วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แห่แจ้งจับบริษัททัวร์ญี่ปุ่น-เกาหลี อ้างหลอกซื้อทัวร์เสียหายนับแสน


เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการใช้บริการทัวร์ท่องเที่ยวประเทศ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ของบริษัทแห่งหนึ่ง ประมาณ 70 คน เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.ภายหลังซื้อบริการทัวร์ท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี แล้วไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวตามที่ตกลงกันไว้และถูกบ่ายเบี่ยงที่จะชดใช้ ค่าเสียหาย

นางผกาวัลย์ โพธิ์แก้ว รองผู้อำนวยการโรงเรียนวัดนิมมานรดี ย่านบางแค หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า มีคนรู้จักที่เคยไปท่องเที่ยวกับบริษัทแห่งนี้ และต่อมาได้เป็นหุ้นส่วนบริษัทร่วมลงทุนจัดทัวร์ท่องเที่ยวมาชักชวนให้ใช้ บริการท่องเที่ยวเกาหลี 5 วัน 3 คืน ในราคาคนละ 13,900 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกมาก จึงหลงเชื่อไปชวนคนรู้จักรวมตัวกันไปเที่ยวด้วยกันอีก 25 คน เป็นเงินกว่า 3 แสนบาท แต่มีการแบ่งจ่ายกันเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มตนจ่ายให้กับบริษัทเป็นเงิน 1.8 แสนบาท ส่วนอีกกลุ่มจ่ายให้กับพนักงานขายคนที่มาติดต่อเป็นเงิน 1.9 แสนบาท กำหนดเดินทางกันในวันที่ 19-23 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงกำหนดก็ไม่ได้เดินทาง

ทั้งนี้ ได้มีการนำกรณีของสายการบินพี.ซี.แอร์ ที่เกิดปัญหามาอ้างด้วย ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ซึ่งทางบริษัท แจ้งว่าหากต้องการยกเลิกก็ยินดีจะคืนเงินให้ภายใน 15 วัน ซึ่งกลุ่มของตนไม่ต้องการเงินคืน แต่ต้องการเดินทางไปเที่ยวตามที่ตกลงกันไว้และจ่ายเงินไปแล้ว กระทั่งตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค. ก่อนกำหนดเดินทางก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย

ขณะที่หญิงสาวผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า มีเพื่อนแนะนำทัวร์บริษัทนี้ เมื่อเห็นว่าราคาถูก จึงชวนเพื่อนอีก 4 คน ซื้อแพคเกจทัวร์ไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 6 วัน ในราคาคนละ 25,900 บาท รวมเป็นเงิน 1.3 แสนบาท โดยทางบริษัทจะรับทำเอกสารต่างๆให้ทั้งหมด แต่ก่อนถึงกำหนดวันเดินทางก็ยังไม่ได้วีซ่า จึงเชื่อว่าถูกหลอกจึงเริ่มหาข้อมูลจากหน่วยงานราชการ ก็ไม่พบว่าชื่อบริษัทนี้ในระบบ ส่วนในอินเตอร์เน็ตก็พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง ซึ่งมีผู้เสียหายเปิดหน้าเพจเอาไว้จึงเข้าไปดูข้อมูล พบว่ามีผู้เสียหายถูกหลอกเป็นจำนวนมาก

ทางด้าน พล.ต.ต.นิพนธ์ เจริญผล ผบก.ปคบ.ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคบ. เร่งสอบปากคำผู้เสียหายทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังจากก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายที่ถูกหลอกขายบริการทัวร์ท่องเที่ยวส่วน หนึ่งเข้าแจ้งความไว้แล้ว จึงนำมาประมวลเรื่องเข้าด้วยกัน และหากสอบสวนพบการกระทำผิดก็จะพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยว ข้องต่อไป

บช.น.คุมเข้ม "เสธ.อ้าย" จัดม็อบสนามม้านางเลิ้ง 28 ต.ค.


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 25 ต.ค. กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผบช.น. กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม จะจัดชุมนุมใหญ่หยุดวิกฤตและหายนะของชาติ ในวันที่ 28 ต.ค. ที่สนามม้านางเลิ้ง ว่า ทางบช.น.ได้มีการประชุมวางแผนเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้ กับกลุ่มของผู้มาชุมนุมทั้งหมดกว่า 30 องค์กร รวมถึงการจัดกำลัง เพื่อป้องกันอันตรายและไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน พื้นที่ในสนามม้านางเลิ้งสามารถดูแลได้สะดวก เนื่องจากประตูทางเข้าค่อนข้างเล็กจะสามารถตรวจสอบคนที่จะเข้ามาชุมนุมได้ ง่าย ยืนยันว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีการเคลื่อนที่ไปยังสถานที่อื่นๆ แต่เพื่อความไม่ประมาท ได้จัดเตรียมกำลังสนับสนุนเอาไว้ 3 กองร้อย เพื่อดูแลพื้นที่ดังกล่าว
พล.ต.ต.ปริญญา กล่าวอีกว่า ทางพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม หรือ เสธ.อ้าย พร้อมเครือข่ายภาคประชาชน 30 กว่าองค์กรยังยืนยันว่าจะมีการชุมนุมตามกำหนดอย่างแน่นอน คาดว่าการชุมนุมดังกล่าวไม่น่าจะมีการยืดเยื้อ เพราะประเด็นการปราศรัยเป็นเรื่องของความเดือดร้อน ข้าวของแพง น้ำมันแพง โดยไม่ใช้ประเด็นทางการเมืองที่จะสามารถจุดประกายให้คนออกมาต่อต้านรัฐบาล ได้ ส่วนแกนนำที่มาขึ้นเวทีนั้น ตามข่าวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จะไม่มาร่วม เพราะมีอุดมการณ์แตกต่างกัน อย่างพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วม แต่ที่เข้าร่วมก็จะมีกองทัพธรรมที่มาดูแลเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพผู้มา ชุมนุม รวมถึงพวกที่จะเดินทางมาจากต่างจังหวัดนั้น ตำรวจสันติบาลจะเป็นผู้ดูแลต่อไป

“ขณะที่ข้อมูลการประมาณสถานการณ์ของบช.น.ระบุด้วยว่า กลุ่มผู้มาชุมนุมจะมีเพียงกลุ่มเสื้อหลากสี และ องค์การพิทักษ์สยามประมาณ 1,500 คน เบื้องต้นจะใช้กำลังประมาณ 3 กองร้อย จากบก.น. 1, 8, 9 เพื่อเข้าดูแลพื้นที่ดังกล่าว พร้อมทั้งจัดกำลังของฝ่ายสืบสวนบก.น.1 ดูแลพื้นที่ โดยบริเวณประตูทางเข้าที่ 1 ที่จะเปิดใช้เป็นทางเข้ามานั้น จะมีการตั้งจุดศปก.สน.นางเลิ้ง เพื่อคอยดูแลและคอยคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาร่วมชุดชุมนุม รวมถึงประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ การชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 17.00 น. โดยเจ้าหน้าที่จะเตรียมการดูแลความปลอดภัยตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป และคาดว่าจะไม่มีการชุมนุมยืดยื้ออย่างแน่นอน” รองผบช.น.กล่าว

รองผบช.น.เตรียมถกปัญหาจราจรรับมือเปิดเทอม


วันนี้ (25 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานด้านจราจร เปิดเผยการเตรียมพร้อมรับมือการจราจรในช่วงเปิดภาคเรียนของโรงเรียนต่างทั่ว กรุงเทพฯ ว่า เบื้องต้นทาง บช.น.ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทั้งสน.และบก.จร. ประมาณ 3,000-4,000 นาย เตรียมความพร้อมรับมือ ซึ่งทุกวันจะมีการประชุมเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงาน และนำข้อบกพร่องที่ผ่านมาทั้งหมดมาปรับแผนการทำงาน ซึ่งจากสถิติที่พบปัญหา คือ รถเกิดอุบัติเหตุและรถเสียทำให้เกิดการจราจรติดขัด รองลงมาก็คือ ในช่วงตอนเช้าผู้ปกครองจะออกจากบ้านมาส่งนักเรียนพร้อมๆกัน ทำให้ถนนสายหลักบริเวณหน้าโรงเรียนส่วนใหญ่เกิดการจราจรติดขัด ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปประชาสัมพันธ์ตามโรงเรียนต่างๆและผู้ปกครองของนัก เรียนด้วย

พล.ต.ต.วรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการเหลื่อมเวลานั้น ได้ขอไปยังสถาบันการศึกษาบางแห่ง และมีการจัดกำลังไปดูแลการจราจรบริเวณถนนสายหลักที่จะส่งผลกระทบต่อโรงเรียน ตามปกติอยู่แล้ว นอกจากนี้ การรื้อพื้นที่เกาะกลาง 3 จุดใหญ่ คือ 1.ถนนพหลโยธิน ช่วงหน้าธนาคารทหารไทย ต้องขยายช่องจราจรเพิ่ม เนื่องจากในช่วงเวลาเร่งด่วนมีรถประจำทางผ่านจุดดังกล่าวถึง 40 สายต่อชั่วโมง ส่งผลให้การจราจรติดขัดต่อเนื่องในถนนพหลโยธิน ลาดพร้าว วิภาวดีรังสิต  2.ใต้ด่วนดินแดง ต้องปาดเกาะกลางถนนออกบางส่วน เพื่อให้รถที่จะเลี้ยวเข้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คล่องตัวขึ้น 3.แยกรัชดา-ลาดพร้าว ให้ปาดเกาะกลางถนนให้เล็กลง เพิ่มช่องจราจรให้รถหมุนเวียนผ่านแยกได้เร็วขึ้น จะช่วยให้การจราจรในช่วงเปิดภาคเรียนดีขึ้นและยังมีอีกหลายๆจุดที่เสนอไป นั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าจะทำได้ทันหรือไม่เพราะว่าต้องรอทางกทม.ด้วย

“สำหรับจุดที่เป็นบริเวณคอขวด ซึ่งกำลังขยายขึ้นจะทำให้การเคลื่อนตัวของรถได้ดีขึ้นและขณะนี้กำลังดำเนิน การอยู่ บนถนนพระราม 3 ขาออกตรงจุดตัดทางรถไฟ ซึ่งมีสภาพเป็นคอขวด โดยรับรถที่มาจากทางสะพานข้ามแยกศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 3 ช่องและรับรถจากทางห้าแยก ณ ระนอง อีก 2 ช่อง แต่ต้องเบียดขึ้นสะพานคอขวดทางรถไฟซึ่งมีเพียง 2 ช่อง ทำให้เกิดปัญหาการจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนสะพานข้ามทางรถไฟมักมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้นไปจอดเสียส่ง ผลกระทบให้รถติดอย่างหนัก คาดว่าต้นเดือนพ.ย. จะมีการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนทั้งหมดในกทม. แต่อยากจะเรียนให้ทราบว่าการแก้ไขปัญหาจราจรต้องมีการปรับกันทุกวัน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวันต้องปรับให้ทันท่วงที ซึ่งทางบช.น. ได้ประชุมกับทางกองบังคับการโรงพักที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่จราจรที่มีปัญหา รถติดผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อยู่ตลอด อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหารถติด เจ้าหน้าที่ก็แก้ไขแค่ได้เพียงที่ปลายเหตุ เพราะปัญหาจราจรมันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงเท่านั้น ต้องร่วมกันกับทางผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น ถ้าผู้ปกครองต้องรู้จักวางแผนการเดินทางมาส่งนักเรียนไว้ล่วงหน้าจะทำให้ไม่ มีปัญหาการจราจรอย่างแน่นอน” รองผบช.น. กล่าว

ตำรวจรถไฟรวบสาวใหญ่ขนยาบ้า



ที่สน.นพวงศ์ เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 25 ต.ค. พ.ต.อ.กฤศ โบสุวรรณ รอง ผบก.รฟ. พร้อมด้วย พ.ต.อ.วัฒนา แก้วดวงเทียน ผกก.2 บก.รฟ. พ.ต.ต.พันษา อมราพิทักษ์ สว.ส.รฟ. แถลงผลการจับกุม นางปาลี อำนวยผล อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 114 หมู่7 ต.โคกสำโรง อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ผู้ต้องหาค้ายาเสพติด พร้อมของกลาง ยาบ้า 12,000 เม็ด ถุงพลาสติก 1 ใบ โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ตั๋วรถไฟ 1 ใบ และเงินสด 2,000 บาท
โดยจับกุมตัวได้บนรถไฟชั้นที่ 2  ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 2 (เชียงใหม่-กทม.) คันที่ 3 เลขที่นั่ง 34 ขณะวิ่งระหว่างสถานีรถไฟป่าเส้า-สถานีรถไฟลำพูน ต.อุโมงค์ อ.เมือง จังหวัดลำพูน

พ.ต.อ.วัฒนา เปิดเผยว่าได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีหญิงลักลอบส่งยาบ้าไปส่งที่กทม. บนขบวนรถดังกล่าว ก่อนลงพื้นที่จนพบตัวรูปพรรณตามที่สายลับแจ้ง จึงแสดงตัวขอตรวจค้นปรากฎว่าพบยาบ้าจำนวนดังกล่าวอยู่ในถุงพลาสติกสีเหลือง จริง จึงทำการควบคุมตัวมาสอบสวนที่สน.นพวงศ์

จากการสอบสวน นางปาลี ให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากคนชื่อตี๋ ให้ไปรับยาจำนวนดังกล่าวที่สถานีบขส.เชียงใหม่ ให้มาส่งที่สถานีรถไฟหัวลำโพง กทม. โดยได้รับค่าจ้างจำนวน 1 แสนบาท อีกทั้งยอมรับว่าเคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกโดยสารมาทางรถยนต์โดยตลอด แต่ครั้งนี้โดยสารผ่านทางรถไฟก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้
จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา เคยถูกดำเนินคดีจำหน่ายแล้วเพิ่งออกมาจากเรือนจำไม่นานมา และได้กลับมาทำอาชีพดังกล่าวเนื่องจากตกงานและเป็นหนี้ในการต่อสู้คดีอีก ด้วย

รวบนักเรียนซ่าตีกันที่สี่แยกบางโพ



เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 25 ต.ค. พ.ต.ท.มนตรี โตสมจิตต์ รอง ผกก.ป.สน.เตาปูน ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีกลุ่มนักเรียนก่อเหตุตีกันบริเวณสี่แยกบางโพ แขวงและเขตบางซื่อ กทม. จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไประงับเหตุ

ในที่เกิดเหตุพบ รถประจำทางสาย 33 จอดอยู่บริเวณดังกล่าว สภาพกระจกประตูทางขึ้นด้านหน้าและหลังแตก ใกล้เคียงกันพบนักเรียนชั้นปีที่ 1 แผนกช่างยนต์โรงเรียนดัง 7 คน และนักเรียนวิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่ง 11 คน ใช้อาวุธมีดก่อเหตุยกพวกตีกัน ตำรวจจึงนำกำลังเข้าจับกุมมาสอบสวนที่โรงพัก

จากการสอบถาม นางทองพูล ศรีสวัสดิ์ พนักงานกระเป๋ารถให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้รับนักเเรียนโรงเรียนดัง วิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ แล้วมีรถจยย.ขี่ตามประกบใช้อาวุธมีดฟันบริเวณประตูรถด้านหน้าและหลัง หลังจากนั้นกลุ่มนักเรียนที่อยู่บนรถได้ขอให้รถจอด ก่อนจะลงไปก่อเหตุตีกัน  เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจมาถึง นักเรียนทั้งสองกลุ่มจึงแยกย้ายกันหลบหนี ส่วนที่หลบหนีไม่ทันก็ถูกจับกุม

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ร่วมกันก่อเหตุให้มีอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน ก่อนจะเรียกผู้ปกครองมารับตัวกลับบ้าน แล้ววันรุ่งขึ้นจะนำนักเรียนที่ถูกจับกุมไปส่งฟ้องศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ต่อไป

