ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555
"แก้ว พงษ์ประยูร"จัดให้คว้าแล้วเหรียญทองแดง
Posted on 15:11 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ช่วงเวลา 03.15 น.ที่ผ่านมา การแข่งขัน
มวยสากลสมัครเล่น โอลิมปิกเกมส์ 2012 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
รอบก่อนรองชนะเลิศ หรือรอบ 8 คนสุดท้าย รุ่นไลท์ฟลายเวท 49 กก.ชาย
หนึ่งเดียวของไทย "แก้ว พงษ์ประยูร" ขึ้นสังเวียนพบ "อเล็กซานเดอร์
อเล็กซานดอฟ" จากบัลแกเรีย ซึ่งผู้ชนะรอบนี้ จะได้เหรียญทองแดง
เป็นที่แน่นอน
ยกแรก ทั้งคู่แลกหมัดกันอย่างสูสี ผลยังเสมอกันอยู่ที่ 3-3
ยกที่สอง แก้ว ออกหมัดได้แบบจะแจ้ง ไล่ต่อยนักชกจากบัลแกเรีย ทำให้แต้มนำอยู่ที่ 9-7
ยกที่สาม แก้ว อาศัยความเร็ว โชว์ลีลาชั้นเชิงได้อย่างยอดเยี่ยม ชกอย่างระวังตัว ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ในที่สุด 16-10 คว้าเหรียญทองแดงให้ทีมเสื้อกล้ามของไทยได้เป็นอย่างน้อยแล้ว
สำหรับ รอบรองชนะเลิศ หรือรอบตัดเชือก แก้ว จะพบกับ เดวิด อายราเปตยัน จากรัสเซีย ที่เอาชนะ เฟอร์ฮัต เปห์ลิวาน จากตุรกี 19-11 คะแนน ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ เวลา 19.45 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) ต่อไป.
ยกแรก ทั้งคู่แลกหมัดกันอย่างสูสี ผลยังเสมอกันอยู่ที่ 3-3
ยกที่สอง แก้ว ออกหมัดได้แบบจะแจ้ง ไล่ต่อยนักชกจากบัลแกเรีย ทำให้แต้มนำอยู่ที่ 9-7
ยกที่สาม แก้ว อาศัยความเร็ว โชว์ลีลาชั้นเชิงได้อย่างยอดเยี่ยม ชกอย่างระวังตัว ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ในที่สุด 16-10 คว้าเหรียญทองแดงให้ทีมเสื้อกล้ามของไทยได้เป็นอย่างน้อยแล้ว
สำหรับ รอบรองชนะเลิศ หรือรอบตัดเชือก แก้ว จะพบกับ เดวิด อายราเปตยัน จากรัสเซีย ที่เอาชนะ เฟอร์ฮัต เปห์ลิวาน จากตุรกี 19-11 คะแนน ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ เวลา 19.45 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) ต่อไป.
This entry was posted in News
ส่งแรงเชียร์! วันนี้ลุ้น "น้องจูน" ชิงทองเทควันโด
Posted on 15:10 by netdesign | No comments
วันนี้(9 ส.ค.)มีนักกีฬาไทยลงแข่งขันรายการสำคัญ คือ “จูน” รังสิญา
นิสัยสม นักเทควันโดทีมชาติไทยวัย 18ปี จากชลบุรี ที่จะลงชิงชัยในรุ่น 57
กก.หญิง เวลา 9.00 น. (เวลาไทย 15.00 น.) ที่เอ็กซ์เซล เอ็กซิบิชั่น
เซ็นเตอร์ หาก รังสิญา เกิดพลิกผ่าน คู่แข่งในรอบแรก คือ หลี่ เจิ้ง เส็ง
เจ้าของตำแหน่งแชมป์เอเชีย 2 สมัย และถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 1
ของรายการไปได้ รอบที่ 2 จะพบกับผู้ชนะระหว่าง แอนเดรีย พอลลี่
มือวางอันดับ 8 จากเลบานอน กับ นิเดีย มูนอซ นักกีฬาเทควันโดคิวบา เวลา
15.00 น. (เวลาไทย 21.00 น.) หากผ่านมาได้อาจจะได้พบกับ เจด โจนส์
มือวางอันดับ 4 จากสหราชอาณาจักรในรอบรองชนะเลิศ เวลา 17.00 น. (เวลาไทย
23.00 น.) ส่วนรอบชิงชนะเลิศ จะแข่งเวลา 22.15 น. (เวลาไทย 04.15 น.)
“โค้ชเช” กระตุ้นให้สู้เต็มที่
“โค้ชเช” เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดไทย กล่าวว่า จริงๆแล้วไม่ได้ต้องการให้ “จูน” มาเจอกับ หลี่ เจิ้ง เส็ง ในรอบแรกๆ แต่อยากจะให้ รังสิญา ได้เจอกับนักกีฬาคนอื่น เชื่อว่าจะผ่านเข้ารอบได้ง่ายกว่า และจะสร้างความมั่นใจทำให้เล่นในรอบที่ 2 และรอบตัดเชือกได้ดี แต่ในเมื่อต้องมาเจอกับคนที่มีประสบการณ์มากขนาดนี้ คงจะต้องอาศัยความสด ความแข็งแกร่ง และอาศัยจังหวะต่างๆที่ได้ฝึกซ้อมมา หาช่องในการเตะทำแต้มให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำตัว, หัว หรือ เตะกลับหลัง เนื่องจากรูปร่างของ “จูน” ไม่เสียเปรียบมากนัก
ชม “รังสิญา” ซ้อมดีมาก
เช ยอง ซอก ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ถึง รังสิญา จะอายุแค่ 18 ปี และเข้าแข่งกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรก แต่ก็มีประสบการณ์พอตัว เพราะเคยไปคว้าเหรียญทอง รายการ “ดับเบิ้ลยูทีเอฟ เวิล์ด เทควันโด แชมเปี้ยนส์ชิพ ที่เมืองยองจูประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2011 จากนั้นมาคว้าเหรียญทอง รายการ “เอเชี่ยน ควอลิฟิเคชั่น ทัวร์นาเม้นท์ ฟอร์ ลอนดอน 2012” ที่กรุงเทพมหานคร แต่กลับฟอร์มตกไปพ่ายแพ้ แอนเดรีย พอลลี่ จากเลบานอน 0-1 ในรอบที่ 2 ของศึกเทควันโด ชิงแชมป์เอเชีย 2012 ที่ประเทศเวียดนาม แบบไม่มีใครคาดคิด จนเกือบจะถูกตัดออกจากทีม และให้ “จูนเล็ก” วรวงษ์ พงษ์พานิช ได้สิทธิมาแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แต่ วรวงษ์ เกิดมีอาการบาดเจ็บ ฟิตไม่เต็มร้อย และ รังสิญา กลับมาซ้อมได้ดี จึงถูกเลือกให้มาแข่งขันในรุ่นนี้
ส่วนแผนที่จะให้ รังสิญา ลงไปใช้ ก็คือ พยายามรอจังหวะให้ หลี่ เจิ้ง เส็ง เป็นฝ่ายบุก จากนั้นป้องกันแล้วหาจังหวะสวนกลับเตะเข้าเป้าให้ชัด ซึ่งที่ผ่าน รังสิญา จัดว่าซ้อมได้ดี ทำให้ สภาพร่างกายแข็งแกร่ง มีจังหวะการเข้าทำให้ดี หากไปเจอกันรอบอื่น คิดว่าจะเอาชนะได้ง่ายกว่านี้ แต่เมื่อการประกบคู่เป็นแบบนี้ ก็ต้องลุยกันเต็มที่ เวลาหาสวนกลับจังหวะสอง จะต้องออกอาวุธเป็นชุด ถ้าสู้แบบทุ่มหมดหัวใจ จะต้องเอาชนะผ่านเข้ารอบต่อไปได้แน่
“พิมล” ไม่ท้อยังมีลุ้น
“บิ๊กเอ” นายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจับสลากที่ออกมาอาจจะทำให้การลุ้นเหรียญทองในรุ่นเป็นไปได้ยากสักหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ได้มองไปถึงจุดนั้น พยายามปลุกเร้าเรื่องของกำลังใจให้ รังสิญา ลงไปสู้กับ หลี่ เจิ้ง เส็ง อย่างเต็มที่ เพราะหากลงไปสู้ด้วยความมั่นใจ จะไม่เป็นรอง แม้ประสบการณ์อาจจะน้อยกว่า แต่เรื่องความห้าว ความตั้งใจ และพละกำลังนั้น “น้องจูน” ฟิตมาอย่างดี นอกจากนี้ “โค้ชเช” ยังชมว่า รังสิญา เป็นคนที่แก้เกมได้เร็ว สั่งอะไรข้างสนามสามารถปรับยุทธวิธีการต่อสู้ได้ทันที ตรงนี้อาจจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ได้รับชัยชนะก็ได้ ต้องยอมรับว่า รังสิญา เป็นรอง แต่ไม่ได้เป็นรองแบบสู้ไม่ได้ หรือเอาชนะคู่แข่งไม่ได้
“โค้ชเช” กระตุ้นให้สู้เต็มที่
“โค้ชเช” เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดไทย กล่าวว่า จริงๆแล้วไม่ได้ต้องการให้ “จูน” มาเจอกับ หลี่ เจิ้ง เส็ง ในรอบแรกๆ แต่อยากจะให้ รังสิญา ได้เจอกับนักกีฬาคนอื่น เชื่อว่าจะผ่านเข้ารอบได้ง่ายกว่า และจะสร้างความมั่นใจทำให้เล่นในรอบที่ 2 และรอบตัดเชือกได้ดี แต่ในเมื่อต้องมาเจอกับคนที่มีประสบการณ์มากขนาดนี้ คงจะต้องอาศัยความสด ความแข็งแกร่ง และอาศัยจังหวะต่างๆที่ได้ฝึกซ้อมมา หาช่องในการเตะทำแต้มให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำตัว, หัว หรือ เตะกลับหลัง เนื่องจากรูปร่างของ “จูน” ไม่เสียเปรียบมากนัก
ชม “รังสิญา” ซ้อมดีมาก
เช ยอง ซอก ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ถึง รังสิญา จะอายุแค่ 18 ปี และเข้าแข่งกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรก แต่ก็มีประสบการณ์พอตัว เพราะเคยไปคว้าเหรียญทอง รายการ “ดับเบิ้ลยูทีเอฟ เวิล์ด เทควันโด แชมเปี้ยนส์ชิพ ที่เมืองยองจูประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2011 จากนั้นมาคว้าเหรียญทอง รายการ “เอเชี่ยน ควอลิฟิเคชั่น ทัวร์นาเม้นท์ ฟอร์ ลอนดอน 2012” ที่กรุงเทพมหานคร แต่กลับฟอร์มตกไปพ่ายแพ้ แอนเดรีย พอลลี่ จากเลบานอน 0-1 ในรอบที่ 2 ของศึกเทควันโด ชิงแชมป์เอเชีย 2012 ที่ประเทศเวียดนาม แบบไม่มีใครคาดคิด จนเกือบจะถูกตัดออกจากทีม และให้ “จูนเล็ก” วรวงษ์ พงษ์พานิช ได้สิทธิมาแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แต่ วรวงษ์ เกิดมีอาการบาดเจ็บ ฟิตไม่เต็มร้อย และ รังสิญา กลับมาซ้อมได้ดี จึงถูกเลือกให้มาแข่งขันในรุ่นนี้
ส่วนแผนที่จะให้ รังสิญา ลงไปใช้ ก็คือ พยายามรอจังหวะให้ หลี่ เจิ้ง เส็ง เป็นฝ่ายบุก จากนั้นป้องกันแล้วหาจังหวะสวนกลับเตะเข้าเป้าให้ชัด ซึ่งที่ผ่าน รังสิญา จัดว่าซ้อมได้ดี ทำให้ สภาพร่างกายแข็งแกร่ง มีจังหวะการเข้าทำให้ดี หากไปเจอกันรอบอื่น คิดว่าจะเอาชนะได้ง่ายกว่านี้ แต่เมื่อการประกบคู่เป็นแบบนี้ ก็ต้องลุยกันเต็มที่ เวลาหาสวนกลับจังหวะสอง จะต้องออกอาวุธเป็นชุด ถ้าสู้แบบทุ่มหมดหัวใจ จะต้องเอาชนะผ่านเข้ารอบต่อไปได้แน่
“พิมล” ไม่ท้อยังมีลุ้น
“บิ๊กเอ” นายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจับสลากที่ออกมาอาจจะทำให้การลุ้นเหรียญทองในรุ่นเป็นไปได้ยากสักหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ได้มองไปถึงจุดนั้น พยายามปลุกเร้าเรื่องของกำลังใจให้ รังสิญา ลงไปสู้กับ หลี่ เจิ้ง เส็ง อย่างเต็มที่ เพราะหากลงไปสู้ด้วยความมั่นใจ จะไม่เป็นรอง แม้ประสบการณ์อาจจะน้อยกว่า แต่เรื่องความห้าว ความตั้งใจ และพละกำลังนั้น “น้องจูน” ฟิตมาอย่างดี นอกจากนี้ “โค้ชเช” ยังชมว่า รังสิญา เป็นคนที่แก้เกมได้เร็ว สั่งอะไรข้างสนามสามารถปรับยุทธวิธีการต่อสู้ได้ทันที ตรงนี้อาจจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ได้รับชัยชนะก็ได้ ต้องยอมรับว่า รังสิญา เป็นรอง แต่ไม่ได้เป็นรองแบบสู้ไม่ได้ หรือเอาชนะคู่แข่งไม่ได้
This entry was posted in News
“น้องเล็ก” คว้าทองแดง, “ไอ” เศร้าชวดหวุดหวิด
Posted on 15:09 by netdesign | No comments
วันนี้(9ส.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานการแข่งขันเทควันโด โอลิมปิกเกมส์ 2012
แข่งขันกันเป็นวันแรก ที่เอ็กซ์เซล เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ในกรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ เมื่อ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยไทยส่ง 2 จอมเตะลงแข่งขัน
ประกอบด้วย “เจ้าไอ” เป็นเอก การะเกตุ ในรุ่น 58 กก. ชาย และ “น้องเล็ก”
ชนาธิป ซ้อนขำ ในรุ่น 49 กก. หญิง
เจ้าไอชวดเหรียญทองแดงหวุดหวิด
ในรุ่น 58 กก. ชาย เป็นเอก ซึ่งเป็นเต็ง 3 ของรายการ ขึ้นสังเวียนแข่งขันในรอบแรก เจอกับ ลี แดฮุน จากเกาหลีใต้ ผลปรากฏว่าทั้งคู่สู้กันได้อย่างสูสี จบ 3 ยกคะแนนเสมอกัน 7-7 คะแนน ต้องสู้กันต่อในยกที่ 4 แบบซัดเดนเดธ ผลปรากฏว่าจอมเตะจากแดนโสมอาศัยจังหวะถีบเข้าเป้าได้ก่อน ส่งผลให้เป็นฝ่ายชนะจอมเตะไทย 8-7 คะแนน ผ่านเข้ารอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม “เจ้าไอ” ยังมีลุ้นเหรียญทองแดง หลังจาก ลี แดฮุน ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ส่งผลให้ เป็นเอก มีโอกาสลุ้น โดยในรอบตัดเชือกหาคนผ่านเข้าไปชิงเหรียญทองแดงนั้น “เจ้าไอ” เอาชนะ ทาเมอร์ บายูมี จากอียิปต์ 6-4 คะแนน ผ่านเข้าไปเจอกับ ออสการ์ มูญอซ โอเบียโด จากโคลอมเบีย ผลปรากฏว่า เป็นเอก พ่ายหวุดหวิด 4-6 คะแนน โดยในวินาทีสุดท้าย เป็นเอก มีโอกาสเตะเข้าที่ศีรษะเป็น 3 คะแนน แต่โค้ชของโคลอมเบียประท้วงเป็นผล ทำให้จอมเตะไทยชวดเหรียญทองแดงไปอย่างน่าเสียดาย
“น้องเล็ก” แก้มือซิวทองแดงคล้องคอ
ส่วนการแข่งขันในรุ่น 49 กก. หญิง “เล็ก” ชนาธิป ซ้อนขำ เต็ง 7 ของรายการ ประเดิมรอบแรกเจอกับ คริสตินา คิม จากรัสเซีย ที่เคยเอาชนะจอมเตะไทยมาตลอดในการเจอกัน 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ผลปรากฏว่าสาวจากพัทลุงโชว์ฟอร์มสุดยอด อาศัยการเตะเข้าที่ศีรษะเป็นลูกทีเด็ด ก่อนจะเอาชนะไป 13-1 คะแนน โดยผู้ตัดสินยุติการแข่งขัน เพราะคะแนนห่างถึง 12 แต้ม ผ่านเข้าไปเจอกับ หยาง ชู-ชุน จากไต้หวัน เต็ง 2 ของรายการ ปรากฏว่า ชนาธิป ยังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม เอาชนะไปขาดลอย 6-0 คะแนน ส่งผลให้ “น้องเล็ก” ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
ในรอบตัดเชือก “น้องเล็ก” โคจรมาเจอกับ บริกิตเต ยาเก เอ็นริเก เต็ง 3 ของรายการจากสเปน ผลปรากฏว่า ชนาธิป พ่ายหวุดหวิด 9-10 คะแนน โดยในยกสุดท้าย “น้องเล็ก” ขึ้นนำห่างถึง 9-4 แต้ม แต่พลาดโดนทำคะแนนรัวแซงไปในช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย ตกรอบรองชนะเลิศอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด
อย่างไรก็ตาม “น้องเล็ก” ยังมีโอกาสคว้าเหรียญทองแดง โดยเจอกับ ซาโมรา กอร์ดิลโญ ม้ามืดจากกัวเตมาลา ปรากฏว่าจอมเตะสาวไทยทำสำเร็จ เอาชนะไปขาดลอย 8-0 คะแนน คว้าเหรียญทองแดงมาคล้องคอ ถือเป็นเหรียญแรกของทีมเทควันโดไทยใน “ลอนดอนเกมส์”
สำหรับในวันนี้ 9 ส.ค. “น้องจูน” รังสิญา นิสัยสม อีกหนึ่งนักเทควันโดทีมชาติไทย จะลงแข่งขันในรุ่น 57 กก. หญิง โดยจะประเดิมรอบแรกพบกับ หลี่ เจิ้ง เส็ง เต็ง 2 เจ้าของแชมป์เอเชีย 2 สมัยจากจีน ในเวลา 9.00 น. ตรงกับ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
เจ้าไอชวดเหรียญทองแดงหวุดหวิด
ในรุ่น 58 กก. ชาย เป็นเอก ซึ่งเป็นเต็ง 3 ของรายการ ขึ้นสังเวียนแข่งขันในรอบแรก เจอกับ ลี แดฮุน จากเกาหลีใต้ ผลปรากฏว่าทั้งคู่สู้กันได้อย่างสูสี จบ 3 ยกคะแนนเสมอกัน 7-7 คะแนน ต้องสู้กันต่อในยกที่ 4 แบบซัดเดนเดธ ผลปรากฏว่าจอมเตะจากแดนโสมอาศัยจังหวะถีบเข้าเป้าได้ก่อน ส่งผลให้เป็นฝ่ายชนะจอมเตะไทย 8-7 คะแนน ผ่านเข้ารอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม “เจ้าไอ” ยังมีลุ้นเหรียญทองแดง หลังจาก ลี แดฮุน ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ส่งผลให้ เป็นเอก มีโอกาสลุ้น โดยในรอบตัดเชือกหาคนผ่านเข้าไปชิงเหรียญทองแดงนั้น “เจ้าไอ” เอาชนะ ทาเมอร์ บายูมี จากอียิปต์ 6-4 คะแนน ผ่านเข้าไปเจอกับ ออสการ์ มูญอซ โอเบียโด จากโคลอมเบีย ผลปรากฏว่า เป็นเอก พ่ายหวุดหวิด 4-6 คะแนน โดยในวินาทีสุดท้าย เป็นเอก มีโอกาสเตะเข้าที่ศีรษะเป็น 3 คะแนน แต่โค้ชของโคลอมเบียประท้วงเป็นผล ทำให้จอมเตะไทยชวดเหรียญทองแดงไปอย่างน่าเสียดาย
“น้องเล็ก” แก้มือซิวทองแดงคล้องคอ
ส่วนการแข่งขันในรุ่น 49 กก. หญิง “เล็ก” ชนาธิป ซ้อนขำ เต็ง 7 ของรายการ ประเดิมรอบแรกเจอกับ คริสตินา คิม จากรัสเซีย ที่เคยเอาชนะจอมเตะไทยมาตลอดในการเจอกัน 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ผลปรากฏว่าสาวจากพัทลุงโชว์ฟอร์มสุดยอด อาศัยการเตะเข้าที่ศีรษะเป็นลูกทีเด็ด ก่อนจะเอาชนะไป 13-1 คะแนน โดยผู้ตัดสินยุติการแข่งขัน เพราะคะแนนห่างถึง 12 แต้ม ผ่านเข้าไปเจอกับ หยาง ชู-ชุน จากไต้หวัน เต็ง 2 ของรายการ ปรากฏว่า ชนาธิป ยังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม เอาชนะไปขาดลอย 6-0 คะแนน ส่งผลให้ “น้องเล็ก” ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
ในรอบตัดเชือก “น้องเล็ก” โคจรมาเจอกับ บริกิตเต ยาเก เอ็นริเก เต็ง 3 ของรายการจากสเปน ผลปรากฏว่า ชนาธิป พ่ายหวุดหวิด 9-10 คะแนน โดยในยกสุดท้าย “น้องเล็ก” ขึ้นนำห่างถึง 9-4 แต้ม แต่พลาดโดนทำคะแนนรัวแซงไปในช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย ตกรอบรองชนะเลิศอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด
อย่างไรก็ตาม “น้องเล็ก” ยังมีโอกาสคว้าเหรียญทองแดง โดยเจอกับ ซาโมรา กอร์ดิลโญ ม้ามืดจากกัวเตมาลา ปรากฏว่าจอมเตะสาวไทยทำสำเร็จ เอาชนะไปขาดลอย 8-0 คะแนน คว้าเหรียญทองแดงมาคล้องคอ ถือเป็นเหรียญแรกของทีมเทควันโดไทยใน “ลอนดอนเกมส์”
สำหรับในวันนี้ 9 ส.ค. “น้องจูน” รังสิญา นิสัยสม อีกหนึ่งนักเทควันโดทีมชาติไทย จะลงแข่งขันในรุ่น 57 กก. หญิง โดยจะประเดิมรอบแรกพบกับ หลี่ เจิ้ง เส็ง เต็ง 2 เจ้าของแชมป์เอเชีย 2 สมัยจากจีน ในเวลา 9.00 น. ตรงกับ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
This entry was posted in News
ยัน4ส.ส.แดงไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครอง
Posted on 02:23 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทวี
ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
กล่าวถึงความพร้อมในการดูแลความเรียบร้อย
กรณีที่ศาลออกหมายเรียกแกนนำนปช.และจำเลยในคดีก่อการร้ายจำนวน 24
คนมาสอบถามเกี่ยวกับการกระทำผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ว่า
ทางผู้บริหารศาลอาญาได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่
ราชทัณฑ์มาโดยตลอด
ตอนแรกจะอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อแดงอยู่บริเวณภายในรั้วศาลได้
แต่จากการหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้แนะนำว่าควรจะให้กลุ่มคนเสื้อ
แดงอยู่นอกรั้วศาล
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายและสามารถควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น
จึงเห็นด้วยกับข้อแนะนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีประสบการณ์ดูแลมวลชน
มากกว่า โดยจำเลย ทนายความ จะต้องเข้าไปอยู่ในห้องพิจารณาคดี
แต่ในส่วนของผู้ติดตามคงเข้าไปได้ไม่มากนัก
เพราะมีสื่อมวลชนและตัวแทนฝ่ายผู้ร้องอยู่ในห้องพิจารณาด้วย
ซึ่งห้องพิจารณาคดี กำหนดไว้เพียง 35 คน
โดยองค์คณะผู้พิพากษาที่จะออกนั่งบัลลังก์สอบถามจำเลยในวันที่ 9 ส.ค.
จะเป็นองค์คณะเดิมซึ่งรับผิดชอบในสำนวนคดีก่อการร้ายมาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตามผู้บริหารศาลอาญา รวมทั้งองค์คณะผู้พิพากษา
ได้ซักซ้อมทำความเข้าใจแล้วว่า ศาลควรทำอย่างไรบ้าง
หรือเรื่องใดสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด
สำหรับขั้นตอนต่าง ๆ ในวันที่ 9 ส.ค. องค์คณะผู้พิพากษาจะออกนั่งบัลลังก์สอบถามจำเลย ว่าได้กระทำผิดเงื่อนไขปล่อยชั่วคราว ตามข้อมูลที่ได้จากฝ่ายผู้ร้อง จากสื่อมวลชนต่างๆและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหรือไม่ โดยศาลจะซักถามไปเรื่อยๆ และให้จำเลยตอบชี้แจง กระทั่งได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควร คาดว่าจะใช้เวลาถึงประมาณเที่ยงเศษ ก็น่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ และจะมีคำสั่งได้ในวันนั้นเลย ยกเว้นกรณีองค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าว เห็นว่ามีข้อเท็จจริงหรือดุลยพินิจสมควรให้เลื่อนฟังคำสั่งก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้เชื่อว่าในวันที่ 9 ส.ค.จะไม่เกิดเหตุความวุ่นวาย เนื่องจากทางศาลได้ประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ราชทัณฑ์ เพื่อให้ดำเนินการและจัดเตรียมความพร้อมไว้ สำหรับกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวแกนนำ นปช. บางราย โดยจะส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งขั้นตอนจะเป็นไปด้วยความรวดเร็วและจะต้องไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
อย่างไรก็ตามในส่วนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาให้กำลังใจนั้น ขอความร่วมมือว่า หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเดินทางมาที่ศาล เพราะสามารถฟังหรือติดตามข้อมูลจากที่บ้านได้ เนื่องจากสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวให้ทราบทุกระยะอยู่แล้ว เพราะหากเดินทางมาอาจจะเกิดความไม่สะดวกรวมทั้งเรื่องการจราจร ส่วนข้อกังวลว่ากลุ่มมวลชนอาจจะทำการละเมิดอำนาจศาลนั้น เห็นว่าโดยหลักการเป็นไปได้อยู่ แต่ในทางปฏิบัติค่อนข้างยากพอสมควร นอกจากนี้ทางศาลอาญาได้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ศาลสามารถลาหยุดในวันพรุ่งนี้ ได้ เนื่องจากเข้าใจว่ามาทำงานไม่สะดวก และหลายคนทางญาติก็เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความปลอดภัย
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนปช. เปิดเผยว่า แกนนำนปช.และจำเลยคดีก่อการร้ายที่เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท จะไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครองการเป็นส.ส.และเดินทางมาตอบข้อซักถามของศาลในคราว เดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าหากมาศาลหลังจากปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็คงจะไม่ เป็นประโยชน์มากนัก อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ศาลเพียงแต่เรียกจำเลยมาสอบถาม แต่ในฐานะทนายความเห็นว่าเรื่องเพิกถอนประกันตัวเป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรจะทำการไต่สวนจำเลยให้ครบถ้วน จึงอาจจะขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนจำเลยด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าจำเลยทั้ง 24 คนจะให้การไปตามข้อเท็จจริง เพราะทุกคนไม่มีเจตนาในการปราศรัยหรือกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว คาดว่าศาลจะให้โอกาสอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหากสุดท้ายศาลสั่งเพิกถอนประกันตัวแกนนำรายใด ทุกคนก็น้อมรับและปฏิบัติตามคำสั่ง และในฐานะทนายความจะดำเนินการยื่นขอ ประกันตัวจำเลยอีกครั้ง แต่การประกันตัวในวันดังกล่าวคงจะไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากศาลคงมีเหตุผลในคำวินิจฉัย
สำหรับขั้นตอนต่าง ๆ ในวันที่ 9 ส.ค. องค์คณะผู้พิพากษาจะออกนั่งบัลลังก์สอบถามจำเลย ว่าได้กระทำผิดเงื่อนไขปล่อยชั่วคราว ตามข้อมูลที่ได้จากฝ่ายผู้ร้อง จากสื่อมวลชนต่างๆและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหรือไม่ โดยศาลจะซักถามไปเรื่อยๆ และให้จำเลยตอบชี้แจง กระทั่งได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควร คาดว่าจะใช้เวลาถึงประมาณเที่ยงเศษ ก็น่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ และจะมีคำสั่งได้ในวันนั้นเลย ยกเว้นกรณีองค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าว เห็นว่ามีข้อเท็จจริงหรือดุลยพินิจสมควรให้เลื่อนฟังคำสั่งก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้เชื่อว่าในวันที่ 9 ส.ค.จะไม่เกิดเหตุความวุ่นวาย เนื่องจากทางศาลได้ประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ราชทัณฑ์ เพื่อให้ดำเนินการและจัดเตรียมความพร้อมไว้ สำหรับกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวแกนนำ นปช. บางราย โดยจะส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งขั้นตอนจะเป็นไปด้วยความรวดเร็วและจะต้องไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
อย่างไรก็ตามในส่วนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาให้กำลังใจนั้น ขอความร่วมมือว่า หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเดินทางมาที่ศาล เพราะสามารถฟังหรือติดตามข้อมูลจากที่บ้านได้ เนื่องจากสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวให้ทราบทุกระยะอยู่แล้ว เพราะหากเดินทางมาอาจจะเกิดความไม่สะดวกรวมทั้งเรื่องการจราจร ส่วนข้อกังวลว่ากลุ่มมวลชนอาจจะทำการละเมิดอำนาจศาลนั้น เห็นว่าโดยหลักการเป็นไปได้อยู่ แต่ในทางปฏิบัติค่อนข้างยากพอสมควร นอกจากนี้ทางศาลอาญาได้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ศาลสามารถลาหยุดในวันพรุ่งนี้ ได้ เนื่องจากเข้าใจว่ามาทำงานไม่สะดวก และหลายคนทางญาติก็เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความปลอดภัย
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนปช. เปิดเผยว่า แกนนำนปช.และจำเลยคดีก่อการร้ายที่เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท จะไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครองการเป็นส.ส.และเดินทางมาตอบข้อซักถามของศาลในคราว เดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าหากมาศาลหลังจากปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็คงจะไม่ เป็นประโยชน์มากนัก อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ศาลเพียงแต่เรียกจำเลยมาสอบถาม แต่ในฐานะทนายความเห็นว่าเรื่องเพิกถอนประกันตัวเป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรจะทำการไต่สวนจำเลยให้ครบถ้วน จึงอาจจะขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนจำเลยด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าจำเลยทั้ง 24 คนจะให้การไปตามข้อเท็จจริง เพราะทุกคนไม่มีเจตนาในการปราศรัยหรือกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว คาดว่าศาลจะให้โอกาสอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหากสุดท้ายศาลสั่งเพิกถอนประกันตัวแกนนำรายใด ทุกคนก็น้อมรับและปฏิบัติตามคำสั่ง และในฐานะทนายความจะดำเนินการยื่นขอ ประกันตัวจำเลยอีกครั้ง แต่การประกันตัวในวันดังกล่าวคงจะไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากศาลคงมีเหตุผลในคำวินิจฉัย
This entry was posted in News
นปช.ร้องอัยการสูงสุดเอาผิดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
Posted on 02:23 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการ
ถนนแจ้งวัฒนะ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์
ที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.)
พร้อมแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง จำนวนหนึ่งเดินทางเข้ายื่นคำร้องต่อ
นายไพฑูรย์ ขัมภรัตน์ อัยการพิเศษฝ่ายพัฒนากฎหมาย สำนักงานวิชาการ
เพื่อขอให้นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 68 ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
รับคำร้องที่มีผู้มียื่นตรวจสอบการกระทำความผิดมาตรา 68 วรรคแรก
ในการเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 291
ทั้งนี้พ.ต.ต. เสงี่ยม และพวก ผู้ร้อง เห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้วินิจฉัย เนื่องจากเมื่อมีการพบเห็นการกระทำต้องยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงแล้วจึงเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการขยายเขตอำนาจของตัวเอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 68 อีกทั้งยังเป็นการตัดสิทธิของอัยการสูงสุดไป จึงขอให้อัยการสูงสุด ดำเนินการสอบสวนตามรัฐธรรมนูญ ฯ ตามมาตรา 68 ว่าการกระทำของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขัดต่อมาตรา 68 หรือไม่
ด้านนายไพฑูรย์ กล่าวว่า จากที่สอบถามเบื้องต้นคำร้องของ พ.ต.ต.เสงี่ยม ขอให้ตรวจสอบเรื่องการกระทำของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขัดต่อมาตรา 68 เท่านั้น ไม่มีประเด็นเสนอการถอดถอน ดังนั้นอัยการสูงสุดจึงมีอำนาจรับคำร้องนี้ไว้ตรวจสอบ โดยตนจะเสนอเรื่องต่อนายจุลสิงห์ พิจารณา คงจะตั้งคณะทำงานมาตรวจสอบ ขณะที่การพิจารณาจะดูข้อเท็จจริงที่ปรากฏแต่การพิจารณากฎหมายไม่ได้กำหนด กรอบเวลาไว้ ทั้งนี้หากการพิจารณาข้อเท็จจริงปรากฏว่าการกระทำที่เป็นมูลความผิดก็จะเสนอ เรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 แต่หากไม่ปรากฏการกระทำที่เข้าข่าย มาตรา 68 อัยการก็จะยกคำร้องเหมือนที่ผ่านมา
“ขอ ยืนยันว่า ที่ผ่านมาอัยการสูงสุด ได้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่มีผู้ร้องการกระทำตามมาตรา 68 มาโดยตลอดและมีคำสั่งให้ยกร้องเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการกระทำ นั้นเป็นความผิด “ นายไพฑูรย์ กล่าวตอนท้าย
ทั้งนี้พ.ต.ต. เสงี่ยม และพวก ผู้ร้อง เห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้วินิจฉัย เนื่องจากเมื่อมีการพบเห็นการกระทำต้องยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงแล้วจึงเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการขยายเขตอำนาจของตัวเอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 68 อีกทั้งยังเป็นการตัดสิทธิของอัยการสูงสุดไป จึงขอให้อัยการสูงสุด ดำเนินการสอบสวนตามรัฐธรรมนูญ ฯ ตามมาตรา 68 ว่าการกระทำของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขัดต่อมาตรา 68 หรือไม่
ด้านนายไพฑูรย์ กล่าวว่า จากที่สอบถามเบื้องต้นคำร้องของ พ.ต.ต.เสงี่ยม ขอให้ตรวจสอบเรื่องการกระทำของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขัดต่อมาตรา 68 เท่านั้น ไม่มีประเด็นเสนอการถอดถอน ดังนั้นอัยการสูงสุดจึงมีอำนาจรับคำร้องนี้ไว้ตรวจสอบ โดยตนจะเสนอเรื่องต่อนายจุลสิงห์ พิจารณา คงจะตั้งคณะทำงานมาตรวจสอบ ขณะที่การพิจารณาจะดูข้อเท็จจริงที่ปรากฏแต่การพิจารณากฎหมายไม่ได้กำหนด กรอบเวลาไว้ ทั้งนี้หากการพิจารณาข้อเท็จจริงปรากฏว่าการกระทำที่เป็นมูลความผิดก็จะเสนอ เรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 แต่หากไม่ปรากฏการกระทำที่เข้าข่าย มาตรา 68 อัยการก็จะยกคำร้องเหมือนที่ผ่านมา
“ขอ ยืนยันว่า ที่ผ่านมาอัยการสูงสุด ได้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่มีผู้ร้องการกระทำตามมาตรา 68 มาโดยตลอดและมีคำสั่งให้ยกร้องเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการกระทำ นั้นเป็นความผิด “ นายไพฑูรย์ กล่าวตอนท้าย
This entry was posted in News
ยัน4ส.ส.แดงไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครอง
Posted on 02:22 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทวี
ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
กล่าวถึงความพร้อมในการดูแลความเรียบร้อย
กรณีที่ศาลออกหมายเรียกแกนนำนปช.และจำเลยในคดีก่อการร้ายจำนวน 24
คนมาสอบถามเกี่ยวกับการกระทำผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ว่า
ทางผู้บริหารศาลอาญาได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่
ราชทัณฑ์มาโดยตลอด
ตอนแรกจะอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อแดงอยู่บริเวณภายในรั้วศาลได้
แต่จากการหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้แนะนำว่าควรจะให้กลุ่มคนเสื้อ
แดงอยู่นอกรั้วศาล
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายและสามารถควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น
จึงเห็นด้วยกับข้อแนะนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีประสบการณ์ดูแลมวลชน
มากกว่า โดยจำเลย ทนายความ จะต้องเข้าไปอยู่ในห้องพิจารณาคดี
แต่ในส่วนของผู้ติดตามคงเข้าไปได้ไม่มากนัก
เพราะมีสื่อมวลชนและตัวแทนฝ่ายผู้ร้องอยู่ในห้องพิจารณาด้วย
ซึ่งห้องพิจารณาคดี กำหนดไว้เพียง 35 คน
โดยองค์คณะผู้พิพากษาที่จะออกนั่งบัลลังก์สอบถามจำเลยในวันที่ 9 ส.ค.
จะเป็นองค์คณะเดิมซึ่งรับผิดชอบในสำนวนคดีก่อการร้ายมาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตามผู้บริหารศาลอาญา รวมทั้งองค์คณะผู้พิพากษา
ได้ซักซ้อมทำความเข้าใจแล้วว่า ศาลควรทำอย่างไรบ้าง
หรือเรื่องใดสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด
สำหรับขั้นตอนต่าง ๆ ในวันที่ 9 ส.ค. องค์คณะผู้พิพากษาจะออกนั่งบัลลังก์สอบถามจำเลย ว่าได้กระทำผิดเงื่อนไขปล่อยชั่วคราว ตามข้อมูลที่ได้จากฝ่ายผู้ร้อง จากสื่อมวลชนต่างๆและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหรือไม่ โดยศาลจะซักถามไปเรื่อยๆ และให้จำเลยตอบชี้แจง กระทั่งได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควร คาดว่าจะใช้เวลาถึงประมาณเที่ยงเศษ ก็น่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ และจะมีคำสั่งได้ในวันนั้นเลย ยกเว้นกรณีองค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าว เห็นว่ามีข้อเท็จจริงหรือดุลยพินิจสมควรให้เลื่อนฟังคำสั่งก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้เชื่อว่าในวันที่ 9 ส.ค.จะไม่เกิดเหตุความวุ่นวาย เนื่องจากทางศาลได้ประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ราชทัณฑ์ เพื่อให้ดำเนินการและจัดเตรียมความพร้อมไว้ สำหรับกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวแกนนำ นปช. บางราย โดยจะส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งขั้นตอนจะเป็นไปด้วยความรวดเร็วและจะต้องไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
อย่างไรก็ตามในส่วนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาให้กำลังใจนั้น ขอความร่วมมือว่า หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเดินทางมาที่ศาล เพราะสามารถฟังหรือติดตามข้อมูลจากที่บ้านได้ เนื่องจากสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวให้ทราบทุกระยะอยู่แล้ว เพราะหากเดินทางมาอาจจะเกิดความไม่สะดวกรวมทั้งเรื่องการจราจร ส่วนข้อกังวลว่ากลุ่มมวลชนอาจจะทำการละเมิดอำนาจศาลนั้น เห็นว่าโดยหลักการเป็นไปได้อยู่ แต่ในทางปฏิบัติค่อนข้างยากพอสมควร นอกจากนี้ทางศาลอาญาได้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ศาลสามารถลาหยุดในวันพรุ่งนี้ ได้ เนื่องจากเข้าใจว่ามาทำงานไม่สะดวก และหลายคนทางญาติก็เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความปลอดภัย
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนปช. เปิดเผยว่า แกนนำนปช.และจำเลยคดีก่อการร้ายที่เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท จะไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครองการเป็นส.ส.และเดินทางมาตอบข้อซักถามของศาลในคราว เดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าหากมาศาลหลังจากปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็คงจะไม่ เป็นประโยชน์มากนัก อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ศาลเพียงแต่เรียกจำเลยมาสอบถาม แต่ในฐานะทนายความเห็นว่าเรื่องเพิกถอนประกันตัวเป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรจะทำการไต่สวนจำเลยให้ครบถ้วน จึงอาจจะขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนจำเลยด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าจำเลยทั้ง 24 คนจะให้การไปตามข้อเท็จจริง เพราะทุกคนไม่มีเจตนาในการปราศรัยหรือกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว คาดว่าศาลจะให้โอกาสอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหากสุดท้ายศาลสั่งเพิกถอนประกันตัวแกนนำรายใด ทุกคนก็น้อมรับและปฏิบัติตามคำสั่ง และในฐานะทนายความจะดำเนินการยื่นขอ ประกันตัวจำเลยอีกครั้ง แต่การประกันตัวในวันดังกล่าวคงจะไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากศาลคงมีเหตุผลในคำวินิจฉัย
สำหรับขั้นตอนต่าง ๆ ในวันที่ 9 ส.ค. องค์คณะผู้พิพากษาจะออกนั่งบัลลังก์สอบถามจำเลย ว่าได้กระทำผิดเงื่อนไขปล่อยชั่วคราว ตามข้อมูลที่ได้จากฝ่ายผู้ร้อง จากสื่อมวลชนต่างๆและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหรือไม่ โดยศาลจะซักถามไปเรื่อยๆ และให้จำเลยตอบชี้แจง กระทั่งได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควร คาดว่าจะใช้เวลาถึงประมาณเที่ยงเศษ ก็น่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ และจะมีคำสั่งได้ในวันนั้นเลย ยกเว้นกรณีองค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าว เห็นว่ามีข้อเท็จจริงหรือดุลยพินิจสมควรให้เลื่อนฟังคำสั่งก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้เชื่อว่าในวันที่ 9 ส.ค.จะไม่เกิดเหตุความวุ่นวาย เนื่องจากทางศาลได้ประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ราชทัณฑ์ เพื่อให้ดำเนินการและจัดเตรียมความพร้อมไว้ สำหรับกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวแกนนำ นปช. บางราย โดยจะส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งขั้นตอนจะเป็นไปด้วยความรวดเร็วและจะต้องไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
อย่างไรก็ตามในส่วนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาให้กำลังใจนั้น ขอความร่วมมือว่า หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเดินทางมาที่ศาล เพราะสามารถฟังหรือติดตามข้อมูลจากที่บ้านได้ เนื่องจากสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวให้ทราบทุกระยะอยู่แล้ว เพราะหากเดินทางมาอาจจะเกิดความไม่สะดวกรวมทั้งเรื่องการจราจร ส่วนข้อกังวลว่ากลุ่มมวลชนอาจจะทำการละเมิดอำนาจศาลนั้น เห็นว่าโดยหลักการเป็นไปได้อยู่ แต่ในทางปฏิบัติค่อนข้างยากพอสมควร นอกจากนี้ทางศาลอาญาได้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ศาลสามารถลาหยุดในวันพรุ่งนี้ ได้ เนื่องจากเข้าใจว่ามาทำงานไม่สะดวก และหลายคนทางญาติก็เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความปลอดภัย
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนปช. เปิดเผยว่า แกนนำนปช.และจำเลยคดีก่อการร้ายที่เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท จะไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครองการเป็นส.ส.และเดินทางมาตอบข้อซักถามของศาลในคราว เดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าหากมาศาลหลังจากปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็คงจะไม่ เป็นประโยชน์มากนัก อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ศาลเพียงแต่เรียกจำเลยมาสอบถาม แต่ในฐานะทนายความเห็นว่าเรื่องเพิกถอนประกันตัวเป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรจะทำการไต่สวนจำเลยให้ครบถ้วน จึงอาจจะขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนจำเลยด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าจำเลยทั้ง 24 คนจะให้การไปตามข้อเท็จจริง เพราะทุกคนไม่มีเจตนาในการปราศรัยหรือกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว คาดว่าศาลจะให้โอกาสอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหากสุดท้ายศาลสั่งเพิกถอนประกันตัวแกนนำรายใด ทุกคนก็น้อมรับและปฏิบัติตามคำสั่ง และในฐานะทนายความจะดำเนินการยื่นขอ ประกันตัวจำเลยอีกครั้ง แต่การประกันตัวในวันดังกล่าวคงจะไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากศาลคงมีเหตุผลในคำวินิจฉัย
This entry was posted in News
ยุติธรรมไทยอืดเหตุเน้นโทษจำเป็นหลัก
Posted on 02:22 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่อาคารคอนเวนชั่น เมืองทองธานี
สำนักงานกิจการยุติธรรมจัดการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม
ครั้งที่ 10
เพื่อระดมความคิดเห็นเรื่องปัจจัยความสำเร็จเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวน
การยุติธรรม โดยนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า
ปัจจุบันมีผู้ต้องขังหรือจำเลยทั่วประเทศที่คดีเกือบถึงที่สุดกว่า 700
คน เป็นผู้ต้องขังรอการประหารกว่า 500 คน และน่าเชื่อว่าจะถูกประหารทั้ง
500 คนด้วย
ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีแผนแม่บทการพัฒนาโครงการยุติธรรมที่จะทำให้มองเห็น
กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ แต่การขับเคลื่อนมา 10 ปี ยังไม่มีความคืบหน้า
เพราะขาดเจ้าภาพในการรับผิดชอบและนโยบายรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลง
ขณะนี้เริ่มมีการมองภาพรวมของหลักนิติธรรมซึ่งจะเชื่อมโยงกับประชาธิปไตย
หากประชาชนตั้งคำถามเยอะถึงกระบวนการยุติธรรมที่ควรพัฒนาไปทิศทางใดก็จะนำไป
สู่การสะท้อนเสียงเหล่านี้ไปถึงผู้รับผิดชอบเพื่อปรับระบบให้เป็นที่พอใจของ
ผู้รับบริการ อย่างไรก็ตาม มองว่าหากต้องการให้การลงโทษเด็ดขาดขึ้น
ต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มโทษ และสร้างคุกเพิ่ม
ด้านนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า จากผลการวิจัยวัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมพบว่า กระบวนการยุติธรรมไทยไม่ได้ขาดแคลนบุคลากรหรือทรัพยากร พูดได้ว่าเงินเยอะ คนเยอะ แต่คดีค้างอยู่ในศาลเป็นจำนวนมาก คดีส่วนใหญ่เป็นคดีอาญาที่ใช้เวลาพิจารณาเฉลี่ย 13.6 เดือน คดีที่เร็วที่สุดเป็นคดีที่จำเลยสารภาพไม่สู้คดี ส่วนคดีที่ช้าที่สุดเป็นคดีที่จำเลยต่อสู้โดยใช้เวลามากกว่า 70 เดือน ทั้งนี้ผลการวิจัยพบว่าระบบกฎหมายเป็นต้นตอของการไม่มีประสิทธิภาพ เห็นได้จากจำนวนนักโทษที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1.6 แสน เป็น 2.5 แสน วิธีการลดจำนวนมีเพียงการอภัยโทษหรือลดวันต้องโทษ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า งานวิจัยจากมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ผสมผสานกับนิติศาสตร์ พบความไร้ประสิทธิภาพจากการใช้กระบวนการอาญาเป็นการระงับข้อพิพาท ใช้โทษจำคุกเป็นวิธีหลัก เพราะโทษปรับกำหนดอัตราไว้ต่ำเกินไป การออกแบบระบบเช่นนี้ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการจำคุกมีต้นทุนมากจากการที่รัฐต้องเข้าไปเลี้ยงดูนักโทษ หลังพ้นโทษนักโทษกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่ได้ หลายประเทศหันมาใช้โทษปรับ ซึ่งทำให้ประชาชนหวาดกลัวการกระทำผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นคดีเมาแล้วขับ คดีหมิ่นประมาท หรือคดีเช็ค แต่ประเทศไทยค่าปรับไม่ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติ เพราะกฎหมายออกตั้งแต่ปี 2500 มีการกำหนดโทษปรับตั้งแต่ 100-1,000 บาท ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาค่าปรับยังคงที่ ค่าปรับจึงเหลือมูลค่าแค่ 10% ดังนั้นค่าปรับจึงควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความเป็นจริง
“ ข้อวิจารณ์ที่ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีสองมาตรฐานไม่จริง ความจริงคือเราไม่มีมาตรฐาน โทษปรับเทียบกับอัตราโทษจำคุก 1 ปี คือปรับตั้งแต่ 1,000 – 3,000,000 บาท กฎหมายที่ออกใหม่ๆแทนที่จะกำหนดให้มีมาตรฐานแต่กลับยิ่งมั่ว ศาลชั้นต้นตัดสินปรับน้อยมาก คดีเช็คตัดสินจำคุกทุกกรณีทั้งที่เป็นคดีที่ผู้เสียหายต้องการเรียกเงินคืน ทางเลือกที่ควรเป็นแนวทางแก้ไขควรลดโทษจำคุกให้เหลือเท่าที่จำเป็น คดีเรื่องส่วนตัวไม่ควรกำหนดให้มีโทษจำคุก เช่น หมิ่นประมาท คดีเช็ค คดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา แต่ควรเพิ่มโทษปรับให้สูงขึ้นเพื่อสอดรับกับภาวะเงินเฟ้อ และเพิ่มทางเลือกในการลงโทษ เช่น มาตรการทางปกครอง และมาตรการของสถาบันการเงิน ยกตัวอย่าง คดีเช็คเด้งในประเทศฝรั่งเศส ธนาคารควบคุมไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินซึ่งเดือดร้อนไม่น้อยกว่าการติดคุก” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า จากข้อมูลการวิจัยในประเทศเยอรมัน พบว่าคนที่โดนโทษปรับทำผิดซ้ำแค่16% แต่คนที่โดนโทษจำคุกทำผิดซ้ำ 50% ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคดียาเสพติด เมาแล้วขับ ฉ้อโกง จะใช้โทษปรับยกเว้นคดีย่องเบาหรือลักทรัพย์ที่ศาลจะสั่งจำคุกทันที อย่างไรก็ตาม การบังคับโทษปรับที่เป็นธรรมไม่ใช่ว่าคนรวยได้เปรียบคนจน เพราะโทษปรับต้องปรับตามรายได้ หรือคำนวณค่าปรับจากฐานรายได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จะทำให้ค่าปรับมีผลตามอัตรารายได้ ในอนาคตเราไม่ต้องแก้กฎหมายบ่อยๆ ดังนั้น จึงเสนอให้เปลี่ยนหลักคิดโดยกำหนดให้โทษปรับ เป็นหลักการลงโทษทางอาญา การทำงานบริการสังคมเป็นมาตรการเสริม และโทษจำคุกสำหรับคดีอุกฉกรรจ์
ด้านนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า จากผลการวิจัยวัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมพบว่า กระบวนการยุติธรรมไทยไม่ได้ขาดแคลนบุคลากรหรือทรัพยากร พูดได้ว่าเงินเยอะ คนเยอะ แต่คดีค้างอยู่ในศาลเป็นจำนวนมาก คดีส่วนใหญ่เป็นคดีอาญาที่ใช้เวลาพิจารณาเฉลี่ย 13.6 เดือน คดีที่เร็วที่สุดเป็นคดีที่จำเลยสารภาพไม่สู้คดี ส่วนคดีที่ช้าที่สุดเป็นคดีที่จำเลยต่อสู้โดยใช้เวลามากกว่า 70 เดือน ทั้งนี้ผลการวิจัยพบว่าระบบกฎหมายเป็นต้นตอของการไม่มีประสิทธิภาพ เห็นได้จากจำนวนนักโทษที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1.6 แสน เป็น 2.5 แสน วิธีการลดจำนวนมีเพียงการอภัยโทษหรือลดวันต้องโทษ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า งานวิจัยจากมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ผสมผสานกับนิติศาสตร์ พบความไร้ประสิทธิภาพจากการใช้กระบวนการอาญาเป็นการระงับข้อพิพาท ใช้โทษจำคุกเป็นวิธีหลัก เพราะโทษปรับกำหนดอัตราไว้ต่ำเกินไป การออกแบบระบบเช่นนี้ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการจำคุกมีต้นทุนมากจากการที่รัฐต้องเข้าไปเลี้ยงดูนักโทษ หลังพ้นโทษนักโทษกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่ได้ หลายประเทศหันมาใช้โทษปรับ ซึ่งทำให้ประชาชนหวาดกลัวการกระทำผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นคดีเมาแล้วขับ คดีหมิ่นประมาท หรือคดีเช็ค แต่ประเทศไทยค่าปรับไม่ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติ เพราะกฎหมายออกตั้งแต่ปี 2500 มีการกำหนดโทษปรับตั้งแต่ 100-1,000 บาท ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาค่าปรับยังคงที่ ค่าปรับจึงเหลือมูลค่าแค่ 10% ดังนั้นค่าปรับจึงควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความเป็นจริง
“ ข้อวิจารณ์ที่ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีสองมาตรฐานไม่จริง ความจริงคือเราไม่มีมาตรฐาน โทษปรับเทียบกับอัตราโทษจำคุก 1 ปี คือปรับตั้งแต่ 1,000 – 3,000,000 บาท กฎหมายที่ออกใหม่ๆแทนที่จะกำหนดให้มีมาตรฐานแต่กลับยิ่งมั่ว ศาลชั้นต้นตัดสินปรับน้อยมาก คดีเช็คตัดสินจำคุกทุกกรณีทั้งที่เป็นคดีที่ผู้เสียหายต้องการเรียกเงินคืน ทางเลือกที่ควรเป็นแนวทางแก้ไขควรลดโทษจำคุกให้เหลือเท่าที่จำเป็น คดีเรื่องส่วนตัวไม่ควรกำหนดให้มีโทษจำคุก เช่น หมิ่นประมาท คดีเช็ค คดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา แต่ควรเพิ่มโทษปรับให้สูงขึ้นเพื่อสอดรับกับภาวะเงินเฟ้อ และเพิ่มทางเลือกในการลงโทษ เช่น มาตรการทางปกครอง และมาตรการของสถาบันการเงิน ยกตัวอย่าง คดีเช็คเด้งในประเทศฝรั่งเศส ธนาคารควบคุมไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินซึ่งเดือดร้อนไม่น้อยกว่าการติดคุก” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า จากข้อมูลการวิจัยในประเทศเยอรมัน พบว่าคนที่โดนโทษปรับทำผิดซ้ำแค่16% แต่คนที่โดนโทษจำคุกทำผิดซ้ำ 50% ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคดียาเสพติด เมาแล้วขับ ฉ้อโกง จะใช้โทษปรับยกเว้นคดีย่องเบาหรือลักทรัพย์ที่ศาลจะสั่งจำคุกทันที อย่างไรก็ตาม การบังคับโทษปรับที่เป็นธรรมไม่ใช่ว่าคนรวยได้เปรียบคนจน เพราะโทษปรับต้องปรับตามรายได้ หรือคำนวณค่าปรับจากฐานรายได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จะทำให้ค่าปรับมีผลตามอัตรารายได้ ในอนาคตเราไม่ต้องแก้กฎหมายบ่อยๆ ดังนั้น จึงเสนอให้เปลี่ยนหลักคิดโดยกำหนดให้โทษปรับ เป็นหลักการลงโทษทางอาญา การทำงานบริการสังคมเป็นมาตรการเสริม และโทษจำคุกสำหรับคดีอุกฉกรรจ์
This entry was posted in News
“ธาริต”เร่งรื้อคดี 91 ศพ
Posted on 02:21 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
กล่าวถึงการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมทาง
การเมืองเมืองปี 2553ว่า
เป็นการประชุมครั้งแรกหลังมีการปรับเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนชุดใหม่ขึ้นทำ
หน้าที่ โดยเป็นการประชุมร่วมกัน 2 หน่วยงาน
ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) นำโดยพล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผบก.น.
6 และผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด ขณะที่ดีเอสไอมีพ.ต.อ.ประเวศน์
มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน
โดยหลังจากนี้คณะพนักงานสอบสวนจะเร่งการสอบสวนคดีทั้งในส่วนผู้เสียชีวิต
จำนวน 91 ศพ และผู้บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน โดยจะแยกเป็นรายกรณี
ยึดดูสถานที่เกิดเหตุ ห้วงเวลาหากใกล้เคียงกันจะรวมเป็นคดีเดียวกัน
สำหรับคดีการเสียชีวิตทั้ง 91 ศพ
ขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในความผิดชอบของดีเอสไอซึ่งรับเป็นคดีพิเศษ
รวมถึงคดีที่อยู่ระหว่างไต่สวนของศาลว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับเจ้า
หน้าที่รัฐหรือไม่จำนวน 21 คดี
เนื่องจากหลังศาลไต่สวนแล้วคดีจะส่งกลับมาที่ดีเอสไอ
นายธาริต กล่าวว่า แนวทางการสอบสวนคดีหลังจากนี้จะไม่เน้นการพิจารณาเฉพาะคดีผู้เสียชีวิตแต่จะ เร่งสอบสวนคดีที่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากด้วย เพื่อพิจารณาว่าจะเข้าข่ายฐานความผิดพยายามฆ่าหรือเจตนาทำให้บาดเจ็บสาหัส ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับการสอบสวนคดีดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเนื่องจากมีพยานหลักฐาน เกี่ยวข้องจำนวนมาก
นายธาริต กล่าวว่า แนวทางการสอบสวนคดีหลังจากนี้จะไม่เน้นการพิจารณาเฉพาะคดีผู้เสียชีวิตแต่จะ เร่งสอบสวนคดีที่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากด้วย เพื่อพิจารณาว่าจะเข้าข่ายฐานความผิดพยายามฆ่าหรือเจตนาทำให้บาดเจ็บสาหัส ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับการสอบสวนคดีดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเนื่องจากมีพยานหลักฐาน เกี่ยวข้องจำนวนมาก
This entry was posted in News
โจ๋มอบตัวสู้คดียิงหนุ่มดับหน้าสถานทูตจีน
Posted on 02:20 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ บช.น. พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผบช.น.
รับผิดชอบงานด้านป้องกันปราบปราม พร้อมด้วยพล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.น.1
พ.ต.อ.พจน์ บุญมาภาคย์ รองผบก.น.1 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.ห้วยขวาง
แถลงข่าวการมอบตัวของนายดำ และนายแดง (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี และ อายุ 15ปี
ผู้ต้องหาร่วมกันก่อเหตุฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา
พร้อมด้วยของกลางรถจยย.ฮอนด้า สกูปี้ไอ สีเหลือง-ดำ ทะเบียน อตย357
กรุงเทพมหานคร
พล.ต.ต.ปริญญา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลา 02.15 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่นายวุฒิชัย แคโอชา อายุ 29 ปี เสียชีวิตบริเวณหน้าสถานทูตจีน ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.ห้วยขวาง ได้ทำการสืบสวนหาเบาะแสของคนร้าย จนทราบว่านายดำและนายแดง พร้อมพวกอีก 2 คน คือนายสุรศักดิ์ ขุนทอง อายุ 20 ปี และนายหนุ่ม (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล) เป็นกลุ่มที่ก่อเหตุ โดยนายหนุ่มเป็นคนใช้รถจยย.ยิงผู้ตาย สาเหตุเกิดจากกลุ่มผู้ตายไปเหยียบเท้านายสุรศักดิ์ ในห้องน้ำร้านเพียวบาร์ รัชดาซอย 4 ทำให้เกิดความไม่พอใจ จึงมาบอกเพื่อน ก่อนที่ร้านจะปิดกลุ่มผู้ต้องหาได้ตระเวนตามหากลุ่มผู้ตาย เมื่อมาเจอในที่เกิดเหตุก็ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ตาย 2 นัด กระสุนไปถูกนายวุฒิชัยเสียชีวิต
จากการสอบสวนนายดำ ให้การว่า ไม่รู้ว่ากลุ่มเพื่อนที่ไปเที่ยวจะตามไปยิงใส่กลุ่มผู้ตาย และตนคิดว่าไม่มีความผิดจึงเข้ามอบตัว ทั้งนี้หลังเกิดเหตุได้หลบหนีไปยังจ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทั้ง 4 คน แต่ญาติแนะนำให้เข้ามอบตัวสู้คดี
ด้าน พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รองผบก.น.1 รักษาราชการแทนผกก.สน.ห้วยขวาง กล่าวว่า ขณะนี้นายสุรศักดิ์ที่ถูกกลุ่มผู้ตายเหยียบเท้า ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวผ่าน ส.ข.กรุงเทพมหานครเขตดินแดงแล้ว หลังจากหลบหนีไปอยู่ที่อ.ปากพนัง โดยจะเข้ามอบตัวสู้คดีในช่วงเย็นวันนี้ (8 ส.ค.) ส่วนนายหนุ่ม มือปืน ทางตำรวจก็ขอให้รีบมามอบตัวเช่นกัน
พล.ต.ต.ปริญญา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลา 02.15 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่นายวุฒิชัย แคโอชา อายุ 29 ปี เสียชีวิตบริเวณหน้าสถานทูตจีน ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.ห้วยขวาง ได้ทำการสืบสวนหาเบาะแสของคนร้าย จนทราบว่านายดำและนายแดง พร้อมพวกอีก 2 คน คือนายสุรศักดิ์ ขุนทอง อายุ 20 ปี และนายหนุ่ม (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล) เป็นกลุ่มที่ก่อเหตุ โดยนายหนุ่มเป็นคนใช้รถจยย.ยิงผู้ตาย สาเหตุเกิดจากกลุ่มผู้ตายไปเหยียบเท้านายสุรศักดิ์ ในห้องน้ำร้านเพียวบาร์ รัชดาซอย 4 ทำให้เกิดความไม่พอใจ จึงมาบอกเพื่อน ก่อนที่ร้านจะปิดกลุ่มผู้ต้องหาได้ตระเวนตามหากลุ่มผู้ตาย เมื่อมาเจอในที่เกิดเหตุก็ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ตาย 2 นัด กระสุนไปถูกนายวุฒิชัยเสียชีวิต
จากการสอบสวนนายดำ ให้การว่า ไม่รู้ว่ากลุ่มเพื่อนที่ไปเที่ยวจะตามไปยิงใส่กลุ่มผู้ตาย และตนคิดว่าไม่มีความผิดจึงเข้ามอบตัว ทั้งนี้หลังเกิดเหตุได้หลบหนีไปยังจ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทั้ง 4 คน แต่ญาติแนะนำให้เข้ามอบตัวสู้คดี
ด้าน พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รองผบก.น.1 รักษาราชการแทนผกก.สน.ห้วยขวาง กล่าวว่า ขณะนี้นายสุรศักดิ์ที่ถูกกลุ่มผู้ตายเหยียบเท้า ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวผ่าน ส.ข.กรุงเทพมหานครเขตดินแดงแล้ว หลังจากหลบหนีไปอยู่ที่อ.ปากพนัง โดยจะเข้ามอบตัวสู้คดีในช่วงเย็นวันนี้ (8 ส.ค.) ส่วนนายหนุ่ม มือปืน ทางตำรวจก็ขอให้รีบมามอบตัวเช่นกัน
This entry was posted in News
"สนธิลิ้ม"โดนคุก2ปีไม่รอลงอาญา
Posted on 02:20 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ศาลอาญาจังหวัดระยอง นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายสุวัตร
อภัยภักดิ์ ทนายความ เดินทางมารับฟังคำพิพากษาในคดีที่ พล.อ.มงคล
อัมพรพิสิฏฐ์ อดีตประธานบริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคัลไทย จำกัด(มหาชน)หรือ ทีพีไอ
ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) ฟ้องหมิ่นประมาท
เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2550
กรณีออกอากาศแพร่ภาพและเสียงในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน
กล่าวหาว่าโจทก์และคณะกรรมการผู้บริหารแผนฯทำตัวเหมือน อีพีแอล
สั่งให้ทีพีไอจ่ายเงินย้อนหลังให้กับบริษัท ซินเนอร์จี่ โซลูชั่น
ซึ่งเป็นบริษัทที่ผู้บริหารแผนอ้างว่า ได้ใช้ที่ปรึกษาให้จ่ายเงินย้อนหลัง
30 ล้านบาท กับบริษัทพรรคพวกของ พล.อ.มงคล และให้จ่ายอีกเดือนละ 20
ล้านบาทเป็นค่าที่ปรึกษา ซึ่งนายสนธิ จำเลยเป็นผู้ดำเนินรายการ
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2550 ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง
นายวัฒนพล ไชยมณี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดระยอง เปิดเผยว่า ศาลได้พิพากษานายสนธิ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 378 ให้จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา และให้จำเลยลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ และผู้จัดการ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกหมายเลขแดงที่ 1241/2550 ของศาลอาญา ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยคดีหมายเลขแดง ที่5068/150 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่5070/150 ของศาลอาญานั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษารอการลงโทษจำคุกจึงไม่อาจนับโทษจำเลยต่อ จากโทษในคดีดังกล่าวได้ พิพากษายกคำขอในส่วนนี้ ให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป อย่างไรก็ตามนายสนธิ ได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวก่อนรีบเดินทางกลับทันที.
นายวัฒนพล ไชยมณี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดระยอง เปิดเผยว่า ศาลได้พิพากษานายสนธิ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 378 ให้จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา และให้จำเลยลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ และผู้จัดการ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกหมายเลขแดงที่ 1241/2550 ของศาลอาญา ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยคดีหมายเลขแดง ที่5068/150 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่5070/150 ของศาลอาญานั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษารอการลงโทษจำคุกจึงไม่อาจนับโทษจำเลยต่อ จากโทษในคดีดังกล่าวได้ พิพากษายกคำขอในส่วนนี้ ให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป อย่างไรก็ตามนายสนธิ ได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวก่อนรีบเดินทางกลับทันที.
This entry was posted in News
รวบพ่อค้ายาไอซ์ตลาดน้อย
Posted on 02:19 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ สายันประเสริฐ
ผกก.สน.พลับพลาไชย 2 พร้อมด้วยพ.ต.ท.ปกาศิต สอดจันทร์ สว.สส. ร.ต.อ.ภูริทัต
บุญช่วย รองสวป. ร.ต.อ.ณภต เพ็งคาสุคันโธ รองสว.สส.
ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนายสุรศักดิ์ ศรีหมอก อายุ 25 ปี และนางสุภัทรา
ปรีดาสามารถ อายุ 26 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืนลูกซองสั้น 1
กระบอก เครื่องกระสุน18 นัด ยาไอซ์ 7.5 กรัม และอุปกรณ์เสพ
โดยจับกุมได้ที่บริเวณชั้น 4 ของอาคารพาณิชย์แบ่งห้องให้เช่าเลขที่ 100
ภายในตลาดน้อย ซอยวาณิชย์ 2 ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์
พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ สตช. ให้ปราบปรามการค้ายาเสพติดและอาวุธปืน จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามและฝ่ายสืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย เกี่ยวกับยาเสพติดมาลงโทษให้ได้ โดยจากการส่งสายลับเข้าไปแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดจนทราบว่าผู้ต้อง หาทั้ง 2 รายเป็นผู้ค้ายาเสพติดภายในละแวกชุมชนดังกล่าว ร.ต.อ.ภูริทัต จึงนำกำลังเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาได้พร้อมของกลาง จากการสอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายย่อย ทำมาแล้ว 2 ครั้ง ทั้งนี้เมื่อรับยาเสพติดมาจะแบ่งบางส่วนไว้เสพเอง เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ สตช. ให้ปราบปรามการค้ายาเสพติดและอาวุธปืน จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามและฝ่ายสืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย เกี่ยวกับยาเสพติดมาลงโทษให้ได้ โดยจากการส่งสายลับเข้าไปแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดจนทราบว่าผู้ต้อง หาทั้ง 2 รายเป็นผู้ค้ายาเสพติดภายในละแวกชุมชนดังกล่าว ร.ต.อ.ภูริทัต จึงนำกำลังเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาได้พร้อมของกลาง จากการสอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายย่อย ทำมาแล้ว 2 ครั้ง ทั้งนี้เมื่อรับยาเสพติดมาจะแบ่งบางส่วนไว้เสพเอง เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
This entry was posted in News
แนะรับทหารเกณฑ์เป็นตำรวจใต้
Posted on 02:18 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ
อุทาโย โฆษก ตร.กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการ
สมช.เสนอแนวความคิดเรื่องการนำทหารเกณฑ์ที่ถูกปลดประจำการในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ บรรจุคัดเลือกเข้าเป็นตำรวจว่า ทาง
ตร.มีความพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายนี้อยู่แล้ว
โดยเรื่องนี้เป็นข้อเสนอของทาง ศชต.ตั้งแต่ต้น
ในการที่จะรับทหารเกณฑ์ที่เคยปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ได้ปลดประจำการแล้ว เข้ามาเป็นตำรวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
และตำรวจตระเวนชายแดน โดยเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา
ได้มีการประชุมหารือถึงเรื่องนี้ แต่ยังมีการตกลงเรื่องเงื่อนไขกติกาต่างๆ
เช่น พื้นที่ที่จะเข้าประจำการ ความประพฤติ หลักสูตรการอบรม
รวมถึงเรื่องงบประมาณ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเท่านั้น
ผู้สื่อถามถึงกำลังพลตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเพียงพอหรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า จริงแล้วกำลังของตำรวจมีประมาณร้อยละ 60 – 70% โดย ตร.ยังมีความต้องการรับเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในภาพรวมของ ตร.นั้น ที่มีกำลังพลชั้นประทวนจำนวน 1.8 แสนนาย กว่าครึ่งอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป และอีกใน 5 ปีข้างหน้านั้น เฉลี่ยอายุจะสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะกำลังพลในพื้นที่ภูธร ตชด.และ ศชต.ผู้ปฏิบัติงานค่อนข้างจะมีเฉลี่ยอายุสูง ซึ่งตรงนี้กำลังมีการหารือเพื่อรองรับสถานการณ์ต่อไป
ผู้สื่อถามถึงกำลังพลตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเพียงพอหรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า จริงแล้วกำลังของตำรวจมีประมาณร้อยละ 60 – 70% โดย ตร.ยังมีความต้องการรับเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในภาพรวมของ ตร.นั้น ที่มีกำลังพลชั้นประทวนจำนวน 1.8 แสนนาย กว่าครึ่งอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป และอีกใน 5 ปีข้างหน้านั้น เฉลี่ยอายุจะสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะกำลังพลในพื้นที่ภูธร ตชด.และ ศชต.ผู้ปฏิบัติงานค่อนข้างจะมีเฉลี่ยอายุสูง ซึ่งตรงนี้กำลังมีการหารือเพื่อรองรับสถานการณ์ต่อไป
This entry was posted in News
บุกค้นยาเสพติดชุมชนหลักสี่พัฒนา99
Posted on 02:18 by netdesign | No comments
เมื่อวันนี้ 8 ส.ค. พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รอง ผบช.น.
พ.ต.อ.พีระพงษ์ วงศ์สมาน รอง ผบก.น.2 นายชวัช ชูเทศะ
ผอ.ส่วนบังคับใช้กฎหมาย ป.ป.ส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจู่โจม บกน.2
และ ป.ป.ส. 70 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้นภายในชุมชนหลักสี่พัฒนา 99
ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. หลังจากทาง ปปส.
ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่ามียาเสพติดแพร่ระบาดเป็นอย่างมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 107/6 พบชายต้องสงสัยคนหนึ่งรีบวิ่งกระโดดลงไปในคลองเปรมประชากร ว่ายน้ำ หลบหนีไปขึ้นฝั่งตรงข้าม ก่อนจะทิ้งยาเสพติดลงน้ำ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พังประตูเข้าไปภายในบ้านหลังดังกล่าว จับกุมตัวนาย ธาดา โกมลมาร อายุ 23 ปี ขณะกำลังถอดสร้อยคอทองคำทิ้งลงไปในชักโครก และ น.ส.เจน(นามสมมุติ) อายุ 19 ปี แฟนสาวของนายธาดาพร้อมของกลางเป็นยาเคตามีน 3 ขวด ยาไอซ์ 3 กรัม และยาบ้าอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกลอยอยู่ภายในคลองใต้ถุน ตรวจสอบบริเวณบ้านพบมีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้คอยดูต้นทาง เบื้องต้นผู้ต้อง ได้ให้การภาคเสธเกี่ยวกับยาเสพติดที่เจ้าหน้าตรวจพบ
พล.ต.ต.สาโรจน์ เปิดเผยว่า ในการตรวจค้นชุมชนในครั้งนี้ ได้ผู้ต้องหาคดียาเสพติด 9 คน พร้อมยาไอซ์ ยาเคตามีน ยาบ้า อุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่ง เงินสด 24,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการตัดวงจรผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยได้ ซึ่งในเร็วนี้จะมีการระดมกำลังตรวจค้นยาเสพติดในบริเวณชุมชนอื่นๆต่อไป
วันเดียวกัน พ.ต.ท.อำนาจ หาญชนะ รอง ผกก.ป. สน.บางซื่อ นำกำลังจับกุมนายพอนวิจิด ทำมะวง อายุ 23 ปี สัญชาติลาว ได้บริเวณลานจอดรถขาเข้า สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ(จตุจักร) ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงและเขตจตุจักร กทม. พร้อมของกลางยาบ้า 22,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกล่องนมผงเด็ก สารภาพรับมาจาก จ.นครพนม ขึ้นรถโดยสารร่วมบริการบขส. จะนำของกลางไปส่งย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ไม่ทราบซอย ได้รับค่าจ้างครั้งละ 5,000 บาท โดยทำเป็นครั้งที่ 2 เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 107/6 พบชายต้องสงสัยคนหนึ่งรีบวิ่งกระโดดลงไปในคลองเปรมประชากร ว่ายน้ำ หลบหนีไปขึ้นฝั่งตรงข้าม ก่อนจะทิ้งยาเสพติดลงน้ำ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พังประตูเข้าไปภายในบ้านหลังดังกล่าว จับกุมตัวนาย ธาดา โกมลมาร อายุ 23 ปี ขณะกำลังถอดสร้อยคอทองคำทิ้งลงไปในชักโครก และ น.ส.เจน(นามสมมุติ) อายุ 19 ปี แฟนสาวของนายธาดาพร้อมของกลางเป็นยาเคตามีน 3 ขวด ยาไอซ์ 3 กรัม และยาบ้าอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกลอยอยู่ภายในคลองใต้ถุน ตรวจสอบบริเวณบ้านพบมีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้คอยดูต้นทาง เบื้องต้นผู้ต้อง ได้ให้การภาคเสธเกี่ยวกับยาเสพติดที่เจ้าหน้าตรวจพบ
พล.ต.ต.สาโรจน์ เปิดเผยว่า ในการตรวจค้นชุมชนในครั้งนี้ ได้ผู้ต้องหาคดียาเสพติด 9 คน พร้อมยาไอซ์ ยาเคตามีน ยาบ้า อุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่ง เงินสด 24,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการตัดวงจรผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยได้ ซึ่งในเร็วนี้จะมีการระดมกำลังตรวจค้นยาเสพติดในบริเวณชุมชนอื่นๆต่อไป
วันเดียวกัน พ.ต.ท.อำนาจ หาญชนะ รอง ผกก.ป. สน.บางซื่อ นำกำลังจับกุมนายพอนวิจิด ทำมะวง อายุ 23 ปี สัญชาติลาว ได้บริเวณลานจอดรถขาเข้า สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ(จตุจักร) ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงและเขตจตุจักร กทม. พร้อมของกลางยาบ้า 22,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกล่องนมผงเด็ก สารภาพรับมาจาก จ.นครพนม ขึ้นรถโดยสารร่วมบริการบขส. จะนำของกลางไปส่งย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ไม่ทราบซอย ได้รับค่าจ้างครั้งละ 5,000 บาท โดยทำเป็นครั้งที่ 2 เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป
This entry was posted in News
บุกค้นบ้านหรูกลางกรุงพบปืน-ระเบิดอื้อ
Posted on 02:17 by netdesign | No comments
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทวรลักษน์
ผบก.สปพ.พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณภัทร จุลละบุษปะ รองผบก.สปพ. และ พ.ต.อ.ทิวา
โสภาเจริญ ผกก.สายตรวจ (191) นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 145/35
หมู่บ้านมัณฑนา ซอย 3 แยก 3/3 ถนนคู้บอน แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม.
พบอาวุธปืนพกขนาด 9 ม.ม. 3 กระบอก ขนาด . 45 จำนวน 1 กระบอก ขนาน 6.35
ม.ม. 1กระบอก ปืนลูกซอง 5 นัด 1 กระบอก เครื่องกระสุนขนาดต่างๆ 662 นัด
ลำกล้องเก็บเสียง 1 อัน ระเบิดขวางเอ็มเคทู 1 ลูก เสื้อเกราะกันกระสุน
1ตัว สิ่งเทียมอาวุธปืนทั้งแบบลูกโม่ ออโตมิติก และแบบเอ็ม16 รวม 4 กระบอก
อุปกรณ์เสริมสำหรับการยิง 1 ชุด วิทยุสื่อสาร 2 เครื่อง
และคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊ค 1 เครื่อง
พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ เปิดเผยว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นการระดมการกวาดล้างปราบปรามอาชญากรรมในช่วงวันที่1-12 ส.ค. ของ บช.น. กระทั่งมีการสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าว มีนายมงคล หรือ นายมงคล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี เป็นผู้เช่า และมีพฤติกรรมสะสมอาวุธปืนเจ้าหน้าที่จึงทำการขอหมายค้นจากศาล จังหวัด มีนบุรี เลขที่ 824 / 2555 ลงวันที่ 7 ส.ค.55 นำกำลังเข้าตรวจค้น แต่นายมงคล ไม่อยู่บ้าน พบเพียงแม่บ้าน 2 คน ซึ่งนอกจากตรวจพบอาวุธนานาชนิดแล้ว ยังมีอุปกรณ์เสพยาเสพติดอยู่บนชั้น 2 จึงนำสุนัขตำรวจไปตรวจค้นหาของกลาง พบยาไอช์1 กรัม และยาอี 2 เม็ด
จากการสอบสวนแม่บ้านให้การว่า ทำงานมาประมาณ 5 เดือนแล้วทราบเพียงเจ้าของบ้านชื่อเฮียเบิร์ด และจะเข้ามาบ้านหลังดังกล่าวอาทิตย์ละ 2 ครั้ง บางครั้งก็จะมีคนนำของมาจำนำกับเฮียเบิร์ด นอกจากนี้เฮียเบิร์ดยังอยู่ในวงการการซื้อขายที่ดินอีกด้วย
ด้าน พ.ต.อ.ทิวา กล่าวว่า มีเบาะแสว่าบ้านหลังดังกล่าวมีพฤติกรรมการซุกซอนอาวุธปืนและน่าจะเกี่ยวข้อง กับการเสพยาเสพติดรวมถึงการรับจำนำอาวุธปืนด้วยจึงได้ทำการขอหมายค้นและเข้า ตรวจค้นกระทั่งเจอของกลางจำนวนมาก ซึ่งยังไม่ทราบเเน่ชัดว่านายมงคลซึ่งเป็นเป้าหมายเกี่ยวข้องกับการขบวนการ ฟอกเงินหรือปล่อยเงินกู้นอกระบบหรือไม่ซึ่งจะมีการสืบสวนขยายผลต่อไป ในการเข้าตรวจค้นครั้งนี้ ก็ได้เพียงของกลาง ส่วนผู้ครอบครองนั้นก็จะได้ ประสานกับทางพนักงานสอบสวนสน.คันนายาว เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ เปิดเผยว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นการระดมการกวาดล้างปราบปรามอาชญากรรมในช่วงวันที่1-12 ส.ค. ของ บช.น. กระทั่งมีการสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าว มีนายมงคล หรือ นายมงคล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี เป็นผู้เช่า และมีพฤติกรรมสะสมอาวุธปืนเจ้าหน้าที่จึงทำการขอหมายค้นจากศาล จังหวัด มีนบุรี เลขที่ 824 / 2555 ลงวันที่ 7 ส.ค.55 นำกำลังเข้าตรวจค้น แต่นายมงคล ไม่อยู่บ้าน พบเพียงแม่บ้าน 2 คน ซึ่งนอกจากตรวจพบอาวุธนานาชนิดแล้ว ยังมีอุปกรณ์เสพยาเสพติดอยู่บนชั้น 2 จึงนำสุนัขตำรวจไปตรวจค้นหาของกลาง พบยาไอช์1 กรัม และยาอี 2 เม็ด
จากการสอบสวนแม่บ้านให้การว่า ทำงานมาประมาณ 5 เดือนแล้วทราบเพียงเจ้าของบ้านชื่อเฮียเบิร์ด และจะเข้ามาบ้านหลังดังกล่าวอาทิตย์ละ 2 ครั้ง บางครั้งก็จะมีคนนำของมาจำนำกับเฮียเบิร์ด นอกจากนี้เฮียเบิร์ดยังอยู่ในวงการการซื้อขายที่ดินอีกด้วย
ด้าน พ.ต.อ.ทิวา กล่าวว่า มีเบาะแสว่าบ้านหลังดังกล่าวมีพฤติกรรมการซุกซอนอาวุธปืนและน่าจะเกี่ยวข้อง กับการเสพยาเสพติดรวมถึงการรับจำนำอาวุธปืนด้วยจึงได้ทำการขอหมายค้นและเข้า ตรวจค้นกระทั่งเจอของกลางจำนวนมาก ซึ่งยังไม่ทราบเเน่ชัดว่านายมงคลซึ่งเป็นเป้าหมายเกี่ยวข้องกับการขบวนการ ฟอกเงินหรือปล่อยเงินกู้นอกระบบหรือไม่ซึ่งจะมีการสืบสวนขยายผลต่อไป ในการเข้าตรวจค้นครั้งนี้ ก็ได้เพียงของกลาง ส่วนผู้ครอบครองนั้นก็จะได้ ประสานกับทางพนักงานสอบสวนสน.คันนายาว เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
This entry was posted in News
ผบ.ทร.คาดส่งโผย้ายนายทหารกลางส.ค.นี้
Posted on 02:15 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์
ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)
กล่าวถึงการปรับย้ายนายทหารประจำปีของกองทัพเรือ
ว่าขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ คาดว่าจะต้องส่งช่วงกลางเดือนส.ค.นี้
เพราะอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาที่ยังมีหลักการเหมือนเดิม
คือดูจากความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถหลายอย่างประกอบกัน
การเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยต่างที่สำคัญ
เราจะวางคนที่เหมาะสมลงในตำแหน่งต่างๆ
เพราะแต่ละตำแหน่งมีความสำคัญแตกต่างกัน การพิจารณาต้องทำอย่างรอบคอบ
เพื่อนำไปสู่ผลของการปฏิบัติงาน
This entry was posted in News
“ชูวิทย์” จองซักฟอก “เป็ดเหลิม”
Posted on 02:14 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้แจ้งกับนายนริศ ขำนุรักษ์
ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน
(วิปฝ่ายค้าน) ว่าตนพร้อมที่จะร่วมลงชื่อในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้
ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ขัดข้อง
โดยประเด็นที่จะอภิปรายจะเน้นประเด็นสังคม ไม่ใช่เรื่องบ่อนการพนัน
ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องบ่อนจะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที
ตนจะไม่ฉายหนังซ้ำ แต่ข้อมูลจะโยงใยให้เห็นว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง
โดยจะพูดถึงเรื่องความบกพร่องในระบบตำรวจว่าเอาใครมาดูแลมีความสามารถแค่ไหน
เพราะคนมาดูแลมียศแค่ ร.ต.อ.เท่านั้น
และคนที่มอบหมายให้ร.ต.อ.คนนี้มาดูแลตำรวจก็ต้องรับผิดชอบด้วย ตนขอเวลาแค่
30 นาทีเท่านั้น จะอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ
This entry was posted in News
ทส.แจงเหตุรื้อ"บ้านทะเลหมอก”
Posted on 02:14 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) นายจงเจริญ กิจสำราญกุล ผอ.กองนิติการ
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเข้าชี้แจงต่อศาลปกครองกลางตามคำร้องของรีสอร์ตบ้าน
ทะเลหมอก ที่ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองการรื้อถอน ว่า
ได้ชี้แจงต่อศาลแล้วว่าถ้าคุ้มครอง
หรือชะลอการรื้อถอนจะเกิดความเสียหายต่อส่วนรวมอย่างไร
และแสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นยังจะกระทบกับการจัดการพื้นที่อุทยานฯ ทั่วประเทศ ทั้ง 127 แห่ง
ซึ่งมีปัญหาการบุกรุกทุกที่ โดยเฉพาะกรณีนายทุนที่เข้าไปก่อสร้างรีสอร์ต
โรงแรม ก็จะไม่หยุดก่อสร้าง ทั้งนี้พื้นที่อุทยานฯ
ทับลานมีการบุกรุกรุนแรงมาก
ที่สำคัญยังเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่
ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกมีคำสั่งให้ประเทศไทยแก้ปัญหาบุกรุกพื้นที่โดยรีสอร์ต
โรงแรม และบ้านพักตากอากาศ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 ก.พ. 2556
ไม่เช่นนั้นจะถูกจัดเข้าแบล็กลิสต์และถูกถอดถอนจากการเป็นมรดกโลกในที่สุด
นายจงเจริญ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ศาลตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงเพิ่งมาดำเนินการในช่วงเวลานี้ ก็ได้ชี้แจงไปว่าที่ผ่านมารีสอร์ตขอทุเลาการบังคับคดี และมีการทำเรื่องขอเช่าพื้นที่ จนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าไม่สามารถให้เช่าพื้นที่อุทยานฯ ได้ เพราะการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่อุทยานฯ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายตั้งแต่แรก เรื่องนี้สุดแล้วแต่ดุลยพินิจของศาลเราไม่ก้าวล่วง ถ้าไม่ให้ดำเนินการรื้อถอนต่อเราก็ไม่ทำ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ผ่านมาที่รีสอร์ตบ้านพัก ตากอากาศ ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอคุ้มครองการรื้อถอน ศาลปกครองก็ได้พิจารณายกคำร้อง เช่น กรณีรีสอร์ตบ้านผางาม ที่อยู่ติดกับรีสอร์ตบ้านทะเลหมอก และอีกหลายแห่งศาลก็ไม่รับคำร้อง แต่รีสอร์ตบ้านผางามอ้างว่ามีหลักฐานใหม่และขอรื้อคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลฎีกา
นายจงเจริญ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่ทะเลหมอกรีสอร์ตระบุว่าอุทยานฯ เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง สามารถให้เช่าได้นั้น ได้ชี้แจงไปว่าเป็นคนละพื้นที่จะนำมาอ้างไม่ได้ พื้นที่เสม็ดเป็นพื้นที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ มาตั้งแต่ต้นและให้ทหารเรือใช้ประโยชน์มาก่อน อุทยานฯ ไปประกาศเขตในภายหลัง การบังคับใช้กฎหมายจึงไม่เหมือนกัน ซึ่งรายได้จากการเช่าที่ดินบนเกาะเสม็ดก็เป็นของกรมธนารักษ์ ไม่ใช่กรมอุทยานฯ เพราะนโยบายของกรมอุทยานฯ ไม่มีการให้เช่าพื้นที่ทำรีสอร์ตแน่นอน เราต้องปฏิบัติตามคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมติ ครม. เมื่อปี 2484 นั้น หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามการตีความของคณะกรรมการ กฤษฎีกา หากไม่ดำเนินการรื้อถอนก็จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และต้องถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตรวจสอบต่อไป กรมอุทยานฯ ไม่ได้เลือกปฏิบัติแต่ยืนยันว่าไม่มีนโยบายให้เช่าพื้นที่
เมื่อถามถึงกรณีมีข่าวว่ากรมอุทยานฯ ได้หารือกันถึงกรณีที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ในขณะนี้ อนุมัติให้เจ้าของรีสอร์ททำเรื่องขอเช่าแทนการรื้อถอนตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ มาตรา 22 ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องมีความผิดด้วยนั้น นายจงเจริญ กล่าวว่า โดยคำพิพากษาของศาล จ.กบินทร์บุรี ตัดสินให้จำเลยมีความผิดตามกฎหมายป่าไม้ที่เกี่ยวข้องและให้จำเลยและบริวาร ออกจากพื้นที่เท่านั้น ส่วนการรื้อถอนกรมอุทยานฯ หรือกรมป่าไม้ในขณะนั้นต้องออกคำสั่งให้หัวหน้าอุทยานฯ ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา 22 พ.ร.บ.อุทยานฯ ต่อไป ทั้งนี้ในการดำเนินการตารมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานฯ นั้นไม่จำเป็นต้องรอศาลตัดสิน เพราะกฎหมายให้อำนาจหัวหน้าอุทยานฯ ดำเนินการในพื้นที่บุกรุกได้เลย แต่นโยบายขณะนั้นให้หาแนวทางในการเช่าพื้นที่
แหล่งข่าวฯ ระบุอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากกการไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะมาตรา 22 พ.ร.บ.อุทยานฯ จึงทำให้รีสอร์ตหลายแห่งที่ศาลตัดสินความผิดแล้วยังสามารถประกอบกิจการหาผล ประโยชน์ในพื้นที่อุทยานฯ ได้อย่างไม่หวั่นวิตก และไม่ต้องจ่ายค่าเช่าให้ทางรัฐแต่อย่างใด ประกอบกับก่อนหน้านั้นในช่วงปี 2543 มีความพยายามในการจัดทำแนวเขตอุทยานฯทับลานใหม่เพื่อกันพื้นที่ออกและเพิก ถอนเขตอุทยานฯ ให้กับประชาชนที่อยู่มาก่อนประกาศเขตอุทยานฯ โดยมีหน่วยงาน คือกรมป่าไม้ ร่วมกับจังหวัด และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันจัดทำแนวเขต แต่แนวเขตอุทยานฯ ปี 2543 นี้ ไม่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. เพราะจะทำให้เสียพื้นที่ป่าไปกว่าแสนไร่ อีกทั้งยังไม่ได้มีการพิสูจน์สิทธิ์ตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 2541อย่างชัดเจน แต่ขณะนี้ก็ยังมีความพยายามจากนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล และนายทุนใน ที่มีที่ดินอยู่ในเขตอุทยานฯ ทับลาน พยายามผลักดันและยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศแนวเขตอุทยานฯ ใหม่โดยยึดแนวเขตปี 2543 ซึ่งจะทำให้พื้นที่บุกรุก รีสอร์ต บ้านพักตากอากาศจำนวนมาก รวมทั้งบ้านทะเลหมอกรีสอร์ตอยู่นอกเขตอุทยานฯ ทับลาน และสามารถประกอบกิจการในพื้นที่ต่อไปได้
นายจงเจริญ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ศาลตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงเพิ่งมาดำเนินการในช่วงเวลานี้ ก็ได้ชี้แจงไปว่าที่ผ่านมารีสอร์ตขอทุเลาการบังคับคดี และมีการทำเรื่องขอเช่าพื้นที่ จนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าไม่สามารถให้เช่าพื้นที่อุทยานฯ ได้ เพราะการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่อุทยานฯ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายตั้งแต่แรก เรื่องนี้สุดแล้วแต่ดุลยพินิจของศาลเราไม่ก้าวล่วง ถ้าไม่ให้ดำเนินการรื้อถอนต่อเราก็ไม่ทำ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ผ่านมาที่รีสอร์ตบ้านพัก ตากอากาศ ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอคุ้มครองการรื้อถอน ศาลปกครองก็ได้พิจารณายกคำร้อง เช่น กรณีรีสอร์ตบ้านผางาม ที่อยู่ติดกับรีสอร์ตบ้านทะเลหมอก และอีกหลายแห่งศาลก็ไม่รับคำร้อง แต่รีสอร์ตบ้านผางามอ้างว่ามีหลักฐานใหม่และขอรื้อคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลฎีกา
นายจงเจริญ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่ทะเลหมอกรีสอร์ตระบุว่าอุทยานฯ เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง สามารถให้เช่าได้นั้น ได้ชี้แจงไปว่าเป็นคนละพื้นที่จะนำมาอ้างไม่ได้ พื้นที่เสม็ดเป็นพื้นที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ มาตั้งแต่ต้นและให้ทหารเรือใช้ประโยชน์มาก่อน อุทยานฯ ไปประกาศเขตในภายหลัง การบังคับใช้กฎหมายจึงไม่เหมือนกัน ซึ่งรายได้จากการเช่าที่ดินบนเกาะเสม็ดก็เป็นของกรมธนารักษ์ ไม่ใช่กรมอุทยานฯ เพราะนโยบายของกรมอุทยานฯ ไม่มีการให้เช่าพื้นที่ทำรีสอร์ตแน่นอน เราต้องปฏิบัติตามคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมติ ครม. เมื่อปี 2484 นั้น หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามการตีความของคณะกรรมการ กฤษฎีกา หากไม่ดำเนินการรื้อถอนก็จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และต้องถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตรวจสอบต่อไป กรมอุทยานฯ ไม่ได้เลือกปฏิบัติแต่ยืนยันว่าไม่มีนโยบายให้เช่าพื้นที่
เมื่อถามถึงกรณีมีข่าวว่ากรมอุทยานฯ ได้หารือกันถึงกรณีที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ในขณะนี้ อนุมัติให้เจ้าของรีสอร์ททำเรื่องขอเช่าแทนการรื้อถอนตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ มาตรา 22 ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องมีความผิดด้วยนั้น นายจงเจริญ กล่าวว่า โดยคำพิพากษาของศาล จ.กบินทร์บุรี ตัดสินให้จำเลยมีความผิดตามกฎหมายป่าไม้ที่เกี่ยวข้องและให้จำเลยและบริวาร ออกจากพื้นที่เท่านั้น ส่วนการรื้อถอนกรมอุทยานฯ หรือกรมป่าไม้ในขณะนั้นต้องออกคำสั่งให้หัวหน้าอุทยานฯ ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา 22 พ.ร.บ.อุทยานฯ ต่อไป ทั้งนี้ในการดำเนินการตารมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานฯ นั้นไม่จำเป็นต้องรอศาลตัดสิน เพราะกฎหมายให้อำนาจหัวหน้าอุทยานฯ ดำเนินการในพื้นที่บุกรุกได้เลย แต่นโยบายขณะนั้นให้หาแนวทางในการเช่าพื้นที่
แหล่งข่าวฯ ระบุอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากกการไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะมาตรา 22 พ.ร.บ.อุทยานฯ จึงทำให้รีสอร์ตหลายแห่งที่ศาลตัดสินความผิดแล้วยังสามารถประกอบกิจการหาผล ประโยชน์ในพื้นที่อุทยานฯ ได้อย่างไม่หวั่นวิตก และไม่ต้องจ่ายค่าเช่าให้ทางรัฐแต่อย่างใด ประกอบกับก่อนหน้านั้นในช่วงปี 2543 มีความพยายามในการจัดทำแนวเขตอุทยานฯทับลานใหม่เพื่อกันพื้นที่ออกและเพิก ถอนเขตอุทยานฯ ให้กับประชาชนที่อยู่มาก่อนประกาศเขตอุทยานฯ โดยมีหน่วยงาน คือกรมป่าไม้ ร่วมกับจังหวัด และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันจัดทำแนวเขต แต่แนวเขตอุทยานฯ ปี 2543 นี้ ไม่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. เพราะจะทำให้เสียพื้นที่ป่าไปกว่าแสนไร่ อีกทั้งยังไม่ได้มีการพิสูจน์สิทธิ์ตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 2541อย่างชัดเจน แต่ขณะนี้ก็ยังมีความพยายามจากนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล และนายทุนใน ที่มีที่ดินอยู่ในเขตอุทยานฯ ทับลาน พยายามผลักดันและยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศแนวเขตอุทยานฯ ใหม่โดยยึดแนวเขตปี 2543 ซึ่งจะทำให้พื้นที่บุกรุก รีสอร์ต บ้านพักตากอากาศจำนวนมาก รวมทั้งบ้านทะเลหมอกรีสอร์ตอยู่นอกเขตอุทยานฯ ทับลาน และสามารถประกอบกิจการในพื้นที่ต่อไปได้
This entry was posted in News
ชิงตำแหน่งประธานส.ว.เหลือ“นิคม-พิเชต”
Posted on 02:13 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) นายเกชา ศักดิสมบูรณ์ สมาชิกวุฒิสภา
ส.ว.ราชบุรี เปิดเผยว่า
กรณีที่ส.ว.สายเลือกตั้งได้เสนอเข้าชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา 3 คน คือ
นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา และนายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร
ส.ว.เชียงใหม่ และตนด้วย ล่าสุดได้ข้อสรุปเสนอชื่อเพียงชื่อเดียวคือ
นายนิคม ส่วนตนและนายชูชัย ได้ยอมถอนตัว
เนื่องจากจะเป็นการตัดคะแนนกันเองในสายเลือกตั้ง โดยในวันที่ 10 ส.ค.
จะได้พูดคุยรายละเอียด
โดยเฉพาะตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาของนายนิคมว่าจะลาออกหรือดำเนินการอย่างไร
นายนิคม กล่าวว่า เบื้องต้นส.ว. สายเลือกตั้งน่าจะส่งชื่อตนคนเดียวแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะได้รับเลือกในการลงชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภาหรือ ไม่ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะมีปัจจัยอะไรอื่นเข้ามาแทรกอีกหรือไม่ ส่วนที่จะมีการพูดคุยเรื่องการลาออกจากตำแหน่งรองประธานวุฒินั้น ขอรอดูสถานการณ์ในวันที่ 14 ส.ค. ก่อนค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง
ด้านนายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา เปิดเผยว่า ทางส.ว.สายสรรหาได้มีมติที่จะส่งตนลงชิงตำแหน่งประธานเพียงคนเดียว หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีรายชื่อผู้จะร่วมลงชิง 4-5 คน โดยเหตุผลที่ส่งตนนั้นเพื่อนสมาชิกเห็นว่าตนมีความเหมาะสมในเรื่องวัยวุฒิ และคุณวุฒิโดยเฉพาะมีความเป็นกลางตั้งแต่ต้น ซึ่งตนก็ขอปฎิเสธว่าไม่ได้เป็นตัวแทนของสายสรรหา ไม่อยากให้มองในประเด็นว่าจะเป็นสายสรรหาหรือเลือกตั้งที่จะได้ที่นั่ง ประธานวุฒิสภา แต่ให้ยึดถือคนที่มีความเป็นกลาง อย่างไรก็ตาม ก็มีส.ว.เลือกตั้งจำนวนพอสมควรที่สนับสนุนตนด้วยเช่นกัน เมื่อถามว่า มีความมั่นใจจะได้รับเลือกหรือไม่ นายพิเชต กล่าวว่า ไม่อยากพูดอย่างนั้น จะเป็นการหลงตัวเอง แต่พร้อมที่จะรับตำแหน่ง โดยสิ่งที่ตั้งใจอยากจะทำเมื่อได้รับเลือกคือการสร้างเกียรติภูมิของวุฒิสภา เพื่อให้เป็นหลักของฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นที่พึ่งประชาชน รวมทั้งความสมานฉันท์ในหมู่ส.ว.ด้วยกัน
นายนิคม กล่าวว่า เบื้องต้นส.ว. สายเลือกตั้งน่าจะส่งชื่อตนคนเดียวแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะได้รับเลือกในการลงชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภาหรือ ไม่ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะมีปัจจัยอะไรอื่นเข้ามาแทรกอีกหรือไม่ ส่วนที่จะมีการพูดคุยเรื่องการลาออกจากตำแหน่งรองประธานวุฒินั้น ขอรอดูสถานการณ์ในวันที่ 14 ส.ค. ก่อนค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง
ด้านนายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา เปิดเผยว่า ทางส.ว.สายสรรหาได้มีมติที่จะส่งตนลงชิงตำแหน่งประธานเพียงคนเดียว หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีรายชื่อผู้จะร่วมลงชิง 4-5 คน โดยเหตุผลที่ส่งตนนั้นเพื่อนสมาชิกเห็นว่าตนมีความเหมาะสมในเรื่องวัยวุฒิ และคุณวุฒิโดยเฉพาะมีความเป็นกลางตั้งแต่ต้น ซึ่งตนก็ขอปฎิเสธว่าไม่ได้เป็นตัวแทนของสายสรรหา ไม่อยากให้มองในประเด็นว่าจะเป็นสายสรรหาหรือเลือกตั้งที่จะได้ที่นั่ง ประธานวุฒิสภา แต่ให้ยึดถือคนที่มีความเป็นกลาง อย่างไรก็ตาม ก็มีส.ว.เลือกตั้งจำนวนพอสมควรที่สนับสนุนตนด้วยเช่นกัน เมื่อถามว่า มีความมั่นใจจะได้รับเลือกหรือไม่ นายพิเชต กล่าวว่า ไม่อยากพูดอย่างนั้น จะเป็นการหลงตัวเอง แต่พร้อมที่จะรับตำแหน่ง โดยสิ่งที่ตั้งใจอยากจะทำเมื่อได้รับเลือกคือการสร้างเกียรติภูมิของวุฒิสภา เพื่อให้เป็นหลักของฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นที่พึ่งประชาชน รวมทั้งความสมานฉันท์ในหมู่ส.ว.ด้วยกัน
This entry was posted in News
นปช.ลั่นห้ามคนเสื้อแดงไม่ได้
Posted on 02:13 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) นางธิดา ถาวรเศรษฐ
ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. กล่าวว่า
การที่มวลชนเดินทางไปให้กำลังใจแกนนำคนเสื้อแดงที่ศาลเตรียมพิจารณาถอน
ประกันในคดีก่อการร้ายในวันที่ 9 ส.ค.นี้นั้น ตนไม่ห่วงว่าจะมีมือที่ 3
เข้ามาสร้างสถานการณ์ใส่ร้าย
เนื่องจากทราบดีว่าคนเสื้อแดงมีประสบการณ์ตรงส่วนนี้
ขณะเดียวกันการเดินทางไปศาลอาญาเป็นการให้กำลังใจแกนนำไม่ได้ไปประท้วงอะไร
และที่ผ่านมาศาลเองก็เคยมีประสบการณ์ในการรับมือคนเสื้อแดงเช่นกัน
ในส่วนของจำนวนผู้ที่เดินทางมาให้กำลังใจแกนนำนั้น
เห็นว่าหากคนเสื้อแดงต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมเป็นไปได้ที่จะมีจำนวนผู้มา
ให้กำลังใจแกนนำร่วม 1 หมื่นคน ขณะที่ในส่วนของผลการตัดสินนั้น
ตนไม่ขอก้าวล่วงและงดแสดงความเห็น
ขณะที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช.กล่าวว่า ทางส.ส.ของพรรคที่เป็นคนเสื้อแดงจะไปให้กำลังใจนายจตุพร พรหมพันธ์ และแกนนำทุกคน และคาดว่าจะมีมวลชนมาให้กำลังใจ 5,000-10,000 คนจะมาห้ามให้คนเสื้อแดงมาให้กำลังใจแกนนำไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิและความชอบธรรมตามประชาธิปไตย แต่ทุกคนก็จะไม่มีการละเมิดคำสั่งศาล ไม่มีการปราศรัยหรือใช้รถขยายเสียงแน่นอน มั่นใจว่าศาลต้องให้ความยุติธรรมกับแกนนำทุกคน เพราะว่าคดีนี้ยังไม่ได้มีการสอบพยานและพวกเรามั่นใจว่า ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย เพราะไม่ได้ใช้อาวุธในการชุมนุม แต่ถ้าหากแกนนำคนเสื้อแดงถูกศาลวินิจฉัยให้ถอนประกัน ก็จะใช้สิทธิขอประกันตัวบรรดาแกนนำต่อไป
เมื่อถามว่า เป็นห่วงว่าจะมีมือที่ 3 มาก่อความวุ่นวายหรือไม่ นายวรชัย กล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมามีคนใส่เสื้อแดงหัวใจสีเหลือง มาคอยปั่นป่วนการชุมนุม ก็ขอให้คนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจ คอยดูคนรอบข้างให้ดีว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัยอย่างไรและแจ้งให้แกนนำทราบด่วน
ขณะที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช.กล่าวว่า ทางส.ส.ของพรรคที่เป็นคนเสื้อแดงจะไปให้กำลังใจนายจตุพร พรหมพันธ์ และแกนนำทุกคน และคาดว่าจะมีมวลชนมาให้กำลังใจ 5,000-10,000 คนจะมาห้ามให้คนเสื้อแดงมาให้กำลังใจแกนนำไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิและความชอบธรรมตามประชาธิปไตย แต่ทุกคนก็จะไม่มีการละเมิดคำสั่งศาล ไม่มีการปราศรัยหรือใช้รถขยายเสียงแน่นอน มั่นใจว่าศาลต้องให้ความยุติธรรมกับแกนนำทุกคน เพราะว่าคดีนี้ยังไม่ได้มีการสอบพยานและพวกเรามั่นใจว่า ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย เพราะไม่ได้ใช้อาวุธในการชุมนุม แต่ถ้าหากแกนนำคนเสื้อแดงถูกศาลวินิจฉัยให้ถอนประกัน ก็จะใช้สิทธิขอประกันตัวบรรดาแกนนำต่อไป
เมื่อถามว่า เป็นห่วงว่าจะมีมือที่ 3 มาก่อความวุ่นวายหรือไม่ นายวรชัย กล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมามีคนใส่เสื้อแดงหัวใจสีเหลือง มาคอยปั่นป่วนการชุมนุม ก็ขอให้คนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจ คอยดูคนรอบข้างให้ดีว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัยอย่างไรและแจ้งให้แกนนำทราบด่วน
This entry was posted in News
ที่ประชุมสภาฯไฟเขียวผ่าน พ.ร.บ. 3 ฉบับ
Posted on 02:12 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2
สมัยสามัญทั่วไป มีนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1
ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยที่ประ ชุมได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.
ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.จำนวน
3ฉบับ ได้แก่ 1. ร่างพ.ร.บ.วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ.
....ซึ่งมีสาระสำคัญคือให้มีกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพสังคมสงเคราะห์เพื่อกำหนด
หน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์ในการปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการป้องกันและ
แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนโดยเฉพาะผู้ประสบปัญหาในการดำรงชีวิตให้สามารถกระทำ
หน้าที่ทางสังคมและดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข
และให้มีองค์กรควบคุมการประกอบอาชีพสังคมสงเคราะห์ในรูปของสภาวิชาชีพ
เพื่อควบคุมมาตรฐานและจรรยาบรรณจากการประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รวมทั้งสง
เสริมและพัฒนาองค์ความรู้และมาตรฐานประกอบวิชาชีพ
และเพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพมีคุณภาพและมาตรฐานมีความก้าวหน้า
2.ร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยโปร่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...และ3.ร่างพ.ร.บ.วิชาชีพแพทย์แผนไทย พ.ศ.. เพื่อให้มีกฎหมายด้วยวิชาชีพแพทย์แผนไทย เพื่อให้แยกการกำกับดูแลและการควบคุมการประกอบวิชาชีพแผนไทย ออกจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ และคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทย โดยจัดตั้ง "สภาแพทย์แผนไทย" ขึ้นเพื่อส่งเสริมการประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย กำหนดและควบคุมมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ และจริยธรรมแพทย์แผนไทย ควบคุมมิให้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากบุคคล ซึ่งไม่มีความรู้อันก่อให้เกิดภัยและความเสียหายแก่ประชาชน จากนั้นประธานสั่งปิดการประชุมในเวลา 18.10 น.
2.ร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยโปร่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...และ3.ร่างพ.ร.บ.วิชาชีพแพทย์แผนไทย พ.ศ.. เพื่อให้มีกฎหมายด้วยวิชาชีพแพทย์แผนไทย เพื่อให้แยกการกำกับดูแลและการควบคุมการประกอบวิชาชีพแผนไทย ออกจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ และคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทย โดยจัดตั้ง "สภาแพทย์แผนไทย" ขึ้นเพื่อส่งเสริมการประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย กำหนดและควบคุมมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ และจริยธรรมแพทย์แผนไทย ควบคุมมิให้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากบุคคล ซึ่งไม่มีความรู้อันก่อให้เกิดภัยและความเสียหายแก่ประชาชน จากนั้นประธานสั่งปิดการประชุมในเวลา 18.10 น.
This entry was posted in News
ผอ.ข่าวกรองฯรับห่วงมือที่สาม
Posted on 02:12 by netdesign | No comments
วันนี้ ( 8 ส.ค. ) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ
ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ให้สัมภาษณ์ถึงการประเมินสถานการณ์ในวันที่ 9 ส.ค.นี้
ซึ่งกลุ่มนปช.ไปให้กำลังใจแกนนำ ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ว่า
ประเมินว่าไม่มีอะไร เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ประเมินงานการข่าวอยู่ด้วย
ซึ่งตนคิดว่าน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่รัฐบาลดูแลได้
ตอนนี้เรายังพูดไม่ได้ว่าศาลจะมีคำตัดสินออกมาอย่างไร
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมการไว้ทุกด้านแล้ว
ส่วนทางข่าวกรองเราประเมินว่าไม่มีอะไร
แต่อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่มีการชุมนุมเราก็ห่วงกรณีมือที่3ก่อเหตุ
ดังนั้นได้ดูเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
แต่ไม่มีรายงานเฉพาะเจาะจงในประเด็นนี้เข้ามา แต่เราก็ระมัดระวัง
เมื่อถามว่าจากนี้มีการรายงานการข่าวสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองบ้าง
หรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ยังไม่มี อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนต้องช่วยกัน
This entry was posted in News
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่
Categories
- คัดค้าน พ.ร.บ. นิรโทษ (62)
- เครื่องมือการแพทย์ (1)
- พุทธวจน (87)
- ยาประตำตัว (11)
- เรื่องเล่าเช้านี้ (4)
- download (227)
- english version (40)
- Food (1)
- Game (6)
- Ghost windows 10 (16)
- Ghost windows 7 (57)
- Ghost windows 8 (2)
- Ghost windows XP (24)
- joke (1)
- Movie (1438)
- Music (2)
- News (3714)
- starshow (5)
- training (350)
- windows os (2)
- www.becomz.com (19)
Blog Archive
-
▼
2012
(5018)
-
▼
สิงหาคม
(470)
-
▼
ส.ค. 09
(31)
- พุทธวจนสนทนา-บ.I.C.C. International-2012-03-14
- พุทธวจน-Thai Mitsui Specialty Chemicals Co., Ltd.(...
- "แก้ว พงษ์ประยูร"จัดให้คว้าแล้วเหรียญทองแดง
- ส่งแรงเชียร์! วันนี้ลุ้น "น้องจูน" ชิงทองเทควันโด
- “น้องเล็ก” คว้าทองแดง, “ไอ” เศร้าชวดหวุดหวิด
- ยัน4ส.ส.แดงไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครอง
- นปช.ร้องอัยการสูงสุดเอาผิดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
- ยัน4ส.ส.แดงไม่ใช้เอกสิทธิคุ้มครอง
- ยุติธรรมไทยอืดเหตุเน้นโทษจำเป็นหลัก
- “ธาริต”เร่งรื้อคดี 91 ศพ
- โจ๋มอบตัวสู้คดียิงหนุ่มดับหน้าสถานทูตจีน
- "สนธิลิ้ม"โดนคุก2ปีไม่รอลงอาญา
- รวบพ่อค้ายาไอซ์ตลาดน้อย
- แนะรับทหารเกณฑ์เป็นตำรวจใต้
- บุกค้นยาเสพติดชุมชนหลักสี่พัฒนา99
- บุกค้นบ้านหรูกลางกรุงพบปืน-ระเบิดอื้อ
- ผบ.ทร.คาดส่งโผย้ายนายทหารกลางส.ค.นี้
- “ชูวิทย์” จองซักฟอก “เป็ดเหลิม”
- ทส.แจงเหตุรื้อ"บ้านทะเลหมอก”
- ชิงตำแหน่งประธานส.ว.เหลือ“นิคม-พิเชต”
- นปช.ลั่นห้ามคนเสื้อแดงไม่ได้
- ที่ประชุมสภาฯไฟเขียวผ่าน พ.ร.บ. 3 ฉบับ
- ผอ.ข่าวกรองฯรับห่วงมือที่สาม
- ถกดับไฟใต้ตั้งศปก.จชต.
- “สุเมธ”เผยในหลวงทรงเหนื่อยตลอดชีวิต
- ตั้ง"ชวลิต" ปลัดเกษตรฯ-โยกย้ายทูตเขมร
- “ทักษิณ”ถึงนิวยอร์ก แดง-เหลืองฮึ่ม
- สาวมธ.คว้า5รางวัลนางสาวไทยรอบสื่อ
- กำแพงเพชรเชียร์"แก้ว"คึกคัก
- โอบามาเริ่มนำห่างชิง ปธน.สหรัฐ
- หม่องแสบบุกเดี่ยวชิงทองเมืองภูเก็ต
-
▼
ส.ค. 09
(31)
-
▼
สิงหาคม
(470)