วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สันติบาลรับประเมินชุมนุมต่ำ ลืมคนในกรุงเทพ


วันนี้ (29 ต.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย  เอนกเวียง  ผบช.ส. กล่าวว่า การประเมินผู้มาชุมนุมร่วมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่สนามม้านางเลิ้ง เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ยอมรับว่าทางการข่าวของสันติบาลประเมินผู้มาชุมนุมต่ำไป  ทั้งนี้ ตัวเลขที่ประเมินไว้นั้น  เป็นการประเมินขั้นต่ำไว้ ซึ่งต่อไปสันติบาลต้องพิจารณาประชากรจากกรุงเทพฯด้วย รวมถึงเจาะลึกว่า กลุ่มที่มาชุมนุมมีที่มาที่ไปอย่างไรเป็นกลุ่มแฟนพันธ์แท้หรือจัดตั้งขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม  สันติบาลเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ต่าง  ๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับการชุมนุม โดยประเมินสถานการณ์แย่ที่สุดไว้แล้วและเตรียมแผนการกับมือไว้  นอกจากนี้  สถานที่ที่ใกล้การชุมนุมมากที่สุดคือ ทำเนียบรัฐบาลก็มีการวางแผนรับมือไว้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น แต่การเตรียมแผนของสันติบาลไม่ใช่เป็นการกดดัน เพราะในระบอบประชาธิปไตยเปิดกว้างให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น

พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย กล่าวด้วยว่า  พล.ต.อ.อดุลย์  แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.  ได้กำชับให้มีความละเอียดในการปฏิบัติหน้าที่และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าว สารกับหน่วยความมั่นคง ซึ่งต้องเกาะติดสถานการณ์ ประเมินการข่าวทุกวันเพื่อรองรับการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามใน ครั้งต่อไป.

ปลัดยธ. เปิดงาน 6 ปีโครงการกำลังใจ


วันนี้  29 ต.ค.ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารเอ   นายกิตติพงษ์  กิตติยารักษ์   ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานครบรอบ 6 ปี  โครงการกำลังใจ โครงการในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ภายใต้แนวคิด “ลำแสงแห่งความหวัง ความกล้า ความยุติธรรม”  พร้อมเปิดตัวไดอารี่ปี 2556  “small words”  โดยกล่าวว่า  ตลอด 6 ปี ที่ผ่านมาพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาฯ ทรงเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้ต้องขัง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กทารก เด็กผู้ต้องขัง และผู้ต้องขังหญิงที่ตั้งครรภ์ระหว่างการพิจารณาคดีและต้องโทษอาญา ซึ่งเห็นว่ากลุ่มเด็กผู้ต้องขังเหล่านี้คือผู้บริสุทธิ์ สมควรได้รับการช่วยเหลือ ดังนั้น จึงมีความพยายามผลักดันโครงการต่าง ๆ ในระดับสากล เช่น โครงการ Enhancing Lives of  Female  Inmates ที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้เกิดข้อกำหนดของสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ ต้องขังหญิงในเรือนจำ  อย่างไรก็ตาม นอกจากกลุ่มผู้ต้องขังหญิงแล้วยังทรงคำนึงถึงผู้ต้องชาย  จะเห็นได้จากการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้ฝึกฝนความรู้ใหม่ เช่น การเขียนเรื่องเล่าของตัวเองจนสามารถถ่ายทอดเป็นหนังสือ อิสรภาพบนเส้นบรรทัด 13 นักโทษประหาร  เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้และเปิดมุมมองใหม่ที่มีต่อผู้ต้องขัง

สำหรับไดอารี่กำลังใจจะวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือทั่วไปในราคาเล่มละ 259 บาท รายได้ทั้งหมดจะสมทบทุนในกองทุนโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ  พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ต้องขังต่อไป.

ศาลฎีกาเลือกตั้ง ตัดสิทธิ 5 ปี ลูกน้องบิ๊กบัง ซื้อเสียง


    วันนี้ 29 ต.ค ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ ลต.4/2555 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายพิทยา บุญเฉลียว ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 2 พรรคมาตุภูมิ เป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550

    กรณีที่มีการกล่าวหาว่านายพิทยา  ผู้คัดค้านให้เงินกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งคนละ 100 บาท เมื่อวันที่ 29 พ.ค.54 ในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง และกรณีที่ถูกกล่าวหาว่ามอบเงินจำนวน  29,000 บาท ให้กับผู้ที่เป็นตัวแทน (หัวคะแนน) เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ ผู้คัดค้านให้การปฏิเสธ
    ศาลพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค.54 เวลา 15.00 น. นายพิทยา ผู้คัดค้าน ไปปราศรัยหาเสียงที่ศาลาประชาคมกลางบ้านเหล่าเสน หมู่ที่ 4 ต.บก อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ พร้อมทีมงาน โดยได้ขึ้นปราศรัยประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นทีมงานหาเสียงที่เป็นชายและหญิงประมาณ 7 คนได้แจกแผ่นพับแนะนำตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง และแจกเงินให้แก่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาฟังการปราศรัย ซึ่งระหว่างนั้นนายพิทยา ผู้คัดค้าน กล่าวเป็นภาษาอีสานว่า “พี่น้องครับผมมีน้ำใจอยู่ ผู้ใด๋ยังบ่อได้เงิน อย่าฟ้าวลุก ไผได้แล้วให้ลุกได้” ซึ่งต่อมามีพยานชี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม แต่ผู้ที่รับเงินได้ขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับผู้คัดค้าน จากนั้นพยาน 4 คนได้เข้าแจ้งความพร้อมมอบแผ่นพับและเงินของกลางจำนวน 200 บาท ไว้เป็นหลักฐาน
    ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานจากชั้นไต่สวนจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายพิทยา ผู้คัดค้านได้ก่อสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ตัวแทน (หัวคะแนน)  ให้เงินกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเพื่อจูงใจ ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้กับนายพิทยา ผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งจึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 53 และมีผลให้การเลือกตั้ง ส.ส.เขต 2 ศรีสะเกษ ไม่สุจริต และเที่ยงธรรม
    ส่วนที่มีการกล่าวหาว่านายพิทยา ผู้คัดค้าน ได้มอบเงินให้กับหัวคะแนน จำนวน 29,000 บาท นั้นข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในการไต่สวน มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หัวคะแนนของผู้คัดค้าน 2 คน ได้เข้าประชุมที่สำนักงานของนายพิทยาแล้ว ผู้คัดค้านได้ก่อสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ทีมงานของผู้คัดค้านให้เงิน 29,000 บาทกับหัวคะแนน เพื่อไปแจกจ่ายให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หวังจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกผู้คัดค้าน อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 53 วรรค 1 (1) ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเช่นกัน
   ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของนายพิทยา บุญเฉลียว เป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป.

บก.น.4 แถลงข่าวจับแก็งลักรถจยย. 2 คดี


วันนี้ (29 ต.ค.)  ที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจนครบาล 4  พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ญาณพงศ์ โสมาภา ผกก.สน.วังทองหลาง  และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.น.4  ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาตระเวนลักทรัพย์รถจยย.จำนวน 2 คดี โดยคดีแรก ประกอบด้วย นายภิภพ  หรือกิ๊ฟ  ผิวงาม อายุ 20 ปี  และนายโย (นามสมมุติ)อายุ 18 ปี พร้อมของกลาง จยย.ฮอนด้า สีชมพูคาดดำ ทะเบียน ฬสก 848กทม. และ จยย.ยามาฮ่า  สีขาวแดง ทะเบียน อบฐ 208 กทม. โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองได้ที่กลาง ซอยนาคนิวาศ33แขวงและเขตลาดพร้าว
พล.ต.ต.นัยวัฒน์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาทั้งสอง จะขับขี่รถจยย.ออกตระเวนหารถ ที่จอดอยู่ริมถนนหรือตามห้องเช่า อพาร์ทเม้นท์และไม่ได้ล็อคไว้ จากนั้นจะทำการเข็นออกมาจากที่เกิดเหตุ ก่อนใช้เท้าถีบรถจยย.หลบหนีไป และนำไปขายราคาคันละประมาณ 2,000-4,000 บาท และนำเงินที่ได้ไปซื้อยาเสพติดมาเสพ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งในท้องที่ สน.โชคชัย และ สน.วังทองหลาง ก่อนนำตัวส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือ รับของโจรต่อไป
ส่วนอีกคดี ได้ร่วมกันจับกุมนายณัฐวุฒิ หรือตูน อิ่มแสง อายุ26ปี พร้อมของกลาง จยย.ฮอนด้า  สีขาวคาดแดง ทะเบียน อคร 437 กทม. ซึ่งมีน.ส.วิไลวรรณ ทองแต้ม ได้แจ้งหายในท้องที่ สน.หัวหมาก  ไว้ก่อนหน้านี้
พล.ต.ต.นัยวัฒน์  เปิดเผยว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ผู้ต้องหาได้ทำการตระเวนลักจยย.ในย่านลาดพร้าวและหัวหมาก จากนั้นจึงนำชิ้นส่วนจยย.ไปชำแหละและจำหน่ายเป็นอะไหล่มือสอง และบางส่วนก็นำไปแต่งซิ่ง ซึ่งจากการขยายผลยังสามารถจรวจยึดรถที่ถูกโจรกรรมมาอีกทั้งหมดจำนวน 6 คัน ได้ที่บ้านเลขที่ 49/17 ซอยลาดพร้าว101 แขวงเจ้าคุณนรสิงห์ เขตวังทองหลาง โดยเจ้าของบ้านทราบชื่อต่อมาคือ นายธนัท หรือเบิร์ด ภู่ธาวร ที่ร่วมก่อเหตุได้หลบหนีไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป.

“ดีเอสไอ” สอบบ.เถื่อนนำคนไทยไปฮัจญ์


วันนี้ 29 ต.ค.  ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.ต.ท.สมบูรณ์  สาระสิทธิ์ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กล่าวถึงกรณีนายปรีชา  กันธิยะ  อธิบดีกรมการศาสนายื่นหนังสือขอดีเอสไอสอบสวนกรณีพบการกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจญ์  เนื่องจากพบวามีผู้เดินทางไปประกอบพิธีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาว่า ในวันพรุ่งนี้(30 ต.ค.) ดีเอสไอได้เรียกเจ้าหน้าที่นิติกร ชำนาญการ กรมการศาสนา เข้าสอบปากคำเพื่อเปิดคดีในฐานะพยานปากแรก จากนั้นจะทยอยสอบสวนรวบรวมรายละเอียดทั้งหมดว่า  บริษัทที่ประกอบกิจการฮัจญ์โดยไม่รับอนุญาตออกไปชักจูงประชาชนนั้นได้รับ ประโยชน์อย่างไร เนื่องจากคดีนี้กรมการศาสนาเป็นผู้เสียหาย ไม่สามารถจัดสรรโควต้าผู้เดินทางไปแสวงบุญจำนวน 13,000 คนให้กับประชาชนที่มาลงทะเบียนถูกต้องได้ และบางรายต้องรอข้ามปี  เนื่องมีบริษัทเถื่อนปลอมตราประทับ และบาร์โค้ดของกรมการศาสนาไปใช้ขอวีซ่า  นอกจากนี้ยังได้รับการท้วงติงทางการซาอุดิอาระเบียว่าบริษัทเถื่อนเหล่านี้ ไม่สามารถดูแลคนไทยที่ไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ ดังนั้น จึงต้องเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายกับประเทศได้อีก.

สาวแก้เผ็ดแก๊งเวียดนามล้วงกระเป๋า


วันนี้  29 ต.ค. นางธนัดดา สว่างเดือน อายุ 43 ปี นักเขียนอิสระ อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่12 ต.บางพึ่ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เหยื่อถูกแก๊งชาวเวียดนามล้วงกระเป๋า เดินทางเข้าพบพ.ต.ท.สมเกียรติ พลอยทับทิม พงส.(สบ2) สน.ลุมพินี เพื่อให้การเพิ่มเติมภายหลังถูกแก็งค์ดังกล่าวล้วงเอาโทรศัพท์ไอโฟน 4 เอส สีขาว มูลค่า 26,000 บาท ภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ถนนรัชดาฯ แขวงและเขตคลองเตยเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา

นางธนัดดา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนเดินทางมาภายในงานดังกล่าวและถูกคนร้ายล้วงเอาโทรศัพท์ไป ในวันต่อมา(28ต.ค.)ตนได้ใช้กลวิธีนำเอาโทรศัพท์ไอโฟน 4 เอส เลียนแบบ มูลค่า 5,000 บาท นำหนังยางมัดผมจำนวนหลายเส้นมัดต่อกันผูกติดกับกระเป๋ากางเกงด้านหลังเพื่อ ให้มิจฉาชีพติดกับดักที่ทำไว้ โดยหนึ่งในแก๊งค์ดังกล่าวได้หลงกลมาล้วงกระเป๋าตน พอคนร้ายล้วงกระเป๋าจึงร้องเรียกให้รปภ.เข้ามาช่วยกันจับกุม ก่อนประสานเจ้าหน้าตำรวจสน.ลุมพินีที่ควบคุมตัวไว้ได้ ทั้งนี้ตนรู้สึกเจ็บใจที่ถูกมิจฉาชีพกลุ่มดังกล่าวที่มาขโมยโทรศัพท์ของตนไป จึงคิดหากลวิธีที่จะแก้แค้นคืนจนสำเร็จ

ด้าน พ.ต.ท.สมเกียรติ เปิดเผยว่า ภายหลังจากคนร้ายซึ่งก่อเหตุดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวไว้ได้ ทันที 1 ราย ทราบชื่อนาง ดิน ธิ บิช มาย อายุ 33 ปี ชาวเวียดนาม อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่จะทำการสอบปากคำผู้ต้องหาอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อขยายผล โดยเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา “วิ่งราวทรัพย์” ก่อนสรุปสำนวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป.

ผบ.ตร. ตกลงร่วมเวียดนาม 4 เรื่องสำคัญ


วันนี้ (29 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)  พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย แถลงว่า  พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้เดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนาม ที่ประเทศเวียดนาม  ซึ่งมีเรื่องที่เป็นความตกลงร่วมกันและเกี่ยวข้องกับตำรวจ  4 เรื่อง โดย ผบ.ตร.ได้สั่งเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งขับเคลื่อนการเตรียมเข้า สู่ประชาคมอาเซียน  การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ การปราบปรามยาเสพติด และการพัฒนาการท่องเที่ยว ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว  ซึ่งก่อนหน้านี้ตร.ก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้ยาเสพติด และการดูแลนักท่องเที่ยวอย่างจริงจังด้วยตัวเอง และในวันพรุ่งนี้(30 ต.ค.) พล.ต.อ.อดุลย์ จะเป็นประธานการประชุมประจำสัปดาห์ โดยมีรองผบ.ตร.-ผู้ช่วยผบ.ตร.ร่วมประชุม โดยมีผบช.หน่วยร่วมประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเร้นส์  โดย ผบ.ตร.จะเร่งรัดคดีสำคัญ เช่น ความคืบหน้าคดีที่สน.พระโขนง เป็นต้น.

โอม มหารวยนัดแถลงข่าวแฉเบื้องหลังสร้างหลวงปู่ทวด


วันนี้ (29 ต.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.ต.ท.อนุรักษ์  โรจน์นิรันดร์กิจ  ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 2  กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีพระใบฎีกาเทียนชัย  สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายสมพงษ์  กันภัย หรือ อาจารย์หนู กันภัย  และบุคคลใกล้ชิด   โดยอ้างว่ามีการยักยอกเงินบริจาคที่นำมาบูชาวัตถุมงคลเพื่อสร้างหลวงปู่ทวด วัดแม่ตะไคร้  ว่าได้ส่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอลงพื้นที่วัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่  เพื่อเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน  ทั้งนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อรวบรวบ ข้อมูลให้ได้มากที่สุด  โดยเฉพาะเน้นให้ตรวจสอบสิ่งก่อสร้างภายในวัดทั้งหมดว่ามีที่มาที่ไปอย่าง ไร   นอกจากนี้ต้องมีการสอบถามพยานแวดล้อมที่อยู่รอบบริเวณวัด เช่น ชาวบ้าน  อย่างไรก็ตามอาจจำเป็นต้องขอตรวจสอบเอกสารการเงินที่เกี่ยวข้องกับการรับ บริจาคเงินทั้งหมด  ส่วนอาจารย์หนู  กันภัย เบื้องต้นดีเอสไอจะยังไม่ออกหมายเรียกจนกว่าจะได้ข้อมูลที่ชัดเจนจากเจ้า อาวาสในฐานะผู้ร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันพรุ่งนี้(30 ต.ค.) นายภุชงค์  สิริธัญผล  ประธานบริษัท  โอมมหารวย  จำกัด จะเปิดแถลงข่าวโดยใช้ชื่อว่า “เปิดโปงเบื้องลึก ระหว่างอาจารย์หนู กันภัย กับ พระเทียนชัย ใครอมเงินทำบุญ 300 ล้านบาท” ที่ โรงถ่าย โอมมหารวย เธียเตอร์  รามคำแหง ซ.150   เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบ  เพราะมีประชาชนจำนวนมากประท้วงหน้าบริษัทและขอรับเงินบริจาคคืน  ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย  โดยประชาชนเข้าใจว่าบริษัทซึ่งเป็นสื่อกลางรับประชาสัมพันธ์วัตถุมงคลดัง กล่าวมีส่วนได้ส่วนเสียกับเงินบริจาค ทั้งที่จริงแล้วบริษัทแค่รับหน้าที่สื่อประชาสัมพันธ์ผ่านทางเคเบิ้ลทีวีโดย ไม่ได้มีส่วนแบ่งในเงินบริจาค  โดยบริษัทมีรายละเอียดเกี่ยวกับเงินบริจาคทั้งหมดพร้อมนำมาเปิดเผย นอกจากนี้ยังมีเทปบันทึกการออกอากาศรายการตั้งแต่เริ่มรับบริจาคด้วย.

สันติบาลรับประเมินชุมนุมต่ำ ลืมคนในกรุงเทพ


วันนี้ (29 ต.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย  เอนกเวียง  ผบช.ส. กล่าวว่า การประเมินผู้มาชุมนุมร่วมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่สนามม้านางเลิ้ง เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ยอมรับว่าทางการข่าวของสันติบาลประเมินผู้มาชุมนุมต่ำไป  ทั้งนี้ ตัวเลขที่ประเมินไว้นั้น  เป็นการประเมินขั้นต่ำไว้ ซึ่งต่อไปสันติบาลต้องพิจารณาประชากรจากกรุงเทพฯด้วย รวมถึงเจาะลึกว่า กลุ่มที่มาชุมนุมมีที่มาที่ไปอย่างไรเป็นกลุ่มแฟนพันธ์แท้หรือจัดตั้งขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม  สันติบาลเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ต่าง  ๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับการชุมนุม โดยประเมินสถานการณ์แย่ที่สุดไว้แล้วและเตรียมแผนการกับมือไว้  นอกจากนี้  สถานที่ที่ใกล้การชุมนุมมากที่สุดคือ ทำเนียบรัฐบาลก็มีการวางแผนรับมือไว้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น แต่การเตรียมแผนของสันติบาลไม่ใช่เป็นการกดดัน เพราะในระบอบประชาธิปไตยเปิดกว้างให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น

พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย กล่าวด้วยว่า  พล.ต.อ.อดุลย์  แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.  ได้กำชับให้มีความละเอียดในการปฏิบัติหน้าที่และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าว สารกับหน่วยความมั่นคง ซึ่งต้องเกาะติดสถานการณ์ ประเมินการข่าวทุกวันเพื่อรองรับการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามใน ครั้งต่อไป.

ซ้อมย่อยขบวนเรือเตรียมความพร้อม ครั้งสุดท้าย


วันที่ 29 ต.ค.กองทัพเรือซ้อมย่อยครั้งสุดท้ายขบวนพยุหยาตราทางชลมารค งานพระราชพิธีเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน ซึ่งทางกองทัพเรือ ได้เตรียมการจัดงานพระราชพิธีเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 พ.ย.นี้ โดยการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในครั้งนี้ ใช้เรือพระราชพิธี 52 ลำ และกำลังพลจากหน่วยต่าง ๆ ของกองทัพเรือ เป็นกำลังพลและฝีพายประจำเรือพระราชพิธี 2,200 นาย รูปกระบวนเรือจัดเป็น 5 ริ้ว ประกอบด้วย เรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือรูปสัตว์ 8 ลำ ได้แก่ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เรือพาลีรั้งทวีป เรือสุครีพครองเมือง เรือครุฑเหินเห็จ เรือครุฑเตร็จไตรจักร เรืออสุรวายุภักษ์ เรืออสุรปักษี เรือดั้ง 22 ลำ และเรืออื่น ๆ อีก 18 ลำ การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 16  ที่จัดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยครั้งล่าสุดเป็นการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ประจำปี 2550 ในวันที่ 5 พ.ย.2550

   การซ้อมขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคฯ ในแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้เส้นทางตั้งแต่ สะพานพระราม 8 (ท่าวาสุกรี)  ถึง วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ระหว่างเวลา 15.00 - 17.00 น. โดยจะมีการซ้อมใหญ่เหมือนจริง 2 ครั้ง ในวันที่ 2 และ 6 พ.ย.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเส้นทางริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่าง ชาติต่างถ่ายรูปเรือสวยงามไว้เป็นที่ระลึกเป็นจำนวนมาก สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับประชาชนที่มาชมการซ้อมขบวนเรืออย่างยิ่ง.

ประสงค์โผล่สนามม้า ถล่มรัฐบาลก่อวิกฤต5ด้าน


ความคืบหน้าการชุมนุมในช่วงบ่ายวันที่ 28 ต.ค. ขององค์กรพิทักษ์สยาม ที่สนามม้านางเลิ้ง นายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายเสรี วงศ์มณฑา นักวิชาการอิสระขึ้นกล่าวปราศรัยโจมตีนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายจำนำข้าว และกรณีรัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเป็นประเด็นหลักในการปราศรัย
จากนั้นเมื่อเวลา 17.00น. พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทยขึ้นกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ขอให้ความมั่นใจว่ากองทัพและทหารยืนอยู่ข้างพวกเรา เมื่อเห็นภาพพวกเรามากันในวันนี้ มั่นใจและเชื่อมั่นเสมอว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ยังมีความจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย จึงมั่นใจว่ากองทัพจะไปกับพวกเรา เมื่อพวกเราต้องการกู้ชาติ ทั้งนี้สนามม้าแห่งนี้เคยเป็นสภาสนามม้ามาแล้ว ใครก็ตามที่ไปพูดว่าเป็นสถานที่อโคจร ๆ คนๆ นั้นถือว่าเป็นพวกไม่รักชาติ
ขณะที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีต สนช. กล่าวว่า ขอพูดความรู้สึกในใจเมื่อก้าวเข้ามาในสนามม้านางเลิ้งแห่งนี้ ในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 สนามม้าแห่งนี้เคยเป็นสภาประชาชนที่มีประชาชนมารวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหา บ้านเมืองและตนเป็นหนึ่งในนั้น ทั้งนี้ตนมาตามคำเชิญของ พล.อ.บุญเลิศ ไม่ได้คลานมาหา พล.อ.บุญเลิศ เหมือนคนบางคน พล.อ.บุญเลิศติดต่อพูดคุยอยากให้มาร่วมด้วย ตนก็มาร่วมด้วยความยินดี เพราะรู้จัก พล.อ.บุญเลิศมานาน วันนี้สภาประชาชนกำลังจะเกิดขึ้นเป็นรอบที่ 2 อยากให้เป็นสภาประชาชนที่จะช่วยกันคิดว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยไม่มีนักการเมืองทำร้ายประเทศชาติ
น.ต.ประสงค์ กล่าวอีกว่า เวลานี้ประเทศไทยเกิดวิกฤตที่สุดใน 5 ด้าน คือ 1.วิกฤติด้านเศรษฐกิจของแพงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2544 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้อำนาจรัฐ มีการแปลงทุนให้เป็นของเศรษฐีแปลงหนี้ให้ชาวบ้าน 2.วิกฤตทางสังคมและระบบราชการ เกิดมาในหลายยุคหลายสมัยไม่เคยเห็นความแตกแยกเกิดขึ้นเท่าในยุคนี้ เพราะมีนักการเมืองไปหลอกประชาชนว่าฝ่ายหนึ่งดีส่วนอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี 3.วิกฤตทางด้านความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
4.วิกฤตด้านการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งระบบนิติรัฐและนิติธรรมไม่มีอยู่อีกแล้ว อยู่ที่ใครเป็นพวกใคร ที่ไม่ใช่พวกก็ถูกยัดเยียข้อกล่าวหา แต่หน่วยงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายกลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง วันนี้มีนักโทษหนีคุกหลบหนีอยู่ก็ไม่ดำเนินการ อ้างเพียงแต่ว่าไม่รู้อยู่ไหน แต่กลับมีการเดินทางไปพบกันที่ต่างประเทศและก็มาบอกว่าไม่ได้ไป และ 5.วิกฤตภาวะผู้นำของประเทศ ตั้งแต่เกิดมาตนก็เพิ่งเคยเห็นผู้นำแบบนี้ ที่ความรู้และประสบการณ์ทางการเมืองตนกล้าบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย เอะอะอะไรก็บอกหนูไม่รู้อย่างเดียว
“ทั้ง 5 วิกฤตนี้เราต้องหาทางแก้ไข โดยแนวทางของเราคือการยึดกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงให้ไว้ คือสนับสนุนคนดีให้เข้ามาทำงานแทนคนไม่ดี จึงอยากเสนอให้ประชาชนรวมตัวกันตั้งกรรมการขึ้นมาช่วยกันคิดและปรึกษาหารือ เฟ้นหาคนดีเสนอให้กับกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม และเครือข่าย เพื่อหาคนดีมาทำงานแทนคนไม่ดี ทั้งนี้ผมอยากเสนอให้ทุกคนทำป้ายไปติดที่หน้าทำเนียบกับรัฐสภาว่าที่นี่เป็น เขตอำนาจของประชาชนนักการเมืองทุรชนห้ามเข้าด้วย ส่วนที่มีการพูดถึงแผน 5 ขั้นในการล้มรัฐบาลนั้น ผมเห็นว่า 5 ขั้นมันมากไป ขอ 2 ขั้นก็พอ แต่ถ้าขั้นเดียวได้ก็ยิ่งดี ” น.อ.ประสงค์กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 18.12 น. พล.อ.บุญเลิศ ได้ขึ้นมากล่าวปิดเวทีปราศรัยโดยระบุว่า ขอประกาศให้พี่น้องทราบว่าในวันนี้มีพี่น้องประชาชนมาร่วมลงชื่อที่ชัดเจน 2 หมื่นรายชื่อ ซึ่งมากกว่าที่รัฐบาลประเมินไว้ ทั้งนี้ พล.อ.บุญเลิศ ยังได้ถามฉันทามติของประชาชนว่าในการชุมนุมครั้งนี้พอใจ ถูกใจหรือเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งทุกคนตอบกลับด้วยเสียงกึกก้องว่าพอใจ ถูกใจและเห็นด้วย ทำให้ พล.อ.บุญเลิศ กล่าวกับประชาชนว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอให้กลับไปเอาพรรคพวกพี่น้องออกมาเพิ่มอีกคนละ 100 คน ให้มีจำนวนเป็นร้อยเป็นหมื่นหรือหนึ่งล้านคน เพื่อเป็นพลังในการขับไล่รัฐบาลในครั้งต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ พล.อ.บุญเลิศ กล่าวจบได้มีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนจะสลายการชุมนุม และประชาชนผู้ชุมนุมต่างทยอยเดินทางแยกย้ายกันกลับ.

ทีโอที ร้องผู้ตรวจฯ สอบกสทช.


วันนี้ (29 ต.ค.)ที่สำนังานผู้ตรวจการแผ่นดิน  ผู้นำแรงงานพนักงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นำโดยนายนราพล  ปลายเนตร   นายพิราม เกษมวงศ์  และนายพงศ์ฐิติ พงศ์ศิลามณี ได้เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน  ขอให้ตรวจสอบการประมูลคลื่นความถี่ 3 จีของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช.

โดยนายพิราม กล่าวว่า กรณีการประมูลเมื่อวันที่ 16 ต.ค. เห็นว่า ไม่ได้เป็นการเสนอราคาแข่งขันกันในการซื้อหรือขายทรัพย์สิน ตามความหมายของการประมูลในมาตรา 45 วรรคหนึ่งของพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ 2553 แต่เป็นเพียงการนำคลื่นความถี่มาจัดสรรให้กับผู้เข้าร่วมประมูลเท่านั้น อีกทั้งอาจเข้าลักษณะสมยอมในการเสนอราคาและมีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายในลักษณะ ที่ไมมีการแข่งขัน เสนอราคาที่รัฐพึงจะได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเป็นห่วงในเรื่องของการโอนทรัพย์สิน เนื่องจากสัญญาสัมปทานในการให้บริการคลื่นความถี่ 2 จีที่บริษัททรู คอเปอร์เรชั่น  บริษัทดีแทค ทำกับบริษัท กสท โทรคมนาคม และที่บริษัทเอไอเอส ทำกับบริษัททีโอทีนั้นระบุว่า นอกจากทั้ง 3 บริษัทต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับรัฐปีละ 15% หรือราว 2 หมื่นล้านบาทต่อปี และต้องเป็นผู้พัฒนาโครงข่ายการให้บริการ โดยเมื่อสิ้นสุดสัญญาจะต้องโอนทรัพย์สินนั้นให้เป็นของรัฐ  แต่ขณะนี้เมื่อกำลังจะพัฒนาคลื่นความถี่เป็น 3 จี ทางกสทช.กลับยังไม่ดำเนินการเรื่องการโอนทรัพย์สินในระบบคลื่นความถี่ 2 จีให้กับบริษัททีโอที และกสท.โทรคมนาคมให้แล้วเสร็จก่อน

อีกทั้งถ้าดูราคาประมูลคลื่น 3 จีที่ทั้ง 3 บริษัทประมูลได้ในราคา 4,500 บาทต่อ 1 ใบอนุญาตนั้น ทำให้ยิ่งน่าเป็นห่วงว่า 3 บริษัทจะนำเงินตรงไหนไปพัฒนาโครงข่ายระบบ 3 จี จึงอาจเป็นไปได้ว่า ทั้ง 3 บริษัทจะใช้วิธีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินในระบบ 2 จีที่ต้องโอนให้กับรัฐ ไปเป็นทรัพย์สินในระบบ 3 จีที่เอกชนเป็นเจ้าของ โดยอาศัยข้ออ้างความต้องการของประชาชน  ซึ่งความเสียหายที่อาจจะเกิดจากการโอนย้ายทรัพย์สินดังลก่าวจะทำให้ ทรัพย์สินของชาติเสียหายมหาศาลอาจมากกว่ารายได้จขากการประมูลคลื่น 3 จีเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ก็เป็นได้จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบและยื่นเรื่องให้ ศาลปกครองสั่งชะลอการรับรองใบอนุญาตการประมูลคลื่น 3 จีออกไปก่อนและให้กสทช.ดำเนินการเรื่องการโอนย้ายทรัพย์สินในระบบคลื่นความ ถี่ 2 จีของบริษัทเอกชนซึ่งได้รับสัมปทานมาเป็นของรัฐให้แล้วเสร็จเสียก่อน
        
ด้านนายเฉลิมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินทั้ง 3 คนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการร้องของให้ตรวจการประมูลคลื่น 3 จีตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และได้เร่งรัดสให้ทางสำนักงานรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายต่างๆ และนำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินวันที่ 30 ต.ค.นี้ ซึ่งก็จะได้นำเสนอในส่วนคำร้องของพนักงานทีโอทีที่มาร้องนี้เพิ่มเติมเข้าไป ด้วย เพื่อที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะได้พิจารณาว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในอำนาจที่จะ รับไว้พิจารณาวินิจฉัยและส่งศาลปกครองตามที่มีการร้องหรือไม่ อย่างไรก็ตามการพิจารณาเรื่องนี้น่าจะเร็วเพราะทางกสทช. ก็ได้มีการชี้แจงเรื่องนี้เข้ามาแล้วทำให้ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ต้องเสียเวลา ในขั้นตอนให้กสทช.ชี้แจงอีก.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources