วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

"ชวนนท์"ชี้เขมรใช้แผน 5 ขั้นฮุบที่ดินเขาพระวิหาร


ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้( 13 ม.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีปราสาทพระวิหารว่า  กัมพูชามีแผนการทำให้ปราสาทพระวิหารกลายเป็นมรดกโลกและเตรียมพัฒนาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ทั้งหมด 5 ขั้นตอน คือ 1 การที่พรรคเพื่อไทยไปทำแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระ วิหารเป็นมรดกโลกได้เพียงลำพัง 2 ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าการออกแถลงการร่วมเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะทำให้อาณาเขตเกิดการเปลี่ยนแปลง 3. กัมพูชาเตรียมจัดการพัฒนาพื้นที่ 4.6 ตางรางกิโลเมตรภายหลังที่ปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก 4.กัมพูชาแตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกที่สมบูรณ์ เพื่อจะได้ส่งทีมงานไปจัดการพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหาร 5. กัมพูชาหวังว่าจากแผนการที่วางไว้หากสำเร็จ ในช่วงเดือนตค.-พย..นี้ ศาลโลกจะตัดสินคดีนี้ โดยจะตัดสินให้พื้นที่โดยรอบเป็นของกัมพูชา

นายชวนนท์ กล่าวว่า รัฐบาลควรหยุดแผนการดังกล่าว โดยร่วมแรงร่วมใจกับภาคประชาชน ขัดขวางไม่ให้แผนการดังกล่าวสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลสามารถทำได้โดยการยื่นหนังสือไปที่คณะกรรมการมรดกโลก เพื่อลาออกจากภาคีมรดกโลก ซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์เคยประกาศว่าจะไม่ขอเป็นภาคีมรดกโลก แต่ตอนนั้นเป็นรัฐบาลรักษาการณ์จึงไม่สามารถทำหนังสือยืนยันกลับไปได้ แต่พอรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาก็ไม่ได้สานต่อนโยบายนี้

ส่วนกรณีที่กัมพูชาเตรียมพระราชทานอภัยโทษให้กับ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ และลดโทษ 6 เดือน ให้ นายวีระ สมความคิด นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีไม่ควรนำมาเป็นประเด็นการเมือง และไม่อยากให้มองว่าพรรคประชาธิปัตย์ช่วยเหลือแต่ส.ส.ในพรรคของตัวเอง  ตอนนั้นเราช่วยคนไทยที่ถูกจับกุม 7 คน ให้ออกมาได้ 6 คน แต่น.ส.ราตรี ไม่ยอมเซ็นเอกสารว่าไปบุกรุกพื้นที่กัมพูชา จึงขอยอมถูกจำคุกต่อ ซึ่งต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลประชาธิปัตย์กับกัมพูชาไม่ค่อย ราบรื่น แต่เป็นเพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์ต่อสู้กับกัมพูชาเพื่อปกป้องผลประโยชน์และ ชื่อเสียงของประเทศ  อยากถามว่ารัฐบาลชุดนี้ที่บอกว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา ได้เคยต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศหรือไม่  หรือดีแต่เอาผลประโยชน์ของประเทศไปให้กัมพูชา

รวบเวียดนามแสบลักทรัพย์ร้าน"เปิ้ล นาคร"


เมื่อเวลา 10.00น.วันนี้(13 ม.ค.) พล.ต.ต.นัยวัฒน์  ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พ.ต.อ.สาโรจน์  ซุ่นทรัพย์ รองผบก.น.4 พ.ต.อ.สรรค์หกิจ บำรุงสุขสวัสติ ผกก.สน.วังทองหลาง พ.ต.ท.วิวัฒน์  อัศวะวิบูลย์ สว.สส.สน.วังทองหลาง แถลงข่าวจับกุมตัวนายฮอง วัน เฮี๊ยบ อายุ 24 ปี ชาวเวียดนาม ผู้ต้องหาก่อเหตุลักทรัพย์ ร้านโคขุน ย่านทาวน์อินทาวน์ของนายนาคร ศิลาชัย หรือเปิ้ล นาคร นักแสดงชื่อดัง ได้ทรัพย์สินและเงินสดมูลค่าหลายแสนบาท
จากการสืบสวนทราบว่าเมื่อวันที่ 28ต.ค. เวลาประมาณ 04.00น. นายฮอง วัน เฮี๊ยบ พร้อมกับพวกอีก3คนที่ยังหลบหนีมีนายแลงค์ นายทิ และนายกวง ได้ร่วมกันเข้าไปลักทรัพย์ภายในร้านบ้านสวนดินเผาและร้านโคขุนโพนยางคำของ นายนาคร ย่านทาวน์อินทาวน์ได้ทรัพย์สินเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าและเงินสดไปหลายรายการ มูลค่าหลายแสนบาทหลังจากนั้นได้แยกย้ายกันหลบหนีกลับประเทศเวียดนาม ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ม.ค.เวลาประมาณ15.15น. พ.ต.ท.วิวัฒน์ อัศวะวิบูลย์ สว.สส.สน.วังทองหลางสืบทราบมาว่านาย ฮอง วัน เฮี๊ยบจะเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยจึงได้ประสานไปยัง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ นครพนมจนสามารถ จับกุมได้ที่ด่านตรวจคนเช้าเมือง ของจังหวัดนครพนม ขณะกำลังตรวจหนังสือเดินทางขออนุญาตเข้ามาในประเทศไทย
จากการสอบสวนนายฮอง สารภาพว่า ได้ร่วมกับพวกเข้าไปขโมยเครื่องใช้ไฟฟ้า และทรัพย์สินอื่นจากร้านอาหารย่านทาวน์อินทาวน์ หลายร้าน จริง โดยก่อนหน้านี้ตนเองได้เข้าทำงานรับรถอยู่บริเวณย่านดังกล่าว ทำให้รู้ความเคลื่อนไหวของแต่ละร้านเป็นอย่างดีโดยได้เข้ามาอยู่เมืองไทยมา 3 ปี ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาจะนำไปขายให้ชาวเวียดนามด้วนกัน เงินที่ได้จะนำไปแบ่งกัน
พล.ต.ต.นัยวัฒน์ กล่าวว่า จากการสืบสวนขยายผลทราบว่าผู้ต้องหา เคยทำมาแล้วอย่างน้อย 6 แห่ง เช่น ร้าน คิงคอง บ้านสวนดินเผา โดยมีผู้ร่วมแก๊ง3 คนโดยมีนายฮอง เป็นหัวหน้าและ ก่อนลงมือก่อเหตุยังเคยมาสมัครงานที่ร้านของนายนาครด้วย แต่ไม่ได้รับเพราะเป็นคนต่างชาติ ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ส่วนนายฮองได้นำตัวส่งดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลา กลางคืน

จับมือปืนฆ่า “เอ๋ อินไซด์” เจ้าของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชื่อดัง


เมื่อเวลา 07.00 น.วันนี้ (13ม.ค.) พ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล สว.กก.5 บก.ป.ร.ต.ต.ดิเรกฤกธิ์ ปานจันทร์ ร.ต.ต.แดง นาคราช รอง สว.กก.5 บก.ป. ร่วมกับ ร.ต.อ.ภัฏ อินเถลิงศักดิ์ สว.สส.สภ.ชะอำ ร.ต.อ.สมชาย เนียมจำเริญ รอง สว.สส.สภ.ชะอำ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนาย จับกุมตัวนายทศพล หรือสัญญา หรือ หนู เกตุแก้ว อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 121 หมู่ 10ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเพชรบุรี ที่ ส.572/2547 ลงวันที่ 2 ส.ค.47 และหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ จ.39/2555 ลงวันที่ 24 ม.ค.55 ข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ได้ภายในบ้านไม่มีเลขที่ ถนนหนองแจง ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.ชัชชม คล้ายคลึง พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รองผบก.ป. พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผกก.5 บก.ป. และสถานีตำรวจภูธรชะอำ โดย พ.ต.อ.วิทัศน์ บริรักษ์ ผกก.สภ.ชะอำ พ.ต.ท.สถิตย์ คงเนียม รองผกก.สส.สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้สืบทราบว่านายทศพล หรือสัญญา หรือ หนู เกตุแก้ว ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับทั้ง 2 คดีดังกล่าวได้หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่บ้านไม่มีเลขที่ ถนนหนองแจง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาล จ.เพชรบุรีเพื่อขอทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ดังกล่าว โดยศาล จ.เพชรบุรีได้อนุมัติหมายค้นเลขที่ 14/2556 ลงวันที่ 12 ม.ค.56 ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงนำกำลังไปตรวจค้นกระทั่งพบนายทศพล หรือสัญญา หรือ หนู เกตุแก้ว และจับกุมตัวได้

จากการสอบสวนนายทศพล หรือสัญญา หรือ หนู เกตุแก้ว รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาโดยเล่าว่าเมื่อวันที่ 1 ส.ค.47 เวลาประมาณ 16.00 น.ตนกับนายยืนยง  เอื้องจีน ใช้อาวุธปืนขนาด .38 ซุปเปอร์ ยิงนายกร้า อารมย์ดี เสียชีวิต ที่หน้าบ้านเลขที่ 118หมู่ 10 ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยตนเป็นคนยิง สาเหตุมาจากเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ตาย หลังเกิดเหตุได้หลบหนีไป

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 12 ม.ค.55 เวลาประมาณ 09.00น. ตนกับนายนพดล หรือแพะ พรายศรี และนายสมควรหรือบอย ดีพันธ์ ใช้อาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. ยิงนายวิสุทธิ์ ตั้งวิทยาภรณ์ “เอ๋ อินไซด์” เจ้าของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชื่อดังในภูเก็ต และแกนนำ นปช.ภูเก็ต โดยมีนายสมควรหรือบอย ดีพันธ์ เป็นคนหาอาวุธปืนมาให้ตน ส่วนนายนพดล หรือแพะ พรายศรี เป็นคนขับขี่รถจักรยานยนต์วันก่อเหตุและตนนั่งซ้อนท้ายเป็นคนลงมือยิง โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 13,000บาท และหลบหนีไป กระทั่งมาถูกจับในที่สุด เหตุเกิดที่ ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวนายทศพล หรือสัญญา หรือ หนู เกตุแก้ว ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชะอำ และท้องที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินดคีต่อไป.

กลุ่มสังคมออนไลน์บุกช่อง 3 จัดกิจกรรมค้านแบนละคร "เหนือเมฆ 2"


วันนี้(13 ม.ค.) กลุ่มสังคมออนไลน์ทางเฟซบุ๊ก ในนาม "กลุ่มรณรงค์แบนช่อง 3 กรณีถอดะครเหนือเมฆ 2 สนองคำสั่งนักโกงเมือง" ประมาณ 200 คน แต่งกายด้วยชุดสีขาว พร้อมใส่หน้ากากสีขาวปกปิดใบหน้า  เดินทางมารวมตัวกันที่บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง อาคารมาลีนนท์ ทาวเวอร์ ถนนพระรามที่ 4 เพื่อจัดกิจกรรม "ศรัทธา : พลังแห่งความดี" เพื่อคัดค้านการถอดละครเรื่องดังกล่าว โดยมีการชูป้ายกระดาษให้กำลังใจทีมงานละคร “เหนือเมฆ 2” อีกด้วย
เจ้าของนามแฝงในโซเชียลมีเดีย “แอดมินจ่าสมิง” ซึ่งเป็นชายวัยประมาณ 40 ปี ไม่เปิดเผยชื่อจริงนามสกุล ได้อ่านแถลงการณ์ มีเนื้อหาว่า กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนว่าสิทธิเสรีภาพของสื่อกำลังถูกริดรอน การออกมาครั้งนี้ไม่ได้โจมตีช่อง 3 โดยตรง โดยหลังจากที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 ได้ออกมาชี้แจง ถึงเหตุผลในการระงับละคร “เหนือเมฆ 2” เนื่องจากมีเนื้อหาที่จะส่งผลกระทบกับความมั่นคงของประเทศ เข้าข่ายผิดมาตรา37 แห่งพ.ร.บ. ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551นั้น หากพิจารณาจากเนื้อหาของละครที่มุ่งเน้นเปิดโปงพฤติกรรมนักโกงเมืองในคราบ นักการเมือง ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยรณรงค์ในการสร้างความมั่นคงต่อประเทศในทางอ้อม การชี้แจงของทางช่อง 3 จึงกลายเป็นเหตุผลที่ขัดแย้งกับเนื้อหาที่เกิดขึ้น และทำให้ประชาชนยอมรับไม่ได้ในเรื่องความโปร่งใส จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้เกิดการรวมตัวกันบนสื่อสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก ภายใต้ชื่อกลุ่ม “รณรงค์แบนช่อง3 กรณีถอดละครเหนือเมฆ 2 สนองคำสั่งนักโกงเมือง”
แอดมินจ่าสมิง กล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อด้วยกันคือ ข้อแรกเพื่อเปิดประเด็น “อำนาจมืดบางอย่างกำลังคุกคาม และริดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน” ซึ่งเป็นการกระทำที่ “เข้าข่ายผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล และสื่อมวลชนมาตรา 45,46,47  ข้อที่สองเพื่อเปิดประเด็น “การขาดจริยธรรม และธรรมภิบาลของช่อง3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ได้แก่ การชี้แจงของช่อง3 เข้าข่ายปกปิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ขาดความโปร่งใสต่อสาธารณชน และเรียกร้องให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ,กลต. และสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประกาศปรับลดระดับเรื่องธรรมาภิบาลช่อง3 (BEC) สู่ระดับต่ำสุด จนกว่าเหตุการณ์เรื่องนี้จะเกิดความโปร่งใสต่อสาธารณชน  เรียกร้องให้บริษัทต่างๆ ที่ได้ซื้อเวลาในการโฆษณา ผ่านทางช่อง 3 ร่วมกันสร้างธรรมาภิบาลต่อสังคม ด้วยการถอนโฆษณา หรือหยุดชำระค่าโฆษณาเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้หากภายใน 1 สัปดาห์ต่อจากนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เราจะเริ่มรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยมาตรการต่อต้านทางสังคม โดยการประกาศงดชมรายการข่าว และละครทางช่อง3 รวมถึงลดการบริโภคสินค้าและผลิตภัณฑ์ ที่โฆษณาผ่านทางช่อง3  และข้อสุดท้ายคือให้กำลังใจทีมงาน "เหนือเมฆ 2"ที่ได้สร้างละครน้ำดี ประเทืองสติปัญญาประชาชน
จากนั้นทางกลุ่มรณรงค์แบนช่อง 3ฯ ได้เริ่มทำกิจกรรม 3 กิจกรรมด้วยกันคือ อย่างแรกกล่าวถึงการใช้หน้ากากสีขาวและสวมเสื้อสีขาวมารวมตัวกันก็เนื่องจาก ตัวละครที่สวมหน้ากากสีดำและสวมชุดดำในละครเหนือเมฆ 2 เป็นจอมมารที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังนักโกงเมือง เปรียบเหมือน อธรรม ส่วนสีขาวเป็นสีแห่งธรรมมะ จึงต้องการสะท้อนให้เห็นว่าจะร่วมกันเริ่มต้นสร้างสิ่งที่ดีงามและต่อสู้กับ อำนาจมืดเหนือนักโกงเมืองบนแผ่นดินนี้ หลังจากนั้นทางกลุ่มได้ให้ทางผู้ร่วมกิจกรรมออกมาถ่ายทอดความรู้สึกไปยัง ช่อง 3ว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นได้ฝากบอกไปยังช่อง 3 ว่าถ้าแบนละครเหนือเมฆ 2 ต่อไปก็ไม่ควรจะเห็นละครที่มีฉากนางร้ายกรี๊ดหน้าจอ ดาราแต่งชุดวาบหวิบหรือฉากบนเตียงอีกต่อไป บางรายออกมาบอกให้ช่อง 3 ระบุออกมาเลยว่า นักการเมืองคนใดเป็นคนสั่งแบนละคร แล้วประชาชนจะอยู่เคียงข้างช่อง 3 ต่อไป หลังจากนั้นทางกลุ่มได้ร่วมกันกันชูป้ายให้กำลังใจทีมงานละครเหนือเมฆ 2 พร้อมทั้งร่วมกันอธิษฐานตามบทละครของ ผบ.นภาในละครเหนือเมฆอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ผู้ชุมนุมกำลังดำเนินกิจกรรมอยู่นั้น นายบริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ได้ลงมาจากอาคารมาลีนนท์เพื่อรับหนังสือแถลงการณ์พร้อมกับกล่าวชี้แจงว่า สาเหตุที่ช่อง 3 ยุติการการออกอากาศละคร “เหนือเมฆ2” เป็นไปตามที่ที่ได้แถลงไปว่า ได้พิจารณาว่าละครเรื่องนี้มีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสม ซึ่งหากเราบอกถึงเรื่องราวที่ไม่เหมาะสมไปก็จะนำไปสู่ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ หรือส่งผลกระทบต่อสถานีได้ ทั้งนี้ทางช่อง 3 ได้ทำการเซ็นเซอร์มาตลอดอยู่แล้ว โดยสำหรับละครเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ทางผู้บริหารเห็นแล้วว่าไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ขณะที่นายบริสุทธิ์ กำลังกล่าวชี้แจงอยู่นั้น ก็มีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนไม่พอใจได้ตะโกนแย้งและถามคำถามกลับไปเช่น “ช่อง 3 ห่วงเรื่องสัมปทานมากกว่าความถูกต้องของสื่อใช่หรือไม่” หรือ“ช่อง3 รู้สึกผิดบ้างไหม ที่ทำเช่นนี้ต่อประชาชน” ทำให้ทางแอดมินจ่าสมิงต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย จากนั้นนายบริสุทธิ์ ได้ชี้แจงต่อว่า เรื่องที่เป็นผลกระทบต่อการออกอากาศของสถานีทางช่องก็ต้องระมัดระวัง ส่วนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการสอบสัมปทานของช่องแต่อย่างใด ซึ่งสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง มีอะไรที่เห็นว่าผิดระเบียบผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ที่ควบคุม ก็ต้องระมัดระวังตรงนี้ ทั้งนี้เมื่อทางกลุ่มรณรงค์แบนช่อง 3ฯ จัดกิจกรรมเสร็จสิ้นก็แยกย้ายกันกลับไปในเวลา 11.00 น.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources