วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

วิธีตรวจสอบสายโทรศัพท์เบื้องต้นสำหรับการติดตั้ง ADSL Modem

วิธีตรวจสอบสายโทรศัพท์เบื้องต้นสำหรับการติดตั้ง ADSL Modem
  1. ตรวจสอบว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ในการติดตั้งADSLมีสัญญาณโทรศัพท์ปกติ คือสามารถโทรเข้าโทรออกได้ ซึ่งถ้ามีสัญญาณโทรศัพท์แสดงว่าพร้อมใช้งานแต่ถ้าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ต้องแจ้งทางทศท. ดำเนินการซ่อมคู่สายก่อนจนมีสัญญาณ สามารถใช้งานได้ตามปกติ
  2. ตรวจสอบจุดต่อของสายโทรศัพท์ภายในบ้านว่ามีสภาพดีหรือไม่ คือไม่หลุดไม่หลวม
  3. แต่ทางที่ดี การติดตั้งADSL Modem นั้นไม่ควรมีการพ่วงโทรศัพท์ หรือFAX ก่อนที่จะเข้า อุปกรณ์ Splitter ถ้าต้องการใช้งานโทรศัพท์หรือ FAX ไปพร้อมกันควรต่อพ่วงหลังจากอุปกรณ์ Splitter ดังรูป เพื่อป้องกันการรบกวนสัญญาณ ADSL ของเครื่องโทรศัพท์ หรือ FAX
  4. เบอร์โทรศัพท์ที่จะใช้งาน ADSL นั้น ต้องไม่ต่อผ่าน PABX
  5. กรณีที่เบอร์โทรศัพท์ที่จะใช้งาน ADSLมีสัญญาณเสียง ซ่า เวลาโทรศัพท์ แสดงว่าคู่สายดังกล่าวมี ปัญหาสัญญาณรบกวนจากสายตอนนอก ดังนั้นต้องแจ้งทาง ทศท. ให้ดำเนินการซ่อมคู่สายดังกล่าวให้มีสัญญาณปกติ ไม่ซ่า ก่อนจึงจะสามารถใช้งานADSL ได้ดี
  6. ควรศึกษาคู่มือการใช้งานของอุปกรณ์ ADSL modem ให้ละเอียด โดยเน้นที่ สถานะไฟ บนตัวอุปกรณ์ ว่าแต่ละดวงมีความหมายว่าอย่างไร ดูว่าวิธีการตรวจสอบเหตุเสียเบื้องต้นของอุปกรณ์ ADSL modem แต่ละชนิดเป็นอย่างไร
<img border=
ข้อมูลจาก CS LoxInfo


สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย


www.becomz.com   

400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่

ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: ฟรีสอนภาษาออนไลน์

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: ฟรีสอนภาษาออนไลน์: "ฟรีสอนภาษาออนไลน์ URL รายละเอียด Type ..."

ฟรีสอนภาษาออนไลน์

ฟรีสอนภาษาออนไลน์
URL รายละเอียด Type
  www.1-language.com free site for learning English online serving over 6000 daily users


Eng
  www.englishpage.com ติวภาษาอังกฤษทางเน็ตซึ่งมีอยู่ 3 ระดับ คือ Biginner , Lower Intermediate และ Upper Intermediate


Eng
  www.yindii.com บทเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตลอดจนมีตัวอย่าง ข้อสอบ TOEFL และ TOEIC ใให้ลองทำ


Thai
  www.word2word.com เว็บสอนภาษาออนไลน์ ซึ่งสอนภาษาของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 80 ประเทศ


Eng
  www.englishbaby.com เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง และภาพยนต์ นอกจากนี้ยังบอกคำศัพท์สแลงให้ด้วย


Eng
  www.englishclub.com ชุมชนสำหรับนักเรียนและอาจารย์ผู้รักภาษาอักฤษ ซึ่งจะสอนภาษาออนไลน์ ในเรื่องการพูด ฟัง อ่าน และ เขียน


Eng
  www.travlang.com บทเรียนภาษาอังกฤษสำหรับนักท่องเที่ยว


Eng
  www.englishlistening.com ฝึกการฟังภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ โดยจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ในการฟัง


Eng
  www.bkkonline.com บทเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ซึ่งแบ่งเป็นบทเรียน ต่าง ๆ ถึง 46 บท


Thai

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.becomz.com

400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่

ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: คอนเน็คเตอร์ประเภทต่าง ๆ (Connector Types)

คอนเน็คเตอร์ประเภทต่าง ๆ (Connector Types)

คอนเน็คเตอร์ประเภทต่าง ๆ (Connector Types)
RJ-11 plug
RJ-11 Broadband/Telephone Plug
คอนเน็คเตอร์แบบ RJ-11 คือ คอนเน็คเตอร์ที่ใช้สำหรับสายโทรศัพท์ เพื่อเชื่อมต่อจากผนัง (WALL) ไปยังอุปกรณ์โทรศัพท์หรือแฟกส์ และใช้สำหรับเชื่อมต่อสัญญาณ ADSL จากผนัง หรือ POTs splitter ไปยังอุปกรณ์ ADSL
USB type A plug
USB Type A (Computer)
Universal Serial Bus (USB) คือสายเชื่อมอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น เครื่องพรินเตอร์ แสกนเนอร์ และโมเด็มแบบ ADSL เป็นต้น ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ที่ใช้การเชื่อมต่อกับพอร์ต USB จำเป็นต้องใช้สายเคเบิลแบบ A to B ซึ่งโดยปกติแล้วสายเคเบิลจะให้มากับอุปกรณ์ต่อพ่วงอยู่แล้ว ที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีพอร์ต USB ไว้สำหรับต่อสายเคเบิลด้าน A
USB type B plug
USB Type B (Peripherals)
ปลายอีกด้านหนึ่งของ USB Cable เรียกว่าด้าน B เป็นลักษณะสี่เหลี่ยม ไว้ใช้สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่มาต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์
RJ-45 crimped plug
RJ-45 moulded plug
RJ-45 Ethernet Network
คอนเน็คเตอร์แบบ RJ45 หรีอเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหัวต่อ LAN ประกอบด้วยสายสัญญาณ 8 เส้น และมีขนาดของหัวใหญ่กว่า RJ11 ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับเครือข่าย Local Area Networks (LANs) สายเคเบิลแลนอาจมีทั้งแบบสายตรง (straight) (ใช้สำหรับเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์รวมสัญญาณที่เรียกว่า HUB และเครื่องคอมพิวเตอร์) หรือสายแบบไขว้ (crossed) (ใช้สำหรับต่อระหว่าง hubs หรือ switches หรือระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์) เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีNetwork Interface Card (NIC) หรือการ์ดแลน เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย
สายเคเบิลแบบ RJ45 ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับโมเด็ม หรือเราเตอร์แบบ ADSL กับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเชื่อมต่อระหว่าง ADSL Router ไปยังอุปกรณ์รวมสัญญาณ (HUB)
ข้อมูลจาก CS LoxInf

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.becomz.com 

400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่

ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

คอนเน็คเตอร์ประเภทต่าง ๆ (Connector Types)

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: การใช้งาน Scan Disk สำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของ ฮาร...

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: การใช้งาน Scan Disk สำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของ ฮาร...: "1. ดับเบิ้ลคลิกที่ My Computer คลิกขวาไดร์ฟที่ต้องการทำ Scan Disk เลือก Properties 2. คลิกที่แท็บ ..."

การใช้งาน Scan Disk สำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของ ฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows XP

1. ดับเบิ้ลคลิกที่ My Computer คลิกขวาไดร์ฟที่ต้องการทำ Scan Disk เลือก Properties
2. คลิกที่แท็บ Tools จากนั้นคลิกที่ Check Now…
3. คลิกเครื่องหมายถูกที่ Scan for and attempt recovery of bad sectors แล้วคลิก Start
4. รอสักครู่เครื่องจะทำการ Scan Disk
5. เมื่อเครื่องทำการ Scan Disk เสร็จก็จะรายงานได้ทราบ ให้คลิก OK
หมายเหตุ
• ขณะที่ทำการ Scan Disk ไม่ควรเปิดโปรแกรมใด ๆ
• Automatically fix errors เป็นการกำหนดให้ทำการแก้ไขปัญหาที่พบโดยอัตโนมัติ เมื่อพบข้อผิดพลาดขึ้น

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.ecom.here.ws


400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่


ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

การใช้งาน Disk Cleanup สำหรับลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกจาก ฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows XP

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: 1. คลิกที่ Start > Program > Accessories > System ...: "1. คลิกที่ Start > Program > Accessories > System Tools > Disk Cleanup 2. เลือกไดร์ฟที่ต้องการทำ Disk Clea..."

1. คลิกที่ Start > Program > Accessories > System Tools > Disk Cleanup
2. เลือกไดร์ฟที่ต้องการทำ Disk Cleanup แล้วคลิก OK
3. คลิกเครื่องหมายถูกไฟล์ที่ต้องการลบ แล้วคลิก OK
4. ยืนยันการลบคลิก Yes
ทำอย่างนี้ในทุก ๆ ไดร์ฟที่ต้องการลบ

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.ecom.here.ws


400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่


ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

การใช้งาน Disk Cleanup สำหรับลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกจาก ฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows XP

1. คลิกที่ Start > Program > Accessories > System Tools > Disk Cleanup
2. เลือกไดร์ฟที่ต้องการทำ Disk Cleanup แล้วคลิก OK
3. คลิกเครื่องหมายถูกไฟล์ที่ต้องการลบ แล้วคลิก OK
4. ยืนยันการลบคลิก Yes
ทำอย่างนี้ในทุก ๆ ไดร์ฟที่ต้องการลบ

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.ecom.here.ws


400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่


ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: ความรู้เกี่ยวกับ ADSL เบื้องต้น

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: ความรู้เกี่ยวกับ ADSL เบื้องต้น: "ADSL มาจากคำว่า Asymmetric Digital Subscriber Line เป็นเทคโนโลยีของ Modem แบบใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสายโทรศัพท์ที่ทำจาก..."

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: วิธีการแปลง ไฟล์นามสกุล *.RMVB ให้เป็น *.AVI

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: วิธีการแปลง ไฟล์นามสกุล *.RMVB ให้เป็น *.AVI: "ง่าย ๆ ครับโดยใช้โปรแกรม Blaze Video Magic ดาวน์โฆลดโปรแกรม คลิกที่นี่ (แชร์ แวร์ 30 วัน) นอกจากจะ..."

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: การเชื่อมสายโทรศัพท์และ POTs Splitter

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: การเชื่อมสายโทรศัพท์และ POTs Splitter: "สายโทรศัพท์ที่ต่อกับอุปกรณ์ ADSL จะต้องเป็นสายตรงจากองค์การโทรศัพท์ โดยไม่มีการต่อพ่วงอุปกรณ์ใด ๆ การต..."

การเชื่อมสายโทรศัพท์และ POTs Splitter

สายโทรศัพท์ที่ต่อกับอุปกรณ์ ADSL จะต้องเป็นสายตรงจากองค์การโทรศัพท์ โดยไม่มีการต่อพ่วงอุปกรณ์ใด ๆ การต่อพ่วงสามารถทำได้เมื่อต่อผ่านอุปกรณ์ POTs splitter เท่านั้น การต่อพ่วงโดยไม่ใช้ POTs Splitter จะทำให้สัญญาณ ADSL หลุด เมื่อมีการใช้สายโทรศัพท์ หรือสัญญาณ ADSL จะถูกรบกวนจนไม่สามารถใช้งานได้
POTS splitter คืออุปกรณ์ทีช่วยให้เราใช้โทรศัพท์ หรือแฟกส์ได้ พร้อม ๆ กับการใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วย ADSL POTs Splitter ทำหน้าที่ในการแยกสัญญาณที่เป็น Voice ออกจากสัญญาณ ADSL เพื่อไม่ให้สัญญาณรบกวนซึ่งกันและกัน
อุปกรณ์ POTs splitter มี 3 ช่อง คือ LINE, MODEM และ PHONE ในการเชื่อมต่อให้นำสายโทรศัพท์ต่อเช้าที่ช่อง LINE และนำสายโทรศัพท์ที่ต่อไปยังโมเด็มต่อเข้าที่ช่อง Modem และ ต่อสายโทรศัพท์จากช่อง PHONE เข้าที่เครื่องรับโทรศัพท์
อุปกรณ์ POTs splitter โดยปกติมาพร้อมกับอุปกรณ์เราเตอร์ หรือโมเด็ม
รูปแบบการต่อพ่วงมีหลายรูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 การเชื่อมต่อแบบมาตรฐาน
นำสายโทรศัพท์จากผนัง เชื่อมต่อเข้าที่ช่อง LINE ของ POTs splitter นำสายโทรศัพท์จากเครื่องรับโทรศัพท์เชื่อมต่อเข้าที่ช่อง PHONE และต่อสายโทรศัพท์จากเราเตอร์เข้าที่ช่อง MODEM
รูปแบบที่ 2 การต่อพ่วงโทรศัพท์มากกว่า 1 จุด
การต่อพ่วงมากกว่า 1 จุด ต้องติดตั้ง POTs splitter มากกว่า 1 ตัว
รูปแบบที่ 3 การต่อสายตรงเข้าโมเด็ม และต่อโทรศัพท์ผ่าน POTs Splitter
ในบางกรณีการเชื่อมต่อผ่าน POTs Splitter อาจทำให้โมเด็มหรือเราเตอร์ไม่สามารถ Sync สัญญาณ ADSL ได้ต้องใช้อุปกรณ์แยกโทรศัพท์แบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป ( เข้า 1 ออก 2) และเชื่อมต่อไปยังโมเด็ม และ POTs splitter ดังภาพ
รูปแบบที่ 4 การเชื่อมต่อผ่าน Micro filter
Micro filter เป็นอุปกรณ์กรองสัญญาณความถี่ต่ำ เพื่อป้องกันสัญญาณโทรศัพท์เข้าไปรบกวนสัญญาณ ADSL อุปกรณ์ Micro filter มีสองช่อง คือ Line และ Phone ในการเชื่อมต่อ ต้องใช้อุปกรณ์แยกสายโทรศัพท์ แบบเข้า 1 ออก 2 และเชื่อมต่อสายโทรศัพท์จากอุปกรณ์แยกสายไปที่ Micro filter ที่ช่อง Line และต่อสายโทรศัพท์จากเครื่องรับโทรศัพท์เข้าที่ช่อง Phone
รูปแบบที่ 5 การเชื่อมต่อผ่านตู้สาขา PBX
กรณีการเชื่อมต่อผ่านตู้สาขา เพื่อให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต ADSL ได้ ต้องมีการตัด - ต่อและเดินสายใหม่ ดังภาพ ถ้าใช้ micro filter ก็ต้องทำการตัด - ต่อสายเช่นเดียวกัน โดยต้องติดตั้งอุปกรณ์แยกสาย ( เช่นเดียวกับรูปแบบที่ 4) และต่อ micro filter ก่อนเข้าตู้ PABX
ข้อมูลจาก CS LoxInfo

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.ecom.here.ws


400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่


ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

ความรู้เกี่ยวกับ ADSL เบื้องต้น

ADSL มาจากคำว่า Asymmetric Digital Subscriber Line เป็นเทคโนโลยีของ Modem แบบใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดง ให้เป็นเส้นสัญญาณนำส่งข้อมูลความเร็วสูง โดย ADSL สามารถจัดส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการด้วยความเร็วมากกว่า 6 Mbps ไปยังผู้รับบริการ หมายความว่า ผู้ใช้บริการสามารถ Download ข้อมูลด้วยความเร็วสูงมากกว่า 6 Mbps ขึ้นไปจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือผู้ให้บริการข้อมูลทั่วไป (ส่วนจะได้ความเร็ว กว่า 6 Mbps หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ รวมทั้งระยะทางการเชื่อมต่ออีกด้วย) ความเร็วขณะนี้ มากเพียงพอสำหรับงานต่างๆ ดังต่อไปนี้
งาน Access เครือข่าย อินเทอร์เน็ต
การให้บริการแพร่ภาพ Video เมื่อร้องขอ (Video On Demand)
ระบบเครือข่าย LAN
การสื่อสารข้อมูลระหว่างสถานที่ทำงานกับบ้าน (Telecommuting)

ประโยชน์จากการใช้บริการ ADSL
ท่านสามารถคุยโทรศัพท์พร้อมกันกับการ Access ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกัน ด้วยสายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน โดยไม่หยุดชะงัก
ท่านสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วเป็น 140 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ธรรมดา
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะถูกเปิดอยู่เสมอ (Always-On Access) ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการส่งถ่ายข้อมูลถูกแยกออกจากการ เรียกเข้ามาของ Voice หรือ FAX ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะไม่ถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด
ไม่มีปัญหาเนื่องสายไม่ว่าง ไม่ต้อง Log On หรือ Log off ให้ยุ่งยากอีกต่อไป
ADSL ไม่เหมือนกับการให้บริการของ Cable Modem ตรงที่ ADSL จะทำให้ท่านมีสายสัญญาณพิเศษเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ขณะที่ Cable Modem เป็นการ Share ใช้สายสัญญาณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่อาจเป็นเพื่อนบ้านของท่าน
ที่สำคัญ Bandwidth การใช้งานของท่านจะมีขนาดคงที่ (ตามอัตราที่ท่านเลือกใช้บริการอยู่เสมอ) ขณะที่ขนาดของ Bandwidth ของการเข้ารับบริการ Cable Modemหรือการใช้บริการ อินเทอร์เน็ตปกติของท่าน จะถูกบั่นทอนลงตามปริมาณการใช้งาน อินเทอร์เน็ตโดยรวม หรือการใช้สาย Cable Modem ของเพื่อนบ้านท่าน
สายสัญญาณที่ผู้ให้บริการ ADSL สำหรับท่านนั้น เป็นสายสัญญาณอิสระไม่ต้องไป Share ใช้งานกับใคร ด้วยเหตุนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูง

อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลบน ADSL
ADSL ที่ว่าทำงานเร็ว นั้นเร็วเท่าใดกันแน่ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า ADSL มีอัตราความเร็วขึ้นอยู่กับชนิด ดังนี้
Full-Rate ADSL เป็น ADSL ที่มีศักยภาพในการส่งถ่ายข้อมูลข่าวสาร ที่ความเร็ว 8 เมกกะบิต ต่อวินาที
G.Lite ADSL เป็น ADSL ที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลข่าวสารได้สูงถึง 1.5 เมกกะบิตต่อวินาที ขณะที่กำลัง Download ความเร็วขนาดนี้ คิดเป็น 25 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ขนาด 56K และคิดเป็น 50 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem ความเร็ว 28.8K
ผู้ให้บริการ ADSL สามารถให้บริการ ที่ความเร็วต่ำขนาด 256K ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำ
อัตราความเร็วขึ้นอยู่กับ ระดับของการให้บริการ จากผู้ให้บริการ โดยปกติแล้ว Modem ที่เป็นระบบ ADSL สามารถ Download ข้อมูลได้ที่ความเร็ว 256 กิโลบิตต่อวินาที ไปจนถึง 8 เมกกะบิตต่อวินาที นอกจากนี้ มาตรฐาน G.lite ที่กำลังจะมาใหม่ สามารถให้บริการที่อัตราความเร็วเป็น 1.5 เมกกะบิตต่อวินาที
ADSL สามารถทำงานที่ Interactive Mode หมายความว่า ที่ Mode การทำงานนี้ ADSL สามารถให้บริการรับส่งข้อมูล ที่ความเร็วมากกว่า 640 Kbps พร้อมกันทั้งขาไปและขากลับ

ขีดความสามารถของ ADSL
เทคโนโลยีของ ADSL เป็นแบบ Asymmetric มันจะให้ Bandwidth การทำงานที่ Downstream จากผู้ให้บริการ ADSL ไปยังผู้รับบริการสูงกว่า Upstream ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลจากผู้ใช้บริการหรือลูกค้า ไปยังผู้ให้บริการ(ดังรูปที่ 1 และ 2)

รูปที่ 1 แสดงความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลแบบ Upstream/Downstream


รูปที่ 2 แสดงเปรียบเทียบความเร็วของระบบ
วงจรของ ADSL จะเชื่อมต่อ ADSL Modem ที่ทั้งสองด้านของสายโทรศัพท์ ทำให้มีการสร้างช่องทางของข้อมูลข่าวสารถึง 3 ช่องทาง ได้แก่
ช่องสัญญาณ Downstream ที่มีความเร็วสูง
ช่องสัญญาณ ความเร็วปานกลางแบบ Duplex (ส่งได้ทางเดียว)
ช่องสัญญาณที่ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน
ช่องสัญญาณ Downstream ความเร็วสูง มีความเร็วระหว่าง 1.5-6.1 Mbps ส่วนอัตราความเร็วของช่องสัญญาณแบบ Duplex อยู่ที่ 16-640 Kbps นอกจากนี้ ในแต่ละช่องสัญญาณยังสามารถแบ่งออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ ที่มีความเร็วต่ำ ที่เรียกว่า Sub-Multiplex ได้อีกหลายช่อง
ADSL Modem สามารถให้อัตราความเร็วการส่งถ่ายข้อมูลมาตรฐานเทียบเท่า North American T1 1.544 Mbps และ European E1 2.048 Mbps โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกซื้อบริการความเร็วได้หลายระดับ
ระยะทางและอัตราความเร็วของ ADSL
ระยะทางมีผลต่ออัตราความเร็วในการให้บริการของ ADSL เป็นอย่างมาก โดยมีปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดความยาวสาย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวด อุปกรณ์ Bridge Taps รวมไปถึงการกวนกันของอุปกรณ์ Cross-Coupled
ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก ความเสื่อมถอย (Attenuation) ของสัญญาณเกิดขึ้น เมื่อความยาวของสายทองแดงมีมากขึ้น รวมทั้งความถี่ ซึ่งค่านี้จะลดลงเมื่อเพิ่มขนาดของสาย
อย่างไรก็ดี งาน Application ที่ต้องใช้บริการ ADSL ส่วนใหญ่ จะเป็นพวก Compressed Digital Video เนื่องจากเป็นสัญญาณประเภททำงานแบบเวลาจริง (Real-Time) ด้วยเหตุนี้ สัญญาณ Digital Video เหล่านี้ จึงไม่สามารถใช้ระบบควบคุมความผิดพลาด แบบที่มีอยู่ในระดับของเครือข่ายทั่วไป ดังนั้น ADSL Modem จึงมีระบบ ที่เรียกว่า Forward Error Correction ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้นโดยสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาสั้นมาก หรือที่เรียกว่า Impulse Noise โดย ADSL Modem จะใช้วิธีการตรวจสอบความผิดพลาดที่ทำงานบนพื้นฐานของ การกำหนดให้มีการตรวจสอบสัญญาลักษณ์ทีละตัว การทำเช่นนี้ ก็ยังช่วยให้ เป็นการลด ปัญหาการควบของสัญญาณรบกวนในสาย
การทำงานของ ADSL
หลักการทำงานของ ADSL ไม่มีอะไรมาก เนื่องจากว่า สายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดง มี Bandwidth สูงคิดเป็น หลายๆ MHz ดังนั้น จึงมีการแบ่งย่านความถี่นี้ออกเป็นส่วน เพื่อใช้งานโดยวิธีการแบบที่เรียกว่า FDM (Frequency Division Multiplexing) ซึ่งเป็นเทคนิคการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นหลายๆช่อง โดยที่แต่ละช่องสัญญาณจะมีความถี่ที่แตกต่างกัน ดังนั้น จะได้ Bandwidth ต่างๆ ดังนี้
ย่านความถี่ขนาดไม่เกิน 4 KHz ปกติจะถูกนำมาใช้เป็น Voice กับ FAX
ย่านความถี่ที่สูงกว่านี้ จะถูกสำรองจองไว้ให้การรับส่งข้อมูล โดยเฉพาะ ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น หลายย่านความถี่ เช่น ช่องสัญญาณสำหรับ การรับข้อมูลแบบ Downstream ตัวอย่าง เช่นการ Download ข้อมูล ส่วนช่องสัญญาณอื่นมีไว้สำหรับการส่งข้อมูลที่มีความเร็วต่ำกว่า Downstream ซึ่งเรียกว่า Upstream หรือสำหรับการ Upload ข้อมูล เป็นต้น (ดูรูปที่ 3 )

รูปที่ 3 ภาพแสดงการแบ่งย่านความถี่ของ ADSL
สถาปัตยกรรมการทำงานของเครือข่าย ADSL
เทคโนโลยีของเครือข่าย ADSL มิได้มีไว้เพื่อการ Download ข้อมูลจาก Web Page อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการให้บริการสื่อสารในลักษณะ Broad Band สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งคำว่า Broad Band ในที่นี้หมายถึง การให้บริการสื่อสารที่มีความเร็วเกินกว่า 1-2 Mbps ขึ้นไป (ดังรูปที่ 4)

รูปที่ 4 ภาพแสดงโครงสร้าง Infrastructure ของเครือข่าย ADSL
รูปที่ 4 เป็นการแสดงการเชื่อมต่อ ADSL ในลักษณะเครือข่าย Broad Band ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบนี้ เป็นแบบเรียบง่าย โดยผู้เข้ารับบริการมีเพียง Modem ที่เป็นระบบ ADSL เท่านั้น เสียบเข้ากับ Connector ที่เป็นอุปกรณ์เรียกว่า Splitter หรือ Filter ซึ่งมีลักษณะคล้ายเต้าเสียบสายโทรศัพท์ ซึ่งจะมี Connector 2 ช่อง โดยช่องหนึ่งสำหรับเสียบสาย Modem ขณะที่อีกช่องหนึ่งสำหรับเสียบเข้ากับสายโทรศัพท์ ตามปกติ และสามารถใช้งานได้พร้อมๆกัน บนสายโทรศัพท์เส้นเดียวกันเท่านั้น (ADSL Modem บางแบบสามารถติดตั้งเข้ากับสายโทรศัพท์ได้เลย ไม่ต้องเชื่อมต่อกับ Splitter) ลักษณะของตัว Splitter หรือ Filter ดังรูปที่ 5 และ 6

รูปที่ 5 ภาพแสดง อุปกรณ์ Splitter

รูปที่ 6 ภาพแสดงการเชื่อมต่อระหว่าง ADSL Modem ที่บ้าน
ผู้ใช้บริการสามารถใช้โครงข่าย ADSL นี้เพื่อการ Access เข้าไปขอรับบริการจากผู้ให้บริการ (Provider) เช่น Internet Provider หรือ ผู้ให้บริการ Video On Demand Server หรือผู้ให้บริการข้อมูลต่างๆ เป็นต้น
สถานที่ผู้เข้ารับบริการ ADSL นั้น นอกจากจะต้องมี ADSL Modem แล้ว ยังต้องมี อุปกรณ์เล็กๆตัวหนึ่ง ซึ่งได้กล่าวมาแล้วคือ Splitter หรือ Filter ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ จะทำหน้าที่แยกสัญญาณเสียงที่มีความถี่ไม่เกิน 4 KHz สำหรับการส่ง Voice เช่นการพูดคุยโทรศัพท์ ส่วนย่านความถี่ที่เหลือ เช่น 1-2 MHz ขึ้นไป จะถูกกันไว้เพื่อการส่งข้อมูล (Upstream) และรับข้อมูลเข้ามา (Downstream) โดยที่ Splitter สามารถแยกสัญญาณทั้ง 3 ออกจากกัน ดังนั้นท่านสามารถคุยโทรศัพท์ขณะที่ยังสามารถ Download ข้อมูลจาก อินเทอร์เน็ตพร้อมกันได้
ส่วนที่ศูนย์บริการระบบ ADSL นั้น เราเรียกว่า CO หรือ Central Office ซึ่งอาจเป็นของผู้ให้บริการ ADSL หรือไม่ก็อาจเป็นชุมสายโทรศัพท์เสียเองก็ได้ จะทำหน้าที่รับเอาสัญญาณ Voice Services (เสียงพูดโทรศัพท์) เข้ามาที่ตัว Voice Switch ซึ่งอาจรวมทั้ง Data ก็ได้ โดย สัญญาณทั้งสองจะมาสิ้นสุดที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า Splitter ชุดใหญ่ที่ศูนย์ให้บริการแห่งนี้ ลักษณะนี้จะเห็นได้ว่า เส้นทาง Local Loop (เส้นทางการเชื่อมต่อระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ) จะไปสิ้นสุดที่ Access Node แทนที่จะเป็น CO Switch (คำว่า Access Node ในที่นี้หมายถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อสลับสัญญาณ ADSL หรือที่เรียกว่า DSLAM (DSL Access Multiplexer ส่วน CO Switch หรือ Voice Switch หมายถึงระบบสลับสัญญาณเพื่อให้บริการระบบโทรศัพท์)
หน้าที่ของ DSLAM ได้แก่การสลับสัญญาณ ADSL ที่เข้ามาพร้อมๆกันหลายช่อง โดยผ่านเข้ามาทางชุด Splitter ในศูนย์ผู้ให้บริการ ให้สามารถออกไปที่ เอาท์พุท ปลายทาง ซึ่งในที่นี้ได้แก่ ผู้ให้บริการระบบเครือข่ายต่างๆ เช่น ISP หรือผู้ให้บริการ Video On Demand หรือศูนย์ให้บริการข้อมูลข่าวสารต่างๆ หรือ สำนักงานใหญ่ของหน่วยงานธุรกิจภาคเอกชนก็ได้ (ดังรูปที่ 7)

รูปที่ 7 ภาพแสดงลักษณะของ DSLAM

เครือข่าย ADSL จัดเป็นเครือข่ายที่มีสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ มีรายละเอียดดังนี้ (ดูรูปที่ 8 )

รูปที่ 8 ภาพแสดงส่วนประกอบของระบบ ADSL
จากรูปที่ 8 จะเห็นว่า เครือข่าย ADSL ประกอบด้วย ADSL ATU-R ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถ Access เข้าไปที่เครือข่าย ADSL ได้ โดยที่อุปกรณ์ดังกล่าว อาจมีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ ที่วางบนเครื่อง PC หรือบน TV ก็ได้ ซึ่งโดยมากอุปกรณ์นี้ จะเป็น ADSL Modem พร้อมด้วย Splitter หรือ ADSL Router อย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้
การเชื่อมต่อสายจาก ATU-R อาจง่ายดายเหมือนการติดตั้ง 10Base-T LAN ก็ได้ หรือไม่ก็อาจมีความสลับซับซ้อน ดังเช่น การติดตั้งเครือข่าย ATM ก็เป็นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่จะใช้ เพื่อการ Access เข้าไปที่เครือข่าย ADSL
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะเป็นการ Access เข้าไปที่ระบบเครือข่ายในรูปแบบของ Broad Band ก็ตาม แต่การเชื่อมต่อสายโทรศัพท์ ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เนื่องจากมีอุปกรณ์ ที่เรียกว่า Splitter ทำหน้าที่แยกสัญญาณ Analog ออกมาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ภายใน Central Office หรือชุมสายโทรศัพท์ท้องถิ่น (หรือผู้ให้บริการ ADSL) นั้น การให้สัญญาณเสียงแบบ Analog ซึ่งก็คือเสียงโทรศัพท์ จะถูกส่งผ่านไปที่ PSTN Voice Switch (ระบบโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) พร้อมด้วย Splitter ต่างหากอีกชุดหนึ่ง โดยสัญญาณโทรศัพท์จะถูกแยกออกไปที่ระบบสลับสายสัญญาณโทรศัพท์ปกติ ส่วน สัญญาณที่เป็นข้อมูลที่มาจาก ADSL Modem จะถูกส่งไปที่ DSLAM จากนั้นจะถูก Multiplex หรือสลับสัญญาณไปที่ผู้ให้บริการเครือข่ายต่างๆ เช่น ISP เป็นต้น

โดยปกติแล้ว Software สำหรับการสลับสายสัญญาณโทรศัพท์ไม่จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือ Upgrade แต่อย่างใด (ไม่เหมือนกับระบบ ISDN ที่ต้องการ Upgrade) นอกจากนี้ ADSL ยังช่วยลดจำนวนของ Voice Switch และลดปัญหา ความแออัดของ Trunk อันเนื่องมาจากการให้บริการที่ไม่ใช่ Voice อีกด้วย
การเชื่อมต่อของ ADSL ทั้งหมดที่มาจากผู้ใช้บริการ จะมารวมอยู่ที่ DSLAM จากนั้นก็จะถูกนำเข้าสู่อุปกรณ์ ที่เรียกว่า DACs ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ จะพาเข้าสู่ Trunk ของเครือข่ายอีกทีหนึ่ง ซึ่ง Trunk นี้ อาจเป็น ระบบ Unchannelized T3 ซึ่งวิ่งที่ความเร็ว 45 Mbps และจากนั้นก็จะวิ่งเข้าสู่ ISP อีกทีหนึ่ง สำหรับในประเทศไทย มีผู้ให้บริการบางรายที่ใช้ Trunk เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ ISP เป็น Frame Relay ขนาดความเร็ว 512 Kbps (ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ คาดว่า Configuration นี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว) ดูรูปที่ 9

รูปที่ 9 แสดงการเชื่อมต่อของ UBT
ADSL กับมาตรฐานการทำงาน
ในสหรัฐมีการกำหนดมาตรฐานการทำงานของ ADSL ในระดับปฏิบัติการเชิง Physical Layer โดย American National Standard Institute (ANSI) ได้กำหนดมาตรฐานของ ADSL ขึ้นมาเรียกว่า T.413-1995 ซึ่งในเอกสารมีการระบุว่า อุปกรณ์ ADSL สามารถสื่อสารกันบน เครือข่ายแบบ Analog Loop ได้อย่างไร แต่ในเอกสารไม่ได้ตั้งใจที่จะอธิบายสถาปัตยกรรมทั้งหมดของเครือข่ายรวมทั้งการให้บริการ นอกจากนี้ยังไม่ได้อธิบายหน้าที่การทำงานภายใน อุปกรณ์ ADSL Access Node ใดๆ แต่จะเน้นถึงการเข้ารหัสข้อมูลภายในสาย (จะส่งข้อมูลที่เป็นบิตได้อย่างไร?) รวมทั้งโครงสร้างของ Frame (บิตข้อมูลต่างๆถูกจัดเข้าเป็นองค์ประกอบได้อย่างไร?) บนสายสัญญาณ
ผลิตภัณฑ์ ADSL ได้ถูกผลิตขึ้นให้ใช้วิธีการของ Line Coding (วิธีการเข้ารหัสเพื่อการส่งสัญญาณในสาย) ซึ่งวิธีการของ Line Coding นี้มีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ Carrier Amplitude/Phase Modulation (CAP) Quadrature Amplitude Modulation (QAM) และเทคโนโลยี Discrete Multitone (DMT)
ไม่ว่า ระบบ Line Coding จะเป็นเช่นใด ไม่ว่าสายสัญญาณทั้งสองเส้นจะถูกนำมาใช้เพื่อการรับส่งข้อมูลแบบ Full Duplex (การรับส่งข้อมูลแบบสวนทางกันไปกลับระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง) ก็ตาม หรือพิสัยของคลื่นความถี่จะถูกแบ่ง Upstream หรือ Downstream Bandwidth (ระบบ FDM แบบง่าย) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะต้องใช้ Echo Cancellation ก็ตาม (Echo Cancellation เป็นการขจัดความเป็นไปได้ของสัญญาณในทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่เป็นสัญญาณของ ผู้พูด จะเกิดการสะท้อนกลับมาที่ผู้พูดเองเหมือนท่านที่พูดโทรศัพท์มือถือจะได้ยิน เสียงพูดของตนเอง)
ภายใต้เครือข่าย ADSL นี้ ระบบ FDM กับ Echo Cancellation สามารถทำงานร่วมกันแบบผสมผสานกันได้ (เหตุผลที่ต้องใช้ระบบ FDM ก็เนื่องจากใช้เพื่อแยกช่องสัญญาณ จากนั้นก็ทำการสลับสัญญาณ ซึ่งเหตุที่ต้องสลับสัญญาณก็เนื่องจากใช้งาน สายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน) ในหลายกรณี มาตรฐาน ANSI ภายใต้เอกสาร T.413 ได้กำหนดให้ ADSL ใช้ Line Coding แบบเทคโนโลยี DMT และมีการเลือกใช้ FDM หรือ Echo Cancellation อย่างใดอย่างหนึ่งแทนที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อที่ให้ได้การทำงานแบบ Full Duplex
FDM เป็นวิธีการที่ง่ายต่อการใช้งาน ส่วน Echo Cancellation นั้น อาจเกิดปัญหา Near End Cross Talk (สัญญาณรบกวนที่อยู่ปลายด้านหนึ่งของสายสัญญาณ โดยอยู่ด้านตรงข้ามของผู้ส่ง)
FDM สามารถหลีกเลี่ยงปัญหา Near End Cross Talk ได้ โดยการทำให้เครื่องรับเพิกเฉยต่อย่านความถี่ที่เครื่องส่งได้ส่ง Near End Cross Talk ออกมา ซึ่งก็แน่นอนที่ FDM สามารถตัดทอนจำนวนของ Bandwidth ที่มีอยู่ในแต่ละทิศทาง เมื่อเป็นเช่นนี้ Echo Cancellation สามารถใช้ประโยชน์ของ Bandwidth ได้อย่างเต็มที่ แต่จะมีความซับซ้อนในการทำงานมากกว่า นอกจากนี้ Echo Cancellation สามารถใช้ความถี่ต่ำได้มากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด
สรุปส่วนประกอบของระบบ ADSL
ADSL มีส่วนประกอบที่ใช้ทำงานดังต่อไปนี้
ADSL Transceiver Unit Central Office (ATU-C) เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งในศูนย์ให้บริการ ADSL ใช้เพื่อรับส่งข้อมูลระหว่าง ผู้ใช้บริการผ่านศูนย์ อุปกรณ์นี้ อาจเป็น Splitter ที่เชื่อมต่อเข้ากับ DSLAM
ADSL Transceiver Unit Remote Office (ATU-R) หรือที่เรียกว่า ADSL Modem
Splitter - เป็น Filter แบบ Low Pass Filter เพื่อใช้แยกสัญญาณ POT (Plain Old Telephone - ระบบโทรศัพท์ทั่วไป) จาก ADSL
Digital Subscriber Line Access Multiplexer (DSLAM) - สามารถทำการ Multiplex สัญญาณที่เข้ามาทางสายทองแดง เข้าเป็น 1 ATM Mode Fiber รวมทั้งยังมี ATU-C ใน Frame เดียวกัน (ดูรูปที่ 10)

รูปที่ 10 แสดง ADSL Loop Architecture
รู้จักกับ Line Code ของ ADSL
ADSL ใช้ Line Code 2 แบบ ซึ่ง Line Code ในที่นี้ หมายถึง การกำหนดวิธีการส่งข้อมูล Bit 0 กับ Bit 1 บนสายสัญญาณ หากไม่ใช้ Line Code การส่งข้อมูลบนสายสัญญาณจะเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่ง ADSL มี Line Code อยู่ 2 แบบ ได้แก่ DMT กับ CAP (ท่านที่ซื้อ ADSL Modem จะเห็นประเภทของ Line Code กำกับอยู่ข้างกล่องเสมอ
CAP (Carrierless Amplitude/Phase Modulation)
Phase Modulation เสียก่อน ซึ่งหลักการผสมสัญญาณของ QAM มีดังนี้
QAM เป็นการผสมสัญญาณที่ใช้ทั้งการเปลี่ยนเฟส และขนาดของสัญญาณควบคู่กันไป เป็นเทคนิคสำหรับใช้กับ Modem ความเร็วสูง ซึ่งถ้าใช้การเปลี่ยนเฟสเพียงอย่างเดียว มุมที่เปลี่ยนแปลงจะมีค่าน้อยเกินไปจะทำให้วงจรเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย แต่ถ้าเราใช้การเปลี่ยนเฟส และขนาดของสัญญาณประกอบเข้าด้วยกัน ก็จะช่วยให้วงจรฝ่ายผู้รับสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสัญญาณของข้อมูลค่าต่างๆกันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งปกติที่มีใช้กันอยู่จะมีเฟสต่างกัน 8 เฟส และขนาดของสัญญาณต่างกัน 4 ระดับ ใช้แทนข้อมูล 16 สถานะ ซึ่งในหนึ่งลูกคลื่นจะสามารถส่งข้อมูลได้คราวละ 4 บิต
การผสมสัญญาณของ QAM บางแบบจะใช้เฟส ต่างไปจากนี้ เช่นใช้เฟสต่างกัน 12 เฟส และขนาดของสัญญาณ 3 ระดับ หรืออาจใช้เฟสต่างกัน 8 เฟส และขนาดของสัญญาณต่างกัน 2 ระดับก็ได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบ แต่ว่าในมาตรฐานเดียวกัน Modem จะต้องใช้การแบ่งเฟส และระดับสัญญาณเท่ากันเสมอ และความเร็วในการรับส่งข้อมูลของ QAM อยู่ที่ 9600 บิตต่อวินาที โดยใช้ความถี่พาหะ 2400 Hz และในหนึ่งลูกคลื่นจะแทนข้อมูลได้คราวละ 4 บิต
CAP ใช้วิธีการเดียวกับ QAM คือมีการใช้ ระบบ การผสมสัญญาณเชิง Amplitude แบบหลายระดับ (Multi-Level Amplitude Modulation ( 1 Pulse จะมีค่าระดับแรงดันหลายระดับ) กับ Phase Modulation
CAP จะแบ่งสายโทรศัพท์ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ส่วนของการส่งสัญญาณเสียง ส่วนของการส่งข้อมูลแบบ Upstream และส่วนของการส่งข้อมูลแบบ Downstream ทำให้สายโทรศัพท์เพียงเส้นเดียวสามารถ รับส่งสัญญาณเสียงและข้อมูลได้ในเวลาเดียวกันได้
CAP มีการใช้ Bandwidth ทั้งหมดของ Local Loop (ยกเว้นสัญญาณ Analog ขนาด 4Khz) ความแตกต่างระหว่าง CAP กับ QAM อยู่ที่การนำมาใช้งาน โดยที่ QAM นั้นมีการรวมเอาสัญญาณ Analog 2 สัญญาณ เข้าด้วยกัน เนื่องจากว่า สัญญาณคลื่นพา (Carrier) ไม่ใช่สัญญาณที่ใช้นำพาข้อมูล ดังนั้นการประยุกต์ใช้งาน CAP ก็ใช่ว่าจะมีการนำส่งข้อมูลไปเสียทั้งหมด การผสมสัญญาณในระบบ CAP เป็นการผสมสัญญาณในระบบ ดิจิตอล โดยใช้ ตัวกรองสัญญาณหรือ Filter แบบ ดิจิตอล 2 ชุด ที่มีลักษณะและขนาดของ Amplitude ที่เท่ากัน แต่ต่างกันที่ การตอบสนองทางเฟส (ซึ่ง Filter แบบนี้รู้จักกันในนามของ Hibert Pair)
Modem ที่มีการผสมสัญญาณ (Modulation) แบบ CAP สามารถยอมรับ การสื่อสารข้อมูลในระบบ ATM หรือแบบ Packet รวมทั้ง การรับส่งข้อมูลแบบ Synchronous Bit ได้อีกด้วย
CAP ได้นิยามมาตรฐานการทำงานของการสื่อสารข้อมูล 2 แบบๆแรก ได้แก่ Class A ซึ่งสามารถขนถ่ายข้อมูลแบบ Packet หรือเป็นแบบ เซลล์ (Cell) ได้ ซึ่งช่องสัญญาณนี้ไม่ค่อยอ่อนไหวในเรื่องของ Delay มากนัก ส่วนแบบที่ 2 เรียกว่า Class B Service ซึ่งเป็นช่องสัญญาณที่ใช้ขนถ่ายข้อมูลที่ค่อนข้างเปราะบางต่อปัญหา Delay โดยช่องสัญญาณนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อขนถ่ายข้อมูลแบบ Bit Synchronous ตัวอย่าง เช่น สัญญาณ ISDN ที่ความเร็ว 160 kbps เป็นต้น ซึ่ง Class B นี้จะกำหนดให้ระบบ FEC (Forward Error Correction) เป็นเพียง Option เท่านั้น และช่องสัญญาณข้อมูลทั้งสองเมื่อรวมเข้ากับ EOC หรือ Embedded Operations Channel (EOC มีไว้เพื่อการเฝ้าดูและหาจุดเสียปัญหาของ ADSL Modem) แล้ว จากนั้นก็ป้อนเข้าสู่ ADSL Modem ดังรูปที่ 11

รูปที่ 11 แสดงชนิดของข้อมูลที่สามารถใช้กับการผสมสัญญาณแบบ CAP
คุณประโยชน์ ที่เหนือกว่า QAM ตรงที่ CAP เป็นระบบ ดิจิตอล แทนที่จะเป็นการผสมสัญญาณแบบ Analog (เหมือนอย่าง QAM) ผลก็คือการประหยัดค่าใช้จ่าย
CAP ให้คุณประโยชน์ดังนี้
เป็นเทคโนโลยีเก่าที่วิวัฒนาการมาจาก V.34 Modem เนื่องจาก CAP ทำงานบนพื้นฐานโดยตรงของ QAM จึงเป็นเทคโนโลยีที่เข้าใจง่าย และเนื่องจากไม่ต้องใช้ช่องสัญญาณย่อย ดังนั้นจึงใช้งานเรียบง่ายกว่าระบบ DMT
Modem ที่เป็นระบบ CAP สามารถรองรับ ATM Cell หรือ Traffic แบบ Bit Synchronization
Traffic ที่ทำงานในระบบ CAP มีอยู่ 2 แบบได้แก่การให้บริการใน Class A ที่สามารถขนถ่ายสัมภาระอันเป็นข้อมูลประเภท Packet หรือในรูปแบบของ Cell ซึ่งช่องทางของสัญญาณเหล่านี้ ไม่ค่อยจะอ่อนไหวกับปัญหา Delay เท่าใดนัก ประการที่ 2 ได้แก่ การให้บริการ Class B ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานบน ช่องสัญญาณที่อ่อนไหวต่อปัญหา Delay ซึ่งช่องสัญญาณนี้จะถูกนำมาใช้กับการรับส่งข้อมูลในรูปแบบ Bit Synchronous (การรับส่งข้อมูลที่มีการควบคุมจังหวะการเคลื่อนที่ของบิต)
หลักการทำงานของ DMT
สำหรับระบบ DMT นั้น สายทองแดงคู่จะสามารถรองรับ Bandwidth ขนาด 1 MHz ที่อาจถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่ 1 สำหรับช่องสัญญาณเสียง กับอีกส่วนหนึ่งสำหรับเป็นช่องสัญญาณข้อมูล ซึ่งในที่นี้ DMT ได้กำหนดให้มีมากถึง 256 ช่องสัญญาณ

เมื่อใดที่เราใช้โทรศัพท์ เสียงจะถูกส่งผ่านไปทางช่องสัญญาณเสียงที่มีความถี่ต่ำกว่า 4 kHz ขณะที่ ADSL จะใช้ช่วงสัญญาณที่สูงกว่า ทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์สามารถอยู่แยกออกต่างหาก จากข้อมูลเสียง
ข้อมูลที่ส่งจากคอมพิวเตอร์ ไปยัง อินเทอร์เน็ต จะใช้ช่องสัญญาณหลายๆช่องสัญญาณรวมกัน เพื่อให้ได้อัตราการรับส่งข้อมูลที่ดีที่สุด ขณะที่สัญญาณที่ส่งมาจากอินเทอร์เน็ตไปยังคอมพิวเตอร์ จะใช้ช่องสัญญาณอีกกลุ่ม ทำให้สามารถคุยโทรศัพท์ในขณะที่ยังสามารถ Download Files ได้โดยไม่ทำให้อัตราความเร็วของการ Download นั้นลดลงแต่อย่างใด
แนวคิดพื้นฐานของ ได้แก่การแยก Bandwidth ที่มีอยู่ให้เป็นช่องสัญญาณย่อยๆเป็นจำนวนมาก และสามารถทำงานได้โดยไม่กวนกัน ดังนั้น ในแต่ละช่องสัญญาณย่อย สามารถมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด และถ้าหากว่าช่องสัญญาณย่อยใด ไม่มีการส่งข้อมูลใดๆ ก็สามารถปิดทิ้งเมื่อใดก็ได้

ADSL Modem ที่ทำงานบนพื้นฐานของ DMT เราสามารถมองเป็นว่า ภายในประกอบไปด้วย Modem ขนาดจิ๋วจำนวน 256 ตัว แต่ละตัวมีความถี่ช่องสัญญาณที่ 4 KHz ซึ่งทำงานพร้อมกันในเวลาเดียว โดยระบบ DMT จะใช้คลื่นพาหลายตัวที่สร้าง ช่องสัญญาณย่อยเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งช่องสัญญาณย่อยเหล่านี้ จะเป็นผู้นำพาข้อมูลข่าวสารที่มีขนาดคิดเป็น เศษเสี้ยวของข้อมูลข่าวสารทั้งหมด ช่องสัญญาณเหล่านี้ จะมีการผสมสัญญาณเองโดยอิสระ ด้วยความถี่ที่ใช้ผสมสัญญาณ ซึ่งสอดคล้องกับ ความถี่กลางของช่องสัญญาณย่อยๆ โดยกระบวนการที่เกิดขึ้นนี้เป็นแบบขนานกัน

ช่องสัญญาณย่อยแต่ละช่องนี้ จะทำการผสมสัญญาณโดยใช้วิธีการแบบ QAM และสามารถนำพาข้อมูล 0-15 บิต ต่อ 1 สัญญาลักษณ์ ต่อ 1 Hz โดยจำนวนของบิตที่สามารถขนส่งได้อย่างแท้จริง ขึ้นอยู่กับลักษณะพิเศษของสายสัญญาณ และบางช่องสัญญาณย่อยอาจสามารถถูกละทิ้ง หากมีสัญญาณรบกวนเกิดขึ้นจากภายนอก ตัวอย่างเช่นสถานีวิทยุ AM อาจสร้างสัญญาณรบกวนเกิดขึ้นที่บางช่องสัญญาณย่อย ทำให้ใช้งานไม่ได้ เป็นต้น (ดูรูปที่ 12)

รูปที่ 12 แสดงขนาด Bandwidth โดยทฤษฎีสำหรับ DMT เมื่อ ทำงานที่ Upstream คือ 25 ช่องสัญญาณ คูณด้วย 15
บิต ต่อ 1 สัญญาลักษณ์ ต่อ 1 Hz ต่อ 1 ช่องสัญญาณ คูณด้วย 4KHz = 1.5 Mbps
ขนาด Bandwidth ในทางทฤษฎีสำหรับ Downstream คือ 249 ช่องสัญญาณคูณด้วย 15 บิต ต่อหนึ่งสัญญาลักษณ์ ต่อหนึ่ง Hz ต่อ 1 ช่องสัญญาณคูณด้วย 4
ข้อดีของการใช้ Line Code แบบ DMT ได้แก่
การวิวัฒนาการมาจาก เทคโนโลยีของ Modem V.34 ซึ่งเทคโนโลยี Modem แบบนี้ มีข้อดีตรงที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เต็มที่ เนื่องจากสามารถพิชิตปัญหาสัญญาณรบกวน
DMT Modem ใช้ เทคนิคการผสมสัญญาณแบบ QAM สำหรับช่องสัญญาณย่อยที่มีอยู่ รวมทั้ง Echo Cancellation การใช้ Trellis Coding แบบทวีมิติ
ประสิทธิภาพ DMT สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ Modem เนื่องจาก ช่องสัญญาณย่อยๆต่างๆที่มีอยู่ สามารถจัดการกันเองได้โดยอิสระ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสายสัญญาณ DMT มีการตรวจวัด ค่า S/N Ratio ของแต่ละช่องสัญญาณย่อยเหล่านี้โดยอิสระ จากนั้นก็จะ มอบหมาย จำนวนของบิตข้อมูลให้กับช่องสัญญาณย่อยๆที่เห็นว่าขณะนั้น มีสัญญาณรบกวนน้อย โดยช่องที่มีสัญญาณรบกวนน้อยที่สุด จะได้บิตข้อมูลเพื่อใช้ในการส่งมากที่สุด

การใช้งาน CAP และ DMT

แม้ว่าวิธีการเข้ารหัสทั้งสองแบบต่างก็มีข้อดีด้วยกันทั้งคู่ก็จริง แต่ความสำเร็จหรือล้มเหลวของหลักการทั้งสอง อยู่ที่การนำไปใช้งานจริง ซึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวดังกล่าว อยู่ที่ ขนาดและจำนวนของประชากรผู้ใช้ รวมทั้งระยะทางและ Bandwidth เลขที่สวยหรู(ที่เป็นไปได้) คือความเร็ว Downstream ขนาด 8 Mbps โดยมี 1 Mbps เป็น Upstream ซึ่งเป็นอัตราความเร็วสูงสุด ขณะที่ ผู้ให้บริการ ADSL ในปัจจุบัน สามารถให้บริการที่ความ เร็วตั้งแต่ 128 Kbps ไปจนถึง 7 Mbps ต่อไปนี้ เป็นตารางเปรียบเทียบ การทำงานของ CAP และ DMT รวมทั้ง G.lite
การติดตั้ง
ADSL สามารถใช้ได้เฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ CO ที่ติดตั้งระบบที่เรียกว่า DSLAM (Digital Subscriber Line Access Multipkeser)แล้วเท่านั้นและ CO นั้นก็คงจะมีเฉพาะตัวเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น
ฮาร์ดแวร์ที่ใช้
- ต้องมีพีซี
- การ์ดเน็ตเวิร์กอินเตอร์เฟซ NIC
- สายโทรศัพท์
- โมเดม DSL
ปัญหาและข้อระวัง
1. ไม่ใช่ทุกบริษัทที่รับประกันว่าให้บริการตลอดเวลา
2. ปัญหาสัญญาณอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะหากมีผู้ใช้ อินเตอร์เน็ตพร้อมกันความล่าช้าก็อาจจะมีเกิดขึ้นของ
สัญญาณได้
3. โมเดม DSL บางตัวอาจไม่มีคุณภาพ ทำให้เกิดการรบกวน จากพลังงานจากเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวอื่นได้ ดังนั้นไม่ ควรใช้สายไฟฟ้าร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ 


สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.ecom.here.ws


400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่


ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3


วิธีการแปลง ไฟล์นามสกุล *.RMVB ให้เป็น *.AVI

ง่าย ๆ ครับโดยใช้โปรแกรม  Blaze Video Magic ดาวน์โฆลดโปรแกรม คลิกที่นี่  (แชร์ แวร์ 30 วัน)  นอกจากจะแปลง *.RMVB   แล้วยังแปลงไฟล์อื่น ๆ มากมายเช่น *.RM , *.RMVB , *.AVI , *.WMV , *.ASF , *.MPG , *.MPEG , *.MPE , *M1V , *MPV2 , *.MP4 , *.DAT , *.MOV , *.VOB file to AVI-MPEG4 , ASF-MPEG4 , MP4-MPEG4, PSP-MPEG4, 3GP-MPEG4, AVI-DIVX file.
วีธีการใช้งาน
1. หลังจากติดตั้งโปรแกรมเสร็จให้เปิด โปรแกรม  Blaze Video Magic ขึ้นมา แล้วคลิกที่  Later
2. คลิกที่ Add แล้วเลือกไฟล์ที่ต้องการแปลง    กำหนด Output Format    ที่ต้องการจะแปลง  และกำหนด Output Path ว่าจะเก็บไว้ที่ไหน จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Start  โปรแกรมก็จะทำการแปลงให้ทันที อาจจะต้องใช้ในการแปลงไฟล์ อยู่บ้าง (อันนี้ขึ้นอยู่กับขนาดไฟล์ด้วย) เพียงแค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.ecom.here.ws


400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่


ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: ไขปัญหาในเรื่องทั่วไปบนวินโดวส์

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่: ไขปัญหาในเรื่องทั่วไปบนวินโดวส์: " ติดตั้งโปรแกรมหรือไดรเวอร์ไปแล้วเข้าวินโดวส์ไม่ได้ ลงโปรแกรม Norton AntiVirus ไปแล้ว พอบูตเครื..."

ไขปัญหาในเรื่องทั่วไปบนวินโดวส์

   ติดตั้งโปรแกรมหรือไดรเวอร์ไปแล้วเข้าวินโดวส์ไม่ได้
  ลงโปรแกรม Norton AntiVirus ไปแล้ว พอบูตเครื่องขึ้นมาอีกทีก็เข้าวินโดวส์ไม่ได้แล้ว ปัญหาทำนองนี้พบค่อนข้างบ่อยมาก อาจจะเนื่องมาจากในบ้านเราผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรมเถื่อนที่มีขายอยู่ทั่วไปตามห้างไอที ทำให้บางครั้งในขั้นตอนการผลิตซีดีไม่ได้มาตรฐานไฟล์บางตัวเลยก๊อปปี้มาไม่ ครบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นซีดีโปรแกรมที่เป็นแผ่น รวมหลายสิบโปรแกรมนั้น ค่อนข้างจะมีปัญหาเยอะมาก เมื่อผู้ใช้ซื้อไปติดตั้งจึงมีปัญหาตามมาหรือบางโปรแกรม เช่น Norton AntiVirus ชอบที่จะเข้าไปขอใช้ไฟล์ระบบที่มีนามสกุล DLL เมื่อมีการติดตั้งไม่สมบูรณ์เลยทำให้ ไม่สามารถเข้าวินโดวส์ได้
   อีกสาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากการลงไดรเวอร์นั่นเอง ไดรเวอร์บางตัวก็มักมีปัญหากับระบบปฏิบัติการและชอบเข้าไปยุ่งกับไฟล์ ระบบทำให้วินโดวส์พังก็มีให้เห็นมาแล้ว สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาของ ช่างคอมพิวเตอร์นั้น ให้สอบถามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้เสียก่อน หากพบว่าได้มีการติดตั้งโปรแกรม หรือไดรเวอร์ลงไปหลังจากนั้นก็ทำให้บูตเข้าวินโดวส์ไม่ได้อีกเลย ให้เราสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเกิดจากสาเหตุการลงโปรแกรมและไดรเวอร์ไม่สมบูรณ์จนอาจทำให้ระบบไม่สามารถบูตได้ โดยเราสามารถแก้ปัญหาได้ดังนี้
  ให้บูตเครื่องเข้าสู่ Safe Mode เพราะการเข้าสู่ Safe Mode จะเป็นการเข้าสู่วินโดวส์โดยที่ไม่ จำเป็นต้องใช้ไดรเวอร์หรือไฟล์บางตัว จากนั้นให้เราเข้าไปลบโปรแกรมหรือไดรเวอร์ที่ทำให้เกิดปัญหาออกไปจากเครื่องให้หมดเกลี้ยงอย่าให้เหลือซาก จากนั้นจึงบูตเครื่องเข้าสู่วินโดวส์ได้ตามปกติ

    เครื่องบูตขึ้นแต่ไม่สามารถเข้าวินโดวส์ได้
    กรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ผ่านขั้นตอนการ POST แล้ว แต่กลับมาค้างที่หน้าจอแสดงโลโก้วินโดวส์ทำให้ไม่สามารถบูตเข้าวินโดวส์ได้เลย บางครั้งก็ยังไม่แสดงโลโก้ของวินโดวส์แต่กลับมีข้อความแจ้งขึ้นมาว่า “Missing Operation System”
  สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ก่อน ว่าได้มีการลบไฟล์ระบบบางตัวออกไปหรือเปล่า ส่วนใหญ่ปัญหานี้มันเกิดจากไฟล์ระบบ COMMAND.COM เสียหายหรือถูกลบทิ้งไปเนื่องจากว่าไฟล์ COMMAND.COM เป็นไฟล์ที่มีหน้าที่เก็บคำสั่งภายในของระบบดอสเอาไว้ เช่น TYPE, COPY, DIR, DEL นอกจากนี้ก็ยังทำหน้าที่ ติดต่อและแปลคำสั่งของผู้ใช้ผ่านคีย์บอร์ด และนำคำสั่งนั้นไปปฏิบัติงาน ซึ่งนับว่าไฟล์ COMMAND.COM นั้นมีความสำคัญต่อระบบปฏิบัติการที่ยังต้องอิงกับระบบดอสอยู่มาก
  วิธีแก้ไขก็คือ ให้บูตเครื่องด้วยแผ่น Startup Disk จากนั้นพิมพ์คำสั่ง SYS C: ซึ่งเป็นคำสั่ง ก๊อปปี้ไฟล์ระบบลงไปในไดรฟ์ C: โดยที่ไฟล์ระบบนั้นจะมีไฟล์ COMMAND.COM รวมอยู่ด้วย จากนั้นให้บูตเครื่องขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้จะพบว่าสามารถบูตเข้าวินโดวส์ได้ แล้ว
    ข้อความผิดพลาดที่ 1 : This program has performed anillegal operation and will be shut down. If the problem persists, contact the program vendor
    ข้อความนี้แจ้งว่าโปรแกรมบางตัวมีปัญหาเราคงต้องมานั่งไล่กันว่าโปรแกรม ที่ติดตั้งครั้งหลังสุดคือโปรแกรมอะไร แล้วลองลบออกไปโดยการ Add / Remove Program ใน Control Panel หลังจากนั้น จึงติดตั้งใหม่ โดยแนะนำว่าเปลี่ยนแผ่นโปรแกรมที่ใช้ติดตั้งเสียใหม่ เพราะหากใช้แผ่นเก่าอาจเป็นเหมือนเดิมอีก หรือบางครั้งเกิดจากไฟล์โปรแกรมที่ติดตั้งครั้งหลังสุดมีปัญหากับไฟล์ โปรแกรมที่ติดตั้งมาก่อนหน้านี้ เมื่อติดตั้งใหม่จึงอาจมีอาการเหมือนเดิมควรแก้ไขโดยการอัพเดทเป็นโปรแกรม เวอร์ชั่นใหม่
    ข้อความผิดพลาดที่ 2 : Improper shut down detected, Checking disk for errore
    ข้อความนี้แจ้งว่าพบปัญหาผิดพลาดในขั้นตอนการชัตดาวน์ อาจเกิดจากการผู้ใช้ปิดเครื่องไม่ถูกวิธี ทำให้ระบบชัตดาวน์มีปัญหา วิธีแก้ไขคือให้รอสักพักแล้วค่อยกดปุ่ม Esc ระบบก็จะกลับเป็นปกติ ดังนั้นหาก ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก คราวหลังก็ควรปิดคอมพิวเตอร์ให้ถูกวิธีด้วยการชัตดาวน์เครื่องก่อนเสมอ
    ข้อความผิดพลาดที่ 3 : Warning Windows has detected a Registry / configuration error. Choose Safe mode to start Windows with minimal set of drivers
    ข้อความนี้แจ้งว่าพบปัญหาผิดพลาดในรีจิสทรีของวินโดวส์ โดยวินโดวส์จะแนะนำให้เราเข้าไปใน Safe mode เพื่อแก้ปัญหา สำหรับการแก้ปัญหาข้อความนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องหนักหนาและเสี่ยงมากทีเดียว เนื่องจากว่ารีจิสทรีเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่เก็บรายละเอียดและค่าต่าง ๆ ของวินโดวส์ไว้ หากมีปัญหาในส่วนนี้ ต้องอาศัยการแก้ไขอย่างรอบคอบ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ระบบพังได้ แนะนำว่าให้แก้ปัญหาโดยการติดตั้งวินโดวส์ใหม่ทับลงไปเพื่อให้รีจิสทรีใหม่ ทับรีจิสทรีเก่า หรือให้บูตเครื่องด้วยแผ่นบูตแล้วพิมพ์คำสั่ง Scanreg / restore เพื่อเป็นการย้อนกลับไปใช้รีจิสทรีที่วินโดวส์ได้แบ็คอัพเก็บไว้ 5 วันหลังสุด ก็ให้เราเลือกวันที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหา เพียงเท่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ครบ ( วิธีหลังนี้อย่าลืมแบ็คอัพข้อมูลสำคัญๆ ไว้เสียก่อนละ )
    ข้อความผิดพพลาดที่ 4 : Explorer has caused an error in Kermel132.dll
    ข้อความนี้แจ้งว่าระบบมีความผิดพลาดในไฟล์ Kernel132.dll ทำให้ผู้ใช้อาจไม่สามารถเข้าไปใน Control panel ได้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนวินโดวส์ Me วิธีแก้ปัญหาคือให้บูตเครื่องใหม่แล้วเข้าไปที่
Safe Mode แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้
1. ให้ค้นหาไฟล์ที่มีนามสกุล *.cpl โดยเข้าไปค้นหาที่โปรแกรม Search, For Files Or Folders
2. เมื่อพบไฟล์ .cpl แล้ว ซึ่งอยู่ที่ WINDOWS\SYSTEM ให้เปลี่ยนนามสกุลเป็น .Old ทีละไฟล์ แล้วลองเข้าไปทดสอบดูว่าเข้า Control panel ได้หรือยังถ้า ยังไม่ได้ให้กลับไปเปลี่ยนเป็นไฟล์ตัวอื่น จนกว่าจะสำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วเราก็จะสามารถรู้ได้ว่าไฟล์ตัวไหนที่เป็นต้นเหตุให้เกิด ปัญหา
3. ให้กลับไปเปลี่ยนนามสกุลไฟล์ทุกไฟล์ให้กลับเป็นเหมือนเดิม ยกเว้นไฟล์ที่เป็นต้นเหตุ จากนั้นบูตเครื่องขึ้นใหม่
    ข้อความผิดพลาดที่ 5 : The selected disk drive is not in use. Check to make sure a disk is inserted.
    ข้อความนี้แจ้งว่าดิสก์ไดรฟ์ไม่สามารถใช้งานได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้มีการใส่แผ่นดิสก์ลงไปในช่องดิสก์ไดรฟ์แล้ว สำหรับปัญหานี้อาจเกิดจากผู้ใช้ลืมใส่แผ่นดิสก์ลงไปในช่องดิสก์ไดรฟ์ แต่หากได้มี การใส่แผ่นลงไปแล้วปัญหานี้อาจเกิดจากแผ่นดิสก์เสียหรือดิสก์ไดรฟ์มีปัญหา ไม่สามารถใช้งานได้ให้เราทดสอบแผ่นดิสก์โดยนำไปใช้กับเครื่องอื่นหากสามารถใช้ได้ นั่นแสดงว่าเป็นที่ดิสก์ไดรฟ์ต้องถอดมาซ่อมหรือเปลี่ยนเป็นตัวใหม่ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้
    ข้อความผิดพลาดที่ 6 : There is not enough free memory to run this program. Quit one or more programs, and try again.
    ข้อความนี้แจ้งว่าหน่วยความจำที่เหลืออยู่ในระบบไม่เพียงพอในการเปิด โปรแกรม ให้แกจากโปรแกรมแล้วลองเปิดใหม่อีกครั้ง สำหรับสาเหตุของปัญหานั่นคือหน่วยความจำหรือแรมของเครื่องไม่พอนั่นเอง วิธีแก้ปัญหาแบบถาวร ( แต่ต้องเสียเงิน ) ก็คือ ให้ผู้ใช้ซื้อแรมมาติดตั้งเพิ่ม หรือวิธีแก้แบบชั่วคราวก็คือ ในขณะใช้งานแนะนำให้ผู้ใช้ปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นลงไปบ้าง โดยเฉพาะโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังโดยที่เราไม่ได้เปิดขึ้นมาใช้งาน ให้สังเกตจากบริเวณ System Tray จะมีไอคอนของโปรแกรมนั้นๆ อยู่ ให้จัดการปิดให้หมดหรือโปรแกรมประเภทที่ชอบกินแรม ( Resource Leak ) ซึ่งโปรแกรมพวกนี้แม้ว่าจะปิดโปรแกรมไปแล้วก็ยังไม่ยอมคืนหน่วยความจำกัลบมา สู่ระบบ ซึ่งเราสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่าระบบของเราเหลือ รีซอร์สเท่าไหร่โดยคลิกขวาที่ My Computer จากนั้นคลิกแท็ป Performance ดูที่ System Resource ว่าเหลือรีซอร์สกี่เปอร์เซ็นต์ หากต่ำกว่าครึ่งก็ให้ปิดโปรแกรมแล้วบูตเครื่องขึ้นมาใหม่โปรแกรมเหล่านั้นก็ จะคืนแรมกลับมาเหมือนเดิม
    ข้อความผิดพลาดที่ 7 : Error Reading CD-ROM in Drive D: ( หรือไดรฟ์ที่เป็นซีดีรอม ) Please insert CD-ROM XX With Serial Number XX in Drive d: … if the CD-ROM is still the drive, it may require cleaning
    ข้อความผิดพลาดนี้จะแจ้งขึ้นมาว่าเกิดความผิดพลาดจากการอ่านแผ่นซีดีใน ไดรฟ์ D: ( หรือไดรฟ์ที่เป็นซีดีรอม ) ซึ่งสาเหตุมาจากที่ผู้ใช้กดปุ่ม Eject เพื่อนำแผ่นซีดีรอมออกมาก่อนที่วินโดวส์ จะอ่านข้อมูลเสร็จ วิธีแก้ไขก็คือ ให้นำแผ่นใส่กลับไปเหมือนเดิมรอจนกว่าวินโดวส์จะอ่านข้อมูลจากแผ่นเสร็จแล้ว จึงค่อยนำออกมา โดยให้สังเกตจากหลอดไฟที่ตัวไดรฟ์ซีดีรอม ควรรอให้ไฟหยุดกระพริบเสียก่อน บางครั้งสาเหตุนี้ก็อาจเกิดจากการที่ผู้ใช้นำแผ่นซีดีที่ใช้งานไม่ได้แล้ว ใส่ลงไป หรือไม่ก็แผ่นซีดีสกปรกจนไดรฟ์ซีดี ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้ ควรนำออกมาทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนใส่กลับไปอีกครั้งหนึ่ง
    ข้อความผิดพลาดที่ 8 : -0x0000007B INACCESSIBLE_BOOT_DEVICE
    ข้อความผิดพลาดนี้แจ้งเป็นโค้ด error โดยใช้เลขฐานเป็นตัวแสดงความผิดพลาด ซึ่งหมายความว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่พบพาร์ทิชั่นที่กำหนด ให้เป็นตัวบูตระบบพาร์ทิชั่นที่กำหนดหรือบูตเซ็กเตอร์เกิดมีปัญหา ให้เราแก้ปัญหาโดยลองบูตระบบขึ้นมาอีกครั้ง หากยังคงไม่ได้ให้นำแผ่น Startup บูตระบบขึ้นมาแทนแล้วใช้คำสั่ง Scandisk เพื่อซ่อมแซม

ข้อความผิดพลาดที่9 : Data Error Reading Drive C: หรือบางครั้งอาจแจ้งว่า Error Reading Drive C: และ Serious Disk Error Writing Drive C:
    ข้อความผิดพลาดนี้แจ้งว่าข้อมูลในฮาร์ดดิสก์หรือไดรฟ์ C: เกิดความเสียหาย หรือไม่ก็แจ้งว่าไม่สามารถเขียนข้อมูลลงในฮาร์ดดิสก์หรือไดรฟ์ C: ได้เลย ปัญหานี้นับว่าเป็นอันตรายต่อข้อมูลและตัวฮาร์ดดิสก์เองมากที่สุด เพราะเป็นไปได้ว่าฮาร์ดดิสก์ของเราอาจเสียหายได้ วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือใช้คำสั่ง Scandisk เพื่อทำการตรวจสอบและซ่อมแซมในส่วนที่เสียหาย ( Automatically Fix Error ) โดยให้เลือกออปชั่นทุกตัวที่สามารถแก้ไขได้ หากโชคดีฮาร์ดดิสก์ไม่เสียหายมากนักโปรแกรมก็อาจซ่อมแซมได้ แต่ถ้าไม่สามารถ แก้ไขได้คงต้องใช้วิธีสุดท้ายนั่นคือ ฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ และทำการ Fdisk เพื่อแบ่งพาร์ทิชั่น กันส่วนที่เสียหายหรือเกิดแบดเซ็กเตอร์นั้นทิ้งไป ก็จะสามารถใช้งานต่อไปได้สักระยะหนึ่ง แต่หากต้องการแก้ปัญหาถาวรควร รีบจัดการเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์โดยเร็ว เพราะเป็นไปได้ว่าแบดเซ็กเตอร์อาจลุกลามไปทำลายข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ได้ ซึ่งไม่คุ้มกันเลย
    ข้อความผิดพลาดที่ 10 : -0x0000007F UNEXPECED_KERNEL_MODE_TRAP
    ข้อความผิดพลาดนี้จะแจ้งเป็นโค้ด error โดยใช้เลขฐานเป็นตัวแสดงความผิดพลาด ซึ่งมีความหมายว่าอาจเกิดปัญหาการทำงานของหน่วยความจำผิดพลาด ให้ตรวจสอบการติดตั้งว่าเสียบแรมลงบนซ็อกเก็ตแรมแน่นดีแล้วหรือไม่และหน่วย ความจำที่ใช้เป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ ในเมนบอร์ดบางรุ่นจะมีทั้งซ็อกเก็ตแรมที่ ใช้กับ SDRAM และ DDR SDRAM หากผู้ใช้ติดตั้งแรมทั้ง 2 ชนิดในเมนบอร์ดตัวเดียวกันอาจทำให้เกิดปัญหานี้ได้ วิธีแก้ไข ให้ใช้แรมชนิดเดียวกันไม่ควรติดตั้งแรม 2 ชนิดบนเมนบอร์ดตัวเดียวกัน อีกสาเหตุหนึ่งอาจมาจากการกำหนดค่าในไบออสไม่ถูกต้อง ให้กลับไปกำหนดเป็นค่าเดิม หรือเป็นไปได้ว่าแรมเสียซึ่งมี ทางเดียวคือต้องเปลี่ยนแรมใหม่
    ข้อความผิดพลาดที่ 11 : - Not enough memory to render page
    ข้อความผิดพลาดนี้แจ้งว่าหน่วยความจำในการจัดการหน้าเอกสารที่สั่งพิมพ์ ไม่เพียงพอ ซึ่งปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้ใช้สั่งพิมพ์งานมากเกินไปทำให้หน่วยความจำของ เครื่องพิมพ์นั้นมีไม่เพียงพอ บางครั้งอาจทำให้ระบบเกิดการแฮ็งค์หรือหยุดทำงานไปเฉยๆ ทางแก้ไขปัญหาต้องสั่งพิมพ์ใหม่โดยการแบ่งงานไปพิมพ์ทีละน้อยๆ และอีกสาเหตุหนึ่งอาจมาจากไดรเวอร์ทำงานผิดพลาดอาจต้องไป ดาวน์โหลดไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่ตามเว็บไซต์ของผู้ผลิตเครื่องพิมพ์นั้น
    ข้อความผิดพลาดที่ 12 : Afilename cannot contain any of the following characters: \ / : * ? < > !
    ข้อความผิดพลาดนี้แจ้งว่า การตั้งชื่อหรือการเปลี่ยนชื่อไฟล์ไม่สามารถตามด้วยอักขระเหล่านี้ได \ / : * ? < > ! แต่บางครั้งแม้จะมีข้อความเตือนแล้ว แต่ก็ยังยอมให้ผู้ใช้สามารถตั้งชื่อแล้วตามด้วยอักขระเหล่านี้ด้วยเช่นกัน แต่อาจทำให้ระบบมีปัญหาภายหลังตามมา แนะนำว่าให้ควรไปเปลี่ยนชื่อไฟล์เสียใหม่หรือไม่ต้องตั้งชื่อไฟล์ด้วย อักขระเหล่านี้
    ข้อความผิดพลาดที่ 13 : ERROR LOADING CS หรือ NO ROM BASIC SYSTEM HALTED
    ข้อความผิดพลาดนี้แจ้งว่า มีการผิดพลาดในขั้นตอนของการบูตระบบ หรือมีการผิดพลาดจาก การทำงานของหน่วยความจำพื้นฐาน ซึ่งหมายความว่าไบออสไม่สามารถบูตเครื่องขึ้นมาได้เนื่องจากไม่มีไฟล์ระบบ ซึ่งอาจเป็นเพราะการกำหนดค่าในไบออสไม่ถูกต้อง หรือในโปรแกรม FDISK กำหนดไดร์ฟเพื่อให้เป็นตัวบูต (Active) ผิด ทำให้ไม่สามารถบูตเครื่องขึ้นมาได้
    เครื่องหมายคำถามสีเหลืองตรง device manager
    คือผมอยากทราบว่าตรง device manager ในส่วนของ System นั้นมีเครื่องหมายคำถามสีเหลืองปรากฎอยู่ แสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นเป็นอะไรครับ
    หลายคนคงสงสัยว่าในส่วน device manager นั้นมีไว้ทำอะไร ในส่วนของ device manager ก็มีไว้เพื่อแสดงรายละเอียดของอุปกรณ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราว่ามี อุปกรณ์อะไรบ้าง และยังเป็นส่วนที่ใช้ในการลงไดรเวอร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ รวม ไปถึงเป็นส่วนที่ใช้ในการแก้ปัญหาการขัดแย้งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครื่อง
    ส่วนที่ถามว่ามีเครื่องหมายคำถามสีเหลืองปรากฎอยู่ที่หน้าอุปกรณ์ แสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นยังไม่ได้ลงไดรเวอร์ ก็ให้ทำการลงไดรเวอร์ให้กับอุปกรณ์ชิ้นนั้นเสียก่อน เมื่อทำการลง ไดรเวอร์อุปกรณ์เสร็จแล้วเจ้าไอคอนรูปสีเหลืองก็จะหายไปเอง นอกจากนั้นคุณอาจพบกับเครื่องหมายตกใจสีเหลืองด้วย นั่นแสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นเคยมีการติดตั้ง ไดรเวอร์ลงไปแล้ว จะเป็นการเตือนว่าคุณได้ใช้ไดรเวอร์ที่ไม่ตรง กับอุปกรณ์ที่มีอยู่ให้รีบทำการหาไดรเวอร์ของอุปกรณ์ชิ้นนั้นมาทำการติดตั้งเสีย เพราะว่าถ้าไม่ทำการแก้ไขก็จะไม่สามารถใช้งานความสามารถของอุปกรณ์ชิ้นนั้นได้
    คอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเมื่อคุณสั่งชัตดาวน์
ทำไมคอมพิวเตอร์ของผมจึงหยุดการตอบสนองเอาดื้อ ๆ ทุกครั้งที่ผมทำการปิดระบบวินโดวส์ 98 จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร
    ปัญหานี้มีพบเห็นได้บ่อยครั้งจากผู้ใช้หลาย ๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่มักตีความเป็นว่าวินโดวส์เสีย สุดท้ายก็ทำการลบวินโดวส์แล้วลงใหม่ แต่ความจริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เครื่องหยุดการตอบสนอง เมื่อใช้คำสั่งชัตดาวน์นั้นมากจากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถตรวจสอบว่าเกิดจากสาเหตุอะไรได้ดังนี้
    ตรวจสอบว่าแฟ้มเสียง Exit Windows เสียหายหรือไม่
ถ้าหากว่ามีการตั้งเสียงให้กับวินโดวส์ในส่วนของ Sounds แล้วไฟล์เสียงในส่วนของการออกจากวินโดวส์ (Exit Windows) นั้นเสีย ก็จะทำให้มีปัญหาในการชัตดาวน์ขึ้นมาทันที ซึ่งขั้นตอนการตรวจสอบและทางแก้ไขปัญหาก็มีดังนี้
1. คลิกปุ่ม Start แล้วเลือกไปที่ Settings>Control Panel จากนั้นดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Sounds and …
ที่แท็บ Sound ในส่วนของ Sound Events ให้คลิกที่ตัวเลือก Exit Windows
จากนั้นกำหนดค่าในส่วนของ Name ให้เป็น (None) แล้วคลิกปุ่ม OK เพื่อทำการบันทึกค่า
แล้วทำการทดสอบปิดระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าหากว่าวินโดวส์ 98 ปิดระบบได้อย่างถูกต้อง ปัญหา เกิดจากแฟ้มเสียหาย ให้เลือกหนึ่งในปฏิบัติการต่อไปนี้เพื่อแก้ไขปัญหา
- ทำการก็อปปี้แฟ้มเสียงจากเครื่องอื่นมาใส่
- ติดตั้งโปรแกรมที่มีแฟ้มเสียงนั้นใหม่อีกครั้ง
- กำหนดค่าให้เป็น (None) เพื่อไม่ให้มีการเล่นแฟ้มเสียง Exit Windows ต่อไป
ตรวจสอบความสามารถการปิดระบบอย่างรวดเร็ว (Fast shutdown)
การปิดระบบอย่างรวดเร็วเป็นคุณลักษณะใหม่ที่รวมอยู่ในวินโดวส์ 98 เพื่อช่วยลดเวลาที่ใช้ในการปิดระบบคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตามคุณลักษณะนี้เข้ากันไม่ได้กับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์บางอย่าง และสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณหยุดการตอบสนองถ้ามีการติดตั้งอุปกรณ์เหล่า นี้ ซึ่งหากว่าเครื่องของคุณเกิดปัญหาก็ให้ลองปิดคุณสมบัติดูดังนี้
1. คลิกปุ่ม Start จากนั้นเลือกไปที่คำสั่ง Run แล้วพิมพ์คำว่า Msconfig ในส่วนของ Open จากนั้นคลิกปุ่ม OK
ในส่วนของแท็บ General ให้คลิกปุ่ม Advanced คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือก Disable fast shutdown จากนั้นคลิกปุ่ม OK เพื่อทำการบันทึกค่า แล้วคลิกปุ่ม Ok อีกครั้ง
    รอสักครู่วินโดวส์จะแสดงข้อความให้บู๊ตเครื่องใหม่ ก็ให้คลิกปุ่มเพื่อทำการบู๊ตเครื่องใหม่ได้ทันที เมื่อเข้าสู่วินโดวส์อีกครั้ง ก็ให้ลองปิดระบบคอมพิวเตอร์ถ้าคอมพิวเตอร์ปิดระบบอย่างถูกต้อง คุณลักษณะการปิดระบบอย่างรวดเร็วอาจเข้ากันไม่ได้กับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อย่างน้อยหนึ่ง อย่างที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์ของคุณ คราวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนใด ๆ เพิ่มเติมแล้ว
    ซัตดาวน์แล้วปรากฎข้อความ “Window protect error”
     ทำไมเวลาที่ทำการชัตดาวน์เครื่องคอม จะขึ้นข้อความว่า “Windows protection error system hault” แล้วก็จะให้รีสตาร์เครื่องใหม่ทุกที ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี
    ปัญหานี้มักจะเกิดจาการไดรเวอร์ของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ประเภทการ์ดจอ และเมนบอร์ดเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการแก้ไขทั่ว ๆ ไปก็ให้เข้าไปดาวน์โหลด ไดรเวอร์ตัวใหม่จากเว็บไซต์ของผู้ผลิต มาแทนไดรเวอร์ตัวเก่า ส่วนคนที่ใช้การ์ดจอของ Nvidia และใช้ไดรเวอร์ Deternator 3 (6.xx) ก็จะเกิดปัญหานี้ด้วย เพราะว่า Detemator 3 (6.xx) จะไม่ทำการเคลียร์แรมเมื่อเลิกใช้งาน พอทำการชัตดาวน์วินโดวส์มันจะจัดการกับแรมที่ค้างไม่ได้ จึงขึ้นข้อความว่า “Protection Error” ทางแก้ไขนั้นทำการดาวโหลดไดรเวอร์การ์ดจอของ Nvidia เวอร์ชั่น 7.xx มาใช้งาน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ Nvidia แต่ไดรเวอร์ตัวนี้ก็ยังมีปัญหาในการเล่น Mode 3D วิธีแก้ก็ให้คุณทำการรีสตาร์ทใหม่ 1 ครั้ง แล้วค่อยชัตดาวน์ครับ
    บูตเข้าวินโดวส์ไม่ได้เพราะรีจิสทรีพัง
     มีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถบูตเข้าวินโดวส์ได้แต่มีอย ู่สาเหตุหนึ่งที่ค่อนข้างร้ายแรงและแก้ไขได้ยากคือสาเหตุที่เกิดจากรีจิสทรีพัง รีจิสทรีคืออะไรสำคัญขนาดไหนช่างคอมพิวเตอร์มือใหม่ควรต้องรู้จักและเรียนรู่ไว้ เพราะรีจิสทรีมีความสำคัญต่อระบบปฏิบัติการวินโดวส์มาก แต่ส่วนใหญ่ผู้ใช้มักไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน จึงอาจไม่ทราบว่ารีจิสทรีมีความสำคัญมากทีเดียว โดยรีจิสทรีของวินโดวส์จะทำหน้าที่เป็นฐาน ข้อมูลสำหรับวินโดวส์ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลสำหรับโปรแกรมขนาด 32 บิต รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การกำหนดค่าต่างๆ และการทำงานของผู้ใช้ ดังนั้นหากรีจิสทรีเกิดไม่สามารถทำงานได้หรือล่ม ขึ้นมา จะทำให้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ทั้งระบบไม่สามารถใช้งานได้ด้วยเช่นกัน
นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ผู้สร้างไวรัสทั้งหลาย เขียนไวรัสขึ้นมาโดยมีเป้าหมายในการโจมตีรีจิสทรี โดยตรง นอกจากสาเหตุไวรัสเข้าทำลายรีจิสทรีแล้ว การติดตั้งโปรแกรมต่างๆที่มีปัญหากับรีจิสทรี หรือไฟล์ รีจิสทรีถูกลบทิ้งไปก็ทำให้เกิดปัญหากับรีจิสทรีและระบบวินโดวส์ได้ มีผู้ใช้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าฮาร์ดดิสก์พัง เนื่องจากไม่สามารถบูตเข้าวินโดวส์ได้แต่ความจริงแล้วหลายสาเหตุมักเกิดมา จากเจ้ารีจิสทรีนั่นเอง

  เผลอใช้คำสั่ง Empty Recycle Bin ทำอย่างไรจะกู้ไฟล์คืนมาได้
    พอดีผมเผลอไปลบไฟล์ภายในเครื่องเข้า แล้วลืมไปใช้คำสั่ง ๆ Empty Recycle Bin ทำให้ไฟล์ใน ถังขยะหายไปหมด จะมีวิธีใดบ้างที่ผมจะสามารถกู้ไฟล์นั้นคืนมา เพราะเคยทราบว่ามีวีธีการทำได้แม้ลบจาก Recycle Bin แล้วก็ตาม
    บ้างครั้งเราอาจลืมลบไฟล์สำคัญ ๆ ไป แต่ด้วยความที่คิดว่ามันยังอยู่ในถึงขยะจึงยังไม่ทำการกู้ข้อมูลคืนมา เวลาผ่านไปเนิ่นนามดันลืมก็เลยไปเผลอใช้คำสั่ง Empty Recycle Bin คราวนี้หลาย ๆ คนไมเกรนคงถามหาเป็นแน่ ฉะนั้นหากว่าจะลบไฟล์อะไรอย่าลืมคิดสักนิด ดูให้ดีก่อนว่าจะยังคงใช้ไฟล์นั้นหรือไม่ เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้วจึงลบไฟล์นั้นทิ้งไป
    จากปัญหาในข้อนี้ทางแก้ไขของปัญหานั้น ก็ให้ลองหาโปรแกรมที่ชื่อ Lost and Found หรือ recover4all มาใช้ดู (หาได้จากเว็บไซต์; Download.com) แต่จะกู้ได้ 100% หรือเปล่านั้นผมไม่รับรองนะครับ แต่ผลการทดลองใช้งานดูก็พบว่ามันสามารถทำการกู้ข้อมูลกลับมาได้พอสมควร แต่กระนั้นโปรแกรมนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อไฟล์นั้น ๆ เพิ่งถูกลบทิ้งไป แต่ถ้าลบทิ้งไป นานแล้วอาจจะไม่ได้คืนมาทั้งหมดหรืออาจไม่สามารถกู้ข้อมูลได้เลย ฉะนั้นหากเกิดปัญหาลักษณะนี้ต้องรีบกู้ข้อมูลโดยเร็ว โดยขึ้นตอนในการกู้จะใช้เวลานานพอสมควรฉะนั้นอย่าใจร้อน…….รอหน่อย
    ลบรายชื่อไฟล์ในส่วน Document ได้อย่างไร
    ผู้ใช้หลายคนคิดว่าไฟล์ที่อยู่ในรายการ Document ที่ส่วนของเมนู Start นั้น ลบไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วเราสามารถลบรายชื่อเหล่านั้นออกไปจากรายการ Document ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งขึ้นตอนการลบไฟล์ในรายการดังนี้ คลิกปุ่ม Start แล้วเลือกไปที่ Settings>Taskbar and Start Menu
คลิกที่แท็บ Advanced (ถ้าเป็นวินโดวส์ 98 ก็คลิกที่แท็บ Start Menu Program)
คลิกปุ่ม Clear เพียงเท่านั้นไฟล์ที่อยู่ในรายการ Document ก็จะถูกลบทั้งหมด คราวนี้ไปทำอะไรไว้ก็ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะมาเห็นแล้ว
    ขั้นตอนการลบไฟล์ขยะโดยอัตโนมัติ
    คือผมใช้วินโดวส์ 98 อยู่ตอนนี้ ผมต้องการทราบว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถลบไฟล์ชั่วคราวที่สิงสถิตอยู่ใน ไดเร็คทอรี C:\Windows\Temp ได้โดยอัตโนมัติ เพราะมีความรู้สึกว่ามันกินเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์อย่างมาก จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
วิธีการที่ดีที่สุดคือ การเพิ่มบรรทัด del C:\Windows\Temp\*.tmp>nul ลงไปในไฟล์ Autoexec.bat เพื่อให้ดอสลบไฟล์ชั่วคราวเหล่านี้ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง โดยมีขั้นตอนดังนี้
ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน My Computer
ดับเบิ้ลคลิกที่ไดรว์ C:
คลิกขวาที่ไฟล์ Autoexec. Bat แล้วเลือก คำสั่ง Edit
พิมพ์คำว่า del C:\Windows\Temp\*.tmp>nul เพิ่มลงไปในบรรทัดใหม่
คลิกเมนูคำสั่ง File>Save เพื่อทำการบันทึกค่า เพียงเท่านั้นเวลาบู๊ตเครื่องเข้าสู่วินโดวส์ไฟล์ขยะก็จะถูกลบออกไปทุกครั้ง แบบอัตโนมัติ
    ลบไฟล์หมดแล้ว แต่ยังปรากฎรายชื่อโปรแกรมในไดอะล็อก Add/Remove Programs
    ปัญหาหนึ่งที่อาจพบได้ภายหลังกระบวนการ uninstall นั่นคือ รายชื่อโปรแกรมที่เพิ่งลบทิ้งไปยังคงปรากฎอยู่ในไดอะล็อก Add/Remove Programs ทางแก้ก็คือการเข้าไปลบคีย์ในรีจีสทรีโดยเรียกโปรแกรม Registry Editor ขึ้นมาโดยการคลิกปุ่ม Start แล้วเลือกคำสั่ง Run..จากนั้นพิมพ์คำว่า regedit ลงไปในช่อง open จากนั้นคลิกปุ่ม OK หน้าต่าง Registry Editor ก็จะปรากฎขึ้นมาทันที
    จากนั้นเปิดคีย์HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\ Uninstall แล้วทำการลบซับคีย์ของโปรแกรมที่มีปัญหาทั้งไป เพียงเท่านี้รายชื่อโปรแกรมที่ค้างอยู่ก็จะถูกลบออกไป
    ช่วยด้วย…..โฟลเดอร์และโปรแกรมหายไปไหนหมด
    ทำไมโฟล์เดอร์และโปรแกรมต่าง ๆ ของวินโดวส์ 98 หายไปจากหน้าต่างของวินโดวส์ครับ เกิดจากอะไรวินโดวส์ของผมพังหรือเปล่า จะทำอย่างไรให้โฟลเดอร์และโปรแกรมต่าง ๆ ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้ใช้มือใหม่หลาย ๆ ท่านหากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นมาต้องใจเย็น ๆ ครับ แล้วค่อย ๆ ไล่หาสาเหตุของปัญหานั้นทีละขั้นตอน โดยปัญหาลักษณะนี้อาจเกิดจากการปรับแต่งให้วินโดวส์ทำการซ่อน ไอคอนบนเดสก์ทอปทั้งหมด ซึ่งขั้นตอนการแก้ไขก็ให้คุณทำตามดังนี้
    คลิกปุ่ม Start จากนั้นเลือกไปที่ Settings>Folder Options เลือกไปที่แท็บ View
    ดูในส่วนของ Visual Settings ว่ามีการเลือกที่ตัวเลือก Hide icons when desktop… หรือเปล่าหากว่ามีการเลือกที่ตัวเลือกนี้อยู่ก็ให้คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือกนี้ออก
    คลิกปุ่ม OK เพียงเท่านี้ ไอคอนและโฟลเดอร์ต่าง ๆ ก็จะปรากฎเหมือนเดิมแล้ว แต่ถ้าหากว่ายังไม่หาย ก็ให้ลองทำการติดตั้งวินโดวส์ทับลงไปใหม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็น่าจะหายไปครับ
    ทำไมอยู่ ๆ ไฟล์ในเครื่องเพิ่มมากขึ้น
    ผมสงสัยว่าเมื่อผมใช้คอมพิวเตอร์ไปนาน ๆ ทำไมจึงมีไฟล์เกิดขึ้นมากมาย และไฟล์ไหนบ้างที่ผมสามารถลบได้ ช่วยบอกด้วย
    หลังจากที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปช่วงหนึ่ง วินโดวส์จะมีการสร้างไฟล์ขึ้นมาเองเช่น ไฟล์.tmp หรือว่าถ้าทำการลงโปรแกรมบางโปรแกรม โปรแกรมเหล่านั้นก็อาจสร้างไฟล์ขึ้นมาให้เอง เช่น ไฟล์ .bak เป็นต้น ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมจึงมีไฟล์เกิดขึ้นมาเองมากมาย โดยไฟล์ที่สามารถลบได้โดยไม่มีผลกระทบตามมา ก็ได้แก่ไฟล์ที่มีนามสกุลต่อไปนี้ .tmp, .BAK, .$$$, .chk, .PCC, ไฟล์ Autoexec และ Config ยกเว้นไฟล์ Autoexec.bat และ Config.sys ห้ามลบเด็ดขาด เพราะเป็นไฟล์ที่มีส่วนช่วยในการบู๊ตระบบวินโดวส์ ซึ่งหากไม่มีไฟล์ทั้ง 2 นี้ก็จะพบปัญหาตามมาทันที เช่น บู๊ตเครื่องไม่ขึ้น เป็นต้น ฉะนั้นต้องระมัดระวังหน่อย
    ใช้ปุ่ม (~) เปลี่ยนตัวอักษรในโปรแกรมออฟฟิศไม่ได้
    ผมได้ลงโปรแกรมวินโดวส์ ME ทับวินโดวส์ 98 แล้วปรากฎว่าเวลาเปลี่ยนตัวอักษรจากไทยเป็นอังกฤษหรืออังกฤษเป็นไทยในโปรแกรมออฟฟิศ ซึ่งเมื่อก่อนใช้ปุ่มบนซ้าย (~) ได้แต่ปัจจุบันใช้ปุ่มนี้เปลี่ยนตัวอักษรไม่ได้แล้ว ต้องใช้ <Shift+Alt> ซึ่งไม่สะดวกมาก ๆ ลองเข้าไปแก้ที่ Control Panel ในหมวด Keyboard แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น หรือลงโปรแกรม Office 97 ใหม่ ก็ยังใช้ไม่ได้เหมือนเดิม ขอให้ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขด้วยครับ เช่นนี้ทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม Word หรือ Excel
    ที่เป็นอย่างนี้เพราะวินโดวส์ ME มีการกำหนดค่าแป้นพิมพ์ลัดไม่เหมือนอย่างที่เราคุ้ยเคย ซึ่งขั้นตอนการแก้ไขนั้นก็ให้เข้าไปแก้ไขค่าใน Control Panel โดยสามารถทำได้ดังนี้
    เข้าไปที่ Control Panel โดยการคลิกปุ่ม Start แล้วเลือกไปที่ Settings>Control Panel ดับเบิ้ลคลิกที่ตัวเลือก Keyboard คลิกที่แท็บ Language คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือกด้านล่างทั้ง 2 ตัว คลิกปุ่ม OK เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว
    ปัญหาในการ Defragment
    ทำไมเวลาที่ผมทำการ Scandisk ในวินโดวส์ 98 จึงใช้เวลานานมาก และเมื่อทำการ Defragment ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เมื่อถึง 11 % แล้วปรากฎว่าโปรแกรมมันจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง
    คำถามนี้มักพบมากเป็นพิเศษซึ่งอาการ Run Program Scandisk แล้วขึ้นคำประมาณว่า Scandisk has restarted 10 time because windows or another program has been writing to this drive. Quitting some running programs may enable Scandisk to finish sooner. หรือเมื่อทำการ Defrag ได้ไม่กี่ % ก็จะกลับมาตั้งต้นที่ 0% ใหม่ ปัญหานี้เกิดจากการที่คุณยังไม่ได้ทำการปิดโปรแกรมที่ยังทำงานอยู่ในขณะนั้น หรือโปรแกรมที่ฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำบางโปรแกรม ที่มีการตรวจเช็คสถานะบางอย่างบ่อย ๆ เช่น โปรแกรม ICQ Netdetect Agent เป็นต้น จึงทำให้ฮาร์ดดิสก์ของเราทำงานโยกย้ายข้อมูลอยู่ตลอดเวลาที่ Scandisk หรือทำการ Defrag ซึ่งการแก้ไขสามารถทำได้ดังนี้ ทำการปิดโปรแกรมที่ใช้งานใน TaskBar ให้หมดก่อน เช่น Scheduled Task, V Shield, RemoveIT เป็นต้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. เข้าไปที่ System Configuration Utility โดยการคลิกปุ่ม Start แล้วเลือกไปที่ Programs>Accessories>System tools>System Information
เลือกเมนูคำสั่ง Tools>System Configuration Utility ที่แท็บ General ให้คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือก Diagnostics startup… ในส่วนของ Starup selection แล้วคลิกปุ่ม OK ก็สามารถทำการปิดโปรแกรมที่ใช้งานในTaskBas ได้แล้ว

หยุดการใช้งานโปรแกรมที่ทำงานตลอดเวลา
หยุดการใช้งานโปรแกรมที่ทำงานตลอดเวลา เช่น โปรแกรม WinAMP, WinAMP Agent, Screensaver หรือพวกโปรแกรม Power Management ใน Control Panel โดยให้ทำการตั้งค่าให้เป็น Never ให้หมด ทำการปิดส่วน Active Desktop ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่รันไฟล์ Gif ที่มีการขยับไปมาได้ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกขวาบนพื้นที่ว่างในส่วนของ Desktop แล้วเลือกไปที่ Properties คลิกไปที่แท็บ Web
คลิกเครื่องหมายถูหน้าตัวเลือก View my Active…ออก
จากนั้นคลิกปุ่ม OK เพียงเท่านี้ก็สามารถปิดส่วน Active Desktop ได้แล้ว เมื่อทำขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ให้เริ่มต้นทำการ ScanDisk ก่อนเพื่อตรวจหาว่ามีส่วนใดของ HDD เสียหรือผิดปกติ หลังจากทำการ ScanDisk เสร็จจึงค่อยทำการ Defrag เพื่อจัดข้อมูลให้เป็นระเบียบในการเรียกใช้ครั้งต่อไป อีกวิธีในการแก้ไขปัญหา ก็เพียงทำการ Defrag และ ScanDisk ใน SefeMode เท่านั้นเอง ซึ่งขั้นตอนในการเข้าสู่ส่วน SafeMode สามารถทำได้ดังนี้
1. โดยตอนเปิดเครื่องก่อนเริ่มขึ้น Logo หน้าจอ Starting Windows ให้กดปุ่ม บนคีย์บอร์ดรัว ๆ
2. จากนั้นเลือกตัวเลือกข้อ 3 โดยการกดปุ่ม <3> บนคีย์บอร์ด เพื่อเข้าสู่ SafeMode แล้วทำการ Defrag หรือ Scandisk ตามปกติ

สนันสนุนการค้นหาข้อมูลโดย

www.ecom.here.ws


400 บาท รับซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่


ค่าแรง+ค่ารถ+ลงwinodws+โปรแกรมดูหนังฟังเพลง+office+antivirus


Tel. 083-792-5426


ปล.เฉพาะเขตพื้นที่ให้บริกร รามคำแหง บางกะปิ สุขาภิบาล 1 2 3

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources