วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รถเมล์ฝ่าไฟแดงชนเก๋งยับ


วันนี้ ( 23 ธ.ค.) ร.ต.ต.ณัฐพงศ์ ไหมด้วง พงส.สน.ปทุมวัน รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดอยู่ภายในรถ บริเวณสี่แยกจรัสเมือง ถนนบรรทัดทอง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย อาสากู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูและหน่วยกู้ชีพนเรนทร

ที่เกิดเหตุพบรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรล่า สีเทา หมายเลขทะเบียน 3ศ-4474 กรุงเทพ ถูกชนได้รับความเสียหายตั้งแต่บริเวณกระโปรงรถด้านหน้าฝั่งซ้าย ฝั่งผู้โดยสารไปจนกระทั่งถึงประตูข้างด้านหลัง ตรวจสอบภายในพบมีคนติดอยู่ภายใน เป็นเด็กชาย อายุประมาณ 8 ขวบ สวมเสื้อกล้ามสีเทา กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า ปากแตก ฟันหักทั้งปาก และขาซ้ายติดกับประตูรถ เจ้าหน้าที่พยายามใช้เครื่องตัดถ่างเข้าช่วยเหลือ ก่อนจะนำตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย นำส่งร.พ.กลาง

จากการสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าว ขับโดยนายคเชนทร์ชัย มัศยานนท์ มาพร้อมกับครอบครัว รวม 3 คน ขับมาจากถนนจรัสเมือง ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนบรรทัดทองทันใดนั้นเอง รถประจำทางปรับอากาศ สาย 73 วิ่งจากห้วยขวางไปยังสะพานพุทธ เลขทะเบียน 13-1281 กรุงเทพ เลขข้างรถ 8-67119 ขับขี่โดยนายโสภณ เติมสุข ซึ่งได้พุ่งตรงผ่านสัญญาณไฟแดง มาก่อนจะชนเข้าด้านข้างรถเก๋งอย่างจัง เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เป็นหญิง 1 รายบาดเจ็บบริเวณศรีษะและอีกรายเป็นเด็กชายดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำตัวพนักงานขับรถเมล์ไปสอบสวนที่สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ปชป.ขู่ หากคดี “ราเมศ” ไม่คืบ ระวังเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ได้


ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ ( 23 ธ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกลอบทำร้าย ว่า จากวันเกิดเหตุมาจนถึงวันนี้ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ไม่สามรถทำให้ไว้วางใจได้ว่าจะเป็นการดำเนินการด้วยความบริสิทธิ์ และความยุติธรรมให้กับนายราเมศ แต่กลับพยายามปิดบังซ้อนเร้น วันนี้รัฐบาลคงปฏิเสธความรับผิดชอบและเห็นว่าเรื่องนี้เป็นคดีทั่วไปไม่ได้ รัฐบาลต้องแสดงออกเอาจริงเอาจัง ค้นหาความยุติธรรมมามอบให้กับผู้เสียหาย และหามาตรการป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และหากความยุติธรรม เกิดขึ้นกับนายราเมศไม่ได้ เชื่อว่าสถานการณ์ก็จะบานปลายออกไป ซึ่งอาจทำให้ประชาชนแสวงหาความยุติธรรมด้วยวิธีอื่น ดังนั้นรัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไปในสายลม เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง และนายราเมศไม่ได้ตัวคนเดียว แต่มีพวกพ้องมีผู้สนับสนุนอยู่จำนวนหนึ่ง อาจเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้

ผบช.น.ยัน คดีเอกยุทธมีหลักฐานชัด เตรียมออกหมายเรียก 28 ธ.ค. นี้


จากกรณีนายจตุพล มังกรทอง อายุ 31 ปี รองผู้จัดการร้าน คาราโอเกะ ซิตี้ ถนนประดิษมนูธรรม แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ถูกนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง พร้อมพวกรุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ และมีการยิงปืนขู่ เหตุจากไม่พอใจกรณีการใช้บัตรเครดิตที่รูดช้าเนื่องจากบัตรหมดอายุ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เวลาประมาณ 20.00 น. ต่อเนื่องวันที่ 19 ธันวาคม ซึ่งต่อมานายเอกยุทธ ได้โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ว่า ไม่ได้เป็นผู้สั่งการและพยายามเข้าห้ามปรามแล้ว ถือว่าเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติมีความผิดมาตรา 157 ตามที่มีการเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยว่า เรื่องนี้ไม่ว่านายเอกยุทธจะพูดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานชัดเจน ทั้งตัวผู้เสียหายและพยานอื่นๆก็ยืนยันโดยมีการใช้คำพูดและชี้นิ้วสั่งการ ว่า "เอามันเลย" เรื่องนี้ตำรวจไม่กังวลและไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

ขณะที่พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและสอบสวน กล่าวว่า เรื่องนี้หากจะมีการฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าหมิ่นประมาทหรือทำเกินกว่า หน้าที่ก็ถือเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ตำรวจเชื่อมั่นในพยาน หลักฐานที่มี เพราะจากภาพถือว่ามีการสั่งการชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไมได้รับการติดต่อจากนายเอกยุทธ และจะมีการออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ เช่นเดิม

ขัดแย้งที่ดินยิงดับพ่อไอซ์อาร์สยาม


วันนี้( 23 ธ.ค.) ร.ต.ท.ภูวดล ภูมี พนักงานสอบสวน(สบ1) สภ.ตลาดใหญ่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เปิดเผยว่า ช่วงเย็นวันที่ 22 ธ.ค. ได้รับแจ้งเหตุ มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตภายในสวนยาง หมู่ 5 บ้านดอกแดง ต.บางไทร ไปตรวจสอบพร้อมด้วยพ.ต.ท. วินัย คงแก้ว สวญ.เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเจ้าหน้าที่วิทยาการ จ.พังงา และหน่วยกู่ชีพบางไทร ที่เกิดเหตุพบร่าง นายสราวุธ บุตรกริม อายุ 31 ปี นอนหายใจรวยริน มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม.เข้าที่ขมับซ้ายจึงรีบช่วยเหลือนำส่ง รพ.บางไทร แต่นายสราวุธ ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตขณะเดินทาง ใกล้กันพบศพ นายสมบูรณ์ กิ้มติ๋น อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นพ่อ ของนักร้องลูกทุ่งดาวรุ่ง ไอซ์ อาร์สยาม ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม.ตามลำตัว 5 นัด ห่างออกไปประมาณ 200 เมตรพบศพนาย ประจวบ ชูจิต อายุ 41 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเดียวกันเข้าคิ้วขวา และท้ายทอย

ร.ต.ท.ภูวดล เปิดเผยว่าจากการสอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ทราบว่าผู้ตายทั้งหมดเป็นญาติ กัน โดยมือปืนรายนี้คือ นายสมศักดิ์ วงศรี อายุ 48 ปี ก่อนเกิดเหตุได้คว้าปืนออกจากบ้านก่อเหตุยิง นายประจวบ จากนั้นยิง นายสราวุธ ก่อนยิง นายสมบูรณ์ เป็นรายสุดท้าย ก่อนจะหลบหนีไปส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากการขัดแย้งเรื่องแนวเขตที่ดินซึ่ง เจ้าหน้าที่จะได้สืบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป.

จี้นายกฯปราบโกงจริงจังหลัง GFI ระบุไทยติดอันดับ 13 ของโลก


วันนี้(22 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า จากกรณีที่นายเรย์มอนด์ เบเกอร์  ประธานองค์การเพื่อความซื่อสัตย์ มั่นคงทางการเงินแห่งโลก (GFI) ยืนยันว่าได้มีเงินสกปรกไหลออกจากประเทศต่างๆไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วรวมถึง เกาะต่างๆที่เป็นสวรรค์แห่งการฟอกเงิน ซึ่ง 1 ในเกาะที่อยู่ในรายงานนี้เคยมีชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พร้อมยังได้ระบุว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 13 โดยเงินที่ไหลออกมาจากการก่ออาชญากรรม การเลี่ยงภาษี และการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2543-2553 เงินสกปรกเหล่านี้ ไหลออกนอกประเทศปีละ199,206 ล้านบาท รวม 10 ปี เป็นจำนวน 1,992 ล้านล้านบาท

นายองอาจ กล่าวอีกว่า เงินสกปรกจะดำเนินการโดยใครก็ตาม แต่เงินที่ทุจริตของนักการเมืองต้องยอมรับว่าเกิดจากนักการเมืองที่เลวร่วม มือกับข้าราชการที่มีโอกาสโกงกินกอบโกยไปแล้ว ก็จะนำกลับประเทศเพื่อยึดอำนาจกลับมาสู่มือตัวเองได้ภายหลัง  ดังนั้นเป็นภาระที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการโดยขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี ให้เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริต คือ 1.นายกฯและรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในครม.ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในความซื่อสัตย์สุจริต 2.หากพบว่ามีการทุจริตหรือส่อทุจริตก็ต้องจัดการกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง หากเป็นคนในรัฐบาล แม้ทางกฎหมายจะเอาผิดในทางกฎหมายไม่ได้ ก็ต้องจัดการในเชิงบริหาร 3.ขจัดเงื่อนไขและอุปสรรคในการป้องกันและปราบปราบการทุจริตคอรัปชั่น โดยนายกฯจะต้องมองว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่จะต้องแก้ไข

สอบปมทำร้ายรองโฆษกพรรค “นิพิฎฐ์” โวถ้าเป็นผบ.ตร.จับคนร้ายได้ภายใน 5 วัน


ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ ( 22 ธ.ค.) พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รอง ผบช.น.  พร้อมด้วยพ.ต.อ.กัญชล อินทราราม ผู้กำกับการ สน.บางนา และฝ่ายสอบสวน จากกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ได้เข้าพบและสอบปากคำนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายราเมศ รัตนเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง  ภายหลังนายนิพิฏฐ์ เปิดเผยว่า  เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาสอบปากคำถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนายราเมศ ในสมัยที่ตนเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของพรรคและนายราเมศเคยทำงานในฝ่ายกฎหมาย ด้วยกันมา อีกทั้งยังทำคดียุบพรรคและสนิทสนมกันมาเป็นเวลา 4-5 ปีแล้ว โดย ทางตำรวจก็ได้สอบถามว่านายราเมศ เคยทำคดีใดบ้าง สำหรับสาเหตุนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่คิดว่าน่าจะมาจากการทำหน้าที่ทางการเมืองให้กับพรรค ซึ่งในวันนี้ได้มีพี่สาวและพี่ชายของนายราเมศร่วมอยู่ด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็ยืนยันว่าโดยส่วนตัวนายราเมศไม่มีความขัดแย้งกับใคร นอกจากมาทำงานด้านการเมือง
เมื่อถามว่า เบื้องต้นตำรวจระบุว่าสาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัว นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ถ้ารู้แล้วว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ดี ไม่ต้องมาสอบเราอีก ถ้าเรื่องส่วนตัวก็ต้องบอกให้ชัดว่าเป็นเรื่องอะไรก็ให้สอบไป  เมื่อถามว่า ทางพรรคต้องการให้ผบ.ตร.ลงมาดูคดีนี้เอง นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องคุยกับหัวหน้าพรรคก่อน คิดว่าเย็นนี้ต้องคุยกัน ส่วนตัวอยากขอกับนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่ถือว่ามากเกินไปว่า ให้นายกฯและผบ.ตร.ได้พูดในเรื่องนี้สัก 1-2 ประโยค ส่วนร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องพูดอีก เพราะท่านเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ทราบว่านายกฯรู้หรือยังว่ารองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ถูกทำร้าย อาการสาหัส และอยากให้แสดงความเห็นว่ามีความรับผิดชอบและมีหน้าที่ในการป้องกันคุกคาม ข่มขู่เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายค้านอย่างไรก็บ้าง เพราะท่านเป็นนายกฯ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2502-2503 สมัยจอมพลป.พิบูลย์สงคราม แล้วก็มาเกิดอีกครั้งในสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์
“ความรู้สึกของผมก็คิดว่านายราเมศมาทำงานให้พรรคแล้วถูกทำร้าย แต่เรื่องอื่นไม่คิดว่าจะมี ไม่เห็นว่าจะมีสาเหตุกับใคร ส่วนจะเป็นการเมืองเรื่องใด ผมไม่รู้ เป็นเรื่องที่ตำรวจต้องสอบต่อไป ผมไม่คาดหวังว่าจะจับตัวใครได้ พูดมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนให้ผมเป็นผบ.ตร. 5 วัน จับได้แน่นอน ส่วนเรื่องที่ศิริโชค ระบุว่าคนร้ายเป็นอดีตตำรวจ ผมไม่มีข้อมูล” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

“ปู”ถกนายกฯบังกลาเทศชื่นมื่นโวเสถียรภาพการเมืองและเศรษฐกิจไทยโตปีหน้า


วันนี้(22 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการหารือกับนางชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ระหว่างการเยือนสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศอย่างเป็นทางการ เมื่อเวลา 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นนั้น  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำความสำคัญของบังกลาเทศในฐานะมิตรประเทศของไทยในเอเชียใต้ พร้อมแสดงความขอบคุณสำหรับเงินช่วยเหลืออุทกภัยแก่ไทยมูลค่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ซึ่งนับเป็นจำนวนมากที่สุดในกลุ่มเอเชียใต้) อันแสดงถึงไมตรีจิตที่ดีต่อประเทศไทย และ ยังได้ขอบคุณรัฐบาลบังกลาเทศที่ถวายการต้อนรับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งเสด็จเยือนบังกลาเทศ อย่างสมพระเกียรติ นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาทางการเมือง และเศรษฐกิจของสองประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำเสถียรภาพทางการเมืองไทยภายหลังการเลือกตั้งและการ สร้างความสมานฉันท์ในประเทศและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งในปีนี้ ไทยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ ร้อยละ 5.5 คาดการณ์การเติบโตที่ร้อยละ 5.6  ในปี 2556  ขณะที่บังกลาเทศมีระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 6-7 ทั้งสองประเทศจึงมีศักยภาพที่จะขยายตลาดและส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน ระหว่างกันเพิ่มขึ้น พร้อมกับได้ตั้งเป้ามูลค่าการค้าระหว่างกันอีกเท่าตัวภายในปี 2559
นายกรัฐมนตรี ยังได้เสนอให้บังกลาเทศพิจารณาไทยเป็นประตูการค้าสู่อาเซียน โดยบังกลาเทศจะเป็นประตูสำหรับสินค้าไทยในเอเชียใต้ด้วยเช่นกัน สำหรับประเด็นเรื่องข้าว รัฐบาลบังกลาเทศได้แสดงความสนใจที่จะซื้อข้าวจากไทย ตามที่ฝ่ายไทยเสนอ ซึ่งเป็นไปตามที่ได้ลงนามไว้ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งรัฐบาลไทยตกลงที่จะขายข้าวและรัฐบาลบังกลาเทศตกลงที่จะซื้อข้าวไม่เกิน ปีละ 1 ล้านตัน เป็นเวลา 3 ปี (2554-2556) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะขยายอายุของ MOU ดังกล่าวไปอีก 3 ปี ส่วนด้านการลงทุน ฝ่ายบังกลาเทศแสดงความประสงค์ให้นักลงทุนไทยเข้ามาลงทุนในสาขาต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งตรงกับความต้องการของนักลงทุนไทย โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การแปรรูปอาหาร การผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงาน
นอกจากนี้ บังกลาเทศยินดีสนับสนุนภาคเอกชนไทยลงทุนการพัฒนาและจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษของบังกลาเทศด้วย
จากนั้นนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการหารือกับนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ว่า ทั้งสองประเทศเห็นพ้องความร่วมมือด้านการประมง การเกษตร การเชื่อมต่อเส้นทางระนอง ทวายและจิตตะกอง ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากในแต่ละปีชาวบังกลาเทศได้มาพักรักษาตัวในประเทศไทยจำนวนมาก จึงจะแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ การแพทย์และเภสัชศาสตร์ โดยจะตั้งคณะทำงานดำเนินการในรายละเอียดเรื่องนี้โดยเฉพาะ และทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องความร่วมมือ ด้านการค้า การลงทุน โดยจะร่วมกันลดปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการลงทุน ความร่วมมือด้านแรงงาน ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในอนาคต.

"ตู่"ชี้รัฐบาลให้เดินหน้าแก้วาระ3 อย่ากลัว



วันนี้ ( 22 ธ.ค.) ที่จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมมาว่า คอนเสิร์ต "ต้านรัฐประหาร สร้างประชาธิปไตย" ที่โบนันซ่าเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช.(คนเสื้อแดง)จากทั่วทุกสารทิศทยอยเดินทางมาจับจองพื้นเพื่อรอร่วม กิจกรรมที่มีตลอดทั้งคืน ทั้งนี้แกนนำคนสำคัญอาทิ นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง รวมถึงแกนนำคนอื่นๆเดินทางมายังสถานที่จัดงานอย่างพร้อมเพรียง
โดยนายจตุพร กล่าวว่า เชื่อว่าการออกเสียงประชามติเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นแนวทางของรัฐบาล นั้นจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ เนื่องจากเสียงประชาชนที่สนับสนุนไม่มีทางถึงกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ คือจำนวน 24 ล้านเสียง ที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำได้ขนาดนี้ สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทำได้สูงสุดเพียง 19 ล้านเสียงเท่านั้น เพราะเหตุนั้นการทำประชามติจึงเป็นหนทางสู่หายนะ
" นปช.เรายืนยันจุดเดิมในการเดินหน้าโหวตวาระ 3 ให้แล้วเสร็จ ก่อนหน้านี้มีการวางกับดักด้วยการทำ พ.ร.บ.ปรองดอง เมื่อเขาล้มได้เขาก็มาล้มการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก อนาคตเราไม่รู้ว่าจะมีการยื่นตีความอีกหรือไม่ ปปช.จะมีมติเรื่องอะไร ที่ผ่านมารัฐบาล ไม่ได้ประกาศว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราหรือทำประชามติ มีเพียงการยืนยันว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น การทำประชามติรัฐบาลจึงไม่มีโอกาสชนะ จึงอยากให้รัฐบาลมีความกล้าหาญในการเดินหน้าโหวตวาระ 3 " นายจตุพร กล่าว
เมื่อถามว่า เหมือนกับแนวคิดของนปช.กับรัฐบาลจะเดินสวนกันตลอด จะมีแนวทางที่สามารถเหมือนกันได้หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า เราเป็นมิตรแท้ มิตรแท้ต้องพูดความจริง การเดินหน้าทำประชามติโดยที่ประชาชนไม่เข้าใจเหมือนการเดินหน้าลงเหว ที่เราบอกคืออย่าไปลงเหวเลย ทั้งนี้เชื่อว่าการจัดงานของคนเสื้อแดงครั้งนี้จะเป็นคำตอบให้รัฐบาล เนื่องจาก คนเสื้อแดงและคนทั้งประเทศก็คิดอย่างนี้ เราไม่ได้อคติ แต่เราคิดอย่างมิตร
นายจตุพรกล่าวต่อว่า คนเสื้อแดงยังคงยืนยันจุดยืน 3 ประการ และจะมีการประกาศปฏิญญาคือ ขอให้รัฐบาลเดินหน้าโหวตรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก (ไอซีซี) และนิรโทษกรรมให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกกลุ่ม ยกเว้นบรรดาแกนนำ

เสื้อแดงคึก "ธิดา"อ่านปฏิญญาเสื้อแดง แกนนำ-ศิลปินขึ้นเวที



ที่จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช.(คนเสื้อแดง) อ่านปฏิญญาคนเสื้อแดงในการชุมนุมที่โบนันซ่า จ.นครราชสีมา 3 ข้อ บนเวทีปราศรัย  ประกอบด้วย ขอให้สภาเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน เรียกร้องให้รัฐบาลและรมว.การต่างประเทศให้เดินหน้าลงนามรับรองเขตอำนาจศาล อาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณี การปราบปรามประชาชน เมื่อปี 2553 และให้ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ประชาชนที่ตกเป็นผู้ต้องหาจากการชุมนุมทางการ เมืองทุกกลุ่มยกเว้นแกนนำและคนสั่งการ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงค่ำคนเสื้อแดงได้มีการจุดและปล่อยโคมแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการลอย สูงของประชาธิปไตย บรรยากาศทั่วไปเป็นไปอย่างคึกคักแกนนำคนต่างๆทยอยขึ้นเวทีอภิปรายโจมตีพรรค ประชาธิปัตย์ในเรื่องการสลายชุมนุมเมื่อปี 2553 รวมถึงโจมตีอำนาจจากการรัฐประหาร เนื่องจากเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มีการวางเงื่อนไขการแก้ไขไว้อย่างยุ่งยาก จากนั้นเป็นการร้องเพลงเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้เข้าร่วมงาน คอนเสิร์ตครั้งนี้

"ก่อแก้ว"โผล่เวทีคอนเสิร์ต "ต้านรัฐประหาร สร้างประชาธิปไตย"


วันนี้( 22 ธ.ค.)ที่ จ.นครราชสีมา นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ขึ้นเวทีงานคอนเสิร์ต "ต้านรัฐประหาร สร้างประชาธิปไตย" พร้อมกับภรรยาและบุตร 2 คน โดยกล่าวว่า ในช่วงที่ถูกจำคุกภรรยาได้ร้องหลายครั้งด้วยความเสียใจ แต่ตนเองได้ปลอบไปว่า ความเสียใจของเรายังน้อยกว่าญาติผู้เสียชีวิต และญาติของผู้ถูกคุมขังคนอื่นๆ ขอให้เก็บความเสียใจนี้ไว้ ตนเองพร้อมเสียสละเพื่อประชาธิปไตยของลูกหลานในอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นเวทีปราศรัยของนายก่อแก้วครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกภายหลังที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากคดีก่อการร้าย

"แม้ว" วีดิโอลิงค์ฟันธงเดินหน้าโหวตรัฐธรรมนูญวาระ 3 ไม่ผ่านแน่


วันนี้(22 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วีดิโอลิงค์มายังเวทีชุมนุมนปช. ที่โบนันซ่า จ.นครราชสีมา นานประมาณ 30 นาที มีสีหน้าสดใส โดยกล่าวทักทายคนเสื้อแดงว่าคึกถึงพี่น้องเสื้อแดง พร้อมถามว่าอากาศที่เขาใหญ่เป็นอย่างไร ตนอยู่ที่ปักกิ่งหนาวมากแต่อยู่ในบ้าน อย่างไรก็ตามวันนี้ เห็นหน้านายจตุพร นึกถึงรายงานของไอพียู หรือสหภาพรัฐสภาสากล ซึ่งสรุปว่าสิ่งที่ต้องพ้นจากส.ส.นั้นไม่ชอบด้วยหลักประชาธิปไตย ซึ่งในฐานะประเทศไทยเป็นสมาชิกก็จะต้องดำเนินการบางอย่างเรื่องนี้ด้วย มองเห็นแล้วว่าทั่วโลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยหลอกๆ 
อดีตนายกฯ กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันต้องแก้ เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยและเกิดจากเผด็จการ  ถ้าเมื่อไรบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิไตย การทำมาหากินลำบาก ถามว่าประเทศเราพัฒนาให้เท่ากับประเทศอื่นได้หรือไม่ ตอบได้เลยว่าหมูมาก  ถ้าไม่ทำให้เละเทะแบบนี้ และต้องห่วงประเทศมากกว่าสถานะของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล  ดังนั้นถึงเวลาที่เราต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ขอยืนยันว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นภารกิจของรัฐบาลและสภานี้ แต่ถ้าถามว่าแก้อย่างไร เช่น บางคนบอกให้โหวตวาระ3ไปเลย โดยเฉพาะนายจตุพร ถามว่าทำได้หรือไม่ ตนเองมองว่าทำได้ แต่ไม่ผ่าน  เพราะคนที่บอกว่าพร้อมจะชน พอมีคำสั่งศาลรธน.ออกมามือก็หด และจะไม่ได้เสียงครึ่งหนึ่งของสภา คือ 326 เสียง
“รัฐบาลมีอยู่300 เสียง โอกาสเสียงไม่ถึงมีสูง ถ้าชนะศาลรัฐธรรมนูญก็จะบอกว่าขัดคำสั่งศาล ดังนั้นถ้าจะโหวตทำได้ แต่ไม่ได้รัฐธรรมนูญแต่ทำประชามติ ถ้ามีคนออกมาประชามติ 24 ล้านก็ทำได้เลย ซึ่งหลายคนกลัวว่าจะไม่ถึง แต่ตนไม่หนักใจ ในฐานะที่เลือกตั้งมาหลายรอบ 24.3 ล้านคน บอกว่าหมู พี่น้องประชาชนจะออกมาเยอะ เพราะจะคิดว่านี่คือการชี้ชะตาของประเทศ ว่าจะเดินหน้าหรือจะให้เขาแช่แข็ง ถ้าจะเดินหน้าก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญแต่ขณะนี้เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยกำลังรับฟัง ทุกฝ่าย การออกไปสานเสวนาก็คือไปรับฟัง แต่สำคัญคือต้องดูจุดที่จะแก้ หากจุดที่จะต้องแก้มีไม่มาก ก็แก้รายมาตราเสีย แต่ถ้ามีมากก็แก้โดยประชามติ ดังนั้นวันนี้คณะทำงานของพรรคที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นประธาน ขอให้ใจเย็นๆแก้แน่เดินหน้าแน่ แต่ขอให้ใช้วิธีที่สำเร็จแน่ ถ้าสำเร็จแค่ 60 เปอร์เซ็นต์ก็ให้เอาไว้ก่อน มิฉะนั้นเขาจะจับไปแช่แข็ง” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
อดีตนายกฯ กล่าวต่อว่า  เท่าที่ดูอาการตนบอกได้เลยว่า เราร้องเพลงฉลองปีใหม่กัน แต่ต้องเงี่ยกูฟัง เพราะโรคหวาดระแวงยังไม่สิ้นสุด แม้วันนี้นายกยิ่งลักษณ์ จะทำงานสบาย แต่ความหวาดระแวงยังไม่หมดไปจากคนบางกลุ่ม ทำให้เกิดความเสื่อมขึ้น ตนเป็นคนเล่นได้เสีย ถ้าเราคิดว่ามีใจบริสุทธิ์ เราต้องให้เขาไปก่อน แต่เมื่อเราให้ไปสุดตัวแล้วยังไม่ได้รับสัญญาณกลับมาเลย วันนี้ก็เลยบอกว่าสบายใจไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยยังไม่เกิดสัญญาณแห่งความยุติธรรมยังไม่มี  ดังนั้นอย่าตั้งอยู่บนความประมาท
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า วันนี้เราพยายามจะดูแลคนไทย รัฐบาลจากพรรคไทยรักไทยถึงพรรคเพื่อไทย ถ้ามองไปที่หมู่บ้าน เรามีกองทุนหมู่บ้าน กองทุนเอสเอ็มแอล วันนี้รัฐบาลกำลังคิดกองทุนใหม่ เป็นกองทุนสวัสดิการของตำบลหมู่บ้าน จะมีรายได้นำส่งตำบลหมู่บ้านตลอด 20 ปี เพื่อเป็นสวัสดิการที่จะต้องคิดร่วมกันว่า จะใช้ไปในการไหน เมื่อมี 30 บาทรักษาทุกโรคแล้ว ก็จะต้องมีสวัสดิการบางอย่าง เราจะทำให้คนไทยไม่ว่ายากดีมีจนจะต้องเป็นอยู่ที่ดี รัฐบาลกำลังคิดกองทุนนี้อยู่ ซึ่งตนเองก็จึงนำมาคิดดังๆ เหมือนทักษิณคิดเพื่อไทยทำ อีกไม่กี่วันก็น่าจะมีการเตรียมการประกาศ
“เอาเป็นว่าปีใหม่นี้คิดถึงคนไทยคิดถึงประเทศไทย โดยเฉพาะพี่น้องเสื้อแดง ถามว่าอยากกลับหรือไม่ อยากกลับมาก แต่ถ้าไม่ได้กลับก็ไม่ตาย แต่อีกไม่นานเกินรอประชาธิปไตยจะกลับสู่ประเทศไทย และทำให้คนไทยใช้สมองและความสามารถทำให้ประเทศไทยมีความเจริญได้ และหวังว่าจะคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง และผู้ที่ต้องคิดคุกเพราะเป็นไทยมุงนั้นจะต้องได้รับการปลดปล่อย   ขอให้อธิษฐานปีใหม่นี้บ้านเมืองจะได้เป็นประชาธิปไตย” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวทิ้งท้าย

"คอนกรีต-ลูกรัง" ทางเลือกแก้รัฐธรรมนูญทาง "กลับบ้าน" ที่ "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"



วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2555 เวลา 00:00 น.
ต้องยอมรับว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย สาละวนวุ่นวายและเพียรใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้จงได้ เพราะหากย้อนกลับไปดูเส้นทางของความพยายามทางการเมืองจะพบว่ามีวิธีคิดและ จังหวะที่ประสานสอดรับกันชนิดที่เรียกว่า คิดกันมาล่วงหน้า
  
เริ่มตั้งแต่การปรากฏตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ประเทศกัมพูชา ท่ามกลางการต้อนรับของเหล่าบรรดา นปช. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อเดือนเมษายน “ฉากหน้า” น่าจะเป็นการปรากฏตัวเพื่อจุดพลุว่า ประสงค์จะกลับบ้านมาแบบไม่ต้องมีความผิด แต่ “ฉากหลัง” คือการรวมพลังเพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อมาความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านมาตรา 291 ก็บังเกิดขึ้น และชัดเจนตามลำดับจนกระทั่งนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นัดประชุมเพื่อพิจารณาวาระที่ 1 จากนั้นมีการตั้งกรรมาธิการ ไปจนถึงวาระที่ 2
  
ระหว่างจบวาระที่ 2 เกิดกระบวนการซ้อนขึ้นมานั่นคือ การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง แต่ระหว่างนั้นเกิดการ “ยื่นเรื่อง” ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขมาตรา 291 ดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ที่สุดศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยว่า มีอำนาจรับเรื่องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันผ่านการลง “ประชามติ” จากประชาชนมา
  
หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ได้ทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญค้างการพิจารณาของที่ประชุมรัฐสภาในวาระ ที่ 3 พร้อม ๆ กับ “หยุด” กระบวนการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองไปในคราวเดียวกัน กล่าวคือ สำหรับร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ขณะนี้อยู่ในระเบียบรอเพียง “เวลา” ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นเสียงข้างมากหยิบขึ้นมาพิจารณาเท่านั้น ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาโดยมี นายโภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร
  
หลังใช้เวลาศึกษาอยู่นานหลายเดือนที่สุดก็มีความเห็นเสนอให้รัฐบาลทำ “ประชามติ” หากต้องการที่จะเดินหน้าโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291
  
เป็น 1 ปีที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย “หายใจเข้าออก” มีแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  
กลับมาในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่มีความชัดเจนว่า รัฐบาลจะจัดให้มีการทำประชามติอย่างไรและเมื่อไหร่หลังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศชัดเจนว่า จะทำ “ประชามติ” เพื่อหาข้อยุติในปัญหาความขัดแย้งที่ว่าด้วยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง ฉบับ
  
ต้องบอกว่าแต่ละหนทางที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเลือกเดินนั้นล้วนเป็นเรื่อง ยากและสุ่มเสี่ยงที่จะเกิด “ภาวะแทรกซ้อน” ทางการเมืองอย่างยิ่ง
  
สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว มี 2 กรณีเท่านั้นในขณะนี้
  
กรณีแรก การแก้ไขทั้งฉบับ มีทางเลือกที่จะเดินดังนี้
  
1. เดินหน้าโหวตวาระ 3 กรณีมีเสียงสนับสนุนจาก นปช. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางส่วนโดยมองว่าสามารถที่จะทำได้ แต่ก็มีบางส่วนมองว่าอาจจะกลายเป็นปัญหาจนกระทบถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเนื่อง จากจะมี “บางฝ่าย” ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การแก้ไขดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 68 จนนำมาซึ่งการ “ยุบพรรค” หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อีกทั้งกรณีนี้ยังเป็นการ “ฝืน” คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
  
2. การเดินหน้าทำประชามติ ทางนี้นอกจากจะเลี่ยงมาตรา 68 ยังเป็นการปฏิบัติตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย แต่การ
เดินทางนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมี “อุปสรรค” ในหลายขั้นตอน อาทิ
  
2.1 สามารถทำประชามติได้หรือไม่ ในเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ยังคาอยู่ในที่ประชุมรัฐสภาเช่นนี้ เนื่องจากมองว่า การทำประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ที่ว่าเรื่องการทำประชามตินั้นขัดกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291
  
2.2 กระบวนการทำประชามติครั้งนี้ เป็นการทำประชามติภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งกำหนดวิธีการ กระบวนการขั้นตอนไว้ โดยเฉพาะในมาตราที่เปิดโอกาสให้มีการร้องศาลปกครองภายหลังจากที่รัฐบาล ประกาศให้มีการทำประชามติเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อถึงตรงนั้นก็น่าสนใจไม่น้อยว่า กระบวนการทำประชามติ จะแท้งก่อนหรือไม่
  
2.3 เกณฑ์การผ่านประชามติก็เป็นอีกประเด็นที่รัฐบาลหวั่นวิตก เพราะการหาเสียงให้ได้ “ผู้มีสิทธิ” ให้เกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิทั้งหมดและต้องได้เกินกึ่งของ “ผู้มาใช้สิทธิ”
  
ตัวเลข 24 ล้านเสียงขึ้นไปจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับรัฐบาล แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เพราะในสมัยของการ ประชามติครั้งรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีผู้มีสิทธิมาออกเสียงถึง 25 ล้านคน ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิทั้งหมด ที่สำคัญองคาพยพของรัฐบาลในวันนี้ซึ่งมีพร้อมสรรพ ทั้งอำนาจรัฐ ปัจจัยสนับสนุน มวลชนคนเสื้อแดง
  
ในกรณีที่ “ประชามติ” ผ่านก็เดินหน้าต่อ แต่ถ้า “ประชา มติ” ไม่ผ่าน รัฐบาลก็ยังอ้างได้ว่าได้ข้อยุติแล้วว่าไม่ให้แก้ทั้งฉบับ ฉะนั้นก็จะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ “รายมาตรา” ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เองว่าให้ทำได้
  
ขณะที่กรณีแก้ไขรายมาตรา ซึ่งรัฐบาลสามารถทำได้อยู่แล้ว แต่การแก้ไขในประเด็นที่เป็นปัญหานั้น “ไม่ตอบโจทย์” ทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะการแก้ไขมาตรา 309 ซึ่งจะมีผลต่อคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สำคัญการแก้ไขรายมาตราจะทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปลอดภัยในทางการเมือง จะมีก็แต่เสียงวิจารณ์ว่า การแก้ไขเช่นนี้ เป็นการไม่ทำตามเสียงของประชาชนเพราะพรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ว่า จะมาแก้ไขทั้งฉบับ
  
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการทางไหนดูเหมือนก็เต็มไปด้วย “ขวากหนาม” ทั้งสิ้น จะทางคอนกรีตคือการทำประชามติ ก็ไม่ง่าย จะทางลูกรัง ขรุขระอย่างการเดินหน้าโหวตของ “ล่อแหลม” ในทางการเมืองเกินไป
   
หนทาง “กลับบ้าน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะคิดจะทำจนทำให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล มีน้องสาวอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกก็ตาม
  
จึงอาจกล่าวได้ว่า ปีพ.ศ. 2555 ที่กำลังผ่านจึงเป็นปีที่พรรคเพื่อไทย “หมกมุ่น” กับการแก้ไขกติกาบ้านเมืองโดยแท้ และเชื่อว่า ปี พ.ศ. 2556 ที่กำลังคืบคลานเข้ามาก็จะเป็นอีกปีที่พรรคเพื่อไทย จะได้พยายามแก้ไขทั้งฉบับหรืออีกนัยหนึ่งคือการฉีกรัฐธรรมนูญให้จงได้.

“องอาจ”จับตา“แม้ว”เดินเกมหนุนประชามติ 24.3 ล้าน



ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ ( 23 ธ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โฟนอินเข้ามายังการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่ โบนันซ่า เขาใหญ่ ถึงการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าหมูมากในการที่จะได้รับเสียงสนับสนุน ประชามติจำนวน 24.3 ล้านเสียง ว่า พรรคประชาธิปัตย์รู้สึกกังวลว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังวางแผนทำอะไรที่มิชอบหรือไม่ เพื่อให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง เพราะต้องแม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ก็พูดในทำนองเดียวกันว่าควรแก้ไขเป็นรายมาตราดีกว่า เพราะไม่แน่ใจว่า เสียงประชามติจะถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงหรือไม่ แต่ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะคิดแผนอะไรขอให้เป็นแผนที่ถูกต้องชอบธรรม เพราะที่ผ่าน พ.ต.ท.ทักษิณ เล่นเล่ห์เพทุบาย โดยไม่คำนึงความถูกต้องชอบธรรม หวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่สั่งให้รัฐบาลทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าทำอย่างนั้นบ้านเมืองมีปัญหาแน่นอน 

นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้มีการถกเถียงกันมากเรื่องมาตรา 309  ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข แต่ขณะนี้รัฐบาลกลับใช้ยุทธการยัดเยียดข้อหาเผด็จการว่า ใครไม่ต้องการแก้มาตรา 309 ถือเป็นพวกเดียวกับเผด็จการ ตนเห็นว่าเป็นความพยายามเอาประชาชนมาบังหน้า เอาความเป็นประชาธิปไตยมาปิดบังอำพราง ซ้อนเร้น เพราะหากแก้ไขมาตรา 309 จะส่งผลให้การตรวจสอบคดีความต่างๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวในหลายคดี ก็จะถูกลบล้างไป

ส่วนที่พรรคเพื่อไทย อ้างว่าจะมอบหมายให้ ส.ส.ร. 99 คนไปจัดทำรัฐธรรมนูญนั้น  นายองอาจ กล่าวว่า  เห็นได้ชัดว่า การได้มาของ ส.ส.ร. 99 คนนั้นจะมีกระบวนการเครือข่ายรัฐบาลเข้ามาเป็นส.ส.ร. 22 คน ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของประธานสภาฯ  ส่วนที่เหลือมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งถ้ามองพื้นฐานจากการเลือกตั้งปี 54 ก็รู้ว่าฐานเสียงของพรรคการเมืองใดอยู่ที่ไหน ดังนั้นเป็นเรื่องไม่ยากที่รัฐบาจะอาศัยกลไกของรัฐ เอาคนของตัวเองเข้ามา ทำให้รัฐบาลมีเสียงข้างมากในส.ส.ร. จะร่างรัฐธรรมนูญแบบไหนก็ได้ จึงไม่เป็นความจริงว่าการเลือกตั้ง    ส.ส.ร.มาจากประชาขน  เป็นเพียงการเอาประชาชนมาบังหน้าเพื่อไปสู่เป้าหมายของตัวเองที่วางไว่เท่า นั้น

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources