุงยางที่พบ ผู้ต้องหาอ้างว่า ซื้อเก็บไว้ใช้เอง เวลามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง และจะใช้ยาไวอาก้าด้วยทุกครั้งเพราะอายุเยอะแล้ว
ส่วนเสื้อผ้าผู้หญิงเป็นของคนอื่นที่เข้ามาเรียนเรื่องการนวดถอดทิ้งไว้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจคำให้การ เพราะพยานหลักฐานแน่นหนา จึงควบคุมตัวไปที่บก.ปคม. เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมกับดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สาวซุกยาบ้าในขนมปังให้ผู้ต้องหาบนโรงพัก


เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. ขณะที่ด.ต.สถาพร ชาติชัยภูมิ ผบ.หมู่ (ป.) สน.บางขุนเทียน ปฎิบัติหน้าที่สิบเวรอยู่หน้าห้องควบคุมบนโรงพัก ต่อมาได้มีน.ส.รฎา ศิริศรีเสริมวงษ์ อายุ 20 ปี มาขอเยี่ยมนายวิรัตน์ หรือรุ่ง สุขสาลี ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในข้อหา จำหน่ายยาบ้า จำนวน 50 เม็ด
โดยน.ส.รฎาได้นำขนมปัง ซี่งหากดูภายนอกจะมีการบรรจุ ห่อด้วยพสาติกมาเป็นอย่างดี แต่ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ และความละเอียดรอบรอบ ด.ต.สถาพรจึงแกะหีบห่อขนมปังทุกชิ้น เมือฉีกห่อพลาสติกออก จากนั้นได้ฉีกตรวจสอบในเนื้อขนมปัง  กลับพบยาบ้า 10 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในขนมปัง ที่น.ส.รฎาได้ซุกซ่อนยาบ้าไว้เพื่อนำมาให้นายวิรัตน์
ด.ต.สถาพรจึงทำการจับกุมตัว พร้อมด้วยของกลางส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป  โดยในชั้นการจับกุมน.ส.รฎาให้การรับสารภาพว่า ต้องการนำยาบ้ามาให้แฟนหนุ่มซึ่งถูกจับกุมอยู่ที่สน.ขุนเทียน ในข้อหาจำหน่ายยาบ้า อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบประวัติ พบว่าน.ส.รฎาเคยถูกจับกุมในข้อหาครอบครองยาบ้าหลายครั้ง เช่น ถูกจับกุมที่ สน.บางบอน จำนวน 10 เม็ด  และที่สน.ธรรมศาลา จำนวน 30 เม็ด

ขโมยแสบตระเวนตัดกุญแจตู้เติมเงินโทรศัพท์ออนไลน์


เมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 27 มิถุนายน 2555 ในขณะที่ พ.ต.ท.สุทธิชน ธงชัยภูมิ สารวัตรเวร สภ.บางปูสมุทรปราการ กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพัก ได้มีนางสาว อาทิตยา  จันละทาน อายุ 36 ปี เจ้าของธุรกิจตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือออนไลน์ ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่า ตู้เติมเงินโทรศัพท์ออนไลน์ ที่ตนมาเช่าสถานที่หน้าบ้านเลขที่ 317 หมู่ 1 ซอยเทศบาลบางปู 88 ต.บางปูใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ เพื่อตั้งตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือออนไลน์ และเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมาได้ถูกคนร้ายที่ขับรถแท็กซี่  สีชมพู ไม่ทราบทะเบียน เข้ามาก่อเหตุใช้คีมตัดกุญแจและงัดเอากล่องใส่เงินภายในตู้เติมเงินออนไลน์ ไป ซึ่งภายในกล่องเก็บเงินดังกล่าวมีเงินสดอยู่เกือบ 5 พันบาท
      
ซึ่งกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ที่หน้าบ้านดังกล่าวสามารถบันทึกภาพที่คน ร้ายกำลังลงมือก่อเหตุเอาไว้ได้  จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนร่วมเดินทางตรวจสอบที่เกิดเหตุและตรวจสอบ ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพเอาไว้ได้ พบว่าคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 35 ปี สูงประมาณ 165-170 เซนติเมตร ขับรถแท็กซี่สีชมพู มองเลขทะเบียนไม่ชัดเข้ามาจอดเลยจากหน้าบ้านหลังดังกล่าวไปก่อนที่ชายคนดัง กล่าวจะเดินย้อนลงมาใช้คีมตัด มาตัดแม่กุญแจที่ล๊อกขางตู้และใช้เหล็กมางัดเอากล่องใส่เงินในตู้ไป โดยเจ้าหน้าที่ได้เก็บภาพของคนร้ายเอาไว้เป็นหลักฐานในการติดตามจับกุมตัวมา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

2 โจรอ้วนผอมสวมรอยตำรวจชิงทรัพย์พ่อค้า


เมื่อเวลา 00.10 น.วันนี้ ( 28 มิ.ย.) ร.ต.อ.เอกชัย มูลลี ร้อยเวร สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุ 2 คนร้ายแอบอ้างเป็นตำรวจ ใช้อาวุธปืนและมีดจี้ชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ สาหัส  บริเวณลานจอดรถหลังตลาดนัดสหชัย หมู่5 ต.สัตหีบ จึงไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.ชนพัฒน์ นวลักษณ์ ผกก.  เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ
ที่เกิดเหตุพบผู้เสียหายคือนายบุญนำ แก้วอินต๊ะ อายุ 54 ปี พ่อค้าขายปลาย่าง ถูกคนร้ายตีด้วยด้ามปืนที่ศีรษะเป็นแผล ฉกรรจ์ นั่งรอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยท่าทีตื่นตระหนก  เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ จึงทำการปฐมพยาบาล และนำตัวส่งรพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือต่อไป  ตรวจสอบที่เกิดเหตุพบมีดปลายแหลมที่คนร้ายทำตกไว้ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนเบื้องต้นผู้เสียหายให้การว่า  ก่อนเกิดเหตุ ได้มาขายปลาย่างอยู่ในตลาดนัดเปิดท้าย จนตลาดเลิกจึงเก็บของรวบรวมไว้บริเวณร้าน และได้เดินมาเอารถยนต์กระบะ วีโก้ 4 ประตู สีดำ ทะเบียน บว – 7612 ระยอง ของตนบริเวณจุดเกิดเหตุ ระหว่างนั้นคนร้ายเป็นชาย 2  คนรูปร่างผอมสูง และอ้วนเตี้ย อายุประมาณ 40 ปี ไว้ผม รองทรง สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำ นุ่งกางเกงขายาว  ลักษณะคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบ  ซ้อนรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า คลิก สีเลือดหมู เป็นยานพาหนะ ก่อนที่หนึ่งในคนร้ายรูปร่างอ้วนจะตรงเข้ามา ล็อกแขน ส่วนคนผอมสูงทำหน้าที่ปลดทรัพย์เป็นสร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท สร้อยข้อมือหนัก 4 บาท และกระเป๋าเงินซึ่งมีเงินสด 10,000 บาท  ระหว่างนั้นตนพยายามขัดขืนปัดป้องจึงถูกคนร้ายใช้ด้าปืนตีที่ศีรษะหลายครั้ง จนได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนีไป
พ.ต.อ.ชนพัฒน์ กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ทำให้ปริมาณคดีอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากคนร้ายมักจะต้องการเงินไปใช้หนี้พนันนบอลจึง ออกอาละวาดก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวันเพื่อนำเงินไปปลดหนี้พนันบอล เช่นรายนี้ คนร้ายน่าจะจ้อง และติดตามดูพฤติกรรมมานานจนรู้ความเคลื่อนไหว จึงได้ไปดักรอจนสบโอกาสลงมือก่อเหตุ ล่าสุด ได้ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวในการติดตามจับกุมคนร้าย พร้อมตรวจเช็คภาพจากกล้องวงจรปิดทุกแห่ง ที่คาดว่าคนร้ายจะผ่าน เพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามจับกุมคนร้ายแก๊งนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

"ทบ."ฟื้นโครงการสุภาพบุรุษอาชีวะ เริ่ม 10 ก.ค.นี้


วันนี้ (28 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ท.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงความคืบหน้า โครงการสุภาพบุรุษอาชีวะ ในการนำนักเรียนอาชีวะมาฝีกในค่ายทหารว่า ในการประชุมร่วมระหว่างกองทัพบก และคณะกรรมส่งเสริมการศึกษาอาชีวะภาคเอกชน และคณะกรรมอาชีวะศึกษา ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่ากองทัพบกจะเป็นส่วนหนึ่งในการบูรณาการสร้างกิจกรรม มีจำนวนผู้เข้าร่วมฝึกอบรม 220 คน จาก 33 สถาบัน เป็นเอกชน 16 สถาบัน รัฐบาล 17 สถาบัน ระยะเวลา 10 สัปดาห์ หรือประมาณ 2 เดือนครึ่ง เท่ากับเวลาการฝึกทหารใหม่ ส่วนพื้นที่ฝึกมี 2 พื้นที่คือ แก่งกระจาน จ. เพชรบุรี หน่วยสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี อย่างไรก็ตามจะมีการพิจารณาอีกครั้ง เพื่อดูเงื่อนไขบุคคลากรด้านการสอบว่าเพียงพอหรือไม่ ซึ่งอาจจะยุบเหลือ 1 พื้นที่แล้วแบ่งเป็น 2 รุ่น โดยจะเริ่มโครงการในวันที่ 10 ก.ค.นี้

รองโฆษกฯระบุอีกว่า ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และกระทรวงศึกษาธิการตระหนักดีว่า เด็กเหล่านี้ไม่ใช่เด็กมีปัญหา หรือทำความผิดในโรงเรียน เพราะฉะนั้นอย่ามองว่าเด็กเหล่านี้เป็นเด็กสร้างปัญหา เราเป็นแค่การเสริมหลักสูตรและศักยภาพเท่านั้น แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เรารู้ดีว่าช่วยวัยรุ่นมีความคึกคะนอง เขามีสัญลักษณ์อุดมการณ์คือ สถาบัน ต่อไปเราจะเปลี่ยนให้ สัญลักษณ์สถาบันเป็นชาติ ซึ่งยิ่งใหญ่และสำคัญมากกว่า” พ.ท.วันชนะ กล่าวและว่าในการรับฟังข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการพบว่า ปัญหาคือรุ่นพี่ที่ออกจากสถาบันการศึกษาไปแล้ว จะเข้ามาในโรงเรียนเพื่อปลูกฝังความคิด ความรุนแรง มีเป้าหมายเด็กชั้นปีที่ 2 ซึ่งส่วนหนึ่งไม่ได้สมัครใจ สิ่งที่เราทำคือการแยกปลาออกจากน้ำ เพราะรุ่นพี่ที่เข้ามามีการจัดตั้งเป็นกระบวนการและมีเงินช่วยเหลือเรื่อง คดีความ

พ.ท.วันชนะกล่าวต่อว่า สำหรับงบประมาณทางกระทรวงศึกษาธิการจะดูแลสนับสนุนตลอดระยะเวลาการฝึก ส่วนที่มองกันว่าที่ผ่านมาก็เคยมีการอบรมในลักษณ์นี้แต่ไม่ประสบความสำเร็จ นั้น ตนมองว่า แม้เพียงได้แค่1 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าประสพความสำเร็จแล้ว เพราะสามารถปลูกฝังเด็กได้ส่วนหนึ่ง เราจะพยายามปลูกฝังเด็กเหล่านี้ให้มีความเป็นสุภาพบุรุษ หากมีปัญหา ก็ให้เป็นเรื่องระหว่างคน2คน จะไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป และจะต้องไม่ดึงคนอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วม อย่างไรก็ตามสิ่งที่คาดหวังคืออยากให้เด็กมีความสำนึกและทำความดีต่อสังคม ส่วนกองทัพบกและกระทรวงศึกษาธิการ จะพยายามต่อยอดโครงการดังกล่าวให้มีต่อไปเรื่อยๆ  เพื่อดึงศักยภาพให้เด็กเห็นคุณค่าของตัวเองและสังคม.

เสี่ยโร่มอบตัวปฏิเสธยิงทหารเรือ


กรณี นายปิยะวัฒน์ จั่นเพ็ชร เสี่ยเจ้าของสถานบันเทิงเพื่อชีวิตแห่งหนึ่งในอ.สัตหีบ จ.ชลบุรี  ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิง น.ต. สมเจต สุหร่ายมาตร์ อายุ 34 ปี  นายทหารสังกัด กรมโรงงานฐานทัพเรือสัตหีบ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในบ้านพักกองทัพเรือ การเคหะแห่งชาติ ต.พลูตาหลวง หลังเกิดการทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันเรื่องที่ทั้งคู่แอบชอบพอหญิงคน เดียวกัน ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
 ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ ( 28 มิ.ย.)  นายปิยะวัฒน์ พร้อมแฟนสาวซึ่งเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง ได้เดินทางเข้าพบและมอบตัวกับ พ.ต.ท.บำรุง รักษ์บำรุงสกุล สวส.สภ.พลูตาหลวง เจ้าของคดี โดยผู้ต้องหาและแฟนสาวได้ปฏิเสธไม่ขอให้การใด ๆ ในชั้นสอบสวน โดยจะขอให้การใช้ชั้นศาลเท่านั้น
พ.ต.ท.บำรุง เปิดเผยว่า แม้ในคดีนี้ผู้ต้องจะให้การปฏิเสธ แต่จากพยานหลักฐาน รวมถึงคำยืนยันจากฝ่ายผู้เสียหาย มีเพียงพอ ในขั้นต้นจึงตั้งข้อหานายพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม 3 ข้อหาแก่นาปิยะวัฒน์ จั่นเพ็ชร เนื่องจากคดีเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง ประกอบกับผู้ต้องหาขอใช้สิทธิให้การในชั้นศาลตนจึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด และควบคุมตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลฝากขังเป็นผลัดแรก ซึ่งหากผู้ต้องหาต้องการจะยื่นคำร้องขอประกันตัวก็สามารถทำได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังถูกนำตัวไปฝากขังเป็นผลัดแรกผู้ต้องหาได้ยื่นคำ ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาลโดยใช้เงินสด 900,000 บาทเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานและพฤติกรรมของผู้ ต้องหาแล้วจึงมีคำสั่งอนุมัติให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราวระหว่างดำเนินคดี ต่อไป.

ตำรวจแม่สายลุยยึดคลังอาวุธเจ้ายอดศึก


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 มิ.ย. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ โทปุญญานนท์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.ต.อ.ณัฎฐวุฒิ ยุววรรณ ผกก.สภ.แม่สาย  และทหารจากหน่วย ฉก.ม.3 กกล.ผาเมือง (กองกำลังผาเมือง) ร่วมกันแถลงข่าว จับกุมนายสว่าง ใจแก้ว อยู่บ้านเลขที่ 165 หมู่ 12 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย พร้อมของกลางเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 12 กระบอก ลูกจรวดอาร์พีจี 9 ลูก อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 6 กระบอก ซองกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 6 ซอง อาวุธปืนเล็กยาวเอเค 47 จำนวน 17 กระบอก ซองบรรจุกระสุนเอเค 47 จำนวน 17 ซอง และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง
จากการสอบสวนนายสว่าง ให้การรับสารภาพว่า รับจ้างเก็บอาวุธสงครามเหล่านี้ จากนายคำ หรือปรัชญา เขื่อนคำ ซึ่งเป็นคนสนิทของเจ้ายอดศึก ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงนำกำลังพร้อมหมายเข้าค้นบ้านเลขที่ 206 หมู่ 9 ต.เวียงพางคำ ของนายคำ ปรากฏว่านายคำ ไหวตัวทันหลบหนีไปได้ จึงยึดได้เพียงอาวุธปืนอาก้า 1 กระบอกที่ซุกซ่อนอยู่ใต้เตียงภายในห้องนอนเท่านั้น

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า อาวุธสงครามทั้งหมดจะถูกนำไปส่งให้กับขบวนการค้ายาเสพติด เพื่อแลกกับยาบ้า และจะนำอาวุธสงครามเหล่านี้ เพื่อใช้ในการคุ้มครองคาราวานยาเสพติด ซึ่งกรณีนี้ถือว่าน่าห่วงเพราะจะเป็นอาวุธที่กลับมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่ เข้าไปปราบปราม ดังนั้นจึงต้องมีการบูรณาการกันทุกฝ่ายทั้งทหาร ตำรวจ ฯลฯ เพื่อสกัดกั้น สำหรับต้นทางที่มาของอาวุธนั้นอยู่ระหว่างประสานฝ่ายทหารตรวจสอบต่อไป แต่เบื้องต้นคาดว่าไม่น่าจะมาจากภายในประเทศ แต่น่าจะนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า.

2 โจรอ้วนผอมสวมรอยตำรวจชิงทรัพย์พ่อค้า


เมื่อเวลา 00.10 น.วันนี้ ( 28 มิ.ย.) ร.ต.อ.เอกชัย มูลลี ร้อยเวร สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุ 2 คนร้ายแอบอ้างเป็นตำรวจ ใช้อาวุธปืนและมีดจี้ชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ สาหัส  บริเวณลานจอดรถหลังตลาดนัดสหชัย หมู่5 ต.สัตหีบ จึงไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.ชนพัฒน์ นวลักษณ์ ผกก.  เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ
ที่เกิดเหตุพบผู้เสียหายคือนายบุญนำ แก้วอินต๊ะ อายุ 54 ปี พ่อค้าขายปลาย่าง ถูกคนร้ายตีด้วยด้ามปืนที่ศีรษะเป็นแผล ฉกรรจ์ นั่งรอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยท่าทีตื่นตระหนก  เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ จึงทำการปฐมพยาบาล และนำตัวส่งรพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือต่อไป  ตรวจสอบที่เกิดเหตุพบมีดปลายแหลมที่คนร้ายทำตกไว้ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนเบื้องต้นผู้เสียหายให้การว่า  ก่อนเกิดเหตุ ได้มาขายปลาย่างอยู่ในตลาดนัดเปิดท้าย จนตลาดเลิกจึงเก็บของรวบรวมไว้บริเวณร้าน และได้เดินมาเอารถยนต์กระบะ วีโก้ 4 ประตู สีดำ ทะเบียน บว – 7612 ระยอง ของตนบริเวณจุดเกิดเหตุ ระหว่างนั้นคนร้ายเป็นชาย 2  คนรูปร่างผอมสูง และอ้วนเตี้ย อายุประมาณ 40 ปี ไว้ผม รองทรง สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำ นุ่งกางเกงขายาว  ลักษณะคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบ  ซ้อนรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า คลิก สีเลือดหมู เป็นยานพาหนะ ก่อนที่หนึ่งในคนร้ายรูปร่างอ้วนจะตรงเข้ามา ล็อกแขน ส่วนคนผอมสูงทำหน้าที่ปลดทรัพย์เป็นสร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท สร้อยข้อมือหนัก 4 บาท และกระเป๋าเงินซึ่งมีเงินสด 10,000 บาท  ระหว่างนั้นตนพยายามขัดขืนปัดป้องจึงถูกคนร้ายใช้ด้าปืนตีที่ศีรษะหลายครั้ง จนได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนีไป
พ.ต.อ.ชนพัฒน์ กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ทำให้ปริมาณคดีอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากคนร้ายมักจะต้องการเงินไปใช้หนี้พนันนบอลจึง ออกอาละวาดก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวันเพื่อนำเงินไปปลดหนี้พนันบอล เช่นรายนี้ คนร้ายน่าจะจ้อง และติดตามดูพฤติกรรมมานานจนรู้ความเคลื่อนไหว จึงได้ไปดักรอจนสบโอกาสลงมือก่อเหตุ ล่าสุด ได้ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวในการติดตามจับกุมคนร้าย พร้อมตรวจเช็คภาพจากกล้องวงจรปิดทุกแห่ง ที่คาดว่าคนร้ายจะผ่าน เพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามจับกุมคนร้ายแก๊งนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ร.ต.ต.ใหม่เมืองเชียงรายยิงตัวตายปริศนา


เมื่อเวลา 07.15 น. วันที่ 27 มิ.ย. พ.ต.ต.ธวัช สิงห์ชัย สารวัตรเวร สภ.เมือง จ.เชียงราย รับแจ้งเหตุมีนายตำรวจใช้อาวุธปืนฆ่าตัวตาย จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.สมคิด หมั่นงาน รอง ผกก.สส. ชุดชุดสืบสวน แพทย์นิติเวชจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุที่แฟรดตำรวจ ถ.สันติพิทักษ์ราษฎร์ เขตเทศบาลนครเชียงราย ชั้น 4 ห้อง 499 พบศพ ร.ต.ต.ราชัน แก้วก๋า อายุ 40 ปี ตำแหน่ง รอง สว.ฝ่ายอำนวยการ ด้านนโยบายและแผน บก.ภ.จ.เชียงราย ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ จ.พะเยา และ อดีตเป็นดาบตำรวจ ตชด. 32 จ.พะเยา สอบบรรจุเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร และย้ายมาประจำอยู่ที่ บก.ภ.เชียงราย ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น นอนเป็นศพอยู่ที่บริเวณข้างเตียงภายในห้องนอน สภาพนอนหงายอยู่ในชุดครึ่งท่อน สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว กางเกงขายาวสีกากี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่ท้ายทอยด้านขวา ข้างศพพบปืนพกสั้น ขนาด .38 มม.ของคนตายตกอยู่ 1 กระบอก ภายในห้องนอนไม่พบร่องรอยการต่อสู้  ไม่พบเอกสารหรือจดหมายลาตายแต่อย่างใด
จากการสอบถามภรรยาของคนตาย ให้การว่า ขณะพาลูกชายออกจากห้องเพื่อไปส่งที่โรงเรียน ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากในห้องพัก 1 นัด จึงรีบกลับเข้าไปดู พบสามียังหายใจรวยรินอยู่ ได้ร้องขอให้เพื่อนข้างห้องมาช่วย แต่ที่สุดก็พบว่าเสียชีวิตแล้ว ตนไม่ทราบสาเหตุการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน อาจจะมาจากสาเหตุเครียดเรื่องงานใหม่ที่ทำอยู่ก็ได้
ด้าน พ.ต.ท.สมคิด เปิดเผยว่า ยังสันนิษฐานสาเหตุการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ไม่ได้ เนื่องจากคนตายเพิ่งย้ายมาบรรจุใหม่เพียง 1 เดือนเท่านั้น และเพื่อน ๆ ข้าราชการตำรวจส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคยกัน ส่วนที่ว่าเครียดเรื่องงานที่ทำก็ไม่น่าจะเป็นได้ เนื่องจากเป็นงานใหม่ หากไม่ถนัดก็สามารถร้องขอผู้บังคับบัญชาเปลี่ยนงานได้ เบื้องต้นน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่คนตายไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จากนี้จะได้สอบพยานแวดล้อมเพื่อหาสาเหตุการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ต่อไป.

ฟ้อง “ เชาวริน” ลวงเช่าจตุคามรามเทพ


วันที่ 27 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 นำตัว ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ที่ปรึกษา พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาส่งฟ้อง เป็นจำเลยต่อศาล ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยอัยการโจทก์ ระบุคำฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-30 มิ.ย. 50 ต่อเนื่องกัน จำเลย ได้บังอาจกระทำผิดกฎหมาย เจตนาทุจริต โดยบังอาจหลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงที่ควรบอก แก่ประชาชน โดยนำข้อความลงประกาศใน นสพ. หลายฉบับ ฉบับวันที่ 16 มิ.ย.50 เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป สั่งจองและซื้อวัตถุมงคลจตุคามรามเทพ รุ่น “ ทรัพย์สินเนืองนอง เงินทองไหลมา” โดยจำเลย ได้เป็นประธานกรรมการในการจัดสร้าง พร้อมกับปลุกเสกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และศาลหลักเมือง ที่ล้วนเป็นเท็จ เพราะความจริงแล้วไม่มีการนำวัตถุมงคลดังกล่าวไปปลุกเสกตามสถานที่จำเลยอ้าง แต่อย่างใด ทำให้มีประชาชนทั่วไปจำนวนมากหลงเชื่อ สั่งจองและจ่ายเงินค่าวัตถุมงคลดังกล่าว ทั้ง ร.ต.นพดล เดชาฤทธิ์ จ่ายเงิน จำนวน 1,791 บาท และนายสุริยาวุธ มีบุญมาก จำนวน 1,194 บาท ให้แก่จำเลย เหตุเกิดที่แขวงบรมมหาราชวัง แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กทม. , จ.ราชบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาวันที่ 23 ม.ค.51 จำเลย ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง  รับทราบข้อกล่าวหา

ศาลพิจารณาแล้วให้ประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีดำ อ.2084/2555 และสอบถามจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดตรวจหลักฐานในวันที่ 3 ก.ย. นี้ เวลา 09.00 น. ต่อมา ร.ต.ท.เชาวริน ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกฯ เป็นเงินมูลค่า 400,000 บาทเศษ เพื่อขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 90,000 บาท

ส.ส.ร.40 ชนศาลรธน.ตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่


ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. กลุ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 (ส.ส.ร.40) ประมาณ 20 คน นำโดย นายคณิน บุญสุวรรณ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ นายบุญเลิศ คชายุทธเดช นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ได้หารือร่วมกันถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
ภายหลังการหารือกลุ่มส.ส.ร.40 ได้ออกจดหมายเปิดผนึกในนามของกลุ่มส.ส.ร.40 โดยนายคณินกล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 50 ส่วนใหญ่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาขณะนี้ ก็ลอกมาจากมาตรา 63 ของปี 40 เพียงแต่มีการเพิ่มเติมบทลงโทษไว้ในวรรคสี่ คือยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถือเป็นการจงใจเบี่ยงเบนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40 ในการสัมมนาภายหลังการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้กำหนดกรอบปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานมาเกือบ 9 ปี ว่าทุกเรื่องผู้ร้องจะต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ที่อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นายคณินกล่าวว่า ที่ผ่านมาส.ส.พรรคไทยรักไทย เคยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเรียกร้องขอนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 ยังปฏิเสธไม่รับคำร้อง โดยให้ไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ถูกยกเลิกไป ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของชุดเดิม ถือว่าไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีบรรทัดฐานอะไรเลย ขณะที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 40 คือการบัญญัติการกระทำผิดตามมาตรา 63 ว่าการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข คือการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเท่านั้น

“ดังนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว จากนี้ไปไม่ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้อง หรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป หมายความว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุมครม. และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดจนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อ บ้านเมืองอย่างไร” นายคณิน กล่าว 

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources