วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

“อุกฤษ”จวกศาลรธน.กระทำขัดต่อรธน.เสียเอง


วันนี้ ( 8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ http://www.nrlcthailand.org/ ของ คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ(คอ.นธ.) ได้เผยแพร่ความเห็นของ นายอุกฤษ  มงคลนาวิน ประธาน คอ.นธ. กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องตามรัฐธรรมนูญ ม. 68 ไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้รัฐสภาชลอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ตามที่มีบุคคลเสนอคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิฉัย ตามรัฐธรรมนูญ ม. 68 นั้น คอ.นธ.เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจรับคำร้องในกรณีนี้ไว้พิจารณาได้ เนื่องจากการยื่นคำร้องดังกล่าวไม่ถูกต้องด้วยหลักเกณฑ์และกระบวนการ ตามรัฐธรรมนูญ ม. 68 รวมทั้งคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้รัฐสภารอการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไว้ก่อน ไม่ถือว่าเป็นเด็ดขาดและไม่มีผลผูกพันรัฐสภา และการที่ศาลรัฐธรรมนู มีมติให้รับคำร้องไว้เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งให้เลขาธิการสภาฯ แจ้งรัฐสภาให้รอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยโดยไม่มีอำนาจนั้น จึงเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ ม.68 อันเป็นเหตุที่อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งได้.

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

“พระรักเกียรติ” ชี้เมืองไทยถูกครอบงำด้วยระบบอุปถัมภ์


วันนี้ ( 8 มิ.ย.) ที่สถาบันพระปกเกล้า พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม (สุขธนะ) อดีตรมว.สาธารณสุข ได้กล่าวบรรยายในงานสัมมนาวิชาการหัวข้อ “ยุทธศาสตร์และบทบาทของผู้นำยุคใหม่กับการต่อต้านคอร์รัปชั่นในประเทศไทย” มีใจความตอนหนึ่งว่า เรื่องการทุจริตในอดีตไม่มีใบเสร็จ เขาใช้เงินสดจึงจับนักการเมืองไม่ได้ เพราะอัยการไม่สามารถหาหลักฐานได้ ทำให้ศาลจึงต้องปล่อยไปทุกราย แต่ต่อมาปี40 มีการปฏิรูปการเมือง โดยมีองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่น โดยเฉพาะรัฐมนตรี และนักการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมาย ตนเป็นนักการเมืองคนแรกที่ถูกชี้มูลและตัดสินจำคุก 5 ปี เข้าไปรับโทษในเรือนจำ ทำให้ได้ทบทวนการใช้ชีวิตว่า เมืองไทยถูกครอบงำด้วยระบบอุปถัมภ์ โดยผู้น้อยได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่มีหน้าที่ดูแลผู้น้อย นี่เป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่สามารถทำทุกอย่าง เพื่อการเตรียมทุน แม้แต่การทำทุจริตคอรัปชั่น อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีความหวังในการแก้ไขปัญหา เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะมีการปฎิรูประเทศใหม่ ไม่ควรปล่อยให้วงจรอุบาทว์นี้อยู่คู่กับสังคมไทย เพราะการทุจริตคอร์รัปชันมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งทางตรงและทางอ้อม  ดังนั้นเราต้องตัดตอนการทุจริตโดยร่วมมือกับภาคเอกชนไม่จ่ายเงินสินบนเพื่อ ให้ได้สัมปทานและผลประโยชน์ ในปีสองปีนี้ประเทศไทยจะมีความหวัง  แต่ทั้งนี้องค์กรอิสระที่ดำเนินการตรวจสอบต่างๆก็จะอ่อนลง เพราะรัฐบาลแต่ละรัฐบาลไม่ส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งไว้ปราบปรามตัวเอง

ด้านนายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ ผู้ตรวจราชการอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เรื่องสินบนมีมาแต่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งเรื่องการทุจริตติดอยู่ในสายเลือดนานมาแล้ว ทั้งนี้การแก้ปัญหาการทุจริตต้องรู้องค์ประกอบและอำนาจขององค์กรต่างๆ ในการตรวจสอบการทุจริต  แต่องค์กรเหล่านั้นแต่ขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง องค์กรต่างๆในรัฐธรรมนูญมีทั้งศาล องค์กรอิสระและองค์กรอื่น ตนถามว่าสามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระแท้จริงหรือไม่ มีการเอื้อประโยชน์แบบหมูมาไก่ไปหรือไม่ ซึ่งคงไม่มีใครตอบว่าอิสระแท้จริง เช่นสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะให้ใบเหลือง-ใบแดงเป็นไปตามกลไกกติกาหรือไม่  อีกทั้งตนเห็นว่าควรจะต้องมีการแก้ไขกำหนดอายุความคดีที่เกี่ยวกับการโกง บ้านเมืองที่จะต้องไม่หมดอายุความ  ไม่ใช่ว่าแอบไปอยู่แถวตะเข็บชายแดน พอหมดอายุความแล้วก็เข้ามาเสวยสุข  การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นต้องแก้ไขที่ยอด คือหัว  เช่นฝ่ายบริหาร เริ่มต้นที่นายกฯ ครม. ตามลำดับ  และต้องทำให้คนเป็นคนดี ปลูกฝังจริยธรรมตั้งแต่เด็กๆ ปัจจุบันมุ่งเน้นคนเก่งด้านเทคโนโลยี แต่ไม่สอนเรื่องคุณธรรม  เราต้องสร้างคนให้เป็นคนดี ปลุกจิตสำนึกตั้งแต่เด็ก ทั้งนี้ในขณะนี้ระบบการศึกษาไทยมันเพี้ยน  เพราะมุ่งเน้นแต่ด้านเทคโนโลยี เช่น การแจกแท็บแล็ต แต่ไม่มีการสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ รัฐบาลต้องแก้ไขระบบการศึกษา ให้โรงเรียนมีศักยภาพเท่ากัน ต้องไม่ให้นักเรียนไปแย่งโรงเรียนกัน

นายเสริมเกียรติ  กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราจะเดินหน้าต่อไปได้ไม่ใช่ตัวกฎหมายที่เขียนมาดีแล้วต้องมาแก้ไข รัฐธรรมนูญเพราะไม่จำเป็น เรื่องความปรองดองก็ไม่ต้อง เพราะกฎหมายยิ่งมากคุกยิ่งเยอะ รวมทั้งการที่มีผู้พิพากษาและอัยการจำนวนมากนั้นแสดงว่าบ้านเมืองมีปัญหา ยิ่งมีกฎหมายมากเท่าไหร่แสดงว่าสังคมนั้นไม่น่าอยู่ แต่เราต้องสร้างคนให้เป็นคนดี ปลูกจิตสำนึกตั้งแต่เด็ก เข้าถึงทุกอย่างอย่างเท่าเทียมกัน จะได้ไม่ต้องมีการวิ่งเต้น

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

นายกโวผลงานปราบยาเสพติด ดึงผู้เสพบำบัดได้ 2.8 แสนราย


วันนี้ ( 8 มิ.ย.) ที่หอประชุมกองทัพเรือ เวลา 15.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในวันที่12 สิงหาคม 2555 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการตามแนวทางขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะ ยาเสพติดแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายให้หมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ  ร่วมแสดงความจงรักภักดีและให้หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่มีอยู่ จำนวน 12,189แห่ง สามารถลดปัญหายาเสพติดได้อย่างชัดเจน พร้อมสร้างกระแสตื่นตัวในการป้องกันปัญหายาเสพติด

นายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า จากการเคร่งครัดการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให่้มีการจับกุม ปราบปราม และยึดของการได้จำนวนมาก และสามารถดึงผู้เสพมาบำบัดรักษาได้กว่า 280,000คน จากที่ตั้งเป้าไว้ 4 แสนราย ซึ่งขอให้การทำงาน 4-5 เดือนต่อจากนี้ เป็นไปอย่างเข้มข้นและทำงานในเชิงลึกต่อไป โดยต้องทำงานร่วมกับหมู่บ้านและชุมชน เพื่อลดปริมาณยาเสพติดและดึงผู้เสพมาบำบัด รวมถึงดึงกลุ่มเสี่ยงออกจากผู้ค้ายาเสพติด ก็จะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่มี่สำคัญการทำงานจะต้องเป็นไปอย่างสงบแสะสันติ

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

“ขุนค้อน”สั่งพักประชุมให้วิป 2 ฝ่ายหารือจะลงมติ “เห็นด้วย –ไม่เห็นด้วย”กับคำสั่ง ศาล รธน.




วันนี้ ( 8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมรัฐสภา ได้มีการเปิดให้สมาชิกรัฐสภาหารือในวาระรับทราบคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ กรณีศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องให้พิจารณาวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ โดยมีการอภิปรายกันนานกว่า 6 ชม. จนกระทั่งเวลา 16.30 น. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้ ขอหารือว่า ที่ประชุมจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เนื่องจากใช้เวลามาพอสมควรแล้ว และยังมีวาระพิจารณา ม.190 อีกหลายเรื่อง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน  ได้หารือ ว่าหากประธานรัฐสภาเห็นว่าใช้เวลาอภิปรายมาพอสมควรแล้ว และเป็นเพียงแค่การแจ้งให้ทราบเท่านั้น ก็ติดใจ แต่อยากทราบความชัดเจนว่าที่ประชุมรัฐสภาจะมีการชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ วาระ3 ออกไปไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยหรือไม่ เช่นเดียวกับนายสมชาย แสวงการ  ส.ว.สรรหา ก็กล่าวว่า ตนก็ขอความชัดเจนว่าจะมีการให้ลงมติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ3 ในที่ประชุมรัฐสภาวันนี้หรือไม่

นายสมศักดิ์ ชี้แจงยืนยันว่า “ผมไม่ยอมให้มีการลักไก่ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ3 ในวันนี้อย่างแน่นอน หากมีคนเสนอญัตติเป็นอย่างอื่นก็จะขอให้ถอน หากไม่ยอมถอน ผมก็จะปิดประชุม ส่วนจะลงมติเมื่อใดนั้น ผมขอใคร่ครวญ 2-3 วัน จะให้คำตอบกับส่วนประเด็นว่าจะให้มีการลงมติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำ สั่งของศาลรัฐธรรมนูญนั้น อยากให้วิป2 ฝ่ายไปหารือกัน”
             
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อถึงช่วงนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ  นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน  นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายพายัพ  ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายทักท้วงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายสมศักดิ์ และขอให้ที่ประชุมลงมติว่าจะยอมรับคำสั่งศาลหรือไม่

ซึ่งที่ประชุมมีแนวโน้มว่าจะมีการถกเถียงอย่างรุนแรง ทำให้ นายสมศักดิ์ สั่งพักประชุม 10นาที เพื่อให้วิป 2 ฝ่ายหารือว่าจะปิดอภิปราย หรือ ลงมติรับคำสั่งศาลรธน.หรือไม่ ในเวลา 16.50 น.

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ทธ.ระบุแจ้งเหตุดินถล่มได้ล่วงหน้า 1-2 วัน


วันนี้ ( 8 มิ.ย.) นายเลิศสิน รักษาสกุลวงศ์ ผอ.สำนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีภัยพิบัติ กรมทรัพยากรธรณี ( ทธ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ของภาคใต้ ว่า  เนื่องจากมีฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่องจนล้นตลิ่ง เป็นเหตุเกิดน้ำป่าไหลหลากและและปริมาณน้ำเกินกว่าการที่ดินจะสามารถอุ้มไว้ ได้จึงเกิดดินโคลนถล่มในหลายจังหวัดทางภาคใต้ ซึ่งทางกรมธรณีฯได้เข้าไปพูดคุยสร้างความเข้าใจกับประชาชนและติดตามตาม สถานการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยจะนำข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาเปรียบเทียบกับข้อมูลของทางกรมทรัพยากรธรณีก่อนแจ้งเตือนไปยังประชาชนใน พื้นที่ แต่การพยากรณ์สภาพอากาศจะมีความแม่นยำเพียง 3 วัน จากนั้นสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงไป ทางกรมธรณีจึงใช้วิธีให้เครือข่ายประชาชนติดตามสำรวจปริมาณน้ำฝนในแต่ละ พื้นที่ โดยจะแจกเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนแก่เครือข่ายทุกคนให้วัดและแจ้งผลทุกวัน

“ เครือข่ายประชาชนมีส่วนสำคัญในการติดตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ว่าแต่ละวันมีปริมาณน้ำฝนเท่าไรแล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลของกรมอุตุฯ หากพบว่าเป็นพื้นที่มีแนวโน้มจะเกิดน้ำป่าและดินโคลนก็จะแจ้งเตือนประชาชนใน พื้นที่ล่วงหน้า 1-2 วัน ให้เฝ้าระวังและขนของไปยังพื้นที่ปลอดภัย เพื่อง่ายแก่การอพยพหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง จะมีปัญหาอยู่บ้างก็ตรงถนน สะพานขาดเพราะฝนตกหนัก ซึ่งทางหน่วยงานท้องถิ่นได้ประสานกับกรมทางหลวงเข้าช่วยเหลือโดยการใช้สะพาน ชั่วคราวแทนก่อน ซึ่งประชาชนก็เข้าใจและให้ความร่วมมืออย่างดี โดยสถานการณ์ในปัจจุบันภาคใต้มีปริมาณน้ำฝนลดลง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เพราะสภาพอากาศเปรียบเปลี่ยนอยู่ตลอดจึงไม่สามารถคาดการณ์ในระยะยาวได้ ซึ่งในหลายจังหวัดยังคงต้องเฝ้าระวังดินโคลนถล่ม อาทิ จ. ระนอง นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี จึงอยากให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ” นายเลิศศิน กล่าว

นายเลิศศิน กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. ฝนจะทิ้งช่วงไปและจะกลับมาอีกครั้งในเดือนส.ค.  ส่วนกรณีของดินโคลนถล่มนั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการตรวจสอบปริมาณน้ำ ในดิน โดยขณะนี้ทาง ทธ.ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ศึกษาเครื่องวัดความชุ่มชื้นของดิน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพยากรณ์ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะนำมาใช้จริงได้หรือไม่หรือไม่อย่างไร

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

รัฐสภาสั่งเลื่อนประชุม หารือปัญหา รธน.ใหม่ 12 มิ.ย.นี้




วันนี้ ( 8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ได้สั่งพักการประชุมเพื่อให้วิป 3 ฝ่าย หารือเรื่องการลงมติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 การหารือดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยเมื่อนายสมศักดิ์เรียกประชุมอีกครั้ง นายสมชาย แสวงการ ส.ว. สรรหา ได้หารือว่า หลังจากประธานได้ให้วิป 3 ฝ่ายไปหารือกัน อยากทราบผลการหารือเป็นอย่างไร จะมีการลงมติสวนกลับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำแถลงการณ์ออกมาล่าสุดยืนยันชัดเจนถึงอำนาจในการ ออกคำสั่งดังกล่าว จึงต้องการความชัดเจน เพราะหากยังมีการให้ลงมติ ตนก็จะไม่ขอร่วมลงมติในครั้งนี้ด้วย เพราะจะเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล

ท้ายที่สุดนายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า หลังจากที่วิป 3 ฝ่ายไปหารือกันแล้ว เนื่องจากมีการเสนอให้มีการลงมติว่าจะรับหรือไม่รับคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ และยังมีสมาชิกหลายคนแสดงความจำนงจะอภิปรายเมื่อยังไม่ได้ขอสรุป จึงขอให้เลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันที่ 12 มิ.ย.เวลา 10.00 น. จากนั้นได้สั่งปิดการประชุมเมื่อเวลา 18.25 น.

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

นายกฯดูความคืบหน้าโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ จ.นนทบุรี(ชมภาพชุด)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นวันนี้ ( 8 มิ.ย.)  น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายยงยุทธ  วิชัยดิษฐ  รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย และนายเลิศวิโรจน์  โกวัฒนะ  อธิบดีกรมชลประทาน  ได้ลงเรือของกองทัพเรือจากท่าเทียบเรือหอประชุมกองทัพเรือ เพื่อตรวจดูระดับน้ำและความคืบหน้าการซ่อมแซมแนวพนังกั้นน้ำสองฝั่งแม่น้ำ เจ้าพระยา และมาขึ้นเรือที่ท่าเรือวัดลุ่มคงคาราม อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยมีประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดงมารอให้การต้อนรับ  โดยนายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ขึ้นรถสองแถวที่ทางจังหวัดจัดเตรียมไว้ ไปดุูความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองบางกรวย ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการป้องกันอุทกภัย พร้อมกับบันทึกเทปรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" ที่จะออกอากาศในวันที่ 9 มิ.ย. เวลา 08.00 น. ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ขอให้อธิบดีกรมชลประทานและทางจังหวัดได้เร่งรัดเรื่องการซ่อมแซมเขื่อน ป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ อ.บางกรวยและ จ.นนทบุรีทั้งหมด ให้แข็งแรง และให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.นี้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถปกป้องพื้นที่ของจังหวัดได้ทันก่อนหน้าฝน  นอกจากนี้ขอให้ดูแลเรื่องการจ่ายเงินเยียวยาประชาชนและบ้านเรือนที่เสียหาย ให้ได้รับอย่างทั่วถึง

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

โรงงานพลุ ระเบิดวอดค่าเสียหายกว่า 5 ล้านบาท


เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 9 มิ.ย. พ.ต.ต.วิเชียร ทะน้อม สวส.สภ.เมืองสุพรรณบุรี รับแจ้งเหตุโรงงานพลุ ชื่อสุจินต์ดอกไม้ไฟ เลขที่ 74 หมู่ 5 บ้านป่าสามดำ ต.สวนแตง ระเบิดจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ไปตรวจสอบพร้อม นายทวีชัย พลายชุมพล นายอำเภอเมืองสุพรรณบุรี พ.ต.อ.ชัยรัตน์ ทิพยจันทร์ รอง ผบก.ภจ.สุพรรณบุรี พ.ต.ท.สุมนตรี กรรณเลขา รอง ผกก.สส.สภ.เมืองสุพรรณบุรี พ.ต.ท.เสกสิทธิ์ จันทร สว.สส.กก.สส.ภจ.สุพรรณบุรี กำลังฝ่ายสืบสวน และรถดับเพลิงกว่าสิบคัน โรงงานดังกล่าวอยู่ห่างจากบ้านเรือนประชาชนพบไฟกำลังลุกไหม้โกดังสำหรับเก็บ พลุและดอกไม้ไฟจำนวนมากอย่างรุนแรงเจ้าหน้าที่พยายามระดมฉีดน้ำสกัดแต่ยังมี พลุที่ตกค้างระเบิดขึ้นเป็นระยะ เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 1 ชม.จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีทรัพย์สินที่เสียหายประกอบด้วยบ้าน  1 หลัง รถยนต์กระบะที่จอดอยู่ในโรงจอด 4 คัน และโกดังเก็บพลุ และโรงงานผลิตอีก 1 หลังนอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 2 คนคือ นางระเบียบ จ่าพันธ์ อายุ 56 ปีและ น.ส.สุภาภรณ์ จ่าพันธ์ อายุ 30 ปีถูกเศษกระเบื้องที่ขา และคิ้ว

จากการสอบสวนนายสุจินต์ จ่าพันธ์ อายุ 50 ปีเจ้าของโรงงานพลุ ให้การว่าตนเป็นสมาชิก อบต.หมู่ 5 ต.สวนแตง สำหรับโรงงานพลุนั้นมีเพียงใบทะเบียนพาณิชย์ แต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบการเนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นเรื่องขอใบอนุญาตจากฝ่าย ปกครอง ก่อนเกิดเหตุขณะที่ตนและครอบรวม 5 คนกำลังนอนหลับอยู่ในบ้านจู่ๆมีเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวมาจากโกดัง เก็บพลุดอกไม้ไฟ ซึ่งตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งห่างจากตัวบ้านประมาณ 100 เมตรจากนั้นได้มีเศษกระเบื้องหลังคาตกลงมากระจายเกลื่อนพื้น ตนและคนในครอบครัวพากันตกใจตื่นและวิ่งหนีออกจากตัวบ้าน และพบว่าที่โกดังมีเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยดับเพลิงมาช่วยดับแต่ไม่สามารถดับ ได้ทันทำให้โรงงานและรถยนต์ถูกไฟไหม้วอดทั้งหมดสำหรับพลุที่ระเบิดนั้นตนไม่ ได้เป็นคนผลิตเองแต่เป็นพลุจีนที่สั่งนำเข้าโดยตนสั่งผ่านเถ้าแก่อีกทอด หนึ่ง และพลุที่เกิดระเบิดนั้นมีขนาด 4 นิ้วประมาณ 200 ลูกและขนาด 5 นิ้วอีกประมาณ 400-500 ลูกส่วนที่เหลือเป็นแบบลูกปิงปองจำนวนมากค่าเสียหายเบื้องต้นประมาณ 5 ล้านบาท
ทางด้าน พ.ต.อ.ชัยรัตน์ ทิพยจันทร์ รอง ผบก.ภจ.สุพรรณบุรี กล่าวว่าโรงงานแห่งนี้เมื่อเดือนมิถุนายน ปีที่แล้ว  พ.ต.อ.ชัชชรินทร์ สว่างวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี ได้นำกำลังพร้อมหมายค้นศาลจังหวัดสุพรรณบุรี เลขที่ ค.444/2554 เข้าตรวจค้นพบพลุที่ทำเสร็จเรียบร้อย มีทั้งระเบิดปิงปอง ประทัดกระจับ เตรียมส่งให้ลูกค้าเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบดินปืน กับอุปกรณ์การทำพลุ และสารเคมีผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมซึ่งเป็นสารต้องห้าม เช่นสารโพแทสเซียม เจ้าหน้าที่จึงขอดูใบอนุญาต แต่นายสุจินต์ไม่มี เอาเพียงใบทะเบียนพาณิชย์มาให้ แต่ปรากฏว่าได้หมดอายุไปแล้ว ตำรวจจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีข้อหา มีสารเคมีและยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, มีและผลิตดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างไรก็ตามตนได้สั่งการให้เจ้า หน้าที่ พฐ.ภจ.สุพรรณบุรี และหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดมาตรวจสอบหาสาเหตุของการระเบิดครั้งนี้แล้วเพื่อ เป็นหลักฐานในการดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

โปลทำได้แค่เจ๊ากรีซเปิดยูโร


     ศึก ยูโร 2012 นัดเปิดสนามเมื่อวันศุกร์ที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรกกลุ่ม A ระหว่าง โปแลนด์ เจ้าภาพร่วม กับ กรีซ เริ่มครึ่งแรกเจ้าถิ่นเดินหน้าลุยเข้าใส่ทันที และก็ออกนำไปก่อนอย่างรวดเร็วจากการโหม่งของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี นาทีที่ 17 จากนั้นในนาทีที่ 44 สถานการณ์ของ กรีซ ยิ่งทรุดหนักเมื่อต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนจากการโดนใบเหลือง-แดงของ โซคราติส ปาปาสทาโธปูลอส
     เข้าสู่ครึ่งหลัง กรีซ เริ่มทำเกมได้ดีขึ้น ก่อนจะมาตามตีเสมอเป็น 1-1 ได้สำเร็จในนาทีที่ 51 จาก ดิมิตริออส ซัลปินจิดิส ถัดมาในนาทีที่ 69 โปแลนด์ ต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน เมื่อ วอจเซียค เชสนี มือกาวจากอาร์เซนอล ไปทำฟาวล์ผู้เล่นกรีซในเขตโทษจนโดนใบแดงโดยตรง ทว่า แชมป์ยูโร 2004 พลาดโอกาสขึ้นนำไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อ จอร์จอส คารากูนิส ยิงจุดไปติดเซฟของ เพอร์เซมีสลอว์ ไทตัน นายทวารตัวสำรอง ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีใครทำอะไรกันได้อีกจบเกม โปแลนด์ จึงเสมอ กรีซ 1-1

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

หมีขาวฟอร์มดุไล่ขย้ำเช็กขาดลอย4-1


ศึกฟุตบอลยูโร2012 รอบสุดท้าย ที๋โปแลนด์ และยูเครน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในการแข่งขันคู่ที่ 2 ที่สนามมูนิชิปัล สเตเดี้ยม ในเมืองรอกลอว์ ประเทศโปแลนด์ เช็ก พบกับ "หมีขาว" รัสเซีย
เปิดฉากการแข่งขันเป็น รัสเซีย ที่ทำเกมรุกได้ดีและดูอันตรายกว่า ก่อนจะได้ประตูขึ้นนำเร็วในนาทีที่ 15 จากการยิงซ้ำดาบสองของ อลัน ซาโกเยฟ
จากนั้น "หมีขาว" น่าออกนำห่าง 2-0 เมื่อ ซาโกเยฟ คนยิงประตูแรก หลุดเข้าไปซัดโล่ง ๆ ในกรอบเขตโทษ แต่ยิงหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม ในนาที 24 รัสเซีย ก็หนีห่างเป็น 2-0 จนได้ จากการยิงของ โรมัน ชิโรคอฟ
ครึ่งหลัง เช็ก แก้เกมมาดี วัคลาฟ ปิลาร์ หลุดเข้าไปแตะหลบ วาเชสลาฟ มาลาเฟเยฟ นายทวารหมีขาว ก่อนส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายช่วยให้ เช็ก ไล่ตามมาเป็น 1-2 ในนาที 52
รัสเซีย เกือบได้ประตูออกนำ 3-1 เมื่อ อเล็กซานเดอร์ เคอร์ชาคอฟ หลุดเข้าไปยิงหักข้อ แต่บอลไม่ตรงกรอบ
ช่วงท้ายเกม "หมีขาว" เปลี่ยนตัว ส่ง โรมัน พาฟลิวเชนโก ดาวยิงจากสโมสร "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ ลงมาเล่นแทน เคอร์ชาคอฟ และเป็น พาฟลิวเชนโก ที่แผลงฤทธิ์ทำให้ทีมได้อีก 2 ประตู โดยลูกแรกจ่ายให้ ซาโกเยฟ ยิงประตูที่ 2 ของเขาในนัดนี้ เป็นประตูหนีห่าง 3-1 ในนาที 79 จากนั้นเป็นตัวเขาเองที่ซัลโวเข้าไปในนาที 82 ให้ รัสเซีย นำไกล 4-1
หมดเวลาการแข่งขัน รัสเซีย ประเดิมศึกยูโร2012 ได้อย่างสวยหรู ด้วยการไล่ต้อน เช็ก สบายแข้ง 4-1 เก็บสามแต้มเต็มได้สำเร็จ

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources