วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555
.jpg){kind=spacer}
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
ศาลฎีกา ฯ สั่ง เลือกตั้งใหม่ สส. ลพบุรี เขต4 แทน เกียรติ ส.ส.เก่า
ภูมิใจไทย กระทำผิดกฎหมาย ผู้สนับสนุน
หาเสียงเรียกคนที่มารับแจกแว่นตาให้ไปลงคะแนนให้
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง วันนี้ (28
ธ.ค.) ศาลได้อ่านคำสั่งในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ผู้ร้อง
ขอให้ศาลฎีกาฯมีคำสั่งเลือกตั้งใหม่แทน นายเกียรติ เหลืองขจรวิทย์ ส.ส.
ลพบุรี เขต 4 พรรคภูมิใจไทย ผู้คัดค้าน ที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ศาลฎีกาฯพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะที่นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี (ขณะนั้น) ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนนายเกียรติ ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย โดย นายสุบรรณได้พูดผ่านเครื่องขยายเสียงต่อหน้าประชาชนได้ความว่า ให้ช่วยเลือกคนของนายสุบรรณแล้วจะมีงบประมาณที่ ต.เกาะรัง และ ต.ซับตะเคียน อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี เพื่อ จะได้มีงบประมาณนำมาซื้อของแจกชาวบ้านอีก ดังนั้นถ้อยคำของนายสุบรรณดังกล่าว ทำ ให้เข้าใจได้ทันทีว่า นายสุบรรณต้องการให้ประชาชนที่มารับแจกแว่นตาลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ นายเกียรติ ผู้คัดค้านเพื่อให้ได้เป็น ส.ส.ลพบุรีเขต4 แม้ว่า ขณะที่มีการแจกแว่นสายตาทั้งสองตำบลนั้น นายเกียรติผู้คัดค้าน จะไม่อยู่ด้วยก็ตาม
กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า การที่นายสุบรรณกล่าวปราศรัยในโครงการแจกแว่นตาเพื่อจูงใจผู้รับไปลงคะแนน เลือกตั้ง ส.ส. ให้ผู้คัดค้าน จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา53(1),57 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ทำให้การเลือกตั้ง ส.ส. ลพบุรี เขต 4 ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจึงมีคำสั่งให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ลพบุรี เขต 4 ขึ้นใหม่แทนนายเกียรติผู้คัดค้าน.
ศาลฎีกาฯพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะที่นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี (ขณะนั้น) ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนนายเกียรติ ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย โดย นายสุบรรณได้พูดผ่านเครื่องขยายเสียงต่อหน้าประชาชนได้ความว่า ให้ช่วยเลือกคนของนายสุบรรณแล้วจะมีงบประมาณที่ ต.เกาะรัง และ ต.ซับตะเคียน อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี เพื่อ จะได้มีงบประมาณนำมาซื้อของแจกชาวบ้านอีก ดังนั้นถ้อยคำของนายสุบรรณดังกล่าว ทำ ให้เข้าใจได้ทันทีว่า นายสุบรรณต้องการให้ประชาชนที่มารับแจกแว่นตาลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ นายเกียรติ ผู้คัดค้านเพื่อให้ได้เป็น ส.ส.ลพบุรีเขต4 แม้ว่า ขณะที่มีการแจกแว่นสายตาทั้งสองตำบลนั้น นายเกียรติผู้คัดค้าน จะไม่อยู่ด้วยก็ตาม
กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า การที่นายสุบรรณกล่าวปราศรัยในโครงการแจกแว่นตาเพื่อจูงใจผู้รับไปลงคะแนน เลือกตั้ง ส.ส. ให้ผู้คัดค้าน จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา53(1),57 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ทำให้การเลือกตั้ง ส.ส. ลพบุรี เขต 4 ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจึงมีคำสั่งให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ลพบุรี เขต 4 ขึ้นใหม่แทนนายเกียรติผู้คัดค้าน.
ระยองลุยตรวจกระเช้าของขวัญปีใหม่ตามห้างสรรพสินค้าป้องกันเอาเปรียบผู้ซื้อ
วันนี้(28 ธ.ค.) นายแพทย์กฤษณ์ ปาลสุทธ์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.ระยอง
ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดระยอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง
อ.เมืองระยอง และเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพาสามิตจังหวัดระยอง
ออกลุยตรวจห้างสรรพสินค้า ร้านจำหน่ายกระเช้าของขวัญ ทั้งค้าปลีก
และส่งในเขตพื้นที่จังหวัดระยอง
เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภคในช่วง
เทศกาลปีใหม่ 2556 โดยเฉพาะการปิดป้ายแสดงราคารายการสินค้า
รวมถึงคุณภาพมาตรฐาน และปริมาณสินค้าที่นำไปบรรจุในกระเช้า หรือชุดของขวัญ
นายแพทย์กฤษณ์ ปาลสุทธ์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.ระยอง ได้ย้ำให้ผู้ประกอบการห้ามไม่ให้นำสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาบรรจุในกระเช้าของขวัญ หากพบฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการเอาผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้หากตรวจพบว่าผู้ประกอบการห้างร้านใด มีการนำสินค้าเสื่อมคุณภาพมาบรรจุกระเช้า หรือขายแพงเกินความเป็นจริง ก็จะถูกดำเนินการเอาผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ซึ่งจะมีโทษทั้งจำ และปรับ อย่างไรก็ตาม จากการออกสุ่มตรวจห้างสรรพสินค้า และร้านจำหน่ายกระเช้าของขวัญในครั้งนี้ ยังไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด ....
นายแพทย์กฤษณ์ ปาลสุทธ์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.ระยอง ได้ย้ำให้ผู้ประกอบการห้ามไม่ให้นำสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาบรรจุในกระเช้าของขวัญ หากพบฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการเอาผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้หากตรวจพบว่าผู้ประกอบการห้างร้านใด มีการนำสินค้าเสื่อมคุณภาพมาบรรจุกระเช้า หรือขายแพงเกินความเป็นจริง ก็จะถูกดำเนินการเอาผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ซึ่งจะมีโทษทั้งจำ และปรับ อย่างไรก็ตาม จากการออกสุ่มตรวจห้างสรรพสินค้า และร้านจำหน่ายกระเช้าของขวัญในครั้งนี้ ยังไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด ....
“วิสุทธิ์” ขอบคุณหลังสื่อมอบฉายา “ดาวเด่น” แห่งปี รับเสียงสะท้อนผ่านฉายาสภา เข้มส.ส.ผลาญงบดูงานต่างประเทศ
วันนี้ (28 ธ.ค.) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง
กล่าวถึงกรณีได้รับฉายา “ดาวเด่น”
จากการที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาได้ตั้งฉายาให้กับสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติที่
ปฏิบัติหน้าที่ในรอบปี 2555 ว่า ตนเองขอขอบคุณสื่อมวลชน
ซึ่งจะเป็นกำลังใจให้ทำหน้าที่ต่อไป
ทั้งนี้นับแต่เข้ามาทำหน้าที่รองประธานสภาฯ
ไม่เคยได้รับการแทรกแซงหรือคำสั่งจากพรรค จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี
รวมถึงนายกรัฐมนตรีซึ่งได้ให้กำลังใจและขอให้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง
ตนเองคิดอยู่เสมอว่าแม้มาทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของพรรคเพื่อไทย
แต่เมื่ออยู่บนบัลลังค์ต้องมีใจเป็นธรรม และทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แม้ตนจะเป็นสีแดงแต่อยู่บนบัลลังค์จะเป็นเหลืองหรือแดงไม่ได้
อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณส.ส.รวมถึงฝ่ายค้านที่ให้ความเมตตาตนเองทุกครั้ง
ที่ขึ้นทำหน้าที่ประธานที่ประชุม
นายวิสุทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีรัฐสภาได้รับฉายา “สภาจองล้าง จ้องผลาญ” ว่า เสียงสะท้อนนี้ตนเองจะนำไปหารือกับประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายคำนึงว่าเงินภาษีทุกบาททุกสตางค์เป็นของ ประชาชน โดยเฉพาะการไปศึกษาดูงาน ผู้แทนราษฎรต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แท้จริง มากกว่านำไปเที่ยวหาความสนุกสนาน เพราะยังมีประชาชนเจ้าของภาษีเดือดร้อนอีกมาก ส่วนตัวก็คิดตรงกับที่สื่อทักท้วงมา อะไรที่ไม่ถูกต้องผู้แทนก็ต้องไปปรับปรุงแก้ไข ต้องเข้มงวดเรื่องการใช้งบประมาณเดินทางไปศึกษาดูงานให้มากขึ้น ตนเองขอขอบคุณในสิ่งแนะนำมาเพราะจะได้นำแก้ไข ดีกว่าเก็บไว้ ไม่บอกกันแล้วสร้างความเสียหายมากขึ้น..
นายวิสุทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีรัฐสภาได้รับฉายา “สภาจองล้าง จ้องผลาญ” ว่า เสียงสะท้อนนี้ตนเองจะนำไปหารือกับประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายคำนึงว่าเงินภาษีทุกบาททุกสตางค์เป็นของ ประชาชน โดยเฉพาะการไปศึกษาดูงาน ผู้แทนราษฎรต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แท้จริง มากกว่านำไปเที่ยวหาความสนุกสนาน เพราะยังมีประชาชนเจ้าของภาษีเดือดร้อนอีกมาก ส่วนตัวก็คิดตรงกับที่สื่อทักท้วงมา อะไรที่ไม่ถูกต้องผู้แทนก็ต้องไปปรับปรุงแก้ไข ต้องเข้มงวดเรื่องการใช้งบประมาณเดินทางไปศึกษาดูงานให้มากขึ้น ตนเองขอขอบคุณในสิ่งแนะนำมาเพราะจะได้นำแก้ไข ดีกว่าเก็บไว้ ไม่บอกกันแล้วสร้างความเสียหายมากขึ้น..
แกะรอย วงประชุมกก.บห.ปชป. กลุ่ม ”มาร์ค – สุเทพ” จับมือ เทคะแนนหนุน
“สุขุมพันธุ์” นำโด่ง กลุ่ม “เฉลิมชัย” ที่หนุน “กรณ์” ด้วยคะแนน 9 ต่อ 5
วันนี้ ( 27 ธ.ค ) รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์
แจ้งว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นไปอย่างเคร่งเครียด
โดยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
หนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ได้รายงานการแสดงวิสัยทัศน์
และข้อดี ข้อเสียของผู้เสนอตัวทั้ง 4คน ประกอบด้วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ นายประกอบ จิรกิติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าฯกทม. และนายอภิชัย เตชะอุบล
ผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์
และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
ให้ที่ประชุมพิจารณา
ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคแต่ละคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น
จนสุดท้ายมีการเสนอชื่อบุคคลอื่น โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอชื่อ นายกรณ์ จาติกวณิช
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ที่ประชุมได้พิจารณา โดยระบุว่า
ขอให้เป็นทางเลือกอีกคนหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่มีการเสนอชื่อ นายกรณ์
มีท่าทีนิ่งเฉย ขณะที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาบุคคลอื่นตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีความเหมาะสม
ด้วย เช่น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายพีระพันธุ์
สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ได้มีผู้ทักท้วงว่า บุคคลทั้งสอง
ไม่ได้แสดงความจำนง ใครจะตอบได้หรือไม่ว่า
บุคคลทั้งสองจะเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์หรือไม่ ปรากฏว่า
ไม่มีกรรมการบริหารพรรคคนใดตอบได้
เนื่องจากบุคคลทั้งสองไม่ได้อยู่ในที่ประชุม
จึงตัดรายชื่อบุคคลทั้งสองออกไป
รายงานข่าว แจ้งว่า ดังนั้นจึงมีผู้เสนอให้มีการลงคะแนนลับ เพื่อโหวตเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมทั้ง 5คน โดยที่นายกรณ์ เดินออกจากที่ประชุม เพราะเป็นบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และที่สุดทีป่ระชุมมีมติเลือกม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ด้วยเสียง 9 คะแนน ขณะที่นายกรณ์ ได้ 5คะแนน ส่วนนายกอร์ปศักดิ์ และนายประกอบ ได้คนละ 1คะแนน ขณะที่นายอภิชัย ไม่ได้เสียงสนับสนุน และมีผู้ไม่ออกเสียง 1 คน รวมผู้ลงคะแนนทั้งสิ้น 16 คน จากกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 19 คน ซึ่งคาดว่า บุคคลที่ไม่ได้ลงคะแนนน่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนที่เหลืออีก 2 เสียงที่ไม่ได้ลงคะแนน คือ นายกรณ์ และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีภารกิจด่วนที่จ.เชียงใหม่ จึงขอออกจากห้องประชุมไปก่อนที่จะมีการโหวตลงคะแนน ทั้งนี้ทีประชุมได้มีการพูดคุยถึงจุดอ่อนของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ทีเป็นผู้ว่าฯกทม.มานาน จึงต้องมีรอยช้ำ โดยเฉพาะคดีการต่อสัญญาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่เห็นว่า ไม่ว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะได้ลงสมัครหรือไม่ได้ลงสมัคร ก็ต้องต่อสู้คดีนี้อยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงจะเล่นคดีนี้ถึงที่สุด และมั่นใจว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะสามารถชี้แจงได้
รายงานข่าว แจ้งอีกว่า จากการวิเคราะห์คะแนนโหวต พบว่า คณะกรรมการบริหารพรรค ในกลุ่มของนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ จับมือโหวตลงคะแนนให้กับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ขณะที่กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค โหวตหนุนนายกรณ์
วนน้ีผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับท่าทีของนายกรณ์ ภายหลังการประชุม มีสีหน้ายิ้มแย้ม และปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
รายงานข่าว แจ้งว่า ดังนั้นจึงมีผู้เสนอให้มีการลงคะแนนลับ เพื่อโหวตเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมทั้ง 5คน โดยที่นายกรณ์ เดินออกจากที่ประชุม เพราะเป็นบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และที่สุดทีป่ระชุมมีมติเลือกม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ด้วยเสียง 9 คะแนน ขณะที่นายกรณ์ ได้ 5คะแนน ส่วนนายกอร์ปศักดิ์ และนายประกอบ ได้คนละ 1คะแนน ขณะที่นายอภิชัย ไม่ได้เสียงสนับสนุน และมีผู้ไม่ออกเสียง 1 คน รวมผู้ลงคะแนนทั้งสิ้น 16 คน จากกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 19 คน ซึ่งคาดว่า บุคคลที่ไม่ได้ลงคะแนนน่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนที่เหลืออีก 2 เสียงที่ไม่ได้ลงคะแนน คือ นายกรณ์ และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีภารกิจด่วนที่จ.เชียงใหม่ จึงขอออกจากห้องประชุมไปก่อนที่จะมีการโหวตลงคะแนน ทั้งนี้ทีประชุมได้มีการพูดคุยถึงจุดอ่อนของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ทีเป็นผู้ว่าฯกทม.มานาน จึงต้องมีรอยช้ำ โดยเฉพาะคดีการต่อสัญญาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่เห็นว่า ไม่ว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะได้ลงสมัครหรือไม่ได้ลงสมัคร ก็ต้องต่อสู้คดีนี้อยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงจะเล่นคดีนี้ถึงที่สุด และมั่นใจว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะสามารถชี้แจงได้
รายงานข่าว แจ้งอีกว่า จากการวิเคราะห์คะแนนโหวต พบว่า คณะกรรมการบริหารพรรค ในกลุ่มของนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ จับมือโหวตลงคะแนนให้กับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ขณะที่กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค โหวตหนุนนายกรณ์
วนน้ีผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับท่าทีของนายกรณ์ ภายหลังการประชุม มีสีหน้ายิ้มแย้ม และปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
สื่อรัฐสภาตั้งฉายาสภา “จองล้าง...จ้องผลาญ...” วุฒิสภาเป็น
“ตะแกรง...เลือกร่อน” ปธ.สภา “ค้อนน้อย..หมวกแดง” นิคม ไวยรัชพานิช เป็น
“ผลัด...ไม้สุดท้าย” “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ”เป็นดาวเด่น
ส่วนดาวดับมอบให้“จ่าประสิทธิ์ – หมอวรงค์ –เจ๊รังสิมา"
วันนี้ (28 ธ.ค.)
ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาได้ตั้งฉายาให้กับสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติที่ปฏิบัติ
หน้าที่ในรอบปี 2555 ที่ผ่านมาโดย 1. เหตุการณ์แห่งปี :
“พิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดอง”
ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภาผู้
แทนราษฎรอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
จากการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเสนอโดยพล.อ.สนธิ
บุญรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และส.ส.พรรคเพื่อไทย
สาระสำคัญเพื่อล้มล้างผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549
แต่ถูกพรรคประชาธิปัตย์คัดค้านในระหว่างการประชุมสภาฯวันที่ 30-31 พ.ค.2555
ถึงขั้นขว้างปาแฟ้มเอกสาร สิ่งของ
กระทั่งเข้าไปฉุดกระชากลากตัวประธานสภาฯลงจากบัลลังก์
เพื่อยับยั้งการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว
สร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐสภาอย่างมาก และเป็นข่าวออกไปทั่วโลก 2.
วาทะแห่งปี :“เต็มใจ...เป็นขี้ข้า” เป็นคำพูดของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
รองนายกรัฐมนตรี ที่ตอบโต้กับนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง
พรรคประชิปัตย์ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 25 พ.ย.2555
ที่ถูกพาดพิงว่าการละเว้นเพิกเฉยต่อการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรีว่า “ผมเป็นขี้ข้า แต่เสียใจหน่อยคุณสาทิตย์รู้ช้า
ก็เป็นมานานแล้ว แต่ผมไม่เห็นเสียหายเลย ผมเต็มใจ"
3. ฉายา สภาผู้แทนราษฎร : “จองล้าง..... จ้องผลาญ .....” ภาพรวมการทำงานของสภาฯ พบว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ที่ถือเป็นคู่แค้นทางการเมืองต่าง เสนอญัตติหรือยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการ ที่เป็นพรรคพวกเดียวกันตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม รวมถึงตั้งกระทู้ถามสด เพื่อโยงไปหาข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ต่างกับการจ้องจะล้างแค้นซึ่งกันและกัน ขณะที่ “จ้องผลาญ”งบประมาณแผ่นดิน การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 55 และปี56 ที่ ส.ส.จ้องจัดสรรงบฯให้พวกตัวเอง และการจัดทริปดูงานต่างประเทศของคณะกรรมาธิการชุดต่างๆเป็นการไปท่องเที่ยว พักผ่อน มากกว่าที่จะไปดูงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง 4. ฉายาวุฒิสภา : “ตะแกรง...เลือกร่อน” ภาพรวมการทำหน้าที่ของวุฒิสภายังคงมีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน การทำงานไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว.แม้บางครั้งจะทำงานมุ่งเน้นการตรวจสอบ แต่ก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจว่ามีวาระซ่อนเร้นต่อฝ่ายการเมืองหรือไม่ เห็นได้จากการพฤติกรรมที่พุ่งเป้าไปยังรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อฟื้นฟูน้ำท่วมปี 2554 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่ส.ว.อีกกลุ่มก็พยายามออกแรงช่วยรัฐบาลอย่างเต็มที่ ถึงขนาดต้องแยกยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 เป็น 2 ญัตติ ทั้งที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพ ไม่เป็นหนึ่งเดียว จึงเปรียบเหมือนกับ “ตระแกรง”ที่เลือกร่อน เฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่
5.ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร - สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ : “ค้อนน้อย..หมวกแดง” เมื่อปี2554 ได้รับฉายา “ค้อนปลอม ตราดูไบ” แต่ไม่สามารถแสดงผลงานให้เห็นว่าเป็นขุนค้อนที่น่าเกรงขามได้เหมือนอดีต กลับกันมีข้อครหาเรื่องความเป็นกลางหลายครั้งเกี่ยวกับการวินิจฉัยข้อขัด แย้งในสภาฯ ผนวกกับมีกรณีคลิปเสียงที่พาดพิงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองฯและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงกลายเป็นขุนค้อนที่ขาดความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นแค่ค้อนน้อยที่สวมหมวกแดง แทนการสวมหมวกของประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติ 6. ฉายาประธานวุฒิสภา - นิคม ไวยรัชพานิช :“ผลัด...ไม้สุดท้าย” นับว่าได้ตำแหน่งประธานวุฒิสภามาอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากนิคม เคยทำใจแล้วว่าคงไม่สามารถก้าวถึงตำแหน่งสูงสุดในสภาสูงได้ในวาระที่เหลือ อีกประมาณ 2 ปี แต่เมื่อพล.อ.ธีรเดช มีเพียร มีอันต้องตกจากเก้าอี้ประธานวุฒิสภาในคดีเก่าการออกระเบียบขึ้นเงินเดือนฯ ให้ตัวเอง ทำให้นายนิคมซึ่งนั่งรองประธานวุฒิสภามาเกือบ 4 ปี ขอท้าชิงเก้าอี้อีกครั้ง โดยฝ่าย ส.ว.สรรหา เฟ้นหาตัวที่พอจะต่อกรด้วยไม่ทัน จึงสามารถเอาชนะคู่แข่งไปได้ขาดลอย วุฒิสภาจึงเกิดการผลัดขั้วการเมืองครั้งใหญ่จากสายสรรหามาเป็นสายเลือก ตั้ง
7. ฉายาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : “หล่อ รับ เละ” บทบาทการทำหน้าที่ของ นายอภิสิทธิ์ ในรอบปีที่ผ่านมาไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร อาจเพราะตกอยู่ในสภาพต้องคดีทางการเมือง อาทิ คดี 91 ศพจากการชุมนุมทางการเมือง โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษสั่งฟ้อง และถูกคำสั่งรมว.กลาโหมถอดยศว่าที่ร้อยตรี รวมทั้งปัญหาภายในพรรครุมเร้า ทุกปัญหาต่างพุ่งเป้ามาที่ตัวนายอภิสิทธิ์ ขณะที่บทบาทการนำลูกพรรคในการทำหน้าที่ในสภาฯแม้ลูกพรรคจะสร้างภาพลักษณ์ให้ รัฐสภาเสื่อมเสีย ก็ยังออกมาสนับสนุน รวมถึงช่วงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยังมอบบทบาทการนำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้านแทนทั้งหมด จึงเปรียบเหมือนนายอภิสิทธิ์ที่มีหน้าตาดูว่าหล่อ แต่ถูกมรสุมการเมืองรุมถล่มจนเละ 8. ดาวเด่น : “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธานสภาฯคนที่ 2” ถือเป็นประธานในการควบคุมการประชุมสภาฯที่ได้รับความชื่นชมถึงความเป็นกลาง โดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้าน ทำให้บรรยากาศการประชุมผ่อนคลาย เพราะท่าทีที่ผ่อนหนักผ่อนเบา แม้แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจากพรรคเดียวกันหากแสดงกิริยาไม่เหมาะสมก็ไม่ยกเว้นได้ ตำหนิ ตักเตือนเช่นกัน โดยส.ส.ในที่ประชุมมีความเกรงใจและให้ความร่วมมือ
9.ดาวดับ : “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ - น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์” การทำหน้าที่ของ ส.ส. ควรจะมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ และสภาควรเป็นเวทีแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศ แต่ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติเหล่านี้ ได้แสดงพฤติกรรมกลางที่ประชุมสภาฯ ให้เห็นถึงความหยาบคาย ทั้งทางวาจาและพฤติกรรมที่แสดงออกมา อาทิ การกล่าว ผรุสวาท รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ถ่อย เถื่อน รวมถึงการขว้างปาสิ่งของ และลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ทำให้ภาพพจน์ของสภาฯเสื่อมเสียอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งนักข่าวรัฐสภาต้องการสะท้อนมุมมองให้เห็นว่าพฤติกรรม ลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้ 10. คู่กัดแห่งปี : “นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ vs ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ในอดีตทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่การแสดงออกในสภาในรอบปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน โดยนายชูวิทย์ได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีร.ต.อ.เฉลิมคอยกำกับดูแลอยู่ ได้มีการนำคลิปภาพมาแฉในห้องประชุมสภาฯหลายครั้ง ทั้งการเปิดบ่อนการพนัน แหล่งอบายมุขที่ผิดกฎหมาย ทำให้ทั้งคู่เกิดการโต้เถียงกันกลางสภาฯอย่างดุเดือดหลายครั้ง จึงได้รับฉายาคู่กัดแห่งปี
11. คนดีศรีสภา: งดการเสนอชื่อบุคคล ในปีนี้สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีความเห็นร่วมกันว่า ยังไม่มีบุคคลที่เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว ถึงแม้จะมี ส.ส. ส.ว.หลายคนแสดงบทบาทการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนสะท้อนผ่านเวทีรัฐสภา แต่เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งนิยามคำว่าคนดีศรีสภา ควรเป็นการแสดงบทบาทของคนดีให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเห็นได้ชัดเจน จึงของดการมอบตำแหน่งคนศรีสภาประจำปี2555..
3. ฉายา สภาผู้แทนราษฎร : “จองล้าง..... จ้องผลาญ .....” ภาพรวมการทำงานของสภาฯ พบว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ที่ถือเป็นคู่แค้นทางการเมืองต่าง เสนอญัตติหรือยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการ ที่เป็นพรรคพวกเดียวกันตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม รวมถึงตั้งกระทู้ถามสด เพื่อโยงไปหาข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ต่างกับการจ้องจะล้างแค้นซึ่งกันและกัน ขณะที่ “จ้องผลาญ”งบประมาณแผ่นดิน การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 55 และปี56 ที่ ส.ส.จ้องจัดสรรงบฯให้พวกตัวเอง และการจัดทริปดูงานต่างประเทศของคณะกรรมาธิการชุดต่างๆเป็นการไปท่องเที่ยว พักผ่อน มากกว่าที่จะไปดูงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง 4. ฉายาวุฒิสภา : “ตะแกรง...เลือกร่อน” ภาพรวมการทำหน้าที่ของวุฒิสภายังคงมีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน การทำงานไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว.แม้บางครั้งจะทำงานมุ่งเน้นการตรวจสอบ แต่ก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจว่ามีวาระซ่อนเร้นต่อฝ่ายการเมืองหรือไม่ เห็นได้จากการพฤติกรรมที่พุ่งเป้าไปยังรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อฟื้นฟูน้ำท่วมปี 2554 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่ส.ว.อีกกลุ่มก็พยายามออกแรงช่วยรัฐบาลอย่างเต็มที่ ถึงขนาดต้องแยกยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 เป็น 2 ญัตติ ทั้งที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพ ไม่เป็นหนึ่งเดียว จึงเปรียบเหมือนกับ “ตระแกรง”ที่เลือกร่อน เฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่
5.ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร - สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ : “ค้อนน้อย..หมวกแดง” เมื่อปี2554 ได้รับฉายา “ค้อนปลอม ตราดูไบ” แต่ไม่สามารถแสดงผลงานให้เห็นว่าเป็นขุนค้อนที่น่าเกรงขามได้เหมือนอดีต กลับกันมีข้อครหาเรื่องความเป็นกลางหลายครั้งเกี่ยวกับการวินิจฉัยข้อขัด แย้งในสภาฯ ผนวกกับมีกรณีคลิปเสียงที่พาดพิงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองฯและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงกลายเป็นขุนค้อนที่ขาดความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นแค่ค้อนน้อยที่สวมหมวกแดง แทนการสวมหมวกของประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติ 6. ฉายาประธานวุฒิสภา - นิคม ไวยรัชพานิช :“ผลัด...ไม้สุดท้าย” นับว่าได้ตำแหน่งประธานวุฒิสภามาอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากนิคม เคยทำใจแล้วว่าคงไม่สามารถก้าวถึงตำแหน่งสูงสุดในสภาสูงได้ในวาระที่เหลือ อีกประมาณ 2 ปี แต่เมื่อพล.อ.ธีรเดช มีเพียร มีอันต้องตกจากเก้าอี้ประธานวุฒิสภาในคดีเก่าการออกระเบียบขึ้นเงินเดือนฯ ให้ตัวเอง ทำให้นายนิคมซึ่งนั่งรองประธานวุฒิสภามาเกือบ 4 ปี ขอท้าชิงเก้าอี้อีกครั้ง โดยฝ่าย ส.ว.สรรหา เฟ้นหาตัวที่พอจะต่อกรด้วยไม่ทัน จึงสามารถเอาชนะคู่แข่งไปได้ขาดลอย วุฒิสภาจึงเกิดการผลัดขั้วการเมืองครั้งใหญ่จากสายสรรหามาเป็นสายเลือก ตั้ง
7. ฉายาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : “หล่อ รับ เละ” บทบาทการทำหน้าที่ของ นายอภิสิทธิ์ ในรอบปีที่ผ่านมาไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร อาจเพราะตกอยู่ในสภาพต้องคดีทางการเมือง อาทิ คดี 91 ศพจากการชุมนุมทางการเมือง โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษสั่งฟ้อง และถูกคำสั่งรมว.กลาโหมถอดยศว่าที่ร้อยตรี รวมทั้งปัญหาภายในพรรครุมเร้า ทุกปัญหาต่างพุ่งเป้ามาที่ตัวนายอภิสิทธิ์ ขณะที่บทบาทการนำลูกพรรคในการทำหน้าที่ในสภาฯแม้ลูกพรรคจะสร้างภาพลักษณ์ให้ รัฐสภาเสื่อมเสีย ก็ยังออกมาสนับสนุน รวมถึงช่วงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยังมอบบทบาทการนำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้านแทนทั้งหมด จึงเปรียบเหมือนนายอภิสิทธิ์ที่มีหน้าตาดูว่าหล่อ แต่ถูกมรสุมการเมืองรุมถล่มจนเละ 8. ดาวเด่น : “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธานสภาฯคนที่ 2” ถือเป็นประธานในการควบคุมการประชุมสภาฯที่ได้รับความชื่นชมถึงความเป็นกลาง โดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้าน ทำให้บรรยากาศการประชุมผ่อนคลาย เพราะท่าทีที่ผ่อนหนักผ่อนเบา แม้แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจากพรรคเดียวกันหากแสดงกิริยาไม่เหมาะสมก็ไม่ยกเว้นได้ ตำหนิ ตักเตือนเช่นกัน โดยส.ส.ในที่ประชุมมีความเกรงใจและให้ความร่วมมือ
9.ดาวดับ : “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ - น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์” การทำหน้าที่ของ ส.ส. ควรจะมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ และสภาควรเป็นเวทีแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศ แต่ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติเหล่านี้ ได้แสดงพฤติกรรมกลางที่ประชุมสภาฯ ให้เห็นถึงความหยาบคาย ทั้งทางวาจาและพฤติกรรมที่แสดงออกมา อาทิ การกล่าว ผรุสวาท รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ถ่อย เถื่อน รวมถึงการขว้างปาสิ่งของ และลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ทำให้ภาพพจน์ของสภาฯเสื่อมเสียอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งนักข่าวรัฐสภาต้องการสะท้อนมุมมองให้เห็นว่าพฤติกรรม ลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้ 10. คู่กัดแห่งปี : “นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ vs ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ในอดีตทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่การแสดงออกในสภาในรอบปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน โดยนายชูวิทย์ได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีร.ต.อ.เฉลิมคอยกำกับดูแลอยู่ ได้มีการนำคลิปภาพมาแฉในห้องประชุมสภาฯหลายครั้ง ทั้งการเปิดบ่อนการพนัน แหล่งอบายมุขที่ผิดกฎหมาย ทำให้ทั้งคู่เกิดการโต้เถียงกันกลางสภาฯอย่างดุเดือดหลายครั้ง จึงได้รับฉายาคู่กัดแห่งปี
11. คนดีศรีสภา: งดการเสนอชื่อบุคคล ในปีนี้สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีความเห็นร่วมกันว่า ยังไม่มีบุคคลที่เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว ถึงแม้จะมี ส.ส. ส.ว.หลายคนแสดงบทบาทการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนสะท้อนผ่านเวทีรัฐสภา แต่เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งนิยามคำว่าคนดีศรีสภา ควรเป็นการแสดงบทบาทของคนดีให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเห็นได้ชัดเจน จึงของดการมอบตำแหน่งคนศรีสภาประจำปี2555..
คนสนิทเผยอาการป่วย เสธ.หนั่นดีขึ้น แกนนำ ชทพ.ปัดยังไม่มีคุยปรับครม.แทน"ชุมพล"
วันนี้ (27 ธ.ค.) นายฐนนท์ศรณ์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล ที่ปรึกษา
นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะคนใกล้ชิดพล.ต.สนั่น
ขจรประศาสน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยถึงอาการป่วยของ พล.ต.สนั่น
ว่าขณะนี้ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยอาการป่วยดีขึ้นเป็นลำดับ
แพทย์ได้ตรวจเช็คเรื่องหัวใจ ความดัน และออกซิเจนในเลือดพบว่าดีขึ้น
อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างการฟื้นฟูเซลที่เกี่ยวกับการตอบสนอง
เบื้องต้นต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ
ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของ พล.ต.สนั่น นั้นขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะยุติหรือไม่
เพราะต้องรอการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อน ทั้งนี้ตนยืนยันว่า พล.ต.สนั่น
ยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่มีผู้ที่ไม่หวังดีปล่อยออกมา
อย่างไรก็ตามตนขอฝากไปยังผู้ให้ข้อมูลในแง่ลบ ว่าอย่าแล้งน้ำใจต่อกัน
และพูดในสิ่งที่เป็นอัปมงคล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอาการป่วยของนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกฯ และรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา คนใกล้ชิดระบุว่านายชุมพลมีอาการที่ดีขึ้น โดยรู้สึกตัวแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์ด้านหัวใจ ส่วนกรณีที่ระบุว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรชาติไทยพัฒนา ได้หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เพื่อขอเปลี่ยนตัวให้นายปองพล อดิเรกสาร สมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา มารับหน้าที่แทนตำแหน่งของนายชุมพล ประกอบด้วย รองนายกฯ และรมว.การท่องเที่ยวฯ
นายนิกร จำนง แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ไม่ทราบข่าวที่ปรากฏ ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ทั้งนี้หากสื่อมวลชนต้องการถามข้อเท็จจริงขอให้ไปสอบถามนายบรรหาร และนายปองพลเอง ในวันที่ 31 ธ.ค. นี้ ซึ่งนายบรรหาร จะได้เปิดบ้านพักย่านจรัญสนิทวงศ์ให้อวยพรปีใหม่...
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอาการป่วยของนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกฯ และรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา คนใกล้ชิดระบุว่านายชุมพลมีอาการที่ดีขึ้น โดยรู้สึกตัวแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์ด้านหัวใจ ส่วนกรณีที่ระบุว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรชาติไทยพัฒนา ได้หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เพื่อขอเปลี่ยนตัวให้นายปองพล อดิเรกสาร สมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา มารับหน้าที่แทนตำแหน่งของนายชุมพล ประกอบด้วย รองนายกฯ และรมว.การท่องเที่ยวฯ
นายนิกร จำนง แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ไม่ทราบข่าวที่ปรากฏ ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ทั้งนี้หากสื่อมวลชนต้องการถามข้อเท็จจริงขอให้ไปสอบถามนายบรรหาร และนายปองพลเอง ในวันที่ 31 ธ.ค. นี้ ซึ่งนายบรรหาร จะได้เปิดบ้านพักย่านจรัญสนิทวงศ์ให้อวยพรปีใหม่...
ประเดิมวันแรกของ “7 วันอันตราย” เกิดเหตุ 314 ครั้ง ดับ 33 ราย เจ็บ 322
คน เชียงใหม่ครองแชมป์วันแรกตาย 4 เมาแล้วขับยังจองเหตุสูงสุด
วันนี้ (28 ธ.ค.) ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) นายสมชาย
พิพุถวัฒน์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคม
ประธานแถลงข่าวสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556
ของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน(ศปถ.)
ที่ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 27 ธ.ค.2555
ซึ่งเป็นวันแรกของการรณรงค์ “ก้าวสู่ปีใหม่ อย่างปลอดภัย
ร่วมใจลดอุบัติเหตุ”
นายสมชาย กล่าวว่า โดยเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 314 ครั้ง (ปี 2555 เกิด 408 ครั้ง) ลดลง 94 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 23.04 มีผู้เสียชีวิต 33 ราย (ปี 2555 เสียชีวิต 36 ราย) ลดลง 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.33 ผู้บาดเจ็บ 322 คน (ปี 2555 บาดเจ็บ 473 คน) ลดลง 151 คน คิดเป็นร้อยละ 31.92
นายสมชาย กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุราแล้วขับ ร้อยละ 33.44 ขับรถเร็วเกินกำหนดร้อยละ 21.66 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.41 รถปิคอัพ ร้อยละ 8.95 พฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 18.59 ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยร้อยละ 1.69 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 64.01 บนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 35.67 ถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 31.85 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 39.81 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงานร้อยละ 56.34 ทั้งนี้ ได้เจ้าหน้าที่ได้เรียกตรวจยานพาหนะ 476,651 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 68,598 ราย โดยมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ 21,533 ราย รองลงมาไม่สวมหมวกนิรภัย 20,169 ราย
“จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด 20 ครั้ง ผู้เสียชีวิตสูงสุด 4 ราย และผู้บาดเจ็บสูงสุด 17 คน จังหวัดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ 11 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชุมพร ตราด นครนายก ยโสธร ศรีสะเกษ สตูล สมุทรปราการ สระบุรี และหนองคาย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) 52 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ 13 จังหวัด” นายสมชาย กล่าว
ขณะที่ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะ เลขานุการ ศปถ. กล่าวว่า วันนี้(28 ธ.ค.)ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้ปริมาณรถหนาแน่นขึ้น จึงได้สั่งการจังหวัดเข้มการจัดตั้งจุดตรวจบนถนนสายหลักบังคับใช้กฎหมาย จราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เน้นหนักมาตรการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางในขณะขับขี่หรือ โดยสารรถ รวมถึงปรับแผนการจัดตั้งจุดตรวจให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในแต่ละ สำหรับรถโดยสารสาธารณะให้กรมการขนส่งทางบกคุมเข้มพนักงานขับรถ โดยระดับแอลกอฮอล์ในเลือดต้องเป็นศูนย์ หากขับรถระยะทางไกลต้องมีพนักงานขับรถผลัดเปลี่ยน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ใช้รถเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสอบรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ศึกษาและเลือกใช้เส้นทางที่ปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎจราจร มีสติ ไม่ประมาท เร็ว เมา โทร ง่วงไม่ขับ พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ เพื่อให้สามารถเดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความปลอดภัยทางถนนกับภาครัฐ..
นายสมชาย กล่าวว่า โดยเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 314 ครั้ง (ปี 2555 เกิด 408 ครั้ง) ลดลง 94 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 23.04 มีผู้เสียชีวิต 33 ราย (ปี 2555 เสียชีวิต 36 ราย) ลดลง 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.33 ผู้บาดเจ็บ 322 คน (ปี 2555 บาดเจ็บ 473 คน) ลดลง 151 คน คิดเป็นร้อยละ 31.92
นายสมชาย กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุราแล้วขับ ร้อยละ 33.44 ขับรถเร็วเกินกำหนดร้อยละ 21.66 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.41 รถปิคอัพ ร้อยละ 8.95 พฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 18.59 ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยร้อยละ 1.69 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 64.01 บนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 35.67 ถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 31.85 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 39.81 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงานร้อยละ 56.34 ทั้งนี้ ได้เจ้าหน้าที่ได้เรียกตรวจยานพาหนะ 476,651 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 68,598 ราย โดยมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ 21,533 ราย รองลงมาไม่สวมหมวกนิรภัย 20,169 ราย
“จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด 20 ครั้ง ผู้เสียชีวิตสูงสุด 4 ราย และผู้บาดเจ็บสูงสุด 17 คน จังหวัดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ 11 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชุมพร ตราด นครนายก ยโสธร ศรีสะเกษ สตูล สมุทรปราการ สระบุรี และหนองคาย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) 52 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ 13 จังหวัด” นายสมชาย กล่าว
ขณะที่ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะ เลขานุการ ศปถ. กล่าวว่า วันนี้(28 ธ.ค.)ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้ปริมาณรถหนาแน่นขึ้น จึงได้สั่งการจังหวัดเข้มการจัดตั้งจุดตรวจบนถนนสายหลักบังคับใช้กฎหมาย จราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เน้นหนักมาตรการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางในขณะขับขี่หรือ โดยสารรถ รวมถึงปรับแผนการจัดตั้งจุดตรวจให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในแต่ละ สำหรับรถโดยสารสาธารณะให้กรมการขนส่งทางบกคุมเข้มพนักงานขับรถ โดยระดับแอลกอฮอล์ในเลือดต้องเป็นศูนย์ หากขับรถระยะทางไกลต้องมีพนักงานขับรถผลัดเปลี่ยน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ใช้รถเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสอบรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ศึกษาและเลือกใช้เส้นทางที่ปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎจราจร มีสติ ไม่ประมาท เร็ว เมา โทร ง่วงไม่ขับ พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ เพื่อให้สามารถเดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความปลอดภัยทางถนนกับภาครัฐ..
นิด้าโพล เผย ผลสำรวจความคิดเห็น เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พงศพัศ –
สุขุมพันธุ์ สูสี คะแนนนิยม 21 เปอร์เซ็นเท่ากัน ส่วน 38
เปอร์เซ็นต์ยังไม่ตัดสินใจ เชื่อเป็นตัวชี้ขาด ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่
วันนี้(28ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล”
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
เรื่อง “ความนิยมของว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. จากคนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ”
ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25 – 26 ธันวาคม 2555 จากประชาชน อายุ 18 ปี
ขึ้นไป และเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ในกลุ่มกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ทั้ง 7 เขต ได้แก่ เขตจตุจักร เขตดอนเมือง
เขตบางซื่อ เขตลาดพร้าว เขตสายไหม และเขตหลักสี่ จำนวน 557 หน่วยตัวอย่าง
กระจายทุกระดับการศึกษาและกลุ่มอาชีพ
จากการสำรวจ พบว่า คนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ร้อยละ 94.43 ตั้งใจจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 1.62 ระบุว่า ไม่ไปใช้สิทธิ์ และร้อยละ 3.95 ยังไม่ตัดสินใจ และเมื่อถามว่าจะเลือกใครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 21.72 ระบุว่า จะเลือก พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ในสัดส่วน ที่ใกล้เคียงกับ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร คือ ร้อยละ 21.36 และร้อยละ 9.34 จะเลือก พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส และอีกร้อยละ 38.06 ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกใคร
รศ.ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีฝ่ายวิชาการ อาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร-ศาสตร์ ได้ให้ทัศนะเพิ่มเติมจากผลการสำรวจว่า “คะแนนความนิยมที่สูสีกันระหว่าง พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประมาณ ร้อยละ 21 นั้น สะท้อนให้เห็นถึงฐานเสียงเดิมของคนกรุงเทพฯ ในบางเขต โดยเฉพาะเขตชานเมือง เช่น เขตหลักสี่ เขตดอนเมือง เป็นต้น ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ส่วนเขตกรุงเทพฯ ด้านใน เช่น เขตลาดพร้าว เขตบางซื่อ และ เขตจตุจักร ก็จะเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนคะแนนนิยมของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส นั้น จะเป็นฐานเสียงอิสระ คะแนนความนิยมที่ได้จะเป็นคะแนนจากความชอบส่วนบุคคล หรือการมีชื่อเสียงในสังคมมากกว่า
ทั้งนี้ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจ คือ กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร มากถึง ร้อยละ 38 นั้น ก็อาจจะพลิกผันเทคะแนนไปทางใดทางหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้สมัครจะใช้นโยบายหรือกลยุทธ์ในการหาเสียงเพื่อชักจูงให้ ประชาชนมาสนับสนุนตนเองได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้คะแนนความนิยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป..
จากการสำรวจ พบว่า คนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ร้อยละ 94.43 ตั้งใจจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 1.62 ระบุว่า ไม่ไปใช้สิทธิ์ และร้อยละ 3.95 ยังไม่ตัดสินใจ และเมื่อถามว่าจะเลือกใครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 21.72 ระบุว่า จะเลือก พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ในสัดส่วน ที่ใกล้เคียงกับ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร คือ ร้อยละ 21.36 และร้อยละ 9.34 จะเลือก พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส และอีกร้อยละ 38.06 ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกใคร
รศ.ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีฝ่ายวิชาการ อาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร-ศาสตร์ ได้ให้ทัศนะเพิ่มเติมจากผลการสำรวจว่า “คะแนนความนิยมที่สูสีกันระหว่าง พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประมาณ ร้อยละ 21 นั้น สะท้อนให้เห็นถึงฐานเสียงเดิมของคนกรุงเทพฯ ในบางเขต โดยเฉพาะเขตชานเมือง เช่น เขตหลักสี่ เขตดอนเมือง เป็นต้น ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ส่วนเขตกรุงเทพฯ ด้านใน เช่น เขตลาดพร้าว เขตบางซื่อ และ เขตจตุจักร ก็จะเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนคะแนนนิยมของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส นั้น จะเป็นฐานเสียงอิสระ คะแนนความนิยมที่ได้จะเป็นคะแนนจากความชอบส่วนบุคคล หรือการมีชื่อเสียงในสังคมมากกว่า
ทั้งนี้ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจ คือ กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร มากถึง ร้อยละ 38 นั้น ก็อาจจะพลิกผันเทคะแนนไปทางใดทางหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้สมัครจะใช้นโยบายหรือกลยุทธ์ในการหาเสียงเพื่อชักจูงให้ ประชาชนมาสนับสนุนตนเองได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้คะแนนความนิยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป..
สวนดุสิต โพล สำรวจ คนไทยกับการเมือง มองภาพรวมวุ่นวาย ขัดแย้งเหมือนเดิม
ด้านแย่ นักการเมือง ยังไม่มีคุณธรรม ขาดการความสามัคคี
ด้านดีเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
วันนี้ (28ธ.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “สวนดุสิตโพล”
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ กรณี “คนไทย” กับ
“การเมืองไทย” ปีนี้ กับ ปีหน้า จำนวน 1,604 คน ระหว่างวันที่ 23-28
ธันวาคม2555 เพื่อให้ประชาชน มีส่วนร่วมทางการเมือง
และแสวงหาฐานข้อมูลด้านความคิดเห็นของประชาชน สรุปผลดังนี้
1. ประชาชนมอง “ภาพรวมการเมืองไทยปี 2555” ที่กำลังจะสิ้นสุดลง เป็นอย่างไร?อันดับ 1 มีแต่ความวุ่นวาย ขัดแย้งแตกแยกกันเหมือนเดิม เล่นเกมการเมืองกันไปมา ไม่สร้างสรรค์ 61.54% อันดับ 2 สถานการณ์ทางการเมืองไม่แน่นอน มีการเคลื่อนไหว ชุมนุมประท้วงเป็นระยะๆ 24.80% อันดับ 3 ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไปบนความคิดเห็นที่แตกต่าง กัน 13.66%
2. “เรื่องดีๆ” ของ “การเมืองไทย ปี 2555” ในทัศนะของประชาชน อันดับ 1 มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมทางการเมืองมาก ขึ้น 41.51% อันดับ 2 ภาพความร่วมมือกับนานาประเทศ เช่น ผู้นำของสหรัฐและจีนมาเยือนประเทศไทย 30.17% อันดับ 3 รัฐบาลและฝ่ายค้านมีการประชุม ปรึกษาหารือเรื่องแก้ปัญหาไฟใต้ร่วมกัน 28.32%
3. “เรื่องแย่ๆ” ของ “การเมืองไทย ปี 2555” ในทัศนะของประชาชน อันดับ 1 นักการเมืองทะเลาะเบาะแว้ง ขาดความสามัคคี ไม่มีคุณธรรม ใช้ความรุนแรง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี 57.43% อันดับ 2 การทุจริต คอรัปชั่น ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด หาผลประโยชน์ใส่ตน ไม่คำนึงถึงประชาชน 31.02% อันดับ 3 การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลท่ามกลางความขัดแย้งและความเห็นที่แตก ต่างกัน 11.55%
4. สิ่งไหน/เรื่องใด? ของ “การเมืองไทย ปี 2555 ที่อยากทิ้ง” ให้หมดไปพร้อมกับปีเก่าที่กำลังจะสิ้นสุดลง อันดับ 1 การขาดความสามัคคี ความขัดแย้งแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย 64.56%อันดับ 2 การทุจริตคอรัปชั่น ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน 22.18% อันดับ 3 นักการเมืองที่มีความประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสม ขาดคุณธรรมจริยธรรม 13.26%
5. ประชาชนมอง “การเมืองไทย ปี 2556” ที่กำลังจะมาถึงเป็นอย่างไร? อันดับ 1 คงจะเหมือนเดิม 55.63% เพราะ นักการเมืองแต่ละฝ่ายยังคงเล่นเกมการเมืองและขัดแย้งกันเหมือนเดิม ฯลฯ อันดับ 2 ปี 2556 น่าจะดีกว่า ปี 2555 23.59% เพราะ รัฐบาลรับรู้ปัญหาต่างๆของบ้านเมืองและพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น เรื่องต่างๆที่ดำเนินการอยู่น่าจะเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น ฯลฯ อันดับ 3 ปี 2556 น่าจะแย่กว่า ปี 2555 20.78% เพราะ มีหลายเรื่องที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการประชานิยมที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้ประเทศชาติมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ฯลฯ
1. ประชาชนมอง “ภาพรวมการเมืองไทยปี 2555” ที่กำลังจะสิ้นสุดลง เป็นอย่างไร?อันดับ 1 มีแต่ความวุ่นวาย ขัดแย้งแตกแยกกันเหมือนเดิม เล่นเกมการเมืองกันไปมา ไม่สร้างสรรค์ 61.54% อันดับ 2 สถานการณ์ทางการเมืองไม่แน่นอน มีการเคลื่อนไหว ชุมนุมประท้วงเป็นระยะๆ 24.80% อันดับ 3 ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไปบนความคิดเห็นที่แตกต่าง กัน 13.66%
2. “เรื่องดีๆ” ของ “การเมืองไทย ปี 2555” ในทัศนะของประชาชน อันดับ 1 มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมทางการเมืองมาก ขึ้น 41.51% อันดับ 2 ภาพความร่วมมือกับนานาประเทศ เช่น ผู้นำของสหรัฐและจีนมาเยือนประเทศไทย 30.17% อันดับ 3 รัฐบาลและฝ่ายค้านมีการประชุม ปรึกษาหารือเรื่องแก้ปัญหาไฟใต้ร่วมกัน 28.32%
3. “เรื่องแย่ๆ” ของ “การเมืองไทย ปี 2555” ในทัศนะของประชาชน อันดับ 1 นักการเมืองทะเลาะเบาะแว้ง ขาดความสามัคคี ไม่มีคุณธรรม ใช้ความรุนแรง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี 57.43% อันดับ 2 การทุจริต คอรัปชั่น ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด หาผลประโยชน์ใส่ตน ไม่คำนึงถึงประชาชน 31.02% อันดับ 3 การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลท่ามกลางความขัดแย้งและความเห็นที่แตก ต่างกัน 11.55%
4. สิ่งไหน/เรื่องใด? ของ “การเมืองไทย ปี 2555 ที่อยากทิ้ง” ให้หมดไปพร้อมกับปีเก่าที่กำลังจะสิ้นสุดลง อันดับ 1 การขาดความสามัคคี ความขัดแย้งแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย 64.56%อันดับ 2 การทุจริตคอรัปชั่น ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน 22.18% อันดับ 3 นักการเมืองที่มีความประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสม ขาดคุณธรรมจริยธรรม 13.26%
5. ประชาชนมอง “การเมืองไทย ปี 2556” ที่กำลังจะมาถึงเป็นอย่างไร? อันดับ 1 คงจะเหมือนเดิม 55.63% เพราะ นักการเมืองแต่ละฝ่ายยังคงเล่นเกมการเมืองและขัดแย้งกันเหมือนเดิม ฯลฯ อันดับ 2 ปี 2556 น่าจะดีกว่า ปี 2555 23.59% เพราะ รัฐบาลรับรู้ปัญหาต่างๆของบ้านเมืองและพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น เรื่องต่างๆที่ดำเนินการอยู่น่าจะเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น ฯลฯ อันดับ 3 ปี 2556 น่าจะแย่กว่า ปี 2555 20.78% เพราะ มีหลายเรื่องที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการประชานิยมที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้ประเทศชาติมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ฯลฯ
นปช.เดินหน้าบี้ออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ให้ทุกสี เว้นแกนนำ –คนสั่งฆ่าปชช. แนะรัฐบาลเลือก อำมาตย์ หรือประชาธิปไตย
เมื่อเวลา 13.00น.วันนี้(28ธ.ค.) ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ร่วมแถลงข่าวประจำ
สัปดาห์ โดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. กล่าวว่า แผนงาน นปช.ในปี2556
เรายังต้องทำต่อไป
โดยเฉพาะการเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขังให้ได้รับการประกันตัว
ไม่อยากให้ตายทีละคน และจะเร่งผลักดัน พ.ร.ก. นิรโทษกรรม
ให้กับประชาชนทุกสีเสื้อ ยกเว้นแกนนำและผู้สั่งฆ่า ดังนั้นการมี
พ.ร.ก.เป็นภาระสำคัญของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ส่วนการรุกทางการเมือง
เนื่องจากยังมีอำนาจครอบงำประเทศไทย
จุดยืนคนเสื้อแดงต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และยืนยันเหมือนเดิมตามที่ได้พูดกันที่เขาใหญ่ เมื่อ22ธ.ค.
คือให้โหวตวาระ3ไปเลย เนื่องจากเป็นอำนาจของสภาฯ อำนาจ 3 ฝ่าย นิติบัญญัติ
บริหาร ตุลาการ ต้องแยกกัน ไม่มีการแทรกแซงกัน
แต่ถามว่ารัฐบาลจะเลือกไปทิศทางอำมาตย์หรือประชาธิปไตย แม้จะยากลำบาก
แต่ที่ต้องก้าวไปข้างหน้าคือระบอบประชาธิปไตย เราต้องคำนึงผลประโยชน์
การต่อสู้ของประชาชนเป็นหลัก
ต้องคำนึงถึงทิศทางในการคำนึงถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง
นางธิดา กล่าวอีกว่า วิธีไหนที่ทำให้เกิดความเสียหายประชาชน เราไม่เลือกเด็ดขาด ประชามติเป็นเพียงท่วงทำนอง แต่รัฐธรรมนูญนี้มันจะนำไปสู่กับดัก จะลงท้ายด้วยระบอบอำมาตย์ เพราะเป็นถนนที่เขาขีดไว้ ประชาชนชี้ทางไปทางประชาธิปไตย อำมาตย์ชี้ทาง ก็ต้องไปทางอำมาตย์ คือคำเรียกร้องของ นปช.ไปยังพรรคเพื่อไทยว่าจะฟังอำมาตย์หรือฟังประชาชน เราขอให้โหวตวาระ3 แต่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดี ไม่ต้องโหวตทันที แต่ทุกฝ่ายต้องเข้าใจปัญหานี้ ขอให้รัฐบาลไต่ตรองให้ดี เพราะเป็นเพื่อนร่วมทางกับเรา หากท่านสะดุดลงหลุม เราก็อาจสะดุดไปด้วย ถ้าพ่ายแพ้ประชามติ คือความเลวร้ายที่สุดของการต่อสู้ประชาชน ขอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง เชื่อว่าจะมีทางออก คนเสื้อแดงยึดมั่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เรายังยืนอยู่ในจุดนี้ เพื่อทำให้ความจริงปรากฏ ไม่ให้มีการฆ่าคนตาย มีรัฐประหารอีก และขอให้รัฐบาลประกาศรับรองอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี)
นางธิดากล่าวอีกว่า ปีหน้าเป็นความท้าทายใหญ่ เพราะเราขยับก้าวที่สองคือแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องเจอคลื่นทั้งหลาย ไม่ว่าเป็นกลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กลุ่มพิทักษ์สยาม หรือกลุ่มอื่น ที่หวาดกลัวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นพี่น้องต้องปรากฏตัว ยืนเป็นกำแพงเหล็กตระหง่านให้รัฐบาลนี้อยู่ให้นานที่สุด ปีหน้าเจอศึกใหญ่แน่นอน การจัดตั้งคณะนำทุกจังหวัดขอให้ทำให้ได้ โรงเรียน นปช.จะเดินหน้าต่อ ทั้งนี้ในเดือน ม.ค.จะเรียกประชุมแกนนำเสื้อแดงในกทม.50เขต เพื่อเตรียมตัวตรวจสอบการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ดังนั้นใครที่จะโกงการเลือกตั้งจะต้องเจอกับ นปช.
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวว่า ปีหน้าจะเรียกร้องให้รัฐบาลออก พรก.นิรโทษกรรมโดยเร็วที่สุด ยกเว้นแกนนำและคนสั่งฆ่าประชาชน พร้อมกับเดินหน้าเรียกร้องให้รมว.ต่างประเทศ กล้าลงนามในประกาศไอซีซี เท่าที่ไปคุยเขากลัวผิดรัฐธรรมนูญ190 ซึ่งอย่าไปกลัว เพราะไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว ส่วนประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญยังยืนยันเหมือนเดิมคือให้โหวตวาระ3 ไปเลย..
นางธิดา กล่าวอีกว่า วิธีไหนที่ทำให้เกิดความเสียหายประชาชน เราไม่เลือกเด็ดขาด ประชามติเป็นเพียงท่วงทำนอง แต่รัฐธรรมนูญนี้มันจะนำไปสู่กับดัก จะลงท้ายด้วยระบอบอำมาตย์ เพราะเป็นถนนที่เขาขีดไว้ ประชาชนชี้ทางไปทางประชาธิปไตย อำมาตย์ชี้ทาง ก็ต้องไปทางอำมาตย์ คือคำเรียกร้องของ นปช.ไปยังพรรคเพื่อไทยว่าจะฟังอำมาตย์หรือฟังประชาชน เราขอให้โหวตวาระ3 แต่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดี ไม่ต้องโหวตทันที แต่ทุกฝ่ายต้องเข้าใจปัญหานี้ ขอให้รัฐบาลไต่ตรองให้ดี เพราะเป็นเพื่อนร่วมทางกับเรา หากท่านสะดุดลงหลุม เราก็อาจสะดุดไปด้วย ถ้าพ่ายแพ้ประชามติ คือความเลวร้ายที่สุดของการต่อสู้ประชาชน ขอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง เชื่อว่าจะมีทางออก คนเสื้อแดงยึดมั่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เรายังยืนอยู่ในจุดนี้ เพื่อทำให้ความจริงปรากฏ ไม่ให้มีการฆ่าคนตาย มีรัฐประหารอีก และขอให้รัฐบาลประกาศรับรองอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี)
นางธิดากล่าวอีกว่า ปีหน้าเป็นความท้าทายใหญ่ เพราะเราขยับก้าวที่สองคือแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องเจอคลื่นทั้งหลาย ไม่ว่าเป็นกลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กลุ่มพิทักษ์สยาม หรือกลุ่มอื่น ที่หวาดกลัวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นพี่น้องต้องปรากฏตัว ยืนเป็นกำแพงเหล็กตระหง่านให้รัฐบาลนี้อยู่ให้นานที่สุด ปีหน้าเจอศึกใหญ่แน่นอน การจัดตั้งคณะนำทุกจังหวัดขอให้ทำให้ได้ โรงเรียน นปช.จะเดินหน้าต่อ ทั้งนี้ในเดือน ม.ค.จะเรียกประชุมแกนนำเสื้อแดงในกทม.50เขต เพื่อเตรียมตัวตรวจสอบการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ดังนั้นใครที่จะโกงการเลือกตั้งจะต้องเจอกับ นปช.
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวว่า ปีหน้าจะเรียกร้องให้รัฐบาลออก พรก.นิรโทษกรรมโดยเร็วที่สุด ยกเว้นแกนนำและคนสั่งฆ่าประชาชน พร้อมกับเดินหน้าเรียกร้องให้รมว.ต่างประเทศ กล้าลงนามในประกาศไอซีซี เท่าที่ไปคุยเขากลัวผิดรัฐธรรมนูญ190 ซึ่งอย่าไปกลัว เพราะไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว ส่วนประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญยังยืนยันเหมือนเดิมคือให้โหวตวาระ3 ไปเลย..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