ปคม.จับแท็กซี่หื่นลวงเด็กขยี้กาม ปากแข็งอ้างซื้อบริการ-ปัดมอมยา


เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 25 ต.ค. ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม.แถลงข่าวจับกุม นายสาคร สาสีทะ อายุ 37 ปี ชาวร้อยเอ็ด อาชีพขับรถแท็กซี่ ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดา มารดา เพื่อการอนาจาร กระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี มีและเสพยาเสพติดโดยผิดกฎหมาย จับกุมได้ที่ห้องพักโรงแรมสหายสหะกิจ เลขที่ 683 ถนนไมตรีจิต แขวงและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม.
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมีพลเมืองดี แจ้งเบาะแสมายังศูนย์รับแจ้งเหตุสายด่วน บก.ปคม.1191 ว่ามีคนขับแท็กซี่ต้องสงสัยล่อลวงเด็กหญิงเข้าพักที่โรงแรมสหายสหะกิจ จึงประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าตรวจสอบโดยนำกำลังเข้าตรวจค้นภายในห้องพัก พบผู้ต้องหาพร้อมกับ ด.ญ.นิด (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ผู้เสียหาย จึงเข้าช่วยเหลือไว้โดยนำตัวส่งให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ไปฟื้นฟูสภาพจิตใจ นอกจากนี้ยังพบอุปกรณ์เสพยาเสพติด จึงคุมตัวผู้ต้องหาไปตรวจปัสสาวะ ซึ่งพบว่าเป็นสีม่วง จึงแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว
สอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยถูกจับกุมมาแล้วหลายคดีตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ได้แก่ คดีเสพยาเสพติด รับของโจร ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เล่นการพนัน นอกจากนี้เคยถูกจับกุมข้อหาจำหน่ายยาเสพติด จนถูกศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 4 ปี เพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะมาขับรถแท็กซี่รับจ้าง
ผู้ต้องหาให้การต่อ โดยอ้างว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นกับ ด.ญ.นิด นั้น เนื่องจากตนได้ซื้อบริการที่บริเวณหน้าโรงแรมดังกล่าว โดยพบเด็กหญิงสองคน ซึ่งน่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่ตนซื้อบริการจาก ด.ญ.นิด ระหว่างนั้นคนที่เป็นพี่ได้ถูกตำรวจจับกุมในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เด็กผู้เสียหายก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่ยอมกลับบ้านพัก อ้างว่าจะรอพี่สาวก่อน ตนจึงเปิดห้องพักให้อยู่ไปก่อนแต่ก็อยู่มาเป็นเวลาเดือนกว่า ซึ่งครั้งแรกตั้งใจว่าจะขับรถพาไปส่งบ้านแต่มาถูกจับกุมเสียก่อน สำหรับที่ถูกกล่าวหาว่า มอมยาเสพติดผู้เสียหายนั้นไม่เป็นความจริง เพราะของกลางทั้งหมดเป็นของที่ตนใช้เสพเองเท่านั้น

จับเจ้าคณะตำบลขนพระ-เณรขุดศพฉกกะโหลกทำเสน่ห์ส่งขายเมืองนอก


จากกรณีชาวบ้านหนองซา ร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยสืบสวนจับกุมแก๊งคนร้าย ลักลอบขุดศพเป็นกะโหลก ศีรษะของผู้ตายที่ชื่อว่า นายสุวิชา โสบรรเทา ที่ทำปืนลั่นใส่ตนเองเสียชีวิตแล้วญาติได้นำศพไปฝังไว้ที่ป่าช้า วัดป่าเทพนิมิต บ้านหนองซา ต.น้ำอ้อม อ.กระนวน จ.ขอนแก่น โดยชาวบ้านเชื่อว่า กระดูกของผู้ตายได้ถูกแก๊งคนร้ายเอาไปทำพิธีทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อด้าน เวทย์มนต์คาถา เพื่อทำ “โหงพราย” ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 25 ต.ค. พ.ต.อ.ชาตรี ปรีชากุล ผกก.สภ.กระนวน จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.ทองสุข นารีจันทร์ รอง ผกก.สส. , พ.ต.ท.วิชิต ชุมแวงวาปี สว.สส. , พ.ต.ท.วิชาญ สุธรรมแปลง พงส.(สบ3) ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดีลักกะโหลกศีรษะ ของ นายสุวิชา โสบรรเทา ผู้เสียชีวิตในป่าช้า วัดป่าเทพนิมิต โดยมีผู้ต้องหาคือ 1.พระครูบุญฐากร วิมล  หรือที่ชาวบ้านเรียกอาจารย์ เปิ่ม อายุ 47 ปี เจ้าคณะตำบลน้ำอ้อม อ.กระนวน และ เจ้าอาวาสวัดป่าเทพนิมตร บ้านหนองซา 2. พระดำ หรือ ชาย มุริจันทร์ อายุ 39 ปี พระลูกวัด  3. นายสหัสวรรษ หรือ โต้ง มูลแอด อยู่บ้านเลขที่ 248 หมู่ 13 ต.หนองโก อ.กระนวน จ.ขอนแก่น 4. นายเรืองโรจน์ หรือ เอ๊าะ โพธิสวัสดิ์ อายุ 28 ปี ลูกน้องคนสนิทของนาย สหัสวรรษ อยู่บ้านเลขที่ 184 หมู่ 18 ต.หนองโก อ.กระนวน จ.ขอนแก่น และ สามเณรเอ (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี พร้อมของกลางชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะมนุษย์ ถูกหั่นเป็นชิ้นจำนวน 47 ชิ้น และ ชิ้นกะโหลกบรรจุในกรอบพลาสติก จำนวน 297 ชิ้น ตะไบเหล็กขนาด 3 นิ้ว 1 อัน

สอบสวนพระครูบุญญากร หรือ อาจารย์เปิ่ม ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันกับ พระดำ และ เณรเอ ทำการขุดเอากะโหลกศีรษะของ นายสุวิชา ขึ้นมาจากหลุมฝังศพ ในคืนวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อนำไปจำหน่ายให้กับ นายสหัสวรรษ ในราคา 7,000 บาท ซึ่งครั้งนี้ทำเป็นครั้งที่ 3 หลังจากได้เงินมาก็จะนำไปซื้อยาบ้ามาเสพร่วมกับพระลูกวัด โดยขณะที่ทำการขุด จะทำการสะกดวิญญาณผู้ตายด้วยธูปจำนวน 5 ดอก ปักไว้ 4 ทิศ ขณะที่รอให้ธูปที่จุดไว้หมดควัน ระหว่างนั้นจะทำการร่วมกันเสพยาบ้าเพื่อเรียกความกล้าก่อนลงมือขุด ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 02.00 น. ถึง เวลา 04.00 น. ก่อนที่จะเอากะโหลกศีรษะไปล้างทำความสะอาด และเก็บไว้ในห้องใต้ดินภายในกุฎีของพระดำ เพื่อรอเวลาให้ นายสหัสวรรษ มารับไปทำเครื่องรางของขลัง

ด้าน นายสหัสวรรษ ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนว่าจ้างให้พระทำการขุดกะโหลกศีรษะคนตายโหงจริง เนื่องจากมีออร์เดอร์จากฮ่องกงให้นำกะโหลกแยกเป็นชิ้นทำการลงอักขระ ชิ้นส่วนไหนดูสวยงามก็จะลงยันต์ และเขียนรูปผู้หญิงเปลือยลงบนกะโหลกนำไปเสนอขายให้กับลูกค้าที่ฮ่องกงในราคา ชิ้นละ 1,000 ถึง 3,000 บาท ถ้าชิ้นไหนเริ่มมีกลิ่นก็จะนำน้ำมันจันท์มาผสมแล้วอัดกรอบพลาสติก เสนอราคาที่ต่ำลง
โดยสินค้าทั้งหมดถ้าส่งไปขายที่ฮ่องกง จะถูกพ่อค้านำไปขายต่อในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งคนฮ่องกงนิยมนำไปแขวนคอเพราะเชื่อว่า จะเป็นเครื่องรางของขลังให้คุณเหมือนเสน่ห์ยาแฝด ทำให้สาวรักสาวหลง และเรียกเงินเรียกทองได้ โดยรับซื้อมาชำแหละแล้วจำนวน 3 หัว ส่งขายไปให้กับคนฮ่องกงทางพัสดุในชุดแรก และ ชุดที่สองก็จะตามไปในเร็ววันนี้แต่ถูกจับกุมตัวได้เสียก่อน

ทั้งนี้พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาพระและสามเณร ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ส่วนนายสหัสวรรษ และ นายเรืองโรจน์ ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และ รับซื้อของโจร ส่วนข้อหายาเสพติดนั้น ต้องรอผลตรวจปัสสาวะของผู้ต้องหาทั้งหมดก่อนจึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้

ศาลฎีกาพิพากษาประหาร “สุขุม เชิดชื่น” อดีต ส.ว.


วันนี้ (25 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 905 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีจ้างวานฆ่า พญ.นิชรี มะกรสาร อดีตวิสัญญีแพทย์ รพ.จุฬาฯ หมายเลขดำ ด.2166/40 หมายเลขแดง ด.2039/47พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธนศักดิ์ หรือใหม่ ยิ้มดี อายุ 35 ปี, นายสราวุธ หรือตั๊ก ไชยสิงห์ อายุ 34 ปี, นายชัชพัฒน์ หรือเซ้ง กิตตธนากร (เสียชีวิตศาลสั่งจำหน่ายคดี) นายวิเชียร หรือม่อน กิตติธนากร อายุ 47 ปี และนายสุขุม เชิดชื่น อดีต สมาชิกวุฒิสภา อายุ 50 ปี เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ตามลำดับในความผิดฐานจ้าง วาน ใช้ และร่วมกันฆ่า พญ.นิชรี มะกรสาร อดีตวิสัญญีแพทย์ รพ.จุฬาฯ โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน , กระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 40  ระบุความผิดสรุปว่า
เมื่อระหว่างวันที่ 15–25 ต.ค. 39 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 3 และ 5 ร่วมกันจ้างวานใช้ให้จำเลยที่ 1 , 2 และ4 ร่วมกันฆ่าผู้ตาย ด้วยเงินค่าจ้างจำนวน 500,000 บาท กระทั่งวันที่ 25 ต.ค. 39 เวลา 05.30 น. จำเลยที่ 1 , 2 และ 4 ร่วมกันใช้อาวุธปืนสั้นออโตเมติกไม่มีทะเบียน ขนาด 11 ม.ม. พร้อมเครื่องกระสุนจำนวน 18 นัดของจำเลยที่ 3 ไปใช้ยิง พญ.นิชรี จำนวน 5 นัด จนถึงแก่ความตายขณะขับรถยนต์ออกจากบ้านพักย่านห้วยขวาง สาเหตุมาจากนายสุขุม จำเลยที่ 5 มีความขัดแย้งกับผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องการบริหารโรงเรียนเอกชนแห่ง หนึ่ง เนื่องจากผู้ตาย สั่งปลดจำเลยที่ 5 ออกจากตำแหน่งผู้จัดการโรงเรียน กระทั่งเกิดเป็นคดีความฟ้องร้องกันทั้งในทางแพ่งและทางอาญาหลายคดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่แม่ผู้ตายถูกจำเลยที่ 5 หลอกลวงให้มอบเงินจำนวน 200 ล้านบาท ไปซื้อที่ดิน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เนื้อที่ 100 ไร่ เพื่อทำสนามกอล์ฟทั้งที่ผู้ตายและบิดาคัดค้าน รวมทั้งเรื่องการขัดธุรกิจบริษัทค้าขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสอง และรับทวงหนี้  จำเลยที่ 1 , 2 และ 4 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนแต่กลับให้การปฏิเสธในชั้นศาล ส่วนจำเลยที่ 5 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 47 ว่า จำเลยที่ 1 , 2 และ 4 กระทำผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และ พ.ร.บ.อาวุธปืน พิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 , 2 และ 4 แต่คำให้การ ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 , 2 และ4 ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานจ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามมาตรา 289 อนุ 4 ประกอบมาตรา 84 เสมือนเป็นตัวการในการฆ่า ให้ลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว ต่อมาจำเลยที่ 1 , 2 , 4 และ 5 อุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน จำเลยที่ 2 , 4 และ 5 ยื่นฎีกา ขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดแล้วข้อเท็จจริงรับฟัง ได้ว่า นายสุขุม จำเลยที่ 5 ได้จ้างวานให้ จ.ส.อ.เมตตา เต็มชำนาญ (ยศขณะนั้น) และนายมงคล หรือหมง นกทอง ไปฆ่าผู้ตายถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกที่โรงแรมเอเซีย ในงานครบรอบ 50 ปี โรงเรียน และครั้งที่ 2 ที่โรงเรียนเอกชนที่ผู้ตายเป็นเจ้าของ แต่ทั้งสองคนไม่รับงาน จำเลยที่ 5 จึงไปจ้างให้จำเลยที่ 3 จ้างจำเลยที่  1 , 2 และ 4 ฆ่าผู้ตาย ส่วนเหตุที่จำเลยที่ 5 จ้างวานฆ่าผู้ตาย เนื่องมาจากความขัดแย้งในการทำธุรกิจร่วมกัน รวมทั้งการ บริหารโรงเรียน และการที่จำเลยที่ 5 ได้ฉ้อฉลนางฉลวย มะกรสาร เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน ที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี จำนวน 100 ไร่ ราคาประมาณ 200 ล้านบาท นับเป็นสาเหตุร้ายแรงที่จำเลยที่ 5 จ้างฆ่าผู้ตาย
นอกจากนี้คำรับสารภาพของจำเลยอื่น ๆ ในชั้นจับกุมที่ให้การรับสารภาพต่อหน้านายเสนาะ เทียนทอง รมว.มหาดไทยขณะนั้น และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ล้วนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ  ให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ส่วนที่นายมงคล หรือ หมง นกทอง กลับคำให้การ มาเบิกความว่า จำเลยที่ 5 ไม่เคยติดต่อให้ฆ่าผู้ตายนั้น ก็เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือให้จำเลยที่ 5 พ้นจากความผิด จึงไม่มีน้ำหนักมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ฎีกาจำเลยที่ 2 , 4 และ 5 ฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ภายหลังฟังคำพิพากษาศาลฎีกา นายสุขุม เชิดชื่น จำเลยคนสำคัญในคดีนี้ กล่าว สั้น ๆ ยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิด เพราะหากกระทำจริงก็คงจะหลบหนีไปต่างประเทศแล้ว โดยไม่ต้องเสียเวลาต่อสู้คดีนาน หลังจากนี้จะปรึกษากับทนายความขอพระทานอภัยโทษภายใน 60 วันด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นายสุขุม ถูกเบิกตัวจากเรือนจำกลางบางขวาง   โดยมีบุตรชาย2คน  และญาติสนิทมิตรสหายประมาณ 20 คน มาให้กำลังใจ  และเมื่อฟังคำพิพากษาของศาลแล้วต่างก็มีอาการซึมเศร้า สำหรับนายธนศักดิ์ หรือใหม่ ยิ้มดี จำเลยที่ 1 ยอมรับโทษจำคุกตลอดชีวิต คดีจึงถึงที่สุดแล้วตั้งแต่ชั้นศาลอุทธรณ์  โดยไม่ยื่นฎีกาแต่อย่างใด

อ้างหลักฐานยัน จนท.รัฐไม่ได้ฆ่า “น้องเกด”


วันนี้ (25 ต.ค.) นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะทำงานพิจารณาเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่ามีชายชุดดำร่วมชุมนุมหรือไม่ ในคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้เชิญ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาให้ข้อมูลคณะทำงานฯ เกี่ยวกับการชันสูตร 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม โดยพบว่ากรณีการเสียชีวิตของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ไม่ได้เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะจากบาดแผลและการจำลองวิถีกระสุน และคลิป 15 วินาทีบริเวณเต๊นท์ที่ประกอบในสำนวนของดีเอสไอ เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากการยิงจากบนรางรถไฟฟ้า เป็นที่น่าสังเกตว่าผลการพิสูจน์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ดังกล่าวไม่ปราก ฎในสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพิรุธและการใช้ดุลพินิจของดีเอสไอที่มีปัญหา

นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคณะทำงานฯ กล่าวว่า กรณีของน้องปลั๊ก ที่เสียชีวิตอยู่ข้าง น.ส.กมนเกด นั้น สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่าไม่น่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นสัปดาห์หน้าจะเชิญ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ที่เป็นผู้ชันสูตรศพทั้ง 6 ศพ มาให้ข้อมูลต่อไป

“บิ๊กโอ๋”สั่งเข้มทหารห้ามยุ่งค้าอาวุธสงคราม


 เมื่อวันที่ 25 ต.ค. เวลา 12.30 น. ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมที่มีพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ว่าจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจยึดกระสุน วัตถุระเบิด และชิ้นส่วนประกอบของอาวุธสงครามได้เป็นจำนวนมาก ที่แฟลตเอื้ออาทรปัญญา - รามอินทรา เขตคลองสามวา กทม. เมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา 
โดยผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขั้นต้นพบว่ากระสุน วัตถุระเบิด และชิ้นส่วนประกอบของอาวุธสงครามที่ตรวจยึดได้ หลายรายการมีหมายเลขกำกับและคาดว่าอาจจะถูกขโมยมาจากหน่วยงานราชการ ทางรมว.กลาโหม จึงขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ กำชับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งสอดส่องดูแลข้าราชการภายในหน่วยไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ขบวนการค้าอาวุธสงครามโดยเด็ดขาด

จับตาผลสรุปถอดยศ "มาร์ค" บิ๊กโอ๋ลั่นเร็วๆ นี้ ยันไม่เกี่ยวการเมือง-ไม่มีพยานเท็จ



วันนี้ ( 25 ต.ค.)  เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบการบรรจุเข้ารับราชการ การขึ้นทะเบียนกองประจำการ และการแต่งตั้งยศทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการตรวจสอบที่มี พล.อ.ม.ล. ประสบชัย เกษมสันต์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกำลังดำเนินการ ซึ่งเรื่องต่างๆ ยังไม่ส่งมาถึงตน ที่ผ่านมาทราบว่าคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมหลายครั้งแล้ว
ทั้งนี้ คาดว่าผลสรุปเรื่องดังกล่าวจะได้ผลสรุปออกมาในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเรื่องดังกล่าวนั้นดำเนินการตามข้อเท็จจริงและหลักฐาน ยืนยันว่าไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีหลักฐานเป็นตัวบ่งชี้ข้อเท็จจริง
              
“ส่วนที่หลายคนมองว่าผลสรุปจะออกมาในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล คงไม่เกี่ยวข้องกัน ผลสรุปจะออกก่อนหรือหลังก็เป็นเรื่องการทำงานตามขั้นตอน ผลสรุปจะออกก่อนหรือหลังก็มีแต่คนจ้อง ซึ่งทุกอย่างทำไปตามกติกา เพราะเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบเรื่องมาแล้วก็ต้องดำเนินการต่อเท่านั้นเอง การตรวจสอบเรื่องนี้ ผมยืนยันว่าขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง โกหกกันไม่ได้ ปั้นแต่งพยานเท็จไม่มี” พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า

ส.ว.จ่อร้องผู้ตรวจการแผ่นดินชงศาลปกครอง จัดการ "กทค." ประมูล 3 จีขัดรัฐธรรมนูญ




วันนี้ ( 25 ต.ค.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบ เรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เปิดเผยว่าตนเตรียมทำหนังสือเพื่อส่งถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ส่งเรื่องต่อให้ศาลปกครองพิจารณาว่าคณะกรรมการโทรคมนาคม (กทค.) มีอำนาจที่จะรับรองผลการประมูลคลื่นความถี่ 3 จีหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 245 (2) หลังจากที่พบข้อมูลว่า กทค. ได้ใช้อำนาจที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 47, มาตรา 305 (1), พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศฯ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553  และประกาศ กสทช. ว่าด้วยการจัดสรรคลื่นความถี่

 “เบื้องต้นแล้วตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่กล่าวมา ชี้ชัดว่า กทค. ไม่มีอำนาจในการรับรองผลการประมูล 3 จี เพราะต้องเป็นอำนาจเต็มของ กสทช. ชุดใหญ่ ดังนั้นผมจะยื่นเรื่องนี้ต่อศาลปกครองผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้พิจารณา ต่อไป เบื้องต้นจะยื่นโดยเร็วที่สุด วันพรุ่งนี้ช่วงบ่าย แต่หากทำหนังสือไม่ทัน ก็จะส่งไปในวันจันทร์ ที่ 29 ต.ค.”  นายไพบูลย์ กล่าว

“กสทช.”แจงกมธ. ยันประมูล 3จี โปร่งใส่-ตรวจสอบได้ ปัดเอื้อผลประโยชน์






เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา โดยมีน.ส.สุมล  สุตะวิริยะวัฒน์  ส.ว.เพชรบุรี ในฐานประธานฯ ได้พิจารณาตรวจสอบการดำเนินการประมูล 3จี ว่า เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล หรือเข้าข่ายการกระทำผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการเสนอราคาหรือฮั๊วประมูลหรือไม่ ตามที่มีการร้องเรียนมายังคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งทางกรรมาธิการฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง อาทิ พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และรองประธานกสทช. นายประวิทย์ สี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการโทรคมนาคม นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการโทรคมนาคม น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง   เป็นต้น

โดยพ.อ.เศรษฐพงศ์ ชี้แจงว่า กสทช.ได้ดำเนินการจัดการประมูลโดยเป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ของคณะ อนุกรรมรองรับการใช้งานคลื่น 3จี 2.1 กิกกะเฮิร์ทซ ทั้งการกำหนดคลื่นความถี่และราคา ที่มีความเหมาะสมเพื่อให้เกิดการแข่งขัน โดยยืนยันว่า การดำเนินงานเป็นไปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคา ซึ่งมีความเป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลใด หรือบริษัทใดๆ
ด้านนายประวิทย์ หนึ่งในเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการประมูลดังกล่าว กล่าวว่า การกำหนดราคาแม้มีการตั้งราคาต่ำสุด แต่ควรมีการกำหนดราคาตั้งต้นที่สูงพอสมควร โดยค่าเฉลี่ยควรตั้งอยู่ที่ร้อยละ 82 จากต่ำสุดคือ ร้อยละ 67  และมีผู้ประกอบการอย่างน้อยหนึ่งรายที่มีพฤติกรรมไม่แข่งขัน โดยการรอช่องสัญญาณที่เหลือในระหว่างการประมูล
ขณะที่ น.ส.สุภา ชี้แจงถึงการทำหนังสือทักท้วงการประมูล ว่า เกิดจากการสังเกตพฤติกรรมการประมูล ที่เข้าข่ายสมยอมไม่มีการแข่งขัน รวมถึงการกำหนดราคาที่ไม่มีความสมเหตุสมผล จึงทำหนังสือทักท้วงว่าหน่วยงานต้นเรื่อง ควรจะมีการทบทวนการประมูลหรือไม่ ซึ่งโดยหลักทั่วไปแล้วจำเป็นจะต้องมีการแข่งขัน แต่กลับมีการจัดสรรคลื่นความถี่ตรงกับจำนวนของผู้ประกอบการที่ร่วมประมูลพอ ดี ทั้งหมดนี้จึงทำให้ ผู้ประมูลทั้ง เอไอเอส ทรู และดีแทค ได้ประโยชน์ ประหยัดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 419,000 ล้านบาท และทำให้ทีโอที ขาดทุนทันที จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องลดราคาลง   ทั้งนี้การทำหนังสือทักท้วงของตนไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงทางการเมืองแต่อย่างใด หากปล่อยเรื่องนี้ไปอาจมีปัญหาในภายภาคหน้า

ด้านนายสุทธิพล ชี้แจงว่า ตอนนี้กระแสข่าวหลายเรื่องเกี่ยวกับการประมูลคลาดเคลื่อน ยืนยันว่าการประมูลมีการพิจารณาหลักการอย่างรอบครอบแล้ว ซึ่งการกำหนดราคาประมูลต้องพิจารณาเป็นสองเรื่องคือราคาตั้งต้นและราคา มูลค่า ที่ในหลายประเทศมีการกำหนดราคาตั้งต้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ของราคามูลค่าเท่านั้น อีกทั้งตอนแรกการประมูลจะมีทั้งสิ้น 4 บริษัท แต่สุดท้ายเหลือ 3 บริษัท เพราะสู้ราคาไม่ไหว ส่วนกรณีที่รองปลัดกระทรวงการคลังส่งหนังสือให้ทบทวนการประมูลนั้น ยืนยันว่า การประมูลทำภายใต้กรอบของกฎหมายชัดเจน ไม่ได้ผิดพ.ร.บ.ฮั้วแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ กทค.สามารถกำหนดออกแบบเองได้ ไม่ได้มีการระบุไว้ว่าต้องเป็นไปตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักนายก รัฐมนตรี รวมถึงกระบวนการประมูล ข้อสรุปการออกใบอนุญาต กทค.มีอำนาจทางกฎหมายที่จะสรุปผลโดยไม่ต้องส่งผ่านให้ กสทช.พิจารณา ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายหลายท่าน ม.27 (4) ของพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ดังนั้นขอตั้งข้อสงสัยว่ามีกระบวนการพยายามล้มการประมูลหรือไม่

นายพัชรสุทธี สุจริตตานนท์  ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการตลาดและการประมูลกล่าวว่า จากประสบการณ์ทราบมาว่าการประมูลคลื่นสัญญาณมี2แบบคือ การประมูลเพื่อเน้นประสิทธิภาพ และการประมูลเพื่อรายได้ของรัฐ ซึ่งการประมูลของไทยเป็นรูปแบบที่สากลใช้ตั้งแต่ปี 1994 ทั้งประเทศโปรตุเกส สิงคโปร์ ก็มีการประมูลคลื่นสัญญาณที่ใช้ราคาต่ำสุด เพื่อประสิทธิภาพให้มีการบริการสัญญาณอย่างทั่วถึง หากสร้างการแข่งขันปลอมเพื่อรายได้ของรัฐอาจเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด

"นปช." เปิดเกมรุกร้อง"ดีเอสไอ"ขอผลสอบชุมนุมปี52จากสภาฯ


 กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 25 ต.ค. นพ.เหวง โตจิราการ  ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)  ยื่นเรื่องขอให้นายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ ทำหนังสือขอทราบผลศึกษาการชุมนุมทางการเมืองปี 2552 จากนายสมศักดิ์  เกียรติสุรนนท์  ประธานรัฐสภา  เนื่องจากทราบว่าก่อนหน้านี้สมัยนายชัย ชิดชอบ เป็นประธานรัฐสภา ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาการชุมนุมปี 2552 เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มนปช.เมื่อปี 2552  เพราะเชื่อว่าผลการศึกษาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการนำมาประกอบการพิจารณา คดีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางการเมืองปี 2553 ได้
เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน โดยข้อมูลสำคัญที่ต้องการทราบจากผลการศึกษาชุดดังกล่าวคือ ผลสอบคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สั่งใช้ความรุนแรงกับประชาชน  ว่าเป็นเสียงจริงและรายละเอียดการสั่งใช้ความรุนแรงจริงหรือไม่ หากจริงก็อาจมีความเชื่อมโยงกับการสั่งใช้ความรุนแรงในปี 2553 ด้วย  นอกจากนี้ยังต้องการทราบผลสอบการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ  เครือสุข  ทหารที่เสียชีวิตในกรมทหารราบที่ 1  ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีความผิดปกติ ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่เป็นข่าว เพราะผลชันสูตรศพของรพ.ศิริราช ระบุว่าศีรษะถูกกระแทกด้วยของแข็งอย่างแรง   

นพ.เหวง  ยังกล่าวถึงกรณีพล.อ.บุญเลิศ  แก้วประสิทธิ์  หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม  ประกาศจัดการชุมนุมในวันที่ 28 ต.ค.นี้ พร้อมระบุว่าหากมีกำลังคนมากพอก็อาจถึงขั้นปฏิวัติว่า  ตนขอเตือนว่าเรื่องดังกล่าวเข้าข่ายความผิดอาญา มาตรา  113 ซึ่งระบุว่าผู้ใดข่มขู่ว่าจะล้มล้างรัฐบาล และรัฐสภา อาจถือเป็นกบฏ  ดังนั้น ขอให้จัดการชุมนุมอย่างสงบ และต้องระมัดระวังการพูดให้มาก  อย่างไรก็ตาม ตนทราบว่าขณะนี้เริ่มมีการนำเงินไปจ้างให้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้บางจังหวัด มาร่วมชุมนุมในวันที่ 28 ต.ค.ด้วย

ทางด้านนายธาริต กล่าวว่า ดีเอสไอจะทำหนังสือเพื่อขอทราบผลสอบชุดดังกล่าวจากประธานรัฐสภา เพื่อนำมาพิจารณาว่าจะมีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานหรือมีส่วน เชื่อมโยงกับเหตุการณ์รุนแรงปี 2553 หรือไม่ โดยการทำงานจะพิจารณาร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ ดีเอสไอ  อัยการ และตำรวจ

สั่งทหารปรับตัวเข้ายุค 3 จี นำเทคโนโลยีประยุกต์ใช้กับกองทัพ



เมื่อวันที่ 25 ต.ค. เวลา 12.30 น. ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมที่มีพล.อ.อ.สุกำพล  สุวรรณทัต รมว.กลาโหมว่า ปัจจุบันระบบเทคโนโลยีการสื่อสารจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3จี ที่มีจุดเด่น คือ การเชื่อมต่อ และการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ในลักษณะแบบ Real Time  ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจการเมืองสังคม และวัฒนธรรม รวมทั้งสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ทั้งนี้กระทรวงกลาโหม ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคง ควรจะต้องปรับตัวให้ทันกับนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งเรียนรู้และป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีการสื่อสารดัง กล่าว โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อสถาบัน และความสงบสุขของสังคม ซึ่งรมว.กลาโหม ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ได้ให้ความสำคัญกับระบบเทคโนโลยีการสื่อสารดังกล่าว พร้อมทั้งนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกองทัพ และการสื่อสารด้านความมั่นคงต่อไป

นายกฯ พอใจภาพ "ครม.ปู 3" ยันไม่มีใบสั่งพี่ชาย


วันนี้ (25 ต.ค.) ที่รัฐสภา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าได้นำรายชื่อ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 3” ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของราชเลขาธิการ สาเหตุที่เลือกปรับ ครม. ในช่วงนี้เนื่องจากมีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลงถึง 2 ตำแหน่ง คือ ในส่วนของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และล่าสุดนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้แจ้งความประสงค์ที่จะลาออก เพราะทำงานมานานแล้ว ดังนั้นคงไม่สามารถที่จะให้รัฐมนตรีคนอื่นรักษาการงานได้ จึงได้ตัดสินใจปรับ ครม.  อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลได้แจ้งความจำนงที่จะปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีด้วย เมื่อถามว่าฝ่ายค้านมองว่าเป็นการหนีการอภิปราย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ เพราะกระทรวงหลัก ๆ ยังอยู่ อย่างไรก็ตามต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ ในส่วนของรัฐบาลมีหน้าที่ทำงานฝ่ายบริหาร เราก็ดูที่ความเหมาะสมด้วย ส่วนฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ในสภา รัฐบาลไม่ได้หนีการอภิปรายอยู่แล้ว
“พอใจกับภาพ ครม. ชุดใหม่ที่จะออกมา ความจริงแล้วรัฐมนตรีที่ถูกปรับเปลี่ยนออก ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความสามารถ แต่อยู่ที่ช่วงเวลาและความเหมาะสม ซึ่งเรามีผู้ที่มีความสามารถหลายท่านที่จะเข้ามาช่วยงาน จึงต้องการปรับการทำงานให้คล่องตัวขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว เมื่อถามว่าการปรับใหญ่มากกว่า 10 ตำแหน่งครั้งนี้ มีนัยการเมืองอะไรหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ความจริงบางท่านก็แค่เปลี่ยนกระทรวงเพื่อให้เรียนรู้ประสบการณ์ที่หลากหลาย และปรับให้ตรงกับงานด้วย
เมื่อถามว่า ห่วงแรงกระเพื่อมในพรรคที่จะตามมาหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ต้องชี้แจงว่าการปรับวันนี้มาจากเรื่องความเหมาะสมด้วย เราอยากนำผู้ที่มีความสามารถมาช่วยงานเยอะ ๆ แต่ในความเป็นจริงตำแหน่งก็มีอยู่เท่านี้ ก็ต้องให้เวลาในการทำงาน และคงต้องใช้เวลาชี้แจง แต่เชื่อว่าเราคุยกันได้”
เมื่อถามว่าการพิจารณาปรับ ครม. ครั้งนี้มีใบสั่งเยอะหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธเสียงสูงว่า “ไม่มีค่ะ ทุกอย่างทำเอง สื่อมวลชนก็เห็นอยู่แล้ว และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือให้คำแนะนำและกดดันใด ๆ ส่วนจะมีคนนอกกี่คน ดิฉันยังไม่ได้นับ"
เมื่อถามอีกว่า หลายฝ่ายมองว่าการปรับครั้งนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณมากกว่าการดูเรื่องงาน นายกรัฐมนตรี ตอบว่า สื่อยังไม่ทันเห็นชื่อทั้งหมดเลย ขอให้รอดูรายชื่อที่จะเปิดออกมาก่อน แล้วค่อยดูดีกว่า แต่ยืนยันว่าผู้ที่เข้ามาเป็นผู้ที่มีความสามารถและประสบการณ์ตรง ซึ่งตนสามารถชี้แจงและตอบคำถามสังคมได้ทุกตำแหน่ง ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการปรับ ครม. แต่การประชุมครม.ร่วมไทย-เวียดนามก็ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ไปประชุมทั้ง ครม.อยู่แล้ว แต่ไปเฉพาะรัฐมนตรีบางคนเท่านั้น

เปิดรายชื่อ "ครม.ยิ่งลักษณ์ 3"


สำหรับรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หรือ “ครม.ปู3” ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คาดว่ามีดังนี้

1.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รองนายกรัฐมนตรี
2.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง
3.นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
4.นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล  รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ
5.นายปลอดประสพ สุรัสวดี  รองนายกรัฐมนตรี
6.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย
7.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย
8.นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย
9.นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.เกษตรฯ
10.นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รมช.เกษตรฯ
11.นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์  รมช.เกษตรฯ
12.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ
13.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ
14.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม
15.พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม
16.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมช.คมนาคม
17.พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต  รมว.กลาโหม
18.นายประเสริฐ บุญชัยสุข เป็น รมว.อุตสาหกรรม
19.นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม

20.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล  รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

21.นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ
22.น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ
23.นายนิวัฒน์ธำรง  บุญทรงไพศาล  รมต.ประจำสำนักนายกฯ
24.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน
25.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์  รมว.พาณิชย์
26.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ  รมช.พาณิชย์
27.น.อ.อนุดิษฐ์  นาครทรรพ รมว.ไอซีที
28.นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข
29.นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สาธารณสุข
30.นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
31.นายสันติ  พร้อมพัฒน์  รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
32.นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน

33.นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง
34.นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง

"2 ฝรั่ง" คาดเสพยาเกินขนาดดับคาโรงแรม


วันนี้ (25 ต.ค.) เมื่อเวลา 20.00 น. ร.ต.อ.อดิศักดิ์ เหล่าดี พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุมีชายชาวต่างชาติเสียชีวิตภายในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนน รัชดาภิเษก แขวงและเขตคลองเตย จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะสิริ สว.สส.สน.ลุมพินี พ.ต.ต.ธเนศ มีทอง สว.สส.สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวชจากโรงพยาบาลจุฬาฯ เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดอยู่ภายในห้องเลขที่ 504 ชั้น 5 ของโรงแรมดังกล่าว จากการตรวจสอบบริเวณพบศพชายชาวต่างชาติ 2 ราย ศพแรก คือ นาย แองกัส อีริค แคมป์เบลล์ อายุ 27 ปี สัญชาติออสเตรเลีย สภาพศพนอนหงายอยู่บนพื้นห้องข้างเตียงนอน สวมเสื้อยืดสีดำ นุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ส่วนอีกศพ คือ นายคาซาเมล สตีเฟ่น อายุ 31 ปี สัญชาติแคนาดา สภาพศพนั่งอยู่บนเบาะหลังพิงผนังห้อง สวมเสื้อโปโลสีฟ้า นุ่งกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลอ่อน ตรวจสอบตามร่างกายทั้งคู่ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด เบื้องต้นแพทย์สันนิษฐานว่า เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 12-24 ชั่วโมง จากการตรวจสอบภายในห้องพบกระป๋องเบียร์ยังดื่มไม่หมดวางอยู่บน 2 กระป๋อง ผงสีขาวคล้ายยาเสพติดไม่ทราบกองอยู่บนโต๊ะ และอุปกรณ์การเสพอีกจำนวนหนึ่ง จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนพนักงานทำความสะอาดของโรงแรมดังกล่าวให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อเวลาประมาณ 16.15 น.ของวันที่ 24 ต.ค.ได้เข้าไปเคาะห้องของผู้ตายทั้งสองคนเพื่อต้องการทำความสะอาดแต่ผู้ตาย บอกว่าไม่ต้องทำ หลังจากนั้นก็ไม่พบผู้ตายทั้งสองคนออกมาจากห้องอีกเลย จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องคืนห้องแต่ผู้ตายก็ยังไม่ออกมา เคาะเรียกก็ไม่ต้อง จึงใช้กุญแจเปิดห้องเข้าไปตรวจสอบก็พบผู้ตายทั้งสองคนนอนเป็นศพอยู่แล้ว
ด้าน พ.ต.ท.ปิโยรส กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบตามร่างกายผู้ตายทั้งสองคนไม่พบว่ามีบาดแผลหรือร่องรอยการถูก ทำร้ายแต่อย่างใด เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเสียชีวิตจากการเสพยาเสพติดเกินขนาด อย่างไรก็ตามจะส่งศพผู้ตายทั้งสองคนให้แผนกนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาฯ ทำการชันสูตรหาสาเหตุของการเสียชีวิตที่แท้จริงอีกครั้ง พร้อมทั้งส่งผงสีขาวที่พบในห้องพักผู้ตายไปตรวจสอบว่าเป็นยาเสพติดชนิดใด

"หงส์-สาลิกา" จูงมือซิวชัยหวิว,สเปอร์สแค่เจ๊า


ศึกฟุตบอลยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ในกลุ่ม เอ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทีมดังจากศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปิดสนามแอนฟิลด์ พบกับ อันจิ จากลีกแดนหมีขาว
  
เกมนี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนาม นำทัพโดย หลุยส์ ซัวเรซ, สตีเวน เจอร์ราร์ด, มาร์ติน สเคอร์เทล และดาเนียล แอกเกอร์ ส่วนผู้มาเยือนมีสตาร์ดังอย่าง ซามูเอล เอโต ดาวยิงแดนหมอผี และยูริ ซีร์คอฟ แบ๊กชาวรัสเซียน เป็นตัวชูโรง
  
แมตช์นี้ "หงส์แดง" คว้าชัยไปได้อย่างหวุดหวิด 1-0 จากประตูชัยของ สจ๊วร์ต ดาวนิง ปีกชาวอังกฤษ ในนาทีที่ 53 ทำให้มีเพิ่มเป็น 6 คะแนนจาก 3 นัด นำเป็นจ่าฝูงของตาราง ส่วน อันจิ มี 4 คะแนนแข่งเท่ากัน อยู่อันดับ 2
  
ผลอีกหนึ่งคู่ของกลุ่มนี้ ยัง บอยส์ เบิร์น จากสวิส เปิดบ้านพิชิต อูดิเนเซ จากอิตาลี 3-1 ทำให้มี 3 คะแนนจาก 3 นัด อยู่อันดับสุดท้ายของกลุ่ม ฝ่าย อูดิเนเซ มี 4 คะแนนแข่งเท่ากัน อยู่อันดับ 3 เนื่องจากลูกได้เสียเป็นรอง อันจิ
  
ด้านในกลุ่ม ดี "สาลิกาดง" นิวคาสเซิล อีกหนึ่งตัวแทนจากแดนผู้ดี เปิดรังเฉือนหวิว คลับ บรูช จากเบลเยียม 1-0 โดยฮีโร่ผู้สังหารประตูชัย ได้แก่ กาเบรียล โอแบร์ตอง ปีกแดนน้ำหอม ในนาที 48
  
ชัยชนะนัดนี้ทำให้ นิวคาสเซิล มีเพิ่มเป็น 7 คะแนนจาก 3 นัด นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม ทาง คลับ บรูช มี 3 คะแนนแข่งเท่ากัน อยู่อันดับ 3 ของกลุ่ม
  
ผลอีกหนึ่งคู่ของกลุ่มนี้ มาริติโม จากโปรตุเกส เสมอกับ บอร์กโดซ์ จากฝรั่งเศส 1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม ทำให้ มาริติโม มี 2 คะแนนจาก 3 นัด จมบ๊วยของกลุ่ม ฝั่ง บอร์กโดซ์ มี 4 คะแนนแข่งเท่ากัน อยู่อันดับ 2 ของกลุ่ม
  
ส่วนในกลุ่ม เจ "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส จากอังกฤษ ยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นในรอบแบ่งกลุ่ม หลังบุกไปไล่ตีเจ๊า มาริบอร์ จากสโลวีเนีย 1-1 เจ้าถิ่นขึ้นนำไปก่อนจาก โรเบิร์ต เบริค นาทีที่ 42 แต่ทีมเยือนตีเสมอได้จาก กิลฟี ซิกูร์ดส์สัน ในนาที 59 แบ่งกันไปทีมละแต้ม ส่งผลให้ สเปอร์ส มีเพิ่มเป็น 3 คะแนนจาก 3 นัด จากผลเสมอทั้งหมด อยู่อันดับ 3 ของกลุ่ม ขณะที่ มาริบอร์ มี 4 คะแนนแข่งเท่ากัน อยู่อันดับ 2 ของกลุ่ม
  
ผลอีกหนึ่งคู่ของกลุ่มนี้ พานาธิไนกอส จากกรีซ เสมอกับ ลาซิโอ จากอิตาลี 1-1 ทำให้ ลาซิโอ มีเพิ่มเป็น 5 คะแนนจาก 3 นัดนำฝูง ทาง พานาธิไนกอส มี 2 คะแนนแข่งเท่ากัน อยู่อันดับสุดท้าย

สรุปผลการแข่งขันศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา
กลุ่ม เอ

ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) 1-0 อันจิ (รัสเซีย)
ยัง บอยส์ เบิร์น (สวิส) 3-1 อูดิเนเซ (อิตาลี)

กลุ่ม บี
แอต.มาดริด (สเปน) 2-1 อคาเดมิกา (โปรตุเกส)
ฮาโปเอล เทลอาวีฟ (อิสราเอล) 1-2 วิคตอเรีย พิลเซน (เช็ก)

กลุ่ม ซี
กลัดบัค (เยอรมนี) 2-0 มาร์กเซย (ฝรั่งเศส)
เออีแอล 0-1 เฟเนร์บาห์เช (ตุรกี)

กลุ่ม ดี
นิวคาสเซิล (อังกฤษ) 1-0 คลับ บรูช (เบลเยียม)
มาริติโม (โปรตุเกส) 1-1 บอร์กโดซ์ (ฝรั่งเศส)

กลุ่ม อี
สตุตการ์ต (เยอรมนี) 0-0 โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก)
สเตอัว บูคาเรสต์ (โรมาเนีย) 2-0 โมลด์ (นอร์เวย์)

กลุ่ม เอฟ
ดนิโปร (ยูเครน) 3-1 นาโปลี (อิตาลี)
พีเอสวี (ฮอลแลนด์) 1-1 เอไอเค โซลนา (สวีเดน)

กลุ่ม จี
เกงค์ (เบลเยียม) 2-1 สปอร์ติง ลิสบอน (โปรตุเกส)
วีดีโอตอน (ฮังการี) 2-1 บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์)

กลุ่ม เอช
รูบิน คาซาน (รัสเซีย) 1-0 เนฟต์ชี บากู (อาเซอร์ไบจาน)
อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี) 1-0 ปาร์ติซาน (เซอร์เบีย)

กลุ่ม ไอ
ลียง (ฝรั่งเศส) 2-1 แอธ.บิลเบา (สเปน)
สปาร์ตา ปราก (เช็ก) 3-1 ไอโรนี เคอร์ยัต ชโมนา (อิสราเอล)

กลุ่ม เจ
มาริบอร์ (สโลเวเนีย) 1-1 สเปอร์ส (อังกฤษ)
พานาธิไนกอส (กรีซ) 1-1 ลาซิโอ (อิตาลี)

กลุ่ม เค
โรเซนบอร์ก  (นอร์เวย์) 1-2 เมตาลิสต์ (ยูเครน)
ราปิด เวียนนา (ออสเตรีย) 0-4 เลเวอร์คูเซน (เยอรมนี)

กลุ่ม แอล
เลบันเต (สเปน) 3-0 ทเวนเต (ฮอลแลนด์)
เฮลซิงบอร์ก (สวีเดน) 1-2 ฮันโนเวอร์ (เยอรมนี)

จับตาผลสรุปถอดยศ "มาร์ค" บิ๊กโอ๋ลั่นเร็วๆ นี้ ยันไม่เกี่ยวการเมือง-ไม่มีพยานเท็จ



วันนี้ ( 25 ต.ค.)  เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบการบรรจุเข้ารับราชการ การขึ้นทะเบียนกองประจำการ และการแต่งตั้งยศทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการตรวจสอบที่มี พล.อ.ม.ล. ประสบชัย เกษมสันต์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกำลังดำเนินการ ซึ่งเรื่องต่างๆ ยังไม่ส่งมาถึงตน ที่ผ่านมาทราบว่าคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมหลายครั้งแล้ว
ทั้งนี้ คาดว่าผลสรุปเรื่องดังกล่าวจะได้ผลสรุปออกมาในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเรื่องดังกล่าวนั้นดำเนินการตามข้อเท็จจริงและหลักฐาน ยืนยันว่าไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีหลักฐานเป็นตัวบ่งชี้ข้อเท็จจริง
              
“ส่วนที่หลายคนมองว่าผลสรุปจะออกมาในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล คงไม่เกี่ยวข้องกัน ผลสรุปจะออกก่อนหรือหลังก็เป็นเรื่องการทำงานตามขั้นตอน ผลสรุปจะออกก่อนหรือหลังก็มีแต่คนจ้อง ซึ่งทุกอย่างทำไปตามกติกา เพราะเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบเรื่องมาแล้วก็ต้องดำเนินการต่อเท่านั้นเอง การตรวจสอบเรื่องนี้ ผมยืนยันว่าขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง โกหกกันไม่ได้ ปั้นแต่งพยานเท็จไม่มี” พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources