วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แห่ขอเลขเด็ดวิญญาณเฮี้ยนผัวถูกฆ่าหั่นศพ


จากกรณีที่ น.ส.พรสุรีย์ ดีแผ่ว อายุ 36 ปี เมียสาว ที่มีอาการคลั่งจากฤทธิ์ยาบ้า ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ นายประสิทธิ์ ศรีสมบุญญานนท์ อายุ 47 ปี อดีตดีไซเนอร์ ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัว ที่ห้องพักเลขที่ 714 ชั้น 7 ธิติวงศ์อพาร์ตเมนต์ ซอยบางขุนนนท์ 12 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. ก่อนชำแหละชิ้นส่วนยัดใส่กระเป๋าเดินทาง ตัดศีรษะโยนทิ้งคลองบางกอกน้อย ต่อมาจึงเกิดเรื่องสยองขวัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมห้องผู้ต้องหาพบว่า กระเป๋าของกลางที่ใส่ศพ นายประสิทธิ์ ขยับลากไปเองได้ และเมียสาวพบร่างไร้หัวสามีลอยร้องไห้อยู่นอกห้องขัง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า วันนี้( 10 ต.ค.) พ.ต.อ.สุกิจ อรุณฤกษ์ถวิล ผกก.สน.บางขุนนนท์ เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล อาจเพราะเจ้าหน้าที่มีความอ่อนเพลีย แต่ไม่ขอลบหลู่ ส่วนกระเป๋ายังคงวางอยู่ที่เดิมภายในห้องขังเพื่อรอกองพิสูจน์หลักฐานนำไป ตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม วันที่ 13 ต.ค. นี้ ซึ่งตรงกับวันตำรวจ จะทำบุญเลี้ยงพระพอดี แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องกระเป๋าใบดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศบริเวณหน้าห้องควบคุมผู้ต้องหา มีกลุ่มแม่ค้า พ่อค้า และชาวบ้านที่ได้ยินเรื่องกระเป๋าสยองขวัญดังกล่าว มาขอดูเพื่อหวังจะขอเลขเด็ด เพราะความเฮี้ยน แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตเนื่องจากกระเป๋าดังกล่าวเป็นวัตถุพยานซึ่งมีผลต่อ รูปคดี 

แม่ค้าขายธงชาติโดนกระชากกระเป๋าสูญเงินกว่า 7 แสน


วันนี้( 10 ต.ค.) ร.ต.อ.นิกร เฮ้าบุญ พงส.( สบ 1 ) สน.หนองแขม รับแจ้งผู้หญิงถูกกระชากกระเป๋า ภายในซอยหมู่บ้านหรรษา ซอยเพชรเกษม 81/6 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม ไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบ น.ส.ลักขณา กิจรัชชานนท์ อายุ 47 ปี ยืนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมให้การว่า ประกอบธุรกิจค้าขายธงชาติทุกประเทศ ได้เดินทางมาทานอาหาร และตรวจสอบงานที่จ้างให้ตัดธงชาติภายในซอยดังกล่าว ระหว่างที่เดินอยู่ได้มี จยย.นั่งซ้อนกันมา ขับมาด้านซ้ายมือ กระชากกระเป๋าถือยีนส์ สีน้ำเงิน ออกไปจากมือซ้าย จนล้มกระแทกลงกับพื้น ได้รับบาดเจ็บที่ศอกซ้าย และหัวเข่าขวา ภายในกระเป๋ามี สร้อยคอทองคำ 5 บาท 1 เส้น สร้อยทองข้อมือ 1 เส้น แหวนน้ำหนัก 1 สลึง  5 วง พระเลี่ยมทองคำ 3 องค์ เช็คกว่า 10 ใบ มูลค่าประมาณ 3 แสนกว่าบาท เงินสด 6 หมื่นบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 7 แสนบาท

ร.ต.อ.นิกร กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงพบ รถจยย. ฮอนด้า คลิก สีส้มดำ ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน คนขับ และคนซ้อนเป็นชายรูปร่างสันทัดสวมหมวกกันน๊อค  วิ่งผ่านมา จึงได้ประสานขอภาพที่จับคนร้ายได้ส่งมอบให้กับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป  

ปคบ.รวบพ่อเล้าหลอกสาวค้ากามญี่ปุ่น


วันนี้( 10 ต.ค.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม.  แถลงจับกุม นายนิรันด์ พันธุ์เสงี่ยม อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาขบวนการค้ามนุษย์ ไทย-ญี่ปุ่น ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1035/2555 ลงวันที่ 25 ก.ค.โดยสมคบและร่วมกับนายจักรพันธุ์ วัชรพินธุ์ หรือแจ๊ค ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม. จับกุมดำเนินคดีในข้อหาค้ามนุษย์ไปแล้วก่อนหน้านี้  โดยจับกุมได้ที่ย่านสุขุมวิท
พล.ต.ต.ชวลิต  กล่าวว่า  สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 54 นางสาวตา (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่นให้รอดพ้นจากการถูกบังคับค้าประเวณี ได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปคม. ว่าเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 54 ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับนายนิรันด์ ผู้ต้องหา  เพื่อจะทำไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านคาราโอเกะ มีรายได้เดือนละ 680,000 บาท แต่เมื่อเดินทางไปถึงประเทศญี่ปุ่น นายนิรันดร์ ได้พาเดินทางไปยังเมืองมัตสุโมโต้ จังหวัดนากาโน่ เพื่อส่งให้กับนางอรชร ฮายาชิ  และชายชาวญี่ปุ่นชื่อนายฮายาชิโอ๊ะ  จากนั้นถูกบังคับให้ค้าประเวณีกับขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติไทย-ญี่ปุ่น   โดยหลังจากนี้จะมีการขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีต่อไป
จากการสอบสวนนายนิรันดร์  ให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่าพาผู้เสียหายไปประเทศญี่ปุ่นจริง  แต่ไม่ได้มีบังคับให้ค้าประเวณีและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้า มนุษย์ โดยได้พาผู้เสียหายเดินทางไปส่งที่สนามบินนารีตะ ประเทศญี่ปุ่น และนั่งรถไฟต่อไปเมืองนากาโน่ จากนั้นส่งตัวให้นางอรชร ก็เดินทางกลับโดยทันที  ซึ่งตนเองถูกนายแจ๊คหลอกให้พาผู้เสียหายไปพบญาติที่ญี่ปุ่น ส่วนรายละเอียดอื่นๆไม่ขอเปิดเผยพร้อมเตรียมสู้คดีในชั้นศาล  จึงแจ้งข้อหาสมคบกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพื่อค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จาก การค้าประเวณีโดยการใช้อุบายหลอกลวง หน่วงเหนี่ยวกักขัง ขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมโดยใช้วิธีข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาล่อไป หรือพาไปเพื่อบังคับให้หญิงนั้นค้าประเวณี

ปทส.เข้าค้นบริษัทดูดทราย 3 แห่งพิมาย


วันนี้(10 ต.ค.) พล.ต.ต.นรศักดิ์ เหมนิธิ ผบก.ปทส. พ.ต.อ.ศิริพงษ์ เพ็ชรศิริรักข์ ผกก. 3 บก.ปทส. พ.ต.ท.ธราดล เหมพัฒน์ พงส.(สบ3) บก.ป. ช่วยราชการ บก.ปทส. นำกำลังตำรวจ 50 นาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมหมายค้นศาลอาญาเข้าตรวจค้นสถานประกอบการดูดทราย 3 แห่ง ใน ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา หลังมีชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนไปยังคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบรามการ ทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ว่า ได้รับความเดือดร้อนจากสถานประกอบการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นลำน้ำจักราช หรือลำน้ำวังหินเกิดตลิ่งพัง มีน้ำขุ่นปะปนมากับน้ำประปา และรถบรรทุกขนาดใหญ่ผ่านเข้าออกเส้นทางทำให้ถนนเสียหาย เป็นต้น
จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเพียงคนงานในสถานประกอบการจำนวนหนึ่ง โดยหนึ่งในสถานประกอบการได้นำเอกสารการขออนุญาตมาแสดงแล้ว ส่วนอีก 2 แห่งยังไม่ได้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดง อย่างไรก็ตามได้ยึดเครื่องจักรและอุปกรณ์การดูดทรายทั้งหมดเป็นของกลางในคดี แต่ให้เจ้าของแต่ละแห่งเก็บรักษาเอาไว้แต่ห้ามนำมาใช้งานจนกว่าคดีจะถึงที่ สุด ส่วนการสอบสวนดำเนินคดีนั้น บก.ปทส.ได้ทำเรื่องถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอโอนคดีจาก สภ.พิมาย มาสอบสวนเอง
พล.ต.ต.นรศักดิ์ กล่าวว่า มีการร้องเรียนบ่อดูดทรายในพื้นที่หลายแห่งมาตั้งแต่ปี 2552 เมื่อชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนมากจึงมีการ้องเรียนไปยังคณะ กรรมาธิการฯ สภาผู้แทนราษฎร ก่อนจะมีการประสานงานมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย บช.ก.ได้มอบหมายให้ บก.ปทส.เข้าดำเนินการ โดยจะสอบสวนว่าสถานประกอบการแต่ละแห่งที่เข้าตรวจค้นนั้นได้มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ.ขุดดินถมดิน พ.ร.บ.โรงงาน และพ.ร.บ.เดินเรือในน่านน้ำไทย หรือไม่ จากนั้นจะได้เรียกเจ้าของสถานประกอบการมาชี้แจงต่อไป

ปคม.จับสาวต่างชาติลอบค้าประเวณีนักท่องเที่ยวย่านซอยนานา


วันนี้( 10 ต.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม.แถลงจับกุมหญิงสาวชาวต่างชาติ ที่ลักลอบค้าประเวณีที่ย่านซอยนานา และถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา สามารถจับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นชาวอุซเบกิสถาน 2 ราย และชาวอูกันดา 3 ราย
พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า ทาง บก.ปคม.ได้รับร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่า มีหญิงสาวเร่ขายบริการทางเพศสร้างความเดือดร้อนรำคาญ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอีกด้วย ชุดสืบสวน กก.1 บก.ปคม.จึงลงพื้นที่สืบสวนติดตาม กระทั่งพบกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเสนอบริการทางเพศในราคาระหว่าง 3,000-5,000 บาท จึงแสดงตัวเข้าจับกุม เบื้องต้นทราบว่าทั้งหมดเดินทางเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว ก่อนจะลักลอบค้าประเวณีดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่จะเร่งขยายผลว่ามีคนไทย หรือผู้ใดเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่ ส่วนผู้เสียหายจะเร่งดำเนินการเพื่อผลักดันออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นการป้องกันปัญหาการสร้างเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยพบพฤติการณ์ผู้ต้องหาที่เริ่มต้นจากการค้าประเวณี หรืออยู่ในขบวนการดังกล่าว ก่อนจะมีการชักจูง หรือล่อลวงหญิงสาวต่างชาติให้เข้ามาค้าประเวณี จนเป็นขบวนการค้ามนุษย์รายใหญ่ ส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

บุกจับ5เกาหลี ลอบเปิดเว็บรับแทงฟุตบอล-กีฬาทั่วโลก


วันนี้( 10 ต.ค.) พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชาติชาย เอี่ยมแสง รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ทิฆัมพร ศรีสังข์ ผกก.2 บก.สส.สตม.พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ กก.2 บก.สส.สตม.นำหมายค้นศาลอาญากรุงเทพใต้ เลขที่ ค.380/2555 ลงวันที่ 10 ต.ค. เข้าตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 599/30 หมู่บ้านกลางกรุงซอย 1 ถนนนนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา หลังสืบทราบว่า มีแก๊งชาวเกาหลีใต้ใช้บ้านหลังดังกล่าวลักลอบเปิดเป็นบ่อนการพนันออนไลน์

บ้านหลังดังกล่าวเป็นทาวน์โฮมหรูสูง 4 ชั้น จากการตรวจสอบบริเวณชั้น 2 ของบ้านพบนายลิม เคียว จิน อายุ 24 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ รับเป็นเจ้าของบ้าน ขณะเดียวกันก็พบชาวเกาหลีใต้อีก 4 คน ประกอบด้วยนายโฮดองยัง นายคิมวูยุก นายลีฮุนจุน และนายลียองปาย นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ 4 เครื่อง กำลังแบ่งหน้าที่กันรับแทงพนันฟุตบอลกับการพนันกีฬาชนิดอื่นๆ ผ่านเว็บไซด์ www.ScoreNARA.com และคิดเงินในบัญชีของลูกค้า เจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุมพร้อมยึดของกลางเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ จำนวน 4 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก 2 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง และแท็บเล็ตอีก 1 เครื่อง

พ.ต.อ.ชาติชาย เปิดเผยว่า การเข้าจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. ได้รับการประสานจากตำรวจสากลว่า มีชาวเกาหลีใต้จำนวน 22 คน หลบหนีการจับกุมออกมาจากประเทศกัมพูชา และเข้ามาลักลอบเปิดเว็บไซด์รับแทงพนันฟุตบอลและกีฬาอื่นๆในประเทศไทย จึงทำการตรวจสอบจนกระทั่งพบว่า มีชาวเกาหลี รวมกลุ่มเข้ามาพักอาศัยอยู่บ้านหลังดังกล่าว เมื่อนำกำลังมาตรวจสอบก็พบว่า บ้านหลังดังกล่าว มีชาวเกาหลีเข้าออกจากบ้านหลายคน รวมทั้งมีการใช้ม่านปิดตามหน้าต่าง ใช้ตัวหนีบปิดช่องว่างทุกช่องไว้เป็นอย่างดี จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นจากศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าตรวจค้นภายในบ้านหลังดังกล่าวก็พบผู้ต้องหาทั้ง 4 คน กำลังแบ่งหน้าที่กันรับแทงและคิดบัญชีเงินของลูกค้า จึงเข้าจับกุมพร้อมของกลางดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีเกินกว่า 10 ล้านบาท

พ.ต.อ.ชาติชาย กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นนายลิมเคียวจิน อ้างว่า เช่าบ้านหลังดังกล่าวพักอาศัยมาแล้ว 7 ปี โดยทำอาชีพนำทัวร์ ส่วนเพื่อนอีก 4 คน เพิ่งเข้ามาขอพักอาศัยที่บ้านเพื่อทำเว็บไซด์รับแทงพนันฟุตบอลได้ประมาณ 2 เดือน จึงแจ้งข้อหาชักชวนให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน พร้อมทั้งจะทำการตรวจสอบว่าผู้ต้องหาทั้ง 5 คนอยู่ในกลุ่ม 22 คนที่หลบหนีออกมาจากกัมพูชาหรือไม่ นอกจากนี้จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง คือทำการยกเลิกวีซ่า พร้อมทั้งขึ้นบัญชีดำ ก่อนผลักดันออกนอกประเทศต่อไป

พระซิ่งปิกอัพเสียหลักชนเสาไฟฟ้าตกคูน้ำเจ็บและมรณะภาพ


วันนี้ (10 ต.ค.) ร.ต.ต.ยุทธเดช สุดเทียบ ร้อยเวรสอบสวน สภ.พุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม รับแจ้งรถปิกอัพเสียหลักชนเสาไฟฟ้ามีพระสงฆ์และสามเณรมรณะภาพ หลังรับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบและเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ริมถนนศาลายา – นครชัยศรี หมู่ 1 ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ที่เกิดเหตุพบรถยนต์ปิกอัพ ยี่ห้อฟอร์ด 4 ประตู สีน้ำเงิน ทะเบียน ปว 7938 นครปฐม พลิกคว่ำอยู่ในคูน้ำข้างทาง กว้างประมาณ 5 เมตร มีพระสงฆ์และสามเณรได้รับบาดเจ็บตกลงอยู่ในน้ำ ร้องขอความช่วยเหลือ ชาวบ้านผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้ลงไปช่วยขึ้นมาจากน้ำนำส่งโรงพยาบาลนครชัยศรี และโรงพยาบาลพุทธมณฑล 5 ราย ทราบชื่อ สามเณรภานุพงษ์ จูสม อายุ 14 ปี สามเณรจิระพันธ์ อารมณ์สุขโข อายุ 14 ปี สามเณรอภิวัฒน์ กิ่งแก้ว อายุ 15 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนสามเณรมนตรี แก้วประทุม อายุ 16 ปี มรณะภาพในเวลาต่อมา อีกรายสามเณรไม่ทราบชื่อ แพทย์อยู่ระหว่างให้ความช่วยเหลือ
ส่วนที่ รพ.นครชัยศรี 8 ราย ประกอบด้วยพระฐิติพงศ์ เขียนนอก อายุ 21 ปี และ พระสมภพ อรรลีโภค อายุ 31 ปีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สามเณรเฉลิมชัย พงศ์เจริญ อายุ 13 ปี ,สามเณรสันติ วงสงฆ์ อายุ 14 ปี สามเณรธนพล  แซ่ลิ้ม อายุ 15 ปี สามเณรเกรียง บูชา อายุ 15 ปี ส่วนสารเณรนิกร สุระโภคา อายุ 13 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสและมรณะภาพระหว่างนำส่ง รพ.สามเณรสุรัตน์ เพิ่มสันเที๊ยะ อายุ 15 ปี สามเณรธงชัย หงส์รักษา อายุ 14 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส แพทย์ต้องนำส่งต่อ รพ.นครปฐม สามเณรขวัญชัย บึงอำพัน อายุ 15 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส แพทย์ต้องนำตัวส่งรพ.ศูนย์นครปฐมและมรณะภาพในเวลาต่อมา  และนายวรวัฒน์ หรือไอซ์ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58/1 ม. 6 ต.คลองใหม่ อ.สามพราน จ.นครปฐม ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียชีวิตระหว่างนำส่ง
จากการสอบสวนทราบว่า พระสงฆ์เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว รับสามเณรกลับจากเรียนธรรมะที่วัดมหาสวัสดิ์ อ.พุทธมณฑล เพื่อมาจำวัดที่วัดใหม่สุประดิษฐาราม อ.นครชัยศรี ระหว่างทางเกิดเสียหลักหมุนคว้างกลางถนนก่อนจะฟาดกับเสาไฟฟ้าข้างทาง และพลิกคว่ำลงไปในคูข้างทาง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 รูปและเสียชีวิต 4 รูป

สามเณรธงชัย หงส์รักษา เผยว่า สามเณรทั้งหมดนั่งท้ายกระบะรถยนต์คันดังกล่าว ออกจากวัดมหาสวัสดิ์ และกำลังจะกลับวัดใหม่สุประดิษ์ฐาราม โดยมีหลวงพี่เป็นผู้ขับขี่ จู่ๆ หลวงพี่ก็เบรกรถอย่างกะทันหัน ทำให้รถยนต์คันดังกล่าวหมุนคว้างก่อนฟาดเข้ากับเสาไฟฟ้าและพลิกคว่ำลงไปใน คลอง ตนและเพื่อนสามเณรต่างกระเด็นออกจากท้ายกระบะไปคนละทิศละทาง ได้ยินแต่เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯมาช่วยนำส่ง รพ.
เบื้องต้นสันนิษฐานรถอาจเกิดความขัดข้องบางอย่าง หรืออาจมีอะไรตัดหน้าผู้ขับขี่จึงจำเป็นต้องเบรคกะทันหัน ทั้งนี้จะต้องรอสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ก่อนสรุปสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้

หนุ่มผช.กุ๊กควบซูเปอร์ไบท์คุมรถไม่อยู่แหกโค้งตกบึงมักกะสันดับ


เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้(11 ต.ค.) พ.ต.ท.คำพันธ์ แสนทวีสุข พงส.(สบ 2) สน.ดินแดง ได้รับแจ้งเหตุรถจยย.ชนขอบทางพลัดตกลงไปในน้ำ บริเวณทางโค้งเรียบบึงมักกะสัน แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี จึงประสานเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำมูลนิธิร่วมกตัญญู ก่อนรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งก่อนถึงแยกอโศก-ดินแดง บริเวณพื้นถนนช่องทางขวาพบรถ จยย.ยี่ห้อซูซุกิ  6 เอสเอ็กซ์อาร์ 1000 ซีซี  ทะเบียน ษพจ 8  กรุงเทพมหานคร  สีดำ-เทา  ล้มอยู่ในสภาพพังยับเยิน มีคราบน้ำมันำหลนองเต็มพื้นผิวถนน ห่างไปประมาณ 80 เมตร บริเวณขอบทางพบร่องรอยการชนและรอยคูดเป็นทางยาว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำได้ลงไปงมในบึงมักกะสันพบศพ นาย ธนากร ถมเมืองปัก อายุ 20 ปี สภาพศพสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวสีดำมีรอยฟกช้ำตามร่างกาย ก่อนนำศพส่งนิติเวชรพ.รามา
พ.ต.ท.คำพันธ์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตายทำอาชีพผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นย่าน สุขุมวิท 32 และก่อนเกิดเหตุไปเที่ยวกับเพื่อนหลังจากนั้นได้ขี่จยย.คันดังกล่าวเพื่อที่ จะกลับบ้านที่ย่านซอยหมอเหล็ง มาด้วยความเร็วสูงแล้วควบคุมรถไม่อยู่จึงชนขอบทางเข้าอย่างจังก่อนตัว กระเด็นตกลงไปในน้ำจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตดังกล่าว

ยิงร้านแต่งรถจยย.ย่านดินแดงดับ1 เจ็บอีก3


เมื่อเวลา 02.05 น.วันนี้( 11 ต.ค.) พ.ต.ท.คำพันธ์ แสนทวีสุข พงส.(สบ2)สน.ดินแดง ได้รับแจ้งมีคนถูกยิงที่ร้านซ่อมรถจยย.ไม่มีชื่อ บ้านเลขที่ 5947 ถนนอโศก-ดินแดง แขวงและเขตดินแดง  จึงนำกำลังเดินทางไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์1 คูหา สูง 4 ชั้น เปิดเป็นร้านซ่อมรถจยย. ที่หน้าร้านมีเศษขวดเบียร์แตกกระจายเป็นจำนวนมาก ภายในร้านพบ นายอาทิตย์ หรือดุ่ย ประพฤติชอบ อายุ 20 ปี ช่างซ่อมรถประจำร้าน นาย แบงค์ (นามสมมติ) อายุ 16 ปี นักแข่งรถของร้านดังกล่าวซึ่งเคยมีดีกรีแชมป์หลายสนาม และนายอธิ หรือแอม บุญสิน อายุ 24ปี เป็นเพื่อนของรุ่นพี่นายอาทิตย์ ขณะกำลังรอให้การต่อทางเจ้าหน้าที่
นายอาทิตย์ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังนั่งซ่อมอะไหล่รถจยย.อยู่ในร้าน เพื่อเตรียมรถไปแข่งทางตรงรุ่น125 ซีซี ระยะทาง 402 เมตร ในวันที่13 ต.ค. ที่สนามเทพนคร  ย่านถนนพระราม 2 จ.สมุทรสาครเพื่อ ชิงถ้วยพระราชซึ่งที่ร้านของตนเพิ่งจะได้ที่1 มาในสนามที่แล้ว โดยมี นายแบงค์ และนายอธิ เพื่อนรุ่นพี่ที่มาหาที่ร้านนั่งเล่นอยู่ด้วยกันที่ชั้นล่าง และเห็นว่าดึกแล้วจึงได้ปิดประตูร้าน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงรถจยย.หลายคันบิดมาที่หน้าร้านแล้วมีเสียงขวดแตกอยู่ด้านหน้า ร้าน จึงเดินออกมาดูก็เห็นวัยรุ่นประมาณ10 คน ขี่รถจยย.ประมาณ 4 คันโยนขวดเบียร์มาที่หน้าร้านก่อนขับรถหนีไป ห่างกันไม่นานทั้งหมดก็กลับมาขว้างขวดเบียร์ใส่หน้าร้านอีก จึงวิ่งขึ้นไปแอบดูอยู่ที่ชั้นสอง พอเวลาผ่านไปไม่นานกลุ่มจยย.ดังกล่าวก็วนรถกลับมาอีกรอบคราวนี้ได้ยินทั้ง เสียงขวดและเสียงดังคล้ายระเบิด เบื้องต้นไม่ทราบว่าเป็นฝีมือใคร เพราะไม่เคยมีเรื่องกับใครมาก่อน และไม่รู้จักพวกก่อเหตุด้วย แต่จะเกี่ยวกับการแข่งขันรถหรือไม่ไม่ทราบ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยรอบ ปรากฏว่า บนทางเท้าห่างจากร้านออกไปประมาณ 20 เมตรพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ตกอยู่ 1 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน และห่างออกไปกว่า 200 เมตรที่พื้นผิวถนนบริเวณหน้าปากซอยสุทธิพร 3 พบคราบเลือดเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงทำการประสานไปยังโรงพยาบาลข้างเคียงว่ามีใครได้รับบาดเจ็บ เข้ามารักษาตัวหรือไม่ ก่อนพบว่าที่ รพ.ราชวิถี มีคนถูกยิงเข้ามารักษาตัวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทราบชื่อ นายทวีศักดิ์ หรือโอเล็ก แก้วเชิด อายุ 20 ปี หลานชายเจ้าของร้านสกรีนเสื้อแห่งหนึ่งในซอยประชาสงเคราะห์12 อยู่บ้านเลขที่ 105/1 ซอยเพ็ญและเพื่อน แขวงและเขตดินแดง ซึ่งถูกยิงด้วยอาวุธปืนยังไม่ทราบขนาดเข้าที่ด้านหลังศีรษะ 1 นัด นายนพ (นามสมมติ) อายุ 16ปี ถูกยิงที่หน้าอกทะลุปอดอาการสาหัส และนายมงคลศักดิ์ หรือหมู นึกสูงเนิน อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1446 ถนนดินแดง แขวงและเขตดินแดง ถูกยิงที่บั้นท้าย 1 นัด นอกจากนี้ยังได้รับการประสานว่ามีผู้บาดเจ็บได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.พระมงกุฎเกล้าอีก 1 ราย ทราบชื่อ นายพรชัย หรือบูม อินทร์แก้ว อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1243 ซอยสุทธิพร แขวงและเขตดินแดง จึงเดินทางไปตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.พจน์ บุญมาภาคย์ รอง ผบก.น.1 เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า มีกลุ่มคนร้ายวัยรุ่นประมาณ 10 คน ขี่รถจยย. ประมาณ 4 คันมาขว้างปาขวดเบียร์ใส่หน้าร้านซ่อมรถดังกล่าวซึ่งเป็นของนายปุ๊ (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) หลายรอบ กระทั่งรอบสุดท้ายได้มีการเข้าไปทำร้ายร่างกายกันถึงในร้าน และมีเสียงปืนดังขึ้นจำนวนหลายนัด จนทำให้ฝ่ายของนายทวีศักดิ์ ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ อยู่ระหว่างสอบสวนทั้งสองฝ่าย และพยานแวดล้อมในที่เกิดเหตุ รวมทั้งนายปุ๊ด้วย เพราะขณะเกิดเหตุนายปุ๊ไม่อยู่ที่ร้าน ส่วนสาเหตุของการก่อเหตุทราบว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ตายเคยมีเรื่องกับทางร้านของนายปุ๊เกี่ยวกับอะไหล่ซ่อม รถจยย.ทำให้กลุ่มผู้ตายเกิดความไม่พอใจ จนมีเรื่องชกต่อยกันที่ร้านไปดังกล่าวมาก่อนแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กระทั่งกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง แต่ตอนแรกนายอาทิตย์ยังไม่กล้าเปิดเผยต่อเจ้าหน้าที่ จนถูกเค้นมากเข้าจึงยอมเปิดปากรับว่าที่ร้านเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่ม ผู้ตายมาก่อนแล้ว และเมื่อกลางดึกก็ได้มีการเข้าไปทำร้ายร่างกายกันภายในร้านอีกด้วย แต่ยังไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนลงมือยิงกลุ่มผู้ตาย เพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่พบอาวุธปืนของกลาง และไม่พบปลอกกระสุนภายในร้านแต่อย่างใด
พ.ต.อ.พจน์ เผยต่ออีกว่า ในช่วงสายของวันนี้จะนำคู่กรณีทั้งสองฝ่ายไปตรวจหาเขม่าดินปืนเพื่อหาตัวคน ก่อเหตุยิงนายทวีศักดิ์เสียชีวิต และผู้ที่ ได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้จะให้ฝ่ายสืบสวนเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดยรอบเพื่อหากลุ่มที่เข้าไป ก่อเหตุว่าเป็นใครบ้าง เพื่อจะได้ขออนุมัติออกหมายจับต่อไป ส่วนนายหมูขณะนี้ได้ย้ายไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจแล้ว  นายนพยังคงรักษาตัวอยู่ที่รพ.ราชวิถี และนายบูม ทางแพทย์ให้กลับบ้านได้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะเรียกมาสอบปากคำอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงสายคดีน่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น  ทั้งนี้เรื่องปูมเหตุคดีนี้ไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกับการแข่งขันรถจยย.ใน สนามแต่อย่างใด.

คนร้ายย่ามใจบุกชิงทรัพย์เซเว่นกลางกรุง


เมื่อเวลา 01.15 น. วันที่ 10 ต.ค. ร.ต.ต.พีระกิตต์ หาญกล้า พงส.(สบ 1) สน.พญาไท รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนเข้าชิงทรัพย์ภายในเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาปากซอยเพชรบุรี 25 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย ร.ต.อ.สิปปนนท์ พ่วงขวัญ รองสว.สส.สน.พญาไท และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน

ที่เกิดเหตุเป็นร้านสะดวกซื้อเปิด 24 ชม. ภายในร้านพบน.ส.จิราพัชร อัตจันทร์ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 242/2 ม.13 ต.โนนคูน อ.ยาวชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ พนักงานขาย ซึ่งอยู่ในอาการตื่นตกใจ จากการตรวจสอบทรัพย์สินภายในร้านถูกชิงทรัพย์เป็นเงินสดกว่า 1,000 บาท จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนน.ส.จิราพัชร เปิดเผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ก่อนเกิดเหตุตนขณะปฏิบัติหน้าที่ตามปกติอยู่บริเวณหน้าเคาเตอร์แคชเชียร์ เพียงคนเดียวเนื่องด้วยเป็นเวลาพักเพื่อผลัดเปลี่ยนเวร ของพนักงานได้มีชายรูปร่างผอมสูง อายุประมาณ 25-35 ปี สวมหมวกแก็ป แว่นตากันแดดสีดำและผ้าปิดปากเพื่อปิดบังใบหน้า สวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวใช้อาวุธปืนขนาด 11มม. สีดำ โดยยังไม่ทราบว่าเป็นอาวุธจริงหรือปลอม เข้ามาข่มขู่ และวางกระเป๋าผ้าสีดำขนาดใหญ่ไว้ที่เคาเตอร์ พร้อมทั้งบอกว่า “ให้ส่งเงินมาภายใน 5 วินาทีไม่ฉะนั้นยิง” ตนจึงให้เงินที่เพิ่งรับจากลูกค้าก่อนหน้านี้เป็นเงินกว่า 1,000 บาทไป  เมื่อคนร้ายได้เงินสดแล้วหลบหนีไปในซอยเพชรบุรี 23 จากนั้นตนจึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เบื้องต้นขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกำลังเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่เกิดเหตุ และสอบปากคำพนักงานภายในร้านให้ได้รูปพรรณคนร้าย และเก็บรอยนิ้วมือแฝงของคนร้าย เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป.
   

ผลตรวจโครงกระดูกไร่"หมอสุพัฒน์" ชัดเป็นคนงานพม่าที่สูญหาย


วันนี้( 10 ต.ค.)ที่ศูนย์อำนวยการชันสูตรพลิกศพ ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ หุ่นวิจิตร หัวน้าหน่วยนิติพันธุกรรมศาสตร์และหน่วยวิชาการ พร้อมด้วยทีมคณะทำงาน แถลงผลการชันสูตรโครงกระดูก ที่พบในไร่ของ พ.ต.อ.นายแพทย์ สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ โดย ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ เปิดเผยว่า ภายหลังได้นำโครงกระดูกทั้ง 3 มาตรวจพิสูจน์ ทางคณะแพทย์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำการชันสูตรในครั้งนี้ ประกอบด้วยแพทย์ทีมนิติเวช นักนิติวิทยาศาสตร์ ทีมทันตแพทย์จากภาควิชารังสีวิทยา คณะทันตแพทย์ จุฬาลงกรณ์ โดยดำเนินการตรวจโครงกระดูกตามหลักนิติมานุษยวิทยา การตรวจฟันตามหลักนิติทันตกรรม และการตรวจสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ

โดยผลการชันสูตรสามารถสรุปได้ว่าโครงกระดูกทั้ง 3 โครงเป็นเพศชาย และตรวจพบรูที่คาดว่าน่าจะเกิดจากร่องรอยของกระสูนปืนทางเข้าบริเวณที่ กะโหลกศีรษะ 2 โครงกระดูก ส่วนโครงที่สาม ไม่พบว่ามีร่องรอยกระสุนปืน ซึ่งผลการตรวจสารพันธุกรรมสามารถยืนยันได้ว่าหนึ่งในโครงกระดูกทั้ง 3 คือ นายต้า หรือตั้ง ชาวพม่า ซึ่งเป็นบิดาของ ด.ช.โซโหร่ยโหร่ย (ชาวพม่า) และนายต้า เป็นบุตรชายของ นายบิเอ่ หรือปิเอ (ชาวพม่า) จึงได้นำสารพันธุกรรมคือ เนื้อเยื่อกระพุ้งแก้ม และเส้นผม ของทั้ง 2 คนมาเปรียบเทียบพบว่าตรงกัน จึงสามารถยืนยันได้ว่าเป็นนายต้า ชาวพม่า

ในส่วนของข้อมูลการเปรียบเทียบโครงกระดูกของ นายต้า นั้น ได้ผลโดยสรุปออกมาคือ กะโหลกศีรษะ มีอายุระหว่าง 29-44 ปี กระดูกเชิงกรานมีอายุระหว่าง 20-29 ปี ส่วนฟันนั้นเนื่องจากมนุษย์เมื่อมีอายุเกิน 25 ปี ขึ้นไปฟันจะคงที่จึงยืนยันได้ว่าฟันมีอายุประมาณ 25 ปี ขึ้นไป สรุปอายุรวมโครงกระดูกประมาณ 25-44 ปี ส่วนดีเอ็นเอของภรรยา นายต้า ที่นำมาเปรียบเทียบนั้นเพื่อยืนยันว่า ด.ช.โซโหร่ยโหร่ย เป็นลูกชายของ นายต้าจริง และสำหรับรูกระสุนปืนที่พบที่ศีรษะนั้นมีขนาด 0.8 ซม.แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นขนาดใดและชนิดใด ในส่วนนี้ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายพิสูจน์
นอกจากนี้โครงกระดูกทั้ง 3 ยังมีการผุกร่อนไปตามเวลาจึงเหลือส่วนดีเอ็นเอหลงเหลือน้อย แต่ทางคณะทำงานก็ได้ทำการตรวจอย่างเต็มฝีมือและได้ทำการสร้างตัวอย่างหลาย สิบตัวอย่างเพื่อที่จะให้ผลออกมาแน่นอนไม่มีข้อผิดพลาดและทุ่มเททำงานกันแทบ จะ24ชั่วโมงใช้คณะทำงานเต็มกำลังหลาย10คนเพื่อที่จะตรวจหา สำหรับในส่วนของ นายเล็ก เฮงสุวรรณ นางเอื้อม เกิดทรัพย์ และ นายเอกพล จันทร์ลาด ที่พนักงานสอบสวน.สภ.ท่าไม้รวก ได้ส่งสารพันธุกรรมมาตรวจความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับโครงกระดูกทั้งหมดนั้น ทางคณะทำงานยังไม่พบว่ามีโครงกระดูกใดที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมตรงกับ บุคคลทั้ง 3
 สำหรับโครงกระดูกอีก 2 โครงที่เหลือที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครนั้น โครงกระดูกที่ 2 และ 3 นั้น พบว่าโครงกระดูกที่ 2 มีลักษณะผุมากกว่าอีก 2 โครงกระดูก โดยโครงกระดูกที่ 2 เป็นเพศชาย อายุประมาณ 18-21 ปี สูงประมาณ 158-168 ซม. เป็นชายเอเชีย และมีร่องรอยกระสุนปืนที่ศีรษะแต่ไม่ทราบว่าเป็นลูกกระสูนชนิดใดเพราะว่ากระ โหลกนั้นมีร่อยผุมากเกินไปแต่ยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นร่องรอยของการเจาะเข้า ของกระสูนอย่างแน่นอน ส่วนโครงกระดูกที่ 3 นั้น เป็นเพศชาย อายุประมาณ 18-24 ปี สูงประมาณ 163-172 ซม.เป็นชาวเอเชีย ไม่พบร่องรอยกระสุนปืนแต่อย่างใด ส่วนดีเอ็นเอของทั้ง 2 โครงนั้น อยู่ระหว่างการหาตัวอย่างมาเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตามหากใครสงสัยว่าจะเป็นญาติหรือยังข้องใจสามารถนำดีเอ็นเอส่งมา เปรียบเทียบดีเอ็นเอได้ต่อไป

นักศึกษามหาวิทยาลัยดังแจ้งตำรวจถูกอาจารย์ลวงข่มขืน


วันนี้( 10 ต.ค.) อาจารย์ฟ้า (นามสมมุติ) อาจารย์ครุศาสตร์ สาขาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง พานักศึกษาหญิงในคณะรวม  4 คน อายุระหว่าง 19-22 ปี ประกอบด้วย น.ส.เอ น.ส.บี น.ส.ซี น.ส.ดี(ทั้งหมดใช้นามสมมติ) เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.(หญิง) นพวรรณ พยัฆพรม พงส.(สบ.1) สน.บางยี่เรือ หลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มนักศึกษาว่าถูกอาจารย์ชายคนหนึ่งใน มหาวิทยาลัยเดียวกัน กระทำตัวไมเหมาะสม โดยพูดจาเชิงชู้สาวกับนักศึกษา พร้อมทั้งลวนลาม และเคยข่มขืนนักศึกษาโดยมี พ.ต.อ.จีรศักดิ์ ขำคง รอง ผบก.น.8 พ.ต.อ.นพรัตน์ สินมา ผกก.สน.บางยี่เรือ พ.ต.ท.วิชัย สนสกุล สว.สส. ร่วมทำการสอบสวน

จาการสอบสวน น.ส.เอ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ของสาขาดังกล่าว กล่าวว่า เมื่อประมาณ 2 ปี ที่ผ่านมาขณะที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ขณะนั้น เวลาประมาณ 03.00 น. แฟนฟนุ่มโทรมาบอกว่าอาจารย์ชายคนนี้  ให้ไปพบที่ห้องพักย่านพรานนก พร้อมกำชับบอกให้ต้องไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นตัวแฟนจะมีปัญหาเรื่องผลการเรียนในวิชาของอาจารย์คนนี้ จึงรีบออกไปพบอาจารย์ที่ห้อง เมื่อไปถึงก็พบอาจารย์อยู่ในสภาพคล้ายกับคนเมาสุรา จากนั้นอาจารย์จึงทำการข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ พร้อมกับขู่ไม่ให้นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกใคร ถ้าไม่อย่างนั้นจะได้รับผลกระทบเรื่องการเรียน และที่ต้องมาแจ้งความวันนี้ เนื่องจากตอนที่เกิดเหตุนั้นยังเรียนวิชานี้อยู่ จึงไม่กล้ามาแจ้งความเพราะกลัวเกิดปัญหาแต่ตอนนี้ใกล้จับการศึกษาจึงมาแจ้ง ความ เพื่อไม่อยากให้รุ่นน้องต้องเจอเหตุการณ์ซ้ำรอย

นอกจากนี้ น.ส.บี น.ส.ซี น.ส.ดี กล่าวว่า พวกตนก็เคยถูกอาจารย์คนดังกล่าวลวนลาม และพูดจาในเชิงชู้สาวด้วยเช่นกัน โดยน.ส.บี กล่าวว่า เมื่อปี 54 ขณะโดยสารรถทัวร์ ระหว่างการไปทำการแสดง ที่ จ.เชียงราย อาจารย์คนนี้ได้ไปรับงานมาและว่าจ้างให้พวกตนเองไปแสดง เมื่อการแสดงเสร็จสิ้น ระหว่างที่เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร อาจารย์ได้ดื่มสุราจนเมา จากนั้นได้เข้ามานั่งคู่กับตนเอง จากนั้นได้พูดจาลวนลาม เชิงชู้สาว พร้อมทั้งสัมผัสตามร่างกาย พร้อมทั้งคู่บังคับไม่ให้นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกกับใคร มิฉะนั้นจะมีผลกระทบต่อผลการเรียน ทำให้พวกตนเก็บเรื่องนี้มานาน และมีการบอกกันปากต่อปากให้ระวังอาจารย์คนนี้

ด้าน พ.ต.อ.จีระศักดิ์ ได้เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้ทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับอาจารย์คนนี้ ในข้อหาข่มขืนผู้อื่นโดยมิใช่ภรรยาของตนเอง จากนี้ทางพนักงานสอบสวน จะทำเรื่องส่งสำนวนกรณีที่ถูกข่มขืนไปยัง สน.บางกอกน้อย พร้อมทั้งประสานให้ออกหมายจับอาจารย์คนดังกล่าวมาดำเนินคดีต่อไป.

คนร้ายย่ามใจบุกชิงทรัพย์เซเว่นกลางกรุง


เมื่อเวลา 01.15 น. วันที่ 10 ต.ค. ร.ต.ต.พีระกิตต์ หาญกล้า พงส.(สบ 1) สน.พญาไท รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนเข้าชิงทรัพย์ภายในเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาปากซอยเพชรบุรี 25 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย ร.ต.อ.สิปปนนท์ พ่วงขวัญ รองสว.สส.สน.พญาไท และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน

ที่เกิดเหตุเป็นร้านสะดวกซื้อเปิด 24 ชม. ภายในร้านพบน.ส.จิราพัชร อัตจันทร์ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 242/2 ม.13 ต.โนนคูน อ.ยาวชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ พนักงานขาย ซึ่งอยู่ในอาการตื่นตกใจ จากการตรวจสอบทรัพย์สินภายในร้านถูกชิงทรัพย์เป็นเงินสดกว่า 1,000 บาท จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนน.ส.จิราพัชร เปิดเผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ก่อนเกิดเหตุตนขณะปฏิบัติหน้าที่ตามปกติอยู่บริเวณหน้าเคาเตอร์แคชเชียร์ เพียงคนเดียวเนื่องด้วยเป็นเวลาพักเพื่อผลัดเปลี่ยนเวร ของพนักงานได้มีชายรูปร่างผอมสูง อายุประมาณ 25-35 ปี สวมหมวกแก็ป แว่นตากันแดดสีดำและผ้าปิดปากเพื่อปิดบังใบหน้า สวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวใช้อาวุธปืนขนาด 11มม. สีดำ โดยยังไม่ทราบว่าเป็นอาวุธจริงหรือปลอม เข้ามาข่มขู่ และวางกระเป๋าผ้าสีดำขนาดใหญ่ไว้ที่เคาเตอร์ พร้อมทั้งบอกว่า “ให้ส่งเงินมาภายใน 5 วินาทีไม่ฉะนั้นยิง” ตนจึงให้เงินที่เพิ่งรับจากลูกค้าก่อนหน้านี้เป็นเงินกว่า 1,000 บาทไป  เมื่อคนร้ายได้เงินสดแล้วหลบหนีไปในซอยเพชรบุรี 23 จากนั้นตนจึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เบื้องต้นขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกำลังเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่เกิดเหตุ และสอบปากคำพนักงานภายในร้านให้ได้รูปพรรณคนร้าย และเก็บรอยนิ้วมือแฝงของคนร้าย เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป.

ผลตรวจโครงกระดูกไร่"หมอสุพัฒน์" ชัดเป็นคนงานพม่าที่สูญหาย


วันนี้( 10 ต.ค.)ที่ศูนย์อำนวยการชันสูตรพลิกศพ ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ หุ่นวิจิตร หัวน้าหน่วยนิติพันธุกรรมศาสตร์และหน่วยวิชาการ พร้อมด้วยทีมคณะทำงาน แถลงผลการชันสูตรโครงกระดูก ที่พบในไร่ของ พ.ต.อ.นายแพทย์ สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ โดย ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ เปิดเผยว่า ภายหลังได้นำโครงกระดูกทั้ง 3 มาตรวจพิสูจน์ ทางคณะแพทย์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำการชันสูตรในครั้งนี้ ประกอบด้วยแพทย์ทีมนิติเวช นักนิติวิทยาศาสตร์ ทีมทันตแพทย์จากภาควิชารังสีวิทยา คณะทันตแพทย์ จุฬาลงกรณ์ โดยดำเนินการตรวจโครงกระดูกตามหลักนิติมานุษยวิทยา การตรวจฟันตามหลักนิติทันตกรรม และการตรวจสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ

โดยผลการชันสูตรสามารถสรุปได้ว่าโครงกระดูกทั้ง 3 โครงเป็นเพศชาย และตรวจพบรูที่คาดว่าน่าจะเกิดจากร่องรอยของกระสูนปืนทางเข้าบริเวณที่ กะโหลกศีรษะ 2 โครงกระดูก ส่วนโครงที่สาม ไม่พบว่ามีร่องรอยกระสุนปืน ซึ่งผลการตรวจสารพันธุกรรมสามารถยืนยันได้ว่าหนึ่งในโครงกระดูกทั้ง 3 คือ นายต้า หรือตั้ง ชาวพม่า ซึ่งเป็นบิดาของ ด.ช.โซโหร่ยโหร่ย (ชาวพม่า) และนายต้า เป็นบุตรชายของ นายบิเอ่ หรือปิเอ (ชาวพม่า) จึงได้นำสารพันธุกรรมคือ เนื้อเยื่อกระพุ้งแก้ม และเส้นผม ของทั้ง 2 คนมาเปรียบเทียบพบว่าตรงกัน จึงสามารถยืนยันได้ว่าเป็นนายต้า ชาวพม่า

ในส่วนของข้อมูลการเปรียบเทียบโครงกระดูกของ นายต้า นั้น ได้ผลโดยสรุปออกมาคือ กะโหลกศีรษะ มีอายุระหว่าง 29-44 ปี กระดูกเชิงกรานมีอายุระหว่าง 20-29 ปี ส่วนฟันนั้นเนื่องจากมนุษย์เมื่อมีอายุเกิน 25 ปี ขึ้นไปฟันจะคงที่จึงยืนยันได้ว่าฟันมีอายุประมาณ 25 ปี ขึ้นไป สรุปอายุรวมโครงกระดูกประมาณ 25-44 ปี ส่วนดีเอ็นเอของภรรยา นายต้า ที่นำมาเปรียบเทียบนั้นเพื่อยืนยันว่า ด.ช.โซโหร่ยโหร่ย เป็นลูกชายของ นายต้าจริง และสำหรับรูกระสุนปืนที่พบที่ศีรษะนั้นมีขนาด 0.8 ซม.แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นขนาดใดและชนิดใด ในส่วนนี้ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายพิสูจน์
นอกจากนี้โครงกระดูกทั้ง 3 ยังมีการผุกร่อนไปตามเวลาจึงเหลือส่วนดีเอ็นเอหลงเหลือน้อย แต่ทางคณะทำงานก็ได้ทำการตรวจอย่างเต็มฝีมือและได้ทำการสร้างตัวอย่างหลาย สิบตัวอย่างเพื่อที่จะให้ผลออกมาแน่นอนไม่มีข้อผิดพลาดและทุ่มเททำงานกันแทบ จะ24ชั่วโมงใช้คณะทำงานเต็มกำลังหลาย10คนเพื่อที่จะตรวจหา สำหรับในส่วนของ นายเล็ก เฮงสุวรรณ นางเอื้อม เกิดทรัพย์ และ นายเอกพล จันทร์ลาด ที่พนักงานสอบสวน.สภ.ท่าไม้รวก ได้ส่งสารพันธุกรรมมาตรวจความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับโครงกระดูกทั้งหมดนั้น ทางคณะทำงานยังไม่พบว่ามีโครงกระดูกใดที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมตรงกับ บุคคลทั้ง 3
 สำหรับโครงกระดูกอีก 2 โครงที่เหลือที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครนั้น โครงกระดูกที่ 2 และ 3 นั้น พบว่าโครงกระดูกที่ 2 มีลักษณะผุมากกว่าอีก 2 โครงกระดูก โดยโครงกระดูกที่ 2 เป็นเพศชาย อายุประมาณ 18-21 ปี สูงประมาณ 158-168 ซม. เป็นชายเอเชีย และมีร่องรอยกระสุนปืนที่ศีรษะแต่ไม่ทราบว่าเป็นลูกกระสูนชนิดใดเพราะว่ากระ โหลกนั้นมีร่อยผุมากเกินไปแต่ยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นร่องรอยของการเจาะเข้า ของกระสูนอย่างแน่นอน ส่วนโครงกระดูกที่ 3 นั้น เป็นเพศชาย อายุประมาณ 18-24 ปี สูงประมาณ 163-172 ซม.เป็นชาวเอเชีย ไม่พบร่องรอยกระสุนปืนแต่อย่างใด ส่วนดีเอ็นเอของทั้ง 2 โครงนั้น อยู่ระหว่างการหาตัวอย่างมาเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตามหากใครสงสัยว่าจะเป็นญาติหรือยังข้องใจสามารถนำดีเอ็นเอส่งมา เปรียบเทียบดีเอ็นเอได้ต่อไป

นายกฯ วอนศาลรธน.ฟังเหตุผลจำนำข้าว


ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (9 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.40 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม. ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมวินิจฉัยเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่ทางนัก วิชาการจากสถาบันนิด้าเสนอให้ยกเลิก เพราะขัดรัฐธรรมนูญ ว่า รัฐบาลได้ชี้แจงไปแล้วว่าเราทำทุกอย่างเพื่อดูแลชาวนา จึงหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับฟังข้อคิดเห็น คำชี้แจงจากเรา และพิจารณาไปตามวัตถุประสงค์ เมื่อถามว่าเรื่องนี้ทั้งฝ่ายค้านและ ส.ว.ก็เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รัฐบาลพร้อมชี้แจงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรามีหน้าที่ให้ข้อมูล และชี้แจง ทั้งนี้ยืนยันว่าการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายที่ดี เพื่อดูแลค่าครองชีพให้เกษตรกร แต่ในขั้นตอนปฏิบัติ กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ ซึ่งได้เร่งรัดให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น ลงไปทำงานในรายพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต มั่นใจเราได้ทำการป้องกันในทุก ๆ วิถีทางแล้ว
“ในการประชุม ครม. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานเรื่องการทุจริตให้รับทราบแล้วทั้งหมด 20 คดี มีการดำเนินคดีไปแล้ว 1 ราย บางส่วนอยู่ในขั้นตอนการตรวจจับ สิ่งที่เห็นคือเป็นการร่วมกันทุจริต ซึ่งเป็นเรื่องของคนกับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นจะเร่งให้ได้ตัวคนมาดำเนินคดีตามขั้นตอนโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว และว่าส่วนที่ทหารเสนอให้ใช้พื้นที่สนามบินเป็นโกดังเก็บข้าวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ขณะนี้โกดังเก็บข้าวยังมีเพียงพอ ไม่ได้มีปัญหาอะไร
นายกรัฐมนตรี ยังได้ชี้แจงถึงข้าวที่ได้รับจำนำจากเกษตรกรในรอบที่ผ่านมาว่า  ได้มีการทำสัญญาส่งออกแบบจีทูจีไปกับหลายประเทศ รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย ซึ่งตนได้เห็นสัญญาซื้อขายดังกล่าวแล้ว มีทั้งหมด 6 สัญญา ยอดที่ขายไปมี 8 ล้านตัน ซึ่งทางรมว.พาณิชย์ก็ได้ชี้แจงให้ทราบเป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเป็นข้อสัญญาระหว่างประเทศ  จึงไม่ได้เอารายละเอียดออกมาชี้แจงให้ทราบ แต่ยืนยันว่าตัวเลขที่ส่งออกเป็นตัวเลขจริงทั้งหมด โดยจะทยอยส่งมอบตามข้อตกลง และโครงการจะจบในสิ้นปีหน้า จากนั้นถึงจะชี้แจงตัวเลขทั้งหมดให้ทราบได้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าไม่มีการขาดทุนมากไปกว่าระบบของปีที่ผ่านมาแน่นอน และยืนยันว่าไม่มีสต็อคลมอย่างแน่นอน ขอให้สื่อมวลชนไปตรวจดูได้เลย
ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าอยากให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงถึงตัวเลขการรับ จำนำที่รัฐบาลดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ต.ค.54 จนถึงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ทั้งจำนวนข้าว การส่งออกแบบจีทูจี และเงินที่ใช้ไป น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวตัดบทว่า “เอาอย่างนี้ไหมคะ เดี๋ยวเปิดเซ็คชั่นนี้ และอธิบายยาวให้กับสื่อมวลชนดีกว่า เพราะความจริงได้เล่าไปหลายครั้งแล้ว เชิญรัฐมนตรีชี้แจงอีกรอบดีกว่า”
จากนั้น นายบุญทรง ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นายกรัฐมนตรีระหว่างการให้สัมภาษณ์ ได้ชี้แจงว่า ได้แถลงและให้ข้อมูลไปทั้งหมดแล้วเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยมีข้าวเปลือกที่รับจำนำเข้ามาทั้งหมด 21 ล้านตัน ข้าวสาร 11 ล้านตัน มีการขายแบบจีทูจีไปแล้ว 7 ล้านกว่าตัน เหลืออีกประมาณ 4 ล้านกว่าตันที่สามารถนำไปขายได้  อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถสรุปให้ทราบได้ว่าที่ผ่านมาตัวเลขขาดทุนมีจำนวน เท่าไหร่ เพราะยังไม่ปิดโครงการ ต้องรอสิ้นปีหน้าถึงจะสรุปได้.

"ปู"สั่งแถลงแจงนโยบายรับจำนำข้าวอย่างละเอียด


วันนี้(10 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความไม่ชัดเจนในนโยบายเรื่องการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน จะให้กระทรวงพาณิชย์แถลงข่าวชี้แจงอีกครั้งว่าการขายข้าวแบบจีทูจีที่รับ จำนำ 8 ล้านตัน มีความรายละเอียดอย่างไรบ้าง โดยจะให้มีการชี้แจงรายละเอียดเป็นกลุ่ม ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการเซ็นสัญญาเอ็มโอยูว่าทำกับประเทศไหนบ้าง จนไปสู่ขั้นตอนการทำสัญญาเปิดแอลซี และการส่งมอบข้าว อย่างไรก็ตามเนื้อหาบางอย่างเป็นความลับในเรื่องของการซื้อขาย แต่จะพยายามให้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงรายละเอียด ให้มากที่สุดเท่าที่ให้ได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่าทุกอย่างเรามีขั้นตอนรายละเอียด และทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส

เมื่อถามว่าห่วงหรือไม่ว่าปัญหาการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวจะส่งผลกระทบ กับรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตต้องมองหลายขั้นตอน ในเชิงของนโยบายก็เป็นที่ทราบกันแล้วจากผลโพลต่าง ๆที่สำรวจออกมาว่านโยบายนี้ช่วยดูแลความทุกข์ยากของเกษตรกร แต่ในเรื่องของระเบียบและขั้นตอนการปฏิบัติ ก็อยู่ที่การตรวจจับให้มากที่สุด ซึ่งวันนี้ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี  ลงไปสำรวจและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด และจะได้มีการเรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ลงไปทำงานอย่างเข้มข้น ให้เกิดความโปร่งใส สบายใจ และไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบประชาชน

เมื่อถามว่าเวลานี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยังเห็นด้วยกับนโยบายนี้อยู่ใช่หรือ ไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องเห็นด้วย เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์เป็นแม่งานหลัก หลายคนจึงให้กระทรวงพาณิชย์เป็นฝ่ายชี้แจง เมื่อถามย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์จะไม่ทำให้รัฐบาลหน้าแตกใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังยืนยันว่าเป็นนโยบายที่ดี แต่แน่นอนว่าในช่วงการปรับเปลี่ยนอาจมีความกังวล และมีขั้นตอนรายละเอียดที่จะต้องนำไปปรับปรุงบ้าง ไม่ได้บอกว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์เพอร์เฟ็กซ์ แต่เราก็พยายามป้องกัน โดยดูหลักความสมดุล และต้องไม่ให้เจ้าหน้าที่อาศัยช่องว่างร่วมกันทุจริตเกิดขึ้น ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลมีมาตรการในการตรวจสอบปัญหาการทุจริตตั้งแต่ต้นอยู่ แล้ว แต่เพื่อให้โครงการนี้มีความโปร่งใสมากขึ้น เราก็ได้เพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบเข้าไปอีก

ยันศึกกระสอบทรายต้องนั่งคุยกัน


วันนี้(10 ต.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์น้ำว่า ถึงปัจจุบันถือว่าสบายใจขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นที่จะนิ่งนอนใจจนกว่าจะแน่ใจว่าพายุอีกลูกหนึ่งจะไม่มา ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เพราะยังมีบางพื้นที่ที่มีปริมาณฝนตกอยู่ ทั้งนี้ผลการทำงานและการเตือนภัยของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์น้ำและอุทกภัย (กบอ.)ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าทำงานดีขึ้นมาก เป็นที่พอใจทั้งในเรื่องของเวลา และการปรับตัวของเจ้าหน้าที่ โดยทุกส่วนได้ลงไปทำงานอย่างเต็มที่ แต่อาจจะต้องเพิ่มในเรื่องการประสานลงไปในพื้นที่เพื่อให้เกิดการทำงานที่ เป็นเอกภาพมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้การทำงานทั้งในส่วนของ  กบอ. กับกระทรวงมหาดไทย ถือว่าสอดคล้องกันมากขึ้นแล้ว มีความร่วมมือ  แก้ไขปัญหาได้ดีและรวดเร็วขึ้น เห็นได้ว่าหลังจากมีการเตือนภัย ทางเจ้าหน้าที่ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย( ปภ.) กับผู้ว่าราชการจังหวัด ก็สามารถทำงานผ่านศูนย์ส่วนหน้าลงไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ทันที ไม่รอให้น้ำท่วมกันเหมือนที่ผ่านมาแล้วค่อยลงไปช่วยเหลือ

ผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ กทม.ที่ยังเกิดปัญหาความขัดแย้งกันระหว่าง กบอ.และ กทม.ล่าสุดถึงขั้นเกิดศึกกระสอบทรายขึ้น จะแก้ปัญหาอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในความเป็นจริงการทำงานของ กบอ.นั้นจะดูในภาพรวมทั้งหมด ส่วนเรื่องของกระสอบทรายที่ 2 หน่วยงานยังมีความเห็นที่แตกต่างกันนั้น ถือเป็นรายละเอียดทางเทคนิค ซึ่งต้องให้เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด  แต่ทั้งหมดก็ต้องมานั่งคุยกัน  เมื่อถามว่าความขัดแย้งของทั้ง 2 หน่วยงานจะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าวโดยบอกว่าให้ถามคำถามในประเด็นอื่นบ้าง

"เฉลิม"เย้ย"นิด้า"ให้เอาปี๊บคลุมหัวกรณีจำนำข้าว


วันนี้ (10 ต.ค.)ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์  หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงผลการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีนายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจาร์ยนิด้า กับคณะ ยื่นหนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อยับยั้งหรือยุติโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอันเป็นการขัดต่อรัฐ ธรรมนูญ โดยเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องใดไว้พิจารณาวินิจฉัยจะต้องมีบทบัญญัติของรัฐ ธรรมนูญและกฎหมายให้อำนาจไว้ แต่ตามคำร้องนี้เป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยับยั้งหรือยุติโครงการรับจำนำ ข้าวของรัฐบาล ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบกับผู้ร้องยังมิใช่เป็นบุคคล ซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพอันสืบเนื่องมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และมิใช่เป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ คำร้องนี้จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 212

เมื่อถามว่า คำร้องนี้ถือว่าตกไปเลยหรือไม่ นายพิมล กล่าวว่า ถือว่าตกไปในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกรณีดังกล่าวศาลวินิจฉัยชัดว่าไม่มีอำนาจพิจารณา เพราะตามคำร้องนั้นมาตรา 84 (1) เป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัย อีกทั้งผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ทีไม่มีอำนาจในการยื่นตรงต่อศาล ดังนั้นผู้ร้องต้องไปศึกษาว่า แนวนโยบายพื้นฐานของรัฐดังกล่าว อยู่ในอำนาจองค์กรใดพิจารณาที่จะพิจารณา หากกลุ่มนักวิชาการได้ใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญแล้ว และเห็นว่าต้องส่งเข้ามายังศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่าอีกนั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องพิจารณาอีกครั้งว่า

ต่อมา ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการทุจริตโครงการจำนำข้าวว่า อยู่ในระหว่างดำเนินคดี บางส่วนอยู่ในข่ายขั้นสงสัย และยืนยันว่าการทุจริตเป็นหมื่นล้านบาทนั้นไม่มี ในส่วนที่คณะอาจารย์จากสถาบันบัญฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)มีการยื่นเรื่อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดต่อมาตรา84 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น เรื่องนี้ตนบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าถึงอย่างไรศาลก็ไม่รับฟ้อง เพราะเป็นเรื่องของนโยบาย และถ้าจะไปยื่นศาลปกครองตนก็เชื่อว่าศาลก็ไม่น่าจะรับฟ้อง เพราะจะต้องเป็นเรื่องที่รัฐมีคำสั่งหรือรัฐกระทำ
"การกระทำขออาจารย์นิด้าถือเป็นพวกสุ่มสี่สุ่มหก ไม่มีงานทำ ถ้าอยากลงเล่นการเมืองก็ให้ลาออกจากอาจารย์แล้วมาลงสมัครเลือกตั้ง รัฐบาลไม่ได้มาจากการปฏิวัติแต่มาจากเสียงของประชาชน ผมเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ล้มยากถ้าไม่มีเรื่องทุจริต 4 ปีบวก 4 ปี และในวันที่ 15 ต.ค. จะมีการเชิญองค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อตก.),ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์( ธกส.) และผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สระแก้ว มาประชุมร่วมกัน นอกจากนี้ได้กำชับไปยังพล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ  รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ให้ประสานขอความร่วมมือไปยังแม่ทัพภาคที่ 1 เพื่อขอความร่วมมือในการดำเนินการเรื่องนี้  ทั้งนี้ผมได้วางกำลังตำรวจไว้ทุกโรงสี ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลทำไมต้องไปรอให้ถึงปลายเดือน ต.ค.ผมเป็นฝ่ายค้านมาถ้ามีจังหวะก็ต้องดำเนินการทันที ทำไมต้องไปรอรัฐบาลแถลงผลงาน” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า เหตุที่เรื่องนี้เป็นปัญหายุ่งยากเป็นเพราะผู้ค้าส่งออกเสียผลประโยชน์ คนเหล่านั้นเคยร่ำรวยอย่างเพลิดเพลินและเคยกำหนดราคาข้าวเอง แต่ขณะนี้รัฐเป็นผู้กำหนด ถ้าขายได้เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อตันก็เชื่อว่ารัฐก็จะได้กำไร ดังนั้นนักการเมืองที่ออกมาคัดค้านในเรื่องนี้ตนเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้ง หน้าก็จะได้ที่นั่งลดลง ในส่วนอาจารย์นิด้านั้น เมื่อศาลไม่รับฟ้องเช่นนี้จะเอาอะไรมาคลุมหัว เอาปี๊บหรือไม่ อย่างไรก็ตามตนขอเรียกร้องว่า เรื่องนี้ต้องให้โอกาสรัฐบาลได้มีการดำเนินนโยบายก่อนซึ่งหากไม่ดีการเลือก ตั้งสมัยหน้าก็จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง

ทลายโกดังจับกุมกัญชาข้ามชาติหนัก 3 ตันค่ากว่า 500 ล้านบาท


วันนี้(10 ต.ค.55)  พล.ต.อ.พงศพัศ  พงษ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยนายสมศักดิ์  สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พล.ต.ท.กวี สุภานันท์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ จับกุมได้ 1 คน คือ นายสวนหรือ อ้วน ทักษะชำนาญกิจ พร้อมของกลางกัญชาแห้งอัดแท่ง  3 ตัน หรือ 3,000 กิโลกรัม ที่โกดังร้างติดถนนมัญจาคีรี- ชัยภูมิ ตรงบ้านเขวา ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น การจับกุมครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง บช.ภ. 4 สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 4  ตชด.ภ.2  บก.รน. และกองกำลังสุรนารี โดยสืบทราบว่า กัญชาชุดนี้มีการลำเลียงมาจากพื้นที่ จ.สกลนคร ตามตะเข็บชายแดนข้ามมาจากฝั่งลาว เป็นชุดใหญ่ประมาณ 3 - 5 ตัน มาพักเก็บไว้ในโกดังร้างแห่งนี้ แล้วทำการแพ็กใส่กล่องอย่างดี ส่งต่อไปยังท่าเรือคลองเตย เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ

พล.ต.อ.พงศพัศ   กล่าวว่า กัญชาชุดนี้คาดว่าจะส่งไปยังประเทศออสเตรเลีย มูลค่าของกลางหากส่งออกมีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยโกดังแห่งนี้อ้างว่า จะใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าซึ่งมีแรงงานชาวเวียตนามมาทำงานและลักลอบบรรจุกัญชาอัด แท่งไว้ลำเลียงส่งต่อโดยรถกระบะไปที่ท่าเรือคลองเตย เพื่อส่งขายข้ามชาติ สำหรับผู้ค้ายาเสพติดชุดนี้ เชื่อว่าเป็นชุดเดียวกันที่มีการจับกุมได้ของกลางกัญชาแห้งกว่า 3,000 กิโลกรัม ที่อ.หนองแค จ.สระบุรี เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของนักค้ายาเสพติดกลุ่มนี้ เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา มีการลำเลียงยาเสพติดมาเก็บไว้ที่โกดังร้างแห่งนี้ ซึ่งทางสายสืบเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดมา กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.ของคืนวันที่ 9 ต.ค.ภายในโกดังจะมีการเคลื่อนไหวลำเลียงยาเสพติดออกนอกโกดัง จึงแสดงตัวเข้าจับกุมและสกัดการลำเลียงโดยมีการยิงต่อสู้กันหลายนาที คนร้ายอาศัยความมืดหลบหนีไปตามทุ่งนาข้างโกดัง กระทั่งเสียงปืนสงบเจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้น พบกัญชาจำนวนมากดังกล่าว สำหรับยาเสพติดชุดนี้ ได้มอบให้ทางตำรวจ สภ.มัญจาคีรี เข้าดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาและตรวจยึดของกลางทั้งหมด

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources