วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

จับพลทหารรุมฟันคู่อริปางตาย


พ.ต.ท.ศยาม อินทร์สุวรรณ สว.สส.สน.ทุ่งมหาเมฆ นำกำลังฝ่ายสืบสวน จับกุม พลทหารกรีฑา อ่ำพันเงิน อายุ 23 ปี สังกัดหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี เลขที่ 1541/2552 ลงวันที่ 29 ต.ค.52 ในความผิดข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณป้ายรถประจำทางหน้า รพ.วิภาวดี ถนนงามวงศ์วาน แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่

สืบเนื่องจาก เมื่ช่วง 4 ทุ่ม วันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาพร้อมเพื่อนรวม 4 คน ได้ก่อเหตุใช้อาวุธมีดฟัน นายยอดรัก สุทธาวิลัย อายุ 23 ปี คู่อริจนได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เหตุเกิดที่บริเวณห้องเช่าแห่งหนึ่ง บนถนนสุขาภิบาล 3 แขวงและเขตมีนบุรี  ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเพื่อนร่วมแก๊งของผู้ต้องหาได้แล้ว 3 คน เหลือเพียงพลทหารกรีฑาคนเดียว ที่ยังหลบหนีอยู่ กระทั่งวันนี้ทราบว่าผู้ต้องหา จะมากินข้าวที่บริเวณดังกล่าว จึงนำกำลังเข้าจับกุม
จากการสอบสวนผุ้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุตนกับเพื่อนร่วมกันทำร้ายผู้บาดเจ็บจริง เนื่องจากเพื่อนในกลุ่มถูกนายยอดรักโทรศัพท์มาหาเรื่อง จึงชวนกันบุกไปที่ห้องพักผู้ตาย แต่ถูกผู้ตายขว้างขวดเหล้าใส่ และพยายามจะชักปืนยิง จากนั้นก็เกิดเหตุชุลมุนขึ้น กระทั่งตนแย่งปืนมาได้ และใช้มีดที่เตรียมมาฟันเข้าที่ศีรษะจนถึงแก่ความตาย

ยาริสชนฟุตปาธใต้บีทีเอชหมอชิตเพลิงลุกท่วม


พ.ต.ท.ศักดิ์พัฒน์ เหรียญทอง พนักงานสอบสวน (สบ.3) สน.บางซื่อ ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนตอหม้อทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ บริเวณใกล้สถานีบีทีเอชหมอชิต ถนนพหลโยธินขาเข้ามุ่งหน้าไปตลาดอตก. จึงประสานรถนำดับเพลิง ที่เกิดเหตุพบรถโตโยต้า ยาริส สีแดง ทะเบียน ฌฌ 855 กทม. สภาพเพลิงลุกไหม้ท่วมคัน เจ้าหน้าที่ต้องฉีดน้ำอย่างเร่งด่วนจนสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ ส่วนผู้ขับทราบชื่อคือ นายธนาคม อารีกุล อายุ 22 ปี ได้รับบาดเจ็บ ถูกนำตัวส่ง รพ.เปาโล

สอบสวนทราบว่า ขณะที่รถคันดังกล่าว ขับรถมาตามถนนพหลโยธินขาเข้าด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุรถเกิดเสียหลัก ทำให้พุ่งชนฟุตปาธบริเวณตอหม้อใต้สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ก่อนจะกระเด็นไปชนฟุตบาทเกาะกลางอีกทีหนึ่ง จากนั้นเกิดเพลิงลุกไหม้ทั้งคัน   เบื้องต้นต้องรอผู้บาดเจ็บมีอาการดีขึ้นก่อนจะนำตัวมาสอบสวนเพื่อหาสาเหตุ การชนที่แท้จริงต่อไป.

กองทัพภาค 4 ยันโจรใต้หวังยุให้แตกกับมาเลเซีย


วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค  4 ส่วนหน้า  ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ปราโมทย์  พรหมอินทร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ในฐานะรองโฆษก เปิดเผยถึงเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใน ช่วงกลางดึกต่อเนื่องถึงเช้าวันนี้ ว่า ก่อนอื่นทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ต้องขอแสดงความยินดีกับทางประเทศมาเลเซีย เนื่องจากในวันนี้เป็นวันที่ครบรอบ 50 ปี การประกาศเอกราชของประเทศมาเลเซีย จากประเทศอังกฤษ หรือวันเมอร์เดก้า (Merdeka) ซึ่ง กอ.รมน. และพี่น้องประชาชนชายแดนภาคใต้ และขอแสดงความความยินดีไปยังพี่น้องชาวมาเลเซียทุกท่านด้วย

ส่วนกรณีเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยง คืนที่ผ่านมา จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าเป็นการก่อเหตุในลักษณะการก่อกวน เป็นวัตถุต้องสงสัย เผาทำลายธงชาติ และติดธงชาติมาเลเซียในหลายพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางส่วนของ จ.สงขลา โดยแยกเป็นในพื้นที่ยะลา 34 จุด นราธิวาส 44 จุด ปัตตานี 12 จุด และสงขลา 12 จุด รวมทั้งสิ้น 102 จุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักษณะก่อกวน ต่างๆ  ส่วนที่เป็นการลอบวางระเบิดรวม 5 จุดในพื้นที่ อ.เมือง อ.ระแงะ อ.จะแนะ  อ.บาเจาะ และ อ.สุไหงปาดี  ของ จ.นราธิวาส  ที่ทำให้มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บรวม 6 นาย เป็นเจ้าหน้าที่ของนาวิกโยธิน กองทัพเรือ 3 นาย ของหน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 45   2 นาย และหน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 46    1 นาย

“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เชื่อว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุต้องการให้ เป็นภาพข่าวเผยแพร่สาธารณะ โดยเลือกวันที่เป็นวันเชิงสัญลักษณ์ คือวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันประกาศเอกราชของประเทศมาเลเซีย รวมทั้งเป็นวันครบรอบการจัดตั้งขบวนการณ์เบอร์ซาตู ทั้งนี้เพื่อต้องการกระตุ้นจิตใจของแนวร่วมในการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่  สำหรับการเผาทำลายธงชาติไทย และติดธงมาเลเซีย นั้นกลุ่มคนร้ายต้องการสร้างความเกลียดชังระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย ให้หวาดระแวงซึ่งกันและกัน ซึ่งถือว่าเป็นการแสวงประโยชน์จากความรุนแรงที่กลุ่มผู้ก่อเหตุสร้างขึ้น แล้วต้องการโยนความผิดให้กับประเทศเพื่อนบ้าน  ก็อยากจะเรียนให้ทราบว่าไทยและมาเลเซียนั้นยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดย ตลอดทั้งในระดับนโยบาย และระดับปฎิบัติในพื้นที่   การสร้างสถานการณ์เช่นนี้คงจะไม่ทำให้ไทยและมาเลเซียเกิดความขัดแย้งกันได้” รองโฆษก กล่าว

พ.อ.ปราโมทย์  กล่าวอีกว่า  ในช่วงนี้หลายส่วนกำลังเตรียมพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างมาก สิ่งที่กลุ่มก่อเหตุรุนแรงต้องการในขณะนี้ นอกจากการก่อเหตุสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศ ส่วนหนึ่งคือต้องการไม่ให้ไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  เพราะหลังจากเข้าไปแล้วก็จะสูญเสียมวลชนไปเยอะ เนื่องจากพี่น้องประชาชนอยากที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่อย่างปกติสุข   แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้บัญชาการทหารบก แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้สั่งกำชับให้ทุกหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่เข้าไปควบคุมสถานการณ์ จัดชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย เพื่อความไม่ประมาท รวมทั้งทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งก็มีความเข้าใจดี ทั้งนี้หากพี่น้องประชาชนท่านใดที่พบวัตถุต้องสงสัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้าตรวจสอบ โดยโทรแจ้งได้ที่หมายเลข 1341 ตลอด 24ชั่วโมง
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบข้อซักถาม กรณีกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ก่อเหตุรุนแรงในลักษณะป่วนเชิงสัญลักษณ์หลาย สิบจุด  โดยกล่าวสั้นๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีว่า ได้รับทราบรายงานแล้ว และได้สั่งการให้พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ( สมช.)ลงไปดูแลแล้ว คาดว่าน่าจะถึงในวันพรุ่งนี้ ( 1 ก.ย.)
นายบุญสม ศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครู 3 จ.ชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า  แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับกับโดยตรงกับชีวิตครู แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดบนถนน และบริเวณสำคัญที่เป็นเชิงสัญลักษณ์หลายแห่ง และไม่อาจปฎิเสธได้ว่า จะไม่ส่งผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อมกับประชาชน โดยเฉพาะครูในพื้นที่ ซึ่งจากการติดตามและสอบถาม ครูในพื้นที่ จ.นราธิวาส ยะลา และปัตตานี  ต่างบอกเสียงเดียวกันว่า น่ากลัว แม้จะไม่มีใครเสียชีวิต แต่คนร้ายป่วนได้หลายจุด ซึ่งหากถามขวัญกำลังใจครูในขณะนี้ ที่ต้องเดินทางไปมาในพื้นที่ และจะต้องไปโรงเรียนเพื่อสอนเด็กนักเรียน   จริงๆแล้วสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ในห้วงที่ผ่านมา ครูก็เสียขวัญ และไม่มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน  เมื่อมีเหตุการณ์ในลักษณะป่วนความรุนแรงอีก เป็นปกติที่ครูต้องรู้สึกกลัว  โดยขณะนี้ได้แจ้งประสานไปยังผู้อำนายการครูโรงเรียนทุกแห่งแห่ง พิจารณาตามสถานการณ์  หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรปิดโรงเรียนเพราะจะส่งผลกระทบต่อการเรียนของเด็กนัก เรียนที่ผลสัมฤทธิ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่า ครูอาจไม่ปลอดภัยให้ ผู้รับผิดชอบสถานศึกษานั้นๆ ใช้ดุลพินิจปิดการเรียนการสอนได้ทันที เพื่อป้องกันการสูญเสียและเหตุไม่คาดฝันได้.

อาเซียนผนึกกำลังปี58ปลอดยาเสพติด


วันนี้ (31 ส.ค. ) ที่โรงแรมแชงกรีลา  สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านยาเสพติดโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มาต้อนรับผู้เข้าประชุมในฐานะประเทศเจ้าภาพและหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลในการ ป้องกันปราบปรามยาเสพติดและฝากข้อคิดเห็นกับประเทศพม่าเป็นพิเศษในเรื่องสาร ตั้งต้น แหล่งผลิตยาเสพติดทางท่าขี้เหล็ก  โดยกล่าวว่า ทางการพม่าไม่มีส่วนรู้เห็นคาดว่าการประชุมครั้งนี้จะนำไปสู่การปราบปรามและ แก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นไปในทิศทางเดียว  จากนั้นพล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการประชุมต่อโดยมีพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาป.ป.ส. ว่าที่ผบ.ตร. เข้าร่วมด้วย
การประชุมครั้งนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนใน การมุ่งสู่อาเซียนปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 ตามที่บรรดาผู้นำอาเซียนได้เน้นย้ำในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 20 ที่ผ่านมา ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งไทยและกัมพูชาได้ร่วมกันผลักดันปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพ ติด ปี 2558 มีผู้นำจากประเทศต่างๆ เข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ นายรอมเมล แอล การ์เซีย รองเลขาธิการและรองประธานคณะกรรมการยาเสพติดแห่งฟิลิปปินส์ นายมาซากอส ซัลคิฟลี บิน มาซากอส โมฮัมหมัด รมต.อาวุโสกระทรวงมหาดไทยแห่งสิงค์โปร์ พล.ต.ท. ฟาม กุ๋ย เหงาะ รมช.กระทรวงความมั่นคงภายในแห่งเวียดนาม และนายเนียน ลิน  รองเลขาธิการอาเซียน
พล.ต.อ.ประชา  กล่าวว่า  ในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มาร่วมประชุมครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ และได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่มุ่งให้อาเซียนเป็นเขตปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 โดยมีมติเห็นชอบให้แก้ไขปัญหายาเสพติด เน้นสกัดกั้นยาเสพติดทั้งภายในและนอกภูมิภาค อย่างจริงจัง  พร้อมเป็นหุ้นส่วนในการแก้ปัญหายาเสพติด
ในการประชุมแต่ละประเทศพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงปัญหาต่าง ๆ แต่ละประเทศมีปัญหาแตกต่างกันไป มีการเสนอกรอบแนวทางในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดโดยเฉพาะประเทศพม่าเป็น กรณีพิเศษ  ซึ่งพม่ายอมรับอย่างเปิดใจเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในประเทศเพราะเกิดจากมี พื้นที่กว้างขวาง ว่างเปล่าเยอะ ประชากรว่างงาน มี่สารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด และทางการพม่าได้พยายามแก้ไข  ไทยเองก็ช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ด้านพล.ต.อ.อดุลย์  กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดมีความเชื่อมโยงกัน ทั้งแหล่งผลิต ผู้ค้า และการเดินทาง ในเอเซียประเทศไทยถือว่าเป็นเส้นทางผ่านประเทศสมาชิกจึงร่วมกันคิดบูรณาการ ทำงานเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดทั้งภูมิภาคร่วมกันทั้งเรื่องบังคับใช้กฏหมาย.

ป.ป.ท.สอบนายทุนรุกป่าเลย-ชัยภูมิเกือบ2หมื่นไร่


วันนี้ (31ส.ค.)  พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)  กล่าวว่า  ป.ป.ท ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนและอุทยานแห่ง ชาติเพื่อปลูกสวนยางพารา และสร้างบ้านพักตากอากาศ  โดยพบการบุกรุกในจ.เลย และจ.ชัยภูมิ   ในจ. ชัยภูมิ เป็นการบุกรุกพื้นที่เขตป่าสงวน ป่าภูแลนคาด้านทิศเหนือซึ่งประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 233 (พ.ศ.2510) ครอบคลุม อ.ภูเขียว แก้งค้อ และอ.เกษตรสมบูรณ์  โดยเข้าไปแผ้วถางป่าบริเวณกว้าง  และปลูกยางพารา รวมถึงก่อสร้างบ้านพักหรู ทั้งที่สภาพเป็นเขาสูงชันและยังเป็นแหล่งต้นน้ำห้วยคี และแหล่งต้นน้ำลำประทาว ไหลลงแม่น้ำชี
นอกจากนี้ยังพบการเผาป่าขยายพื้นที่เตรียมปลูกยางพาราเพิ่ม รวมพื้นที่บุกรุกไม่น้อยกว่า 5,000 ไร่  เบื้องต้นยังไม่ขอออกเอกสารสิทธิ  แต่ถูกบุกรุกมานานกว่า 10  ปี ป.ป.ท. ประสานกรมป่าไม้ดำเนินการกับผู้บุกรุก  หากไม่ดำเนินการป.ป.ท.จะเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา 157  นอกจากนี้ยังพบประเด็นต้องสงสัยว่าพื้นที่บุกรุกอยู่ไม่ไกลจากหน่วยป่าไม้ เหตุใดเจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงไม่เข้าดำเนินการใด ๆ  ปัจจุบันสวนยางพารามีอายุไม่ต่ำกว่า 5 ปี กรีดน้ำยางขายได้แล้ว
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนป.ป.ท.ยังพบการบุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูหลวงและป่าภูหอ ซึ่งประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 643 (พ.ศ. 2517) ครอบคลุม อ.ภูหลวง จ.เลย  พบเอกชนเข้าไปปลูกบ้านหรูอยู่บนยอดเขาและตัดถนนเข้าพื้นที่  ป.ป.ท.จึงสอบถามสำนักทรัพยากรธรรมชาติ จ.เลย ได้รับคำตอบว่าเป็นเขตป่าอนุรักษ์โซนซี  ห้ามบุกรุกและห้ามทำเกษตรเด็ดขาด แต่ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติป่าภูหลวงถูกแผ้วถาง ปรับหน้าดินกลายเป็นภูเขาหัวโล้น  เตรียมพื้นที่ปลูกยางพารา ไม่ต่ำว่า 10,000 ไร่  ในสัปดาห์หน้าป.ป.ท.จะประสานนายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอให้นำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจป่าภูหลวงและภูแลนคาว่าถูกบุกรุกปลูก สวนยางพาราไปแล้วกี่ไร่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายให้รื้อสวนยางพาราออก
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวต่อว่า สำหรับจ.เลย เป็นป่าสูงชัน ป.ป.ท.ยังพบการบุกรุกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในเขตป่าภูผาขาวและภูผายา  ซึ่งประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1101 (พ.ศ. 2528) ครอบคลุมอ.ผาขาว จ.เลย จากการตรจสอบพบญาติอดีตผู้บริหารระดับสูง จ.เลย บุกรุกปลูกยางพาราในพื้นที่ผาสูงชันรวมพื้นที่ที่บุกรุกไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ หลังจากนี้ป.ป.ท.จะเข้าตรวจสอบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ทับเขตป่าสงวนแห่ง ชาติหรือไม่ เพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดต่อหน้าที่ และเน้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
พ.ต.อ.ดุษฎี  กล่าวเพิ่มเติมว่า ป.ป.ท.จะเร่งรัดแก้ปัญหาการบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อปลูกยางพารา  เนื่องจากระยะหลังพบนายทุนในภาคใต้มีพฤติการณ์บุกรุกป่าสงวนทั้งในพื้นที่ ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ   โดยแผ้วถางป่าเพื่อปลูกยางพาราจะส่งผลให้เกิดภัยแล้ง และในกรณีที่ฝนตกหนักดินจะอุ้มน้ำไม่ได้เกิดปัญหาดินถล่มตามในหลายจังหวัด จากนั้นก็จะตั้งเบิกงบภัยพิบัติเพื่อทุจริตวงเงินงบประมาณกันอีก กลายเป็นวงไม่สิ้นสุด.

คุม “ไอ้มั่น”ทำแผน เผยขับไล่ฟัดกันมาเกือบ 100 เมตร



วันนี้ ( 31 ส.ค.) หลังเจ้าหน้าที่นำตัว นายมั่น พูลทรัพย์ ผู้คุมคนงานรับเหมาก่อสร้างไปแถลงข่าวที่ บช.ภ.3 นครราชสีมา แล้ว ต่อมาได้คุมตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยมี พล.ต.ท.จรัมพร  สุระมณี  ผช.ผบ.ตร. พ.ต.อ.ธนาเคหะเจริญ  ผกก.สภ.หมูสี  มาดูการทำแผนด้วย ท่ามกลางกำลังตำรวจชุดรักษาความปลอดภัย   พร้อมอาวุธครบมือรวมกว่า 50 รวมทั้งให้ผู้ต้องหา สวมเสื้อเกราะกันกระสุนเพื่อความปลอดภัยด้วย โดยนำตัวไปทำแผนยังที่เกิดเหตุ ตั้งแต่ร้านอาหารริมถนนธนะรัชต์ ตรงข้ามปาริโอ้ ต่อเนื่องมาถึงหลังโรงเรียนบ้านคลองเดื่อหมู่ 6 ลากยาวมาถึงจุดยิงปะทะที่หมู่บ้านคลองเดื่อ  หมู่ที่ 6  ต. หมูสี  อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา จุดถนนเชื่อม  ถนนธนะรัชต์ ทางขึ้นเขาใหญ่ เส้นทางไป อ. วังน้ำเขียว
พอก่อเหตุเสร็จ จึงขับรถหลบหนีไปที่สามแยกบ้านคลองดินดำ แล้วหลบหนีออกไปเส้นทางด้านหลังโบนันซ่ารีสอร์ทเขาใหญ่ และจอดรถลงไปหักสปอตไลน์ที่ติดด้านหลังกระบะทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะวิ่งออกหมู่บ้านขนงพระเหนือ หมู่ที่ 1 พอพ้นหมู่บ้านมาจนถึง ทางขึ้นข้ามสะพานลำตะคอง ตัดสินใจโยนอาวุธปืนขนาด 9 มม.ทิ้งลงป่าข้างทาง  แล้วรีบขับรถมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯทันที จากนั้นได้ถอดชิ้นส่วนและซื้ออุปกรณ์ต่างๆมาซ่อมพ่นสีรถเอง รวมทั้งถอดโรบาร์หลังกระบะออก ก่อนจะกลับมาทำงานในพื้นที่ตามปกติ
พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า คดีนี้ผู้ต้องหาให้การว่าไม่เคยรู้จักกับฝ่ายรถผู้ตายมาก่อน  สาเหตุมีเพียงขับรถเปิดไฟสูงและแซงปาดหน้ากันแล้วผู้ต้องหาอ้างว่าฝ่ายผู้ ตายคือลูก สส.ชาดา ยิงปืนใส่ก่อนหลายนัด จึงนำปืนที่ซ่อนไว้ใต้เบาะนั่งคนขับออกมายิงเพื่อป้องกันตัว  โดยไม่ทราบว่าจะมีผู้เสียชีวิต  ระยะทางที่รถทั้ง 2 คันขับเคี่ยวกันมาระยะทาง 93  เมตรโดยรถผู้ต้องหาถูกกระสูนปืนเข้ากระบะหลัง 1 รู  บริเวณคอนโซนหน้ารถข้างพวงมาลัย 1 รู  และถูกที่ไฟท้ายด้านขวาแตก 1 นัด รวมเป็น 3 นัด  ซึ่งปลอกกระสูนปืน ที่ตกในที่เกิดเหตุรวม 13 ปลอก มีทั้งขนาด 380 ขนาด 9 มม. ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนผู้ต้องหาเพื่อทำสำนวนให้สมบูรณ์ต่อไป.

ใบสั่งเตือนภัย บช.น. ดีเดย์ 1 ก.ย.



วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น ได้โชว์ใบแจ้งเตือนภัยให้กับสื่อมวลชนดู โดยระบุว่า  สืบเนื่องจากในเขตพื้นที่บช.น. ได้มีคนร้ายก่อเหตุลักทรัพย์รถยนต์ รถจักรยานยนต์และลักทรัพย์ตามบ้านเรือนประชาชนบ่อยครั้ง รวมทั้งเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์คนเดินถนน จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนภัย ให้ใช้ความระมัดระวังในการป้องกันและดูแลทรัพย์สินของตนเองเบื้องต้น ส่วนใบเตือนการกระทำผิดกฎจราจรที่จะนำมาใช้ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่ ได้รับใบเตือนไปแล้วครั้งหนึ่ง และยังกระทำความผิดกฎหมายจราจรซ้ำอีก เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมาย โดยอาจถูกปรับในอัตราโทษสูงสุดทันที ซึ่ง ใบเตือนจะมีขนาดเดียวกันกับใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจร แต่จะมีคำว่าใบเตือน อยู่ด้านบน

สำหรับลักษณะของใบเตือนจะมีรูปแบบประกอบด้วย 3 ส่วน คือส่วนที่ 1 สีเหลือง สำหรับให้เตือนแก่ผู้ขับขี่ที่กระทำความผิดกฎหมายจราจร ส่วนที่ 2 สีชมพู สำหรับใช้ในการบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์หรือฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ  ส่วนที่ 3 สีขาว สำหรับเป็นสำเนาคู่ฉบับติดอยู่กับต้นขั้วเล่มใบเตือนไว้เป็นหลักฐานสำหรับ เจ้าพนักงานผู้พบเห็นการกระทำความผิดหรือจับกุม

อย่างไรก็ตามการออกใบเตือนกับ ผู้ขับขี่ที่กระผิดกฎหมายจราจร จะไม่นำไปใช้ใน 13ข้อหาหลักตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา 1.แข่งรถในทาง 2. ขับรถเร็ว 3. แซงในที่คับขัน 4. เมาแล้วขับ 5. ขับรถย้อนศร 6. ไม่สวมหมวกนิรภัย 7. จอดรถซ้อนคัน 8.ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 9. มลพิษควันดำ 10. จอดรถในที่ห้ามจอด 11.การจอดรถบนทางเท้า 12. การขับรถบนทางเท้า 13. แท็กซี่ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร
                                                                         ตัวอย่างใบเตือน
ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตรวจตราป้องกันเหตุหากพบว่ายานพาหนะของท่าน ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกก่อเหตุลักทรัพย์ เนื่องจาก
ชนิดรถ.....ทะเบียน....... จังหวัด...... ยี่ห้อ....... รุ่น ........สี ........
(   ) ไม่ได้ล็อกคอรถ                                          (   ) จอดรถไว้ในที่เปลี่ยว / ลับตาคน
(   ) ไม่ได้ล็อก / /ปิดประตู                                  (   ) จอดรถไว้ในที่มืด
(   ) ไม่ได้ล็อกโซ่ /สเตอร์รถ                                 (   ) จอดรถไว้ริมถนน / นอกรั้วบ้าน
(   ) ทิ้งกระเป๋า / ทรัพย์สินไว้ในรถ                              (   ) อื่นๆ .................................
การเตือนภัยอื่นๆ (เนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการถูกก่อเหตุ)
(   ) ไม่ได้ล็อกประตูรั้วบ้าน                                         (   ) เปิดประตู / /หน้าต่างบ้านทิ้งไว้
(   ) รั้วบ้านมีต้นไม้ขึ้นรกรุงรังเป็นช่องทางเข้า-           (   ) รั้วบ้านผุพังเป็นช่องทางเข้า-คนร้ายออก คนร้าย
(   ) ไฟฟ้าแสงสว่างหน้าบ้านชำรุด / ไม่เพียงพอ          (   ) สะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง
(   ) สะพายกระเป๋าไว้ด้านที่อยู่ติดริมถนน                  (   ) วางกระเป๋าไว้ห่างตัว
(   ) วางกระเป๋าไว้ในตะกร้าหน้ารถ                            (   ) ยืนริมถนนคนเดียวในที่มืด / เปลี่ยว
(   )ใส่เสื้อคอกว้างมองเห็นเครื่องประดับ                   (   ) อื่นๆ ............................................
           ขอได้โปรดระมัดระวัง และใส่ใจ ในการดูแลทรัพย์สินของท่านให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
แจ้งเตือนเมื่อวันที่..........เดือน..............พ.ศ. .......................เวลา................... น.
ที่ ..................... หมู่ ....................... แขวง ....................... เขต ................ กรุงเทพฯ
ชื่อผู้ถูกแจ้งเตือน(ถ้าพบตัว) ......................................................................................
ที่อยู่.....................................................................โทรศัพท์......................................
     ลงชื่อ...........................................ผู้แจ้งเตือน / เขตตรวจ................... สน.................
หากพบเห็นเบาะแสอาชญากรรมและยาเสพติด โปรดแจ้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล
                       โทรศัพท์หมายเลข 090 970 2748 , 090 970 3748
                                     ด้วยความปรารถนาดีจาก
                       พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

ป.รวบสาวอุซเบฯลวงเหยื่อค้ากาม


วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม.แถลงข่าวจับกุม น.ส.มูนิซ่า ลาซูโลวา (MISS RASULOVA MUNISA) อายุ 26 ปี สัญชาติอุซเบกิสถาน ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อการค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการ ค้าประเวณี จับกุมได้ที่ห้องพักเลขที่ 34/29-30 ชั้น 7 คอนโดมิเนียมไม่มีชื่อ เลขที่ 34/5 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.
พร้อมกันนั้นได้เข้าช่วยเหลือหญิงสาวชาวอุซเบกิสถานที่ตกเป็นเหยื่อการ ค้ามนุษย์ 6 คน โดยพาตัวส่งบ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี 3 คน เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ ส่วนหญิงสาวชาวอุซเบกิสถานอีก 3 คน พบว่าหนังสือเดินทางขาดอายุจึงนำตัวส่งตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ดำเนินคดี
สอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนผู้ร่วมกระทำผิดอีกคนคือ นางโนซานี เอสลาวา (MISS NOZANI ASLIEVA) ชาวอุซเบกิสถาน พนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับไว้แล้ว แต่ในขณะออกติดตามตัว ผู้ต้องหารายนี้ไหวตัวทันหลบหนีไปได้.

“แจ๊ด”สั่งลุยจับคดีค้างเก่าได้กว่า 600 หมาย


วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.พร้อมรอง ผบช.น. แถลงข่าวโครงการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่า ของ บช.น. ระหว่างวันที่ 27-31 ส.ค. เพื่อลดสถิติหมายจับค้างเก่าที่มีมากว่า 5 หมื่นหมายจับ

โดยผลการจับกุมแบ่งเป็น บก.น.1 จับ 62 หมาย บก.น.2 จับ 77 หมาย บก.น.3 จับ 48 หมาย บก.น.4 จับ 51 หมาย บก.น.5 จับ 46 หมาย บก.น.6 จับ 52 หมาย บก.น.7 จับ 66 หมาย บก.น.8 จับ 68 หมาย บก.น.9 จับ 64 หมาย บก.สส. จับ 38 หมาย กก.สายตรวจ จับ 34 หมาย และกก.ดส. จับ 7 หมาย รวมจับได้ 613 หมาย พร้อมของกลางที่จับกุมได้ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ประกอบด้วย บก.น.1 จับปืน 1 กระบอก บก.น.4 จับยาบ้า 136,000 เม็ด อาวุธปืน 1 กระบอก บก.น.5 จับปืน 2 กระบอก บก.น.6 จับปืน 4 กระบอก และบก.น.9 จับยาบ้า 3,120 เม็ด ปืน 10 กระบอก ระเบิด 12 ลูก และยาเสพติดรายย่อย 71 ราย

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า หมายจับค้างเก่าของ บช.น. มีกว่า 5 หมื่นหมาย ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา จึงให้ระดมจับกุม ที่ไม่ได้ให้ข่าวตั้งแต่ต้น เนื่องจากเกรงว่าพวกที่รู้ตัวว่ามีหมายจับจะหลบหนี หรือรู้ตัว ซึ่งการระดมจับได้  613 หมาย ได้ผู้ต้องหากว่า 600 คน นอกจากนี้ยังปิดล้อมตรวจค้นได้ยาบ้า อาวุธปืน และของกลางอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งต้องขอบคุณทุก บก.และตำรวจทุกคนที่ให้ความร่วมมือในโครงการนี้ ต่อไปจะทำอีก แต่อาจไม่เป็นข่าว โดยช่วงต่อจากนี้ 5 วันจะระดมอีก เนื่องจากเห็นว่าอาชญากรรมลดลงชัดเจน  เชื่อว่าคุมคดีอาชญากรรมในนครบาลได้.

ทหารปืนโหดยิงเมียผช.พยาบาลดับตัวเองโคม่า


วันนี้ (31 ส.ค.) พ.ต.ท.ชาติชาย วงศ์ปัญญา สารวัตรเวรสภ.เขาวิเศษ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง รับแจ้งเหตุคนถูกยิงเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บ้านเลขที่ 185/6 หมู่6 บ้านไสปุด ต.เขาวิเศษ  ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นบ้านเรือนไทย 2 ชั้น ครึ่งไม้ครึ่งปูน พบชาวบ้านกำลังยืนจับกลุ่มวิจารณ์
ตรวจสอบพบกองเลือดกระจายพื้นชั้นล่าง ใกล้กันพบปืนกล็อก ขนาด 9 มม. มีเลขทะเบียนอนุญาตเปื้อนเลือดตกอยู่ 1 กระบอก และปลอกกระสุนปืน 2 ปลอก  ส่วนผู้ถูกยิงบาดเจ็บ 2 ราย  ญาตินำส่งรพ.วังวิเศษ ไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อน.ส.จิราวรรณ นามจันทร์ อายุ 28 ปี อาชีพผู้ช่วยพยาบาล รพ.วัฒนาแพทย์ จ.ตรัง ถูกจ่อยิงเข้าขมับซ้ายทะลุขวา สิ้นใจระหว่างนำส่งรพ.ฯ และพลอาสาสมัครสห.สราวุธ  อ่อนรู้ที่ อายุ 35 ปี ชาวต.เขาวิเศษ เป็นทหารสังกัดค่ายเทพสตรีศรีสุนทร ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช  มีบาดแผลถูกยิงเข้าใต้คาง อาการโคม่า แพทย์ย้ายจากรพ.อำเภอวังวิเศษ  รักษาต่อรพ.ศูนย์ตรัง
สอบสวนทราบว่า  บ้านหลังเกิดเหตุเป็นบ้านพี่สาวพลอาสาสมัคร สห.สราวุธ โดยผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเป็นสามีภรรยากัน มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน อายุ 4 ขวบ ก่อนเกิดเหตุทั้งสองมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง เนื่องจากภรรยาไม่พอใจที่สามีไม่ค่อยมีเวลาดูแล หลังจากภรรยาประสบอุบัติเหตุ ล้มรถจยย.ข้อเท้าแตก เนื่องจากต้องทำงานที่ค่ายฯ ฝ่ายภรรยาแสดงท่าทีประชดเก็บข้าวของและเสื้อผ้า ไปบ้านพี่สาวซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน และโทรศัพท์ขอร้องให้ญาติฝ่ายสามีไปส่งที่คิวรถตู้เขาวิเศษ-ตรัง เพื่อกลับบ้านเกิด จ.ระนอง ส่งผลให้สามีไม่พอใจบันดาลโทสะชักปืนพกออกมาจ่อยิงศีรษะ 1 นัด ก่อนใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงใต้คางตัวเอง  หวังปลิดชีพตายตาม
ล่าสุดอาการยังไม่พ้นขีดอันตรายเนื่องจากกระสุนโดนจุดสำคัญ   เบื้องต้น ตำรวจมุ่งประเด็นความหึงหวง เพราะมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามจะเรียกญาติพี่น้องของสองฝ่ายมาสอบสวนอีกครั้ง  เพื่อเป็นข้อมูลประกอบรูปคดีต่อไป.

อาเซียนผนึกกำลังปี58ปลอดยาเสพติด


วันนี้ (31 ส.ค. ) ที่โรงแรมแชงกรีลา  สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านยาเสพติดโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มาต้อนรับผู้เข้าประชุมในฐานะประเทศเจ้าภาพและหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลในการ ป้องกันปราบปรามยาเสพติดและฝากข้อคิดเห็นกับประเทศพม่าเป็นพิเศษในเรื่องสาร ตั้งต้น แหล่งผลิตยาเสพติดทางท่าขี้เหล็ก  โดยกล่าวว่า ทางการพม่าไม่มีส่วนรู้เห็นคาดว่าการประชุมครั้งนี้จะนำไปสู่การปราบปรามและ แก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นไปในทิศทางเดียว  จากนั้นพล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการประชุมต่อโดยมีพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาป.ป.ส. ว่าที่ผบ.ตร. เข้าร่วมด้วย
การประชุมครั้งนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนใน การมุ่งสู่อาเซียนปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 ตามที่บรรดาผู้นำอาเซียนได้เน้นย้ำในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 20 ที่ผ่านมา ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งไทยและกัมพูชาได้ร่วมกันผลักดันปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพ ติด ปี 2558 มีผู้นำจากประเทศต่างๆ เข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ นายรอมเมล แอล การ์เซีย รองเลขาธิการและรองประธานคณะกรรมการยาเสพติดแห่งฟิลิปปินส์ นายมาซากอส ซัลคิฟลี บิน มาซากอส โมฮัมหมัด รมต.อาวุโสกระทรวงมหาดไทยแห่งสิงค์โปร์ พล.ต.ท. ฟาม กุ๋ย เหงาะ รมช.กระทรวงความมั่นคงภายในแห่งเวียดนาม และนายเนียน ลิน  รองเลขาธิการอาเซียน
พล.ต.อ.ประชา  กล่าวว่า  ในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มาร่วมประชุมครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ และได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่มุ่งให้อาเซียนเป็นเขตปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 โดยมีมติเห็นชอบให้แก้ไขปัญหายาเสพติด เน้นสกัดกั้นยาเสพติดทั้งภายในและนอกภูมิภาค อย่างจริงจัง  พร้อมเป็นหุ้นส่วนในการแก้ปัญหายาเสพติด
ในการประชุมแต่ละประเทศพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงปัญหาต่าง ๆ แต่ละประเทศมีปัญหาแตกต่างกันไป มีการเสนอกรอบแนวทางในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดโดยเฉพาะประเทศพม่าเป็น กรณีพิเศษ  ซึ่งพม่ายอมรับอย่างเปิดใจเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในประเทศเพราะเกิดจากมี พื้นที่กว้างขวาง ว่างเปล่าเยอะ ประชากรว่างงาน มี่สารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด และทางการพม่าได้พยายามแก้ไข  ไทยเองก็ช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ด้านพล.ต.อ.อดุลย์  กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดมีความเชื่อมโยงกัน ทั้งแหล่งผลิต ผู้ค้า และการเดินทาง ในเอเซียประเทศไทยถือว่าเป็นเส้นทางผ่านประเทศสมาชิกจึงร่วมกันคิดบูรณาการ ทำงานเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดทั้งภูมิภาคร่วมกันทั้งเรื่องบังคับใช้กฏหมาย.

ป.ป.ท.สอบนายทุนรุกป่าเลย-ชัยภูมิเกือบ2หมื่นไร่


วันนี้ (31ส.ค.)  พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)  กล่าวว่า  ป.ป.ท ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนและอุทยานแห่ง ชาติเพื่อปลูกสวนยางพารา และสร้างบ้านพักตากอากาศ  โดยพบการบุกรุกในจ.เลย และจ.ชัยภูมิ   ในจ. ชัยภูมิ เป็นการบุกรุกพื้นที่เขตป่าสงวน ป่าภูแลนคาด้านทิศเหนือซึ่งประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 233 (พ.ศ.2510) ครอบคลุม อ.ภูเขียว แก้งค้อ และอ.เกษตรสมบูรณ์  โดยเข้าไปแผ้วถางป่าบริเวณกว้าง  และปลูกยางพารา รวมถึงก่อสร้างบ้านพักหรู ทั้งที่สภาพเป็นเขาสูงชันและยังเป็นแหล่งต้นน้ำห้วยคี และแหล่งต้นน้ำลำประทาว ไหลลงแม่น้ำชี
นอกจากนี้ยังพบการเผาป่าขยายพื้นที่เตรียมปลูกยางพาราเพิ่ม รวมพื้นที่บุกรุกไม่น้อยกว่า 5,000 ไร่  เบื้องต้นยังไม่ขอออกเอกสารสิทธิ  แต่ถูกบุกรุกมานานกว่า 10  ปี ป.ป.ท. ประสานกรมป่าไม้ดำเนินการกับผู้บุกรุก  หากไม่ดำเนินการป.ป.ท.จะเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา 157  นอกจากนี้ยังพบประเด็นต้องสงสัยว่าพื้นที่บุกรุกอยู่ไม่ไกลจากหน่วยป่าไม้ เหตุใดเจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงไม่เข้าดำเนินการใด ๆ  ปัจจุบันสวนยางพารามีอายุไม่ต่ำกว่า 5 ปี กรีดน้ำยางขายได้แล้ว
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนป.ป.ท.ยังพบการบุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูหลวงและป่าภูหอ ซึ่งประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 643 (พ.ศ. 2517) ครอบคลุม อ.ภูหลวง จ.เลย  พบเอกชนเข้าไปปลูกบ้านหรูอยู่บนยอดเขาและตัดถนนเข้าพื้นที่  ป.ป.ท.จึงสอบถามสำนักทรัพยากรธรรมชาติ จ.เลย ได้รับคำตอบว่าเป็นเขตป่าอนุรักษ์โซนซี  ห้ามบุกรุกและห้ามทำเกษตรเด็ดขาด แต่ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติป่าภูหลวงถูกแผ้วถาง ปรับหน้าดินกลายเป็นภูเขาหัวโล้น  เตรียมพื้นที่ปลูกยางพารา ไม่ต่ำว่า 10,000 ไร่  ในสัปดาห์หน้าป.ป.ท.จะประสานนายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอให้นำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจป่าภูหลวงและภูแลนคาว่าถูกบุกรุกปลูก สวนยางพาราไปแล้วกี่ไร่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายให้รื้อสวนยางพาราออก
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวต่อว่า สำหรับจ.เลย เป็นป่าสูงชัน ป.ป.ท.ยังพบการบุกรุกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในเขตป่าภูผาขาวและภูผายา  ซึ่งประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1101 (พ.ศ. 2528) ครอบคลุมอ.ผาขาว จ.เลย จากการตรจสอบพบญาติอดีตผู้บริหารระดับสูง จ.เลย บุกรุกปลูกยางพาราในพื้นที่ผาสูงชันรวมพื้นที่ที่บุกรุกไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ หลังจากนี้ป.ป.ท.จะเข้าตรวจสอบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ทับเขตป่าสงวนแห่ง ชาติหรือไม่ เพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดต่อหน้าที่ และเน้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
พ.ต.อ.ดุษฎี  กล่าวเพิ่มเติมว่า ป.ป.ท.จะเร่งรัดแก้ปัญหาการบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อปลูกยางพารา  เนื่องจากระยะหลังพบนายทุนในภาคใต้มีพฤติการณ์บุกรุกป่าสงวนทั้งในพื้นที่ ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ   โดยแผ้วถางป่าเพื่อปลูกยางพาราจะส่งผลให้เกิดภัยแล้ง และในกรณีที่ฝนตกหนักดินจะอุ้มน้ำไม่ได้เกิดปัญหาดินถล่มตามในหลายจังหวัด จากนั้นก็จะตั้งเบิกงบภัยพิบัติเพื่อทุจริตวงเงินงบประมาณกันอีก กลายเป็นวงไม่สิ้นสุด.

คุม “ไอ้มั่น”ทำแผน เผยขับไล่ฟัดกันมาเกือบ 100 เมตร


วันนี้ ( 31 ส.ค.) หลังเจ้าหน้าที่นำตัว นายมั่น พูลทรัพย์ ผู้คุมคนงานรับเหมาก่อสร้างไปแถลงข่าวที่ บช.ภ.3 นครราชสีมา แล้ว ต่อมาได้คุมตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยมี พล.ต.ท.จรัมพร  สุระมณี  ผช.ผบ.ตร. พ.ต.อ.ธนาเคหะเจริญ  ผกก.สภ.หมูสี  มาดูการทำแผนด้วย ท่ามกลางกำลังตำรวจชุดรักษาความปลอดภัย   พร้อมอาวุธครบมือรวมกว่า 50 รวมทั้งให้ผู้ต้องหา สวมเสื้อเกราะกันกระสุนเพื่อความปลอดภัยด้วย โดยนำตัวไปทำแผนยังที่เกิดเหตุ ตั้งแต่ร้านอาหารริมถนนธนะรัชต์ ตรงข้ามปาริโอ้ ต่อเนื่องมาถึงหลังโรงเรียนบ้านคลองเดื่อหมู่ 6 ลากยาวมาถึงจุดยิงปะทะที่หมู่บ้านคลองเดื่อ  หมู่ที่ 6  ต. หมูสี  อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา จุดถนนเชื่อม  ถนนธนะรัชต์ ทางขึ้นเขาใหญ่ เส้นทางไป อ. วังน้ำเขียว
พอก่อเหตุเสร็จ จึงขับรถหลบหนีไปที่สามแยกบ้านคลองดินดำ แล้วหลบหนีออกไปเส้นทางด้านหลังโบนันซ่ารีสอร์ทเขาใหญ่ และจอดรถลงไปหักสปอตไลน์ที่ติดด้านหลังกระบะทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะวิ่งออกหมู่บ้านขนงพระเหนือ หมู่ที่ 1 พอพ้นหมู่บ้านมาจนถึง ทางขึ้นข้ามสะพานลำตะคอง ตัดสินใจโยนอาวุธปืนขนาด 9 มม.ทิ้งลงป่าข้างทาง  แล้วรีบขับรถมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯทันที จากนั้นได้ถอดชิ้นส่วนและซื้ออุปกรณ์ต่างๆมาซ่อมพ่นสีรถเอง รวมทั้งถอดโรบาร์หลังกระบะออก ก่อนจะกลับมาทำงานในพื้นที่ตามปกติ
พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า คดีนี้ผู้ต้องหาให้การว่าไม่เคยรู้จักกับฝ่ายรถผู้ตายมาก่อน  สาเหตุมีเพียงขับรถเปิดไฟสูงและแซงปาดหน้ากันแล้วผู้ต้องหาอ้างว่าฝ่ายผู้ ตายคือลูก สส.ชาดา ยิงปืนใส่ก่อนหลายนัด จึงนำปืนที่ซ่อนไว้ใต้เบาะนั่งคนขับออกมายิงเพื่อป้องกันตัว  โดยไม่ทราบว่าจะมีผู้เสียชีวิต  ระยะทางที่รถทั้ง 2 คันขับเคี่ยวกันมาระยะทาง 93  เมตรโดยรถผู้ต้องหาถูกกระสูนปืนเข้ากระบะหลัง 1 รู  บริเวณคอนโซนหน้ารถข้างพวงมาลัย 1 รู  และถูกที่ไฟท้ายด้านขวาแตก 1 นัด รวมเป็น 3 นัด  ซึ่งปลอกกระสูนปืน ที่ตกในที่เกิดเหตุรวม 13 ปลอก มีทั้งขนาด 380 ขนาด 9 มม. ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนผู้ต้องหาเพื่อทำสำนวนให้สมบูรณ์ต่อไป.

เปิดใจมือยิงลูกชาดารับ "คุณยิง-ผมยิง" แค่เปิดไฟใส่หน้า


วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่ห้องประชุมสารสิน บช.ภ.3 จ.นครราชสีมา พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล  ผบช.ภ.3  สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมควบคุมตัว นายมั่น พูลทรัพย์ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวกับตำรวจภูธรภาค 3 ในคดียิงนายฟารุต ไทยเศรษฐ์ ลูกชาย ส.ส.ชาดา ไทยเศรษฐ์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ถนนสายท่ามะปราง-วังน้ำเขียว บ้านคลองเดื่อ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มาแถลงข่าวกับสื่อมวลชน โดยนายมั่น สวมเสื้อเชิ้ตลายทาง สีฟ้าสลับชมพู ใส่เสื้อเกราะกันกระสุน มีสีหน้ากังวลตลอดเวลา
นายมั่น ยกมือไหว้เป็นการขอโทษผ่านสื่อมวลชนไปถึง นายชาดา ก่อนเปิดใจว่า "ผมกราบขอโทษจริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจ” พร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดว่า ว่า ตนทำอาชีพคุมคนงานรับเหมาก่อสร้าง พักอาศัยในบ้านเช่าย่านใกล้เคียงกับร้านสะดวกซื้อ ที่กลุ่มของผู้ตายเข้าไปซื้อของในวันเกิดเหตุ รวมทั้งทำงานที่ อ.ปากช่อง มานาน 5 ปีแล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องไม่กี่วัน ตนเตรียมจะเดินทางไปรับเหมางานที่กรุงเทพฯอยู่แล้ว ช่วงค่ำได้ไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มในย่านปาลิโอ-เขาใหญ่ ก่อนกลับนั่งดื่มสุรากับเพื่อน 2 คน กระทั่งเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ตนขอเลิกวงเพื่อจะกลับบ้าน ก่อนจะขับกระบะคู่ใจเดินทางไปเพียงลำพังไปตามถนนท่ามะปราง-วังน้ำเขียว บ้าคลองเดื่อ ต.หมูสี

“ต่อมา ผมมาพบเจอกับรถโตโยต้า ปราโด้ ไม่รู้ว่าเป็นรถของลูกของนายชาดา จากนั้นผมเปิดไฟกระพริบ 2 ครั้ง เพื่อส่งสัญญาณว่าจะแซง พร้อมกับเปิดไฟเลี้ยวขวาและเร่งเครื่องแซงขึ้นมาที่ช่องทางขวาทันที พอขับรถแซงจนสำเร็จก็มาเจอรถอีกคันวิ่งขวางหน้าอยู่ ผมจึงเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อจะตบรถเข้าซ้ายอีกครั้ง แต่รถลูกนายชาดา ไม่ยอมและเปิดไฟสูงสาดเข้าใส่รถผม  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงตอบโต้กลับด้วยการเปิดไฟสปอร์ตไลท์ ที่ติดตั้งอยู่บริเวณหลังคารถ  จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ด้วยความตกใจ ผมจึงก้มตัวหลบ ก่อนจะชะลอรถเพื่อปล่อยให้รถคู่กรณีวิ่งแซง จากนั้นจึงเอื้อมไปหยิบปืน ที่วางอยุ่ตรงช่องวางเท้าด้านข้างคนขับ  ก่อนจะยิงรัวใส่รถคู่กรณี ขณะที่กำลังขับตีคู่ขึ้นมารวม 3 นัด ขณะนั้นยอมรับว่ายิงโดยไม่ได้หวังผล ซึ่งคนในรถคู่กรณีก็ยิงสวนกลับมาอีกหลายนัดเช่นกัน กระทั่งรถคู่กรณีเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า ด้วยความกลัวจึงปิดไฟหน้ารถแล้วเร่งเครื่องหนีทันที จากนั้นได้นำปืนไปทิ้งที่ด้านหลังรีสอร์ทโบนันซ่า และขับมาตั้งหลักที่กรุงเทพฯ จนมาทราบว่า คู่กรณีเป็นลูกชายของ นายชาดา ส.ส.อุทัยธานี” นายมั่น ให้การ

นายมั่น กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นตนก็นำรถไปซ่อมโป้วสีใหม่ เปลี่ยนชิ้นส่วนที่มีรอยกระสุนปืน ถอดสปอร์ตไลท์ทิ้ง และพยายามตั้งสติให้นิ่งที่สุด ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สักพักก็กลับมาทำงานที่ปากช่องตามปกติ ผ่านไป 3 วัน ก็เดินทางไปรับงานต่อที่กรุงเทพ กระทั่งได้ปรึกษากับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่รู้จักและนับถือกัน จึงแนะนำให้ตนติดต่อเข้ามามอบตัวกับ พ.ต.อ.ภาณุ บูรณศิริ รอง ผบก.สส.ภ.3 เพราะมั่นใจว่าตำรวจจะให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองความปลอดภัยได้

“วินาทีนั้น..ผมก็กลัวว่าใครจะมาช่วยผมได้ บอกตรง ๆ ผมไม่ไว้ใจใคร ตำรวจจะคุ้มครองความปลอดภัยได้หรือ จึงไม่กล้าออกมามอบตัว จนผู้ใหญ่ที่นับถือกันพามามอบตัว ปกติพกปืนติดตัวไว้เป็นประจำ เพราะทำงานอยู่ในพื้นที่ป่าเขา เกรงจะไม่ปลอดภัย เป็นปืนที่รับจำนำต่อมาจากพรรคพวกที่ จ.ชลบุรี ในราคา 1,500 บาท สภาพเก่ามากจนขึ้นสนิม มีกระสุนอยู่แค่ 5 นัด ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการเปิดไฟรถใส่กัน ไม่มีการเตรียมการใด ๆ ผมยิงปืนตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น เพราะฝ่ายคู่กรณียิงใส่ผมก่อน ผมต้องป้องกันตัว และไม่รู้คนในรถเป็นใคร ผมก็แค่คนงานจน ๆ หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงิน ตอนเกิดเหตุก็ใจเต้น คิดว่าถ้าคุณยิง ผมก็ยิง หลังเกิดเหตุก็คิดว่าจะเอารถไปขายที่กัมพูชา แต่ก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ที่ขอให้ผมมอบตัวสู้คดี แม้จะกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยก็ตาม และผมต้องขอโทษ ส.ส.ชาดา จริงๆ ขอยืนยันว่าผมไม่ได้ตั้งใจ” นายมั่น ผู้ต้องหา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าก่อนหน้าจะแถลงข่าว พ.ต.อ.ธนาวุฒิ  เคหะเจริญ  ผกก.สภ.หมูสี นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กว่า 100  นาย ลงพื้นที่แปลงสวนผัก ริมถนนบ้านขนงพระ-หนองสาหร่าย หมู่ที่ 1 ต. ขนงพระ อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา เพื่อค้นหาอาวุธปืนของกลางที่ นายมั่น  พูลทรัพย์  ผู้ต้องหา ใช้ยิงในวันเกิดเหตุแล้วนำไปโยนทิ้ง เป็นระยะทางยาวกว่า 1 กม. แต่ก็ยังค้นหาไม่พบ ซึ่งหลังจากแถลงข่าวเสร็จ ชุดจับกุมจะนำตัวผู้ต้องหามาชี้จุดทิ้งปืนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะนำเครื่องมือตรวจหาวัตถุมาช่วยค้นหาด้วย
นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า ส่วนตัวยังติดใจว่าคนร้ายที่เข้ามอบตัวนั้น เป็นคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุจริงหรือไม่ เนื่องจากเคยคาดการณ์มาก่อนหน้านี้ว่า หากตนเองและพยาน เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ จะต้องมีคนออกมารับผิดอย่างแน่นอน ส่วนกรณีที่ นายมั่น อ้างว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากขับรถปาดหน้ากันไปมานั้น นายชาดา ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนร้ายได้พยายามขับรถแซงหน้ารถของตน แล้วจอดถึง 2 ครั้ง ซึ่งมองว่าเป็นการเจตนาจะก่อเหตุ มิใช่เหตุเฉพาะหน้า รวมไปถึงตนยังเห็นหน้าคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ ยืนยันว่าขณะเกิดเหตุมีคนร้ายอยู่ในรถกระบะ 2 คน
        
นายชาดา ยังกล่าวด้วยว่า หากได้พบหน้าและพูดคุยกับคนร้าย จะสามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าใช่คนร้ายตัวจริงหรือไม่ ส่วนตัวอยากให้เป็นตัวจริง จะได้เสร็จสิ้น และดำเนินคดีไปตามกฎหมาย เนื่องจากตนพร้อมจะให้อภัย ไม่คิดตามล้างแค้นแต่อย่างใด.

“ทักษิณ” ยก “ยิ่งลักษณ์”ผลงานฉลุย ย้ำการปฏิวัติเกิดขึ้นได้ตลอด


วันนี้ ( 31 ส.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ว่า ให้คะแนนการทำงานรัฐบาล 1 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 60 - 70 เพราะรัฐบาลต้องทุ่มเทในเรื่องน้ำท่วม จนทำให้อีกหลายเรื่องต้องสะดุด พร้อมกันนี้ยังชม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เก่งกว่าที่คิดไว้ ทุ่มเทและคล่องตัวขึ้นมาก รวมทั้งยังมีภาวะผู้นำ ไม่ใช่ Public Prime Minister ของใคร ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ามีการเชื่อมโยงข้อมูลกับนายกรัฐมนตรีบ้าง เรื่องตัวบุคคลที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะสอบถามมาบางครั้ง แต่ไม่เคยเถียงหรือขัดแย้งกัน เพราะนายกรัฐมนตรี มีอิสระที่จะเลือก จากนี้ต่อไปเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องทำงานหนักขึ้น เพราะยังมีรัฐธรรมนูญที่จ้องล้มรัฐบาล นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแนะนำให้รัฐบาลอดทน ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติปรองดอง ที่แม้จะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญทำไม่ถูกนัก แต่รัฐบาลก็ควรต้องอดทนเพื่อไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งมีผู้กล่าวไว้ว่า การปฏิวัติยังเกิดขึ้นได้ตลอด แต่เห็นว่าทำไปก็ไม่คุ้ม และไม่อยากให้เกิดขึ้น
        
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวยืนยันว่า โครงการจำนำข้าวไม่ได้มีการทุจริต และกล้ายืนยันว่า การจำนำข้าวดีกว่าการประกันราคา แต่ถ้าพบว่า โครงการทุจริต ให้รัฐบาลลงโทษได้เลย ส่วนราคาข้าวที่สูงขึ้นในตลาดโลกนั้น จะเป็นผลดี ทำให้คนมาซื้อข้าวที่ไทย เพราะทราบว่าไทยมีสต๊อกข้าว ซึ่งรัฐบาลไม่ได้แกล้งผู้ส่งออก แต่แค่ให้ปรับตัวและช่วยเกษตรกรเท่านั้น เช่นเดียวกับนโยบายรถคันแรกและบ้านหลังแรกที่จำเป็นต้องทำ เพราะปัจจัย 4 เปลี่ยนไป ส่วนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ แนะนำว่า เอกชนควรเปลี่ยนวิธีคิด และปรับกลยุทธ์มากกว่าโจมตีรัฐบาล พร้อมปฏิเสธว่า โครงการกองทุนต่างๆ เป็นการสร้างหนี้แต่ยืนยันว่า เป็นการสร้างโอกาส.

ศาลสั่งจำคุกสาวซีวิค 3 ปี


ที่ห้องพิจารณา 5 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง  เมื่อเวลา 9.30 น.วันนี้ (31 ส.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีประมาทหมายเลขคดี 1233/2554 ที่อัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องน.ส.แพรวพราว ( นามสมมุติ) อายุ 18 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท จนเป็นเหตุในผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ ต่อศาลเยาวชน ฯ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.54 โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.53 เวลากลางคืน จำเลยซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี ขับรถยนต์ยฮอนด้า ซีวิค หมายเลขทะเบียน ฎว-8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ ขาเข้ามุ่งหน้า ถ.ดินแดงด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจำเลยได้กระทำประมาทโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะปกติจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัด ระวังเช่นนั้นได้แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ โดยจำเลยไม่ขับรถในช่องทางซ้าย เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขน ช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปลี่ยนช่องทางไปมา เปลี่ยนช่องทางจากช่องทางขวาสุดเพื่อมาทางซ้ายถัดมา และยังเปลี่ยนกลับไปยังช่องทางขวาอีกครั้ง เป็นเหตุให้รถยนต์ซีวิคของจำเลยพุ่งเข้าชนรถยนต์ตู้โดยสารทะเบียน 13-7795 กรุงเทพ ที่วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีนางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับทำให้รถยนต์ตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์ พลิกคว่ำพังเสียหาย คนขับรถตู้โดยสารและผู้โดยสารภายในรถยนต์ตู้กระเด็นออกจากตัวตกจากทางด่วน เสียชีวิตรวม 9 คน และบาดเจ็บสาหัสจำนวนหนึ่ง ส่วนรถยนต์ของจำเลยแฉลบเลยจากรถยนต์ตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา
               
ภายหลังการอ่านคำพิพากษานานกว่า 2 ชั่วโมง นางยุวดี เยี่ยงยุกด์สากล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าฝ่ายโจทก์มีประจักษ์พยานที่เป็นผู้เสียหายโดยสารมา กับรถตู้ และพยานปากเป็นพนักงานขับรถยกของดอนเมืองโทลลเวย์ที่ขับรถตามมาก่อนเกิดเหตุ ภาพวงจรปิดบนทางด่วน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกน.ส.แพรวพราว จำเลยในความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ ทรัพย์สินเสียหายเป็นเวลา 3 ปี  คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี คุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน ให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ส่วนความผิดฐานใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์จริงหรือไม่ เพราะอยู่ในรถ
               
นางยุวดี กล่าวอีกว่า ส่วนจะยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลวินิจฉัยไม่รอลงอาญาจำเลย รวมทั้งข้อหาใช้โทรศัพท์ขณะขับรถหรือไม่ จะต้องขอคัดคำพิพากษาเพื่อไปปรึกษากับอธิบดีอัยการฝ่ายคดีเยาวชนฯ ก่อน แต่ตามข้อกฎหมายมีหลักห้ามอุทธรณ์ในข้อหาใช้โทรศัพท์ เพราะมีแค่โทษปรับเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการรับรอง ถ้าหากโจทก์ร่วมต้องการจะยื่นอุทธรณ์คดีก็สามารถทำได้ทันทีภายในระยะเวลา 1 เดือน และสามารถขอขยายระยะเวลาได้อีกตามที่กฎหมายกำหนด
             
"คดีนี้ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ซึ่งเป็นธรรมชาติของคดีเยาวชนที่มุ่งเน้นแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเยาวชน"  นางยุวดี กล่าว
               
พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ บิดาของน.ส.สุดาวดี นิลวรรณ นักศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามคำฟ้องในความผิดฐานประมาท แต่ให้การลดโทษและคุมประพฤติ พร้อมทั้งห้ามขับรถ ซึ่งเท่าที่ได้หารือกับญาติผู้เสียหายส่วนใหญ่รู้สึกพอใจ แม้ศาลจะให้รอลงอาญาก็ตาม โดยไม่ติดใจการลงโทษ เพราะกฎหมายเยาวชนเน้นให้โอกาสเยาวชนแก้ไขกลับเนื้อกลับตัว และการฟ้องคดีนี้เพื่อต้องการให้ศาลชี้ว่าใครผิดใครถูก จึงต้องขอขอบคุณญาติผู้เสียทุกคน เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานที่รวบรวมหลักฐานไว้ละเอียดครบถ้วน พยานทุกปากโดยเฉพาะคนขับรถดอนเมืองโทลล์เวย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศาลที่พิพากษาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคดีนี้ฝ่ายจำเลยจะต้องขอยื่นอุทธรณ์ โดยโจทก์เองก็จะปรึกษาหารือกันต่อไป
             
ด้านนางถวิล เช้าเที่ยง อายุ 64 ปี มารดาของนายศาสตรา เช้าเที่ยง หรือดร.เป็ด  กล่าวว่า พอใจผลคำพิพากษา ส่วนตัวต้องการยื่นอุทธรณ์ แต่ต้องปรึกษาทนายความอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือจะดำเนินคดีทางแพ่งหรือ ไม่อย่างไร โดยหลังจากนี้จะกลับไปบอกลูกชายว่าศาลพิพากษาลงโทษและได้ภาคทัณฑ์จำเลยแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ลูกชายอุตสาห์ใช้เวลาหลายปีร่ำเรียนอย่าง หนักจนจบมา แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสหาความสุขแต่งงานมีครอบครัวก็ต้องมาถูกแม่คุณคนนี้ขับ รถชนตาย
ขณะที่นางทองพูน พานทอง อายุ 57 ปี มารดาของนางสาวนฤมล คนขับรถตู้ กล่าวว่า ผลคำพิพากษาของศาลในวันนี้ ทำให้ตนรู้สึกดีขึ้นที่จะไม่มีใครกล่าวหาว่าลูกสาวตนเป็นคนผิดและสังคมจะได้ รู้ว่าลูกตนไม่ได้ทำผิด              
             
ส่วนน.พ.กฤช รอดอารีย์ บิดานายเกียรติมันต์ รอดอารีย์ บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่มีคำพิพากษาในวันนี้ เพราะรอคอยกันมานาน ส่วนญาติทุกคนจะอุทธรณ์ในข้อหาใช้โทรศัพท์ขณะขับรถหรือไม่ต้องรอปรึกษากับ ทีมทนายก่อน ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่าบทลงโทษของศาลกรณีนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีอื่นได้
               
นางกษมน มั่นศิลป์ มารดานายเกียรติมันต์ กล่าวว่า หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องมารายงานตัวต่อศาลต่อศาลทุก 3 เดือน ต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสอบว่าจำเลยได้ทำการฝ่าฝืนคำสั่งศาลหรือไม่ทั้งเรื่อง การห้ามเที่ยวกลางคืน ห้ามเสพยาเสพติด และทำงานบริการสังคม 48 ชั่วโมงภายในเวลา 2 ปี และให้กลับไปศึกษาโดยต้องนำผลการเรียนพร้อมผลการตรวจปัสสาวะส่งเจ้าพนักงาน คุมประพฤติทุก 3 เดือน ซึ่งฝ่ายโจทก์ร่วมคงไม่ไปติดตามตรวจสอบว่าจำเลยจะปฏิบัติตนผิดเงื่อนไขศาล หรือไม่ แต่ถ้ามีผู้ใดพบเห็นว่าจำเลยแอบไปเที่ยวกลางคืนหรือไปขับรถก็สามารถถ่ายรูป นำหลักฐานมาส่งศาลให้พิจารณาลงโทษได้
                 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ญาติผู้หายเดินทางมาศาลทุกคน โดยในช่วงเช้าก่อนเข้าฟังคำพิพากษาญาติผู้เสียหายเดินทางไปสักการะศาลหลัก เมืองเพื่อขอพรให้คดีจบสิ้นโดยเร็ว ส่วนน.ส.แพรวพราวเดินทางมาพร้อมบิดา-มารดาและทนายความและเข้าห้องพิจารณา ทันที ซึ่งภายหลังการฟังคำพิพากษาน.ส.แพรวพราวและครอบครัวเดินออกจากห้องพิจารณา ด้วยสีหน้าที่แสดงอาการโล่งใจ
                
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า  ก่อนหน้านี้คดีนี้ศาล เคยนัดฟังคำพิพากษามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.55 แต่ศาลได้มีข้อเสนอแนะให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ได้ร่วมประชุมกลุ่มสหวิชาชีพ เพื่อให้ครอบครัวผู้เสียหาย นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ร่วมกันประเมินและหารือเพื่อวางแผนการเยียวยา และบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานการประชุม เพื่อแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็ก เยาวชนและครอบครัว ตามพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2553 มาตรา132 ซึ่งต่อมาได้มีการนัดประชุมกลุ่มครอบครับเรื่อยมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. จนกระทั่งวันที่ 30 ก.ค. กลุ่มครอบครัวผู้เสียหาย ได้ประชุมร่วมกับจำเลยและทนายความ ซึ่งได้มีการกล่าวขออภัยกัน โดยฝ่ายญาติผู้เสียหายยังยืนยันที่จะให้ศาลมีคำพิพากษาคดี  ทั้งนี้  ญาติผู้เสียหายยังได้ฟ้องคดีแพ่งฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย 120 ล้านบาท โดยขณะนี้ศาลแพ่งให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลเยาวชนฯ จะมีคำพิพากษา.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources