วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

“ปู” ยันไม่มีใครอนุญาตให้ “โต้ง” พูดโกหกเพื่อชาติ


วันนี้ (27 ส.ค.)น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แสดงความรับผิดชอบหลังออกมายอมรับว่าได้โกหกเกี่ยวกับตัวเลขการส่งออกของ ประเทศ ที่จะขยายตัวถึงร้อยละ 15 ว่า เชื่อว่าทุกคนมีเจตนาดีสำหรับประเทศ ซึ่งนายกิตติรัตน์เองก็มีเจตนาดี คงไม่มีเหตุผลในการที่จะมาปกปิดอะไร และตัวเลขที่นำมาอ้างอิงก็เป็นตัวเลขที่เป็นข้อมูลจริงที่ต้องนำมาชี้แจงต่อ ประชาชนอยู่แล้ว เมื่อถามว่าแต่การออกมาพูดดังกล่าวของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะฉุดความเชื่อมั่น ต่อนักลงทุนและภาคเศรษฐกิจต่างๆได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เชื่อว่านายกิตติรัตน์ไม่มีเจตนาที่ไม่ดี ถ้ามีเจตนาจริงท่านก็คงไม่พูดคำนี้

เมื่อถามว่า นายกิตติรัตน์อ้างว่ามีคนอนุญาตให้สามารถพูดโกหกได้ในบางเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีแน่นอน ไม่ได้มีคำสั่งอะไรจากใครที่จะให้นายกิตติรัตน์ออกมาพูดเรื่องที่ไม่จริง เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่มีใครจะสั่งได้ ข้อมูลที่ปรากฎออกมานั้นเป็นตัวเลขจริงทั้งหมด และสำหรับตัวเลขการส่งออกที่แท้จริงนั้น ในวันนี้ทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  ได้รายงานว่า ณ ครึ่งปีอยู่ที่กว่า 7 %  เดิมทีกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าตลอดทั้งปีที่ 15 %  แต่เนื่องจากมีเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ความผันผวนในตลาดยุโรป จึงทำให้ตัวเลขการส่งออกลดลง ซึ่งตนและรัฐบาลก็พยายามเร่งตัวเลขในส่วนอื่นๆเข้ามาช่วย ดังนั้นจึงเชื่อว่าตัวเลขการส่งออกตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ที่  8-9 %

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ตนได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ลงไปดูแลในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆที่ได้ รับผลกระทบเรื่องการส่งออก โดยภาพรวมคงจะต้องดูในหมวดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพที่จะเร่งตัวเลขการส่งออกให้มากขึ้น และสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่มีตัวเลขการส่งออกลดลงนั้น ภาครัฐก็จะเข้าไปดูแลประคองธุรกิจให้ ส่วนระยะยาวก็จะมีการสนับสนุนสร้างความแข็งแรงของเศรษฐกิจในประเทศ  โดยเฉพาะภาคการเกษตร

อุตุฯเตือน อันดามัน-อ่าวไทย ฝนหนาแน่น


วันนี้ (27 ส.ค.)กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์สภาพอากาศว่า มีร่องมรสุมได้เลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กําลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทําให้ทั่วประเทศยังมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่งใน ระยะ 1-2 วันนี้
ขณะเดียวกันพายุไต้ฝุ่น เทมบิง (TEMBIN) อยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนตัวเลี้ยวกลับไปทางเกาะไต้หวัน ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนตอนใต้ เกาะฮ่องกง และเกาะไต้หวันตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย

วุฒิสภาเห็นชอบ “สุเทพ”ยื่นหลักฐานต่อสู้เพิ่มเติม หลังตัวแทนป.ป.ช.ไม่ขัดข้อง


วันนี้ (27 ส.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา พิจารณากระบวนการถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 273  โดยนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ได้ชี้แจงขั้นตอนกระบวนการถอดถอนนายสุเทพว่า ขอแจ้งเตือน ส.ว.ทุกคนว่าตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ตั้งแต่ข้อ 114เป็นต้นไปจนเสร็จสิ้นการออกเสียงลงคะแนนตามข้อ 124 สมาชิกต้องวางตัวเป็นกลางและเที่ยงธรรม ไม่กล่าวหรือแสดงไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ ซึ่งข้อความหรือความเห็นอันจะทำให้การพิจารณาและการวินิจฉัยของที่ประชุม ต้องเสียความยุติธรรมไปได้ เช่น การวิพากษ์ต่อสาธารณะในการดำเนินคดีหรือพยานหลักฐานของฝ่ายใดในลักษณะที่ไม่ เหมาะสมต่อความเป็นกลางในคดี การให้ความเห็นต่อสาธารณะโดยประสงค์จะบ่งบอกให้ทราบว่าตนจะมีมติเช่นใด การให้ความเห็นในหมู่สมาชิกอันเป็นการผิดจากข้อเท็จจริงแห่งคดี หรือเป็นการวิพากษ์โดยไม่เที่ยงธรรม อันส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เกี่ยวข้องในคดี และการชักจูงหรือชี้แนะในลักษณะที่เสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของการเป็น สมาชิก

ต่อมาได้พิจารณากรณีที่นายสุเทพขอยื่นหลักฐานเพิ่มเติม โดยนายสุเทพ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมถึงหลักฐานเพิ่มเติม คือคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยกรณีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม มีคำสั่งแต่งตั้งส.ส.พรรคเพื่อไทย ไปปฏิบัติงานที่ ศปภ. ซึ่งในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยยกฟ้อง โดยนายสุเทพอ้างว่ากรณีดังกล่าวตนไม่สามารถทราบก่อนว่าศาลจะวินิจฉัยอย่างไร จึงไม่ได้นำไปอ้างอิงในช่วงการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. ซึ่งกรณีของตนเทียบเคียงแล้วพบว่าใกล้เคียงกัน และได้ศึกษาคำวินิจฉัยของป.ป.ช.ที่ผ่านมา จึงเห็นว่าน่าจะเป็นข้อมูลหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของวุฒิสภา ขณะที่นายชัยรัตน์ ขนิษฐบุตร ผู้ช่วยเลขาธิการป.ป.ช. ซึ่งได้รับมอบหมายจากป.ป.ช. ชี้แจงว่า พยานหลักฐานที่นายสุเทพนำมายื่นเพิ่มเติม เป็นหลักฐานที่ไม่เคยเข้าสู่กระบวนการไต่สวนของป.ป.ช.มาก่อน ทางป.ป.ช.จึงไม่ขัดข้อง จากนั้นที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้นายสุเทพเพิ่มเติมพยานหลักฐานเพื่อประกอบ การพิจารณาของวุฒิสภา ด้วยคะแนน 98 ต่อ 1 เสียง โดยการประชุมนัดต่อไปวันที่ 7 ก.ย. จะให้ผู้กล่าวหาคือป.ป.ช.แถลงเปิดคดี และให้ผู้ถูกกล่าวหาคือนายสุเทพแถลงคำคัดค้าน

ปธ.วิปรัฐบาลเผยรัฐบาลยังไม่แจ้งเรื่องเตรียมสรุปผลสานเสวนาใช้เดินหน้าร่างพ.ร.บ.ปรองดอง



วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2555 เวลา 12:42 น.
วันนี้ ( 27 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำร่างพ.ร.บ.สร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยระบุว่าจะมีข้อสรุปจากการเวทีสานเสวนาเรื่องการสร้างความ ปรองดอง ในวันที่ 30 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่มีการประชุมคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินการอิสระ ตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณารับหลักการร่างพ.ร.บ.ปรองดองแล้ว โดยมีผลงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าที่เสนอว่าควรมีเวทีสานเสวนา ซึ่งสภาฯเห็นว่าควรมอบให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องคือรัฐบาลดำเนินการเรื่อง นี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่ได้มีการประสานงานกับวิปรัฐบาลในเรื่องนี้ เราจึงยังไม่รู้ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรเกี่ยวกับพ.ร.บ.นี้ และรัฐบาลไม่จำเป็นต้องการดำเนินการในส่วนนี้ผ่านวิปรัฐบาลเพราะเป็นเรื่อง ของฝ่ายบริหาร แต่ถ้ามีส่วนใดที่เขาคิดว่าต้องทำผ่านสภาฯ ก็อาจนำมาหารือกับวิปรัฐบาล

กรมน้ำบาดาลทุ่ม 484 ล้าน ขุดบ่อแก้แล้ง 31 จังหวัด


วันนี้ (27 ส.ค.)ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ รองอธิบดีกรมน้ำบาดาล(ทบ.)  แถลงข่าวเรื่อง น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ว่า กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดำเนินโครงการน้ำบาดาลเพื่อ การเกษตร สนับสนุนให้ประชาชนในภาคเกษตรกว่า 24 ล้านคนมีความอยู่ดีกินดี และลดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นลง ทั้งนี้จากปัญหาขาดแคลนน้ำในทุกภูมิภาคของประเทศ จากการบุกรุกทำลายป่าต้นน้ำกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จึงได้ทุ่มงบประมาณ 484 ล้านบาท พัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ประสบภัยแล้ง จำนวน 31 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคเหนือ ลำพูน แพร่ อุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น เลย มหาสารคาม หนองบัวลำภู ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา นครพนม มุกดาหาร บึงกาฬ สกลนคร หนองคาย อุดรธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด ศีรสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ภาคกลาง กำแพงเพชร สุพรรณบุรี ลพบุรี ภาคตะวันออก สระแก้ว ภาคตะวันตก ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภาคใต้ ชุมพร พัทลุง เพื่อส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ โดยค่าใช้จ่าย 1 พื้นที่ คือ 500 ไร่ ใช้จำนวนเงินประมาณ 15.6 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายให้เกษตรกรกว่า 2,000 ครัวเรือน บนพื้นที่ 15,500 หมื่นไร่ มีแหล่งเพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี สามารถเพิ่มรายได้แก่ครอบครัวและชุมชน ในช่วงฝนทิ้งช่วง
นายสุพจน์  กล่าว ต่อว่า ทั้งนี้ ใน 31 จังหวัด ได้คัดเลือกพื้นที่ดำเนินการที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อทำการเกษตรในช่วง ฝนทิ้งช่วงและฤดูแล้งไว้แห่งละ 500 ไร่ และมีศักยภาพของน้ำบาดาลไม่น้อยกว่า 10 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง  โดย ใน 1 พื้นที่ของโครงการ ประกอบด้วย บ่อน้ำบาดาล จำนวน 10 บ่อ หอถังเหล็ก ขนาดความจุ 30 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 5 ถัง ระบบไฟฟ้า ระบบกระจายน้ำพร้อมจุดจ่ายน้ำให้เกษตรกรไม่น้อยกว่า 50 จุด และมีบ่อสังเกตการณ์ระดับน้ำบาดาล จำนวน 2 บ่อ ซึ่งจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่
                นายสุพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมรับปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ขณะนี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้จัดเตรียมแหล่งน้ำบาดาลทั่วประเทศให้พร้อมใช้งานใน ฤดูแล้ง ประกอบด้วย บ่อน้ำบาดาลกว่า 116,930 แห่ง ระบบประปาบาดาล 68,117 ระบบ จุดจ่ายน้ำถาวร 100 แห่ง ระบบน้ำดื่มสะอาดในโรงเรียนทั่วประเทศ 2,090 แห่ง บ่อน้ำบาดาลในโครงการจัดหาน้ำสะอาดให้กับหมู่บ้านหาน้ำยากทั่วประเทศ 2,465 แห่ง ผนวกรวมกับศักยภาพของบุคลากรและอุปกรณ์เครื่องจักรแล้วทำให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งได้ ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้กรมฯ ได้เปิดสายด่วน1310 และ 0 2299 3911 เพื่อให้ประชาชนที่ประสบภัยโทรศัพท์เข้ามาได้ตลอด  

ชาวโคราชบุกร้องนายกฯ โดนถมสระน้ำที่ใช้มากว่า 30 ปี


วันนี้( 27  ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล .กลุ่มชาวบ้านจากหมู่บ้านอรพิมพ์ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ประมาณ 100 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากการที่มีผู้บุกรุกที่ดินและสระน้ำของหมู่ บ้าน ที่ใช้ร่วมกันมากว่า 30 ปี ซึ่งมีเนื้อที่จำนวน 2 ไร่ 3 งาน 55 ตารางวา โดยที่ดินดังกล่าวนายแหน พรานกระโทก ซึ่งเสียชีวิตแล้วได้มอบให้เมื่อปี 2518 เพื่อขุดสระน้ำและได้รับงบประมาณจากทางราชการในการขุด และมีการก่อสร้างบันไดคอนกรีตและทำรั้วลวดหนามกั้นบริเวณโดยรอบ แต่ต่อมากลับมีการซื้อขายพื้นที่ดังกล่าวโดยมีนายขาว งานกระโทกเป็นเจ้าของคนล่าสุด ได้บุกรุกและถมสระน้ำดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นที่ส่วนตัวและมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ที่ถูกต้อง ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องทั้งในด้านคุณธรรมและกฎหมาย จึงได้เข้าร้องเรียนกับส่วนราชการต่างๆ เช่น นายอำเภอครบุรี ที่ดินอำเภอ และผู้ว่าฯนครราชสีมา แต่ไม่ได้ความกระจ่างหรือดำเนินการตรวจสอบ จึงขอให้นายกฯช่วยดำเนินการสืบสวน ทั้งนี้นายพันธ์ศักดิ์ เจริญ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชนสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าวแทน

ฟันธง ยิง “ลูกชายชาดา” ไม่เกี่ยวการเมือง


วันนี้ (27 ส.ค.)ที่ ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีนายฟารุต ไทยเศรษฐ์ ลูกชาย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ถูกยิงเสียชีวิต ว่า จากการพิสูจน์ที่เกิดเหตุจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ฟันธงว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องการเขม่นจากการขับรถเปิดไฟสูงใส่กัน เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นนักการเมืองด้วยกันได้พูดคุยกับนายชาดาบ้างหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ยัง คนเคยชอบกัน เขาเรียกตนว่าอาเหลิม ตนก็เห็นว่าเขากำลังเศร้าโศกเสียใจ เขาคิดอะไรต้องปล่อยเขาคิดไปก่อน ถึงสุดท้ายต้องจบด้วยพยานหลักฐาน
ผู้ สื่อข่าวถามว่า นายชาดาค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง ด้วย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เป็นสิทธิ ถ้าลูกตนตายตนก็คิด แต่สุดท้ายต้องจบที่หลักฐาน คนที่เสียลูกมันยิ่งใหญ่ต้องให้เขาทำใจสักพัก เมื่อถามว่า นายชาดาระบุว่าถ้าตำรวจจับแพะหรือทำไม่สำเร็จเขาจะเป็นคนหาคนผิดเอง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คนเวลาโมโหก็พูดอย่างนี้ จะไปทำไงได้ เมื่อถามย้ำว่า ไม่ใช่เป็นการไม่เชื่อมือตำรวจใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เชื่อ นายชาดาเขานักการเมืองสายตำรวจอยู่แล้ว  ผู้ สื่อข่าวถามว่า นายชาดาระบุเองว่ามีนักการเมืองใหญ่ไปขู่เอาชีวิต รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่มี ใครจะไปกล้าขู่ส.ส. ไม่มีหรอก เชื่อตนเถอะ ถ้ากล้าขู่ ส.ส.เดี๋ยวเขาก็หารือประธานสภาก็ข่าวออกไปทั่วประเทศ

ศปก.จชต. คุมเข้มตรวจรถทุกชนิดใน 3 จังหวัดใต้


วันนี้ (27 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.จชต.) ที่มีพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง เป็นประธานว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในส่วนของการ ข่าวและติดตามสถานการณ์ของศปก.จชต.ที่ได้เริ่มทำงานไปล่วงหน้าแล้ว โดยได้มีการหารือกันถึงเรื่องการปรับเรื่องพื้นที่ให้มีความละเอียดมากขึ้น โดยจะใช้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องการตรวจยานพาหนะที่เข้า – ออกในพื้นที่ โดยจะมีการบูรณการในการตั้งด่านหรือใช้หน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.จราจรหรือกรมการขนส่งเพื่อมาช่วยเหลือ ขณะที่ฝ่ายตำรวจก็ได้ให้ความเป็นห่วงรถที่ถูกโจรกรรม ซึ่งก็จะเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องการตรวจตรายานพาหนะ นอกจากนี้ ยังได้มีการพิจารณาเรื่องการศึกษาในส่วนของเด็กในพื้นที่ที่สมัยเด็กเล็กเคย เรียนร่วมกัน แต่พอโตขึ้นมาได้มีการแยกเรียนทั้งสายการศาสนาและสายสามัญ ทำให้เกิดความห่างเหินกันไป ซึ่งจะให้มีการจัดระบบการศึกษาให้เหมาะกับพื้นที่มากขึ้น

พล.ต.ดิฏฐพร กล่าวต่อว่า ในส่วนของการส่งกำลังตำรวจจำนวน 1,500 นายลงพื้นที่ภาคใต้นั้น เบื้องต้นจะมีการจัดกำลังตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) มาใช้ในพื้นที่ก่อน จากนั้นจะรับสมัครจากทหารกองหนุนที่ปลดประจำการแล้วนำไปฝึกอบรมแล้วจะนำไป บรรจุแทนเจ้าหน้าที่ตชด.ที่จะลงมาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นการลดขั้นตอนในการเตรียมคนที่จะลงมาปฏิบัติหน้าที่ คาดว่าในวันที่ 1 ต.ค.จะลงพื้นที่ไปส่วนหนึ่ง สำหรับความคืบหน้าเรื่องโครงสร้างศปก.จชต.นั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยคาดว่าสัปดาห์นี้คณะกรรมการกฤษฎีกาจะส่งมาให้รองนายกรัฐมนตรีเพื่อส่งให้ นายกฯลงนามต่อไปได้ ขณะที่ในส่วนของตำแหน่งเลขาฯศปก.จชต.นั้น ขณะนี้ยังมีการเสนอชื่อของหลายหน่วยงาน เบื้องต้นได้มีการเสนอชื่อของพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผบ.ทบ. และพล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะต้องเป็นมติของที่ประชุม ขณะที่ความคืบหน้าคดีระเบิดโชว์รูมรถยนต์ที่จ.ปัตตานีนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มีสิ่งที่ทิ้งไม่ได้คือ ประเด็นการเมืองท้องถิ่น การก่อการร้าย และผลประโยชน์ ซึ่งหลายๆอย่างอาจมีความเกี่ยวพันกัน เพราะเจ้าของโชว์รูมก็เป็นนักการเมืองในท้องถิ่นและอาจจะมีความขัดแย้งกับ ผู้ที่ทำธุรกิจเดียวกัน อย่างไรก็ตาม คงต้องผลการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาก่อน

“นิคม”ชี้ลงมติถอดถอน “เทพเทือก” 18 ก.ย. นี้


วันนี้(26 ส.ค.) นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงการพิจารณาถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฏร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีที่ป.ป.ช.ชี้มูลว่าได้ใช้อำนาจแต่งตั้งบุคคลเข้าปฏิบัติหน้าที่ใน กระทรวงวัฒนธรรม ว่า ในวันที่ 27 ส.ค.จะเป็นการประชุมวุฒิสภานัดแรก โดยจะมีการหารือกำหนดแถลงเปิดสำนวนของกรรมการป.ป.ช. และผู้ถูกกล่าวหา เบื้องต้นได้กำหนดไว้เป็นวันที่ 7 ก.ย. นี้ ซึ่งส.ว.มีสิทธิเสนอญัตติเกี่ยวกับประเด็นซักถามที่จะดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการซักถามล่วงหน้าก่อนวันประชุม ครั้งที่ 2  นอกจากนี้ก็ยังจะตั้งคณะกรรมาธิการซักถาม 5 คนด้วย พร้อมมอบคำถามให้กรรมาธิการฯไปแบ่งหมวดหมู่คำถาม และกลับมาถามคำถามกับทั้ง 2 ฝ่ายในวันที่ 11 ก.ย.

นายนิคม กล่าวอีกว่า จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการยื่นแถลงคำปิดคดี หากยื่นคำแถลงการณ์ปิดสำนวนด้วยวาจา ประธานวุฒิสภาต้องนัดประชุมเพื่อรับฟังคำแถลงการณ์ ซึ่งกำหนดไว้เป็นวันที่ 17 ก.ย. แต่ถ้าปิดสำนวนด้วยหนังสือก็ไม่ต้องนัดประชุมอีก และในวันที่ 18 ก.ย. จะเป็นวันลงมติว่าจะถอดถอนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 274 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า มติที่ให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่อยู่ของวุฒิสภา หรือ 89 คน

ขณะที่นายสุเทพ กล่าวว่า จะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมของวุฒิสภา ตามที่วุฒิสภาได้ส่งหนังสือแจ้งให้เข้าร่วม ทั้งนี้ได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติม เป็นคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยยกฟ้อง กรณีคำร้องให้พิจารณาว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)  แต่งตั้ง ส.ส. พรรคเพื่อไทยเข้าไปเป็นคณะทำงานกรรมการจัดการถึงยังชีพของ ศปภ. เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณาเป็นข้อมูลเพิ่มเติม

ด้านนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า แม้ว่านายสุเทพ จะไม่ได้ดำรงในตำแหน่งรองนายกฯแล้ว แต่กระบวนการถอดถอนของวุฒิสภาต้องเดินหน้าเนื่องจากผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญระบุว่าต้องได้รับการเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ดังนั้นหากวุฒิสภามีมติถอดถอนจริง จะส่งผลให้นายสุเทพ ไม่สามารถเป็น ส.ส. หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ได้ 

เสื้อแดงแห่ร่วมเผาศพ “อากง”


วันนี้( 26 ส.ค.)  ที่วัดลาดพร้าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการณ์แห่งชาติ (นปช.) จัดงาน “ราษฎรเพลิงศพอากง”  หรือพิธีฌาปนกิจศพนายอำพล ตั้งณพคุณ อดีตจำเลยคดี 112   โดยมีนางสมาลิน ตั้งนพคุณ ภรรยานายอำพลและครอบครัว  นางธิดา ถาวรเศษรฐ์ ประธาน นปช. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. และ ส.ส. สัดส่วนพรรคเพื่อไทย นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เป็นต้น ร่วมในงาน
โดยมวลชน นปช. ต่างสวมเสื้อสีดำและมีบางส่วนที่สวมเสื้อสีแดงมาร่วมในงานฌาปนกิจศพอย่างคับ คั่งจนเต็มบริเวณวัด พร้อมทั้งมีซุ้มอาหารแจกจ่ายให้กับแขกที่มาร่วมในงาน รวมทั้งมีการตั้งเต็นท์ขายสินค้าของคนเสื้อแดงด้วย ทั้งนี้ตลอดทั้งวันได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มนักวิชาการ และแนวร่วมของ นปช. อย่างคึกคัก กระทั่งเวลา 15.00 น. ขณะกำลังจะเริ่มพิธีทอดผ้าบังสุกุลได้เกิดพายุฝนเทลงมาอย่างหนัก จนผู้ที่มาร่วมในงานต้องหาที่หลบฝนกันนอย่างจ้าละหวั่น อย่างไรก็ตามหลังจากฝนซาแล้วก็ได้เริ่มพิธีต่อ ทั้งนี้นายไพฑูรย์ สว่างกมล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม  ได้เป็นตัวแทนนายกรัฐมนตรี และ รมว.ยุติธรรมเดินทางมาร่วมทอดผ้าบังสกุลให้แก่ผู้เสียชีวิตด้วย

โอ๊ค”สอนมวย “กิตติรัตน์” การเมืองไม่เหมือนธุรกิจ


วันนี้(27 ส.ค.) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก หัวข้อ White lie vs. Black truth “โกหกสีขาว ตรงข้ามกับ พูดความจริงสีดำ" อย่างไหนเหมาะกับสังคมไทย ระบุว่า ผมว่าในปัจจุบันอย่างหลังยังได้เปรียบอยู่เยอะเพราะโกหกสีขาวพอขึ้นชื่อว่า โกหกปุ๊บ จะอธิบายอย่างไรคนมักจะไม่ฟังกันแล้ว พรรคประชาธิปัตย์รู้ความจริงข้อนี้ดี เลยออกมาโจมตีรองนายกกิตติรัตน์ กันใหญ่ตั้งแต่หัวแถวยันปลายแถว โดยลืมไปว่าคนที่ใช้วิธีโกหกสีขาวมาก่อนหน้านี้คือพรรคประชาธิปัตย์เอง โกหกต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 3-4ปี แถมโกหกแล้วยังถูกจับได้คาหนังคาเขา ไม่ได้ออกมายืดอกยอมรับแบบลูกผู้ชายด้วยตัวเองเหมือนรองกิตติรัตน์ด้วยซ้ำไป
นายพานทองแท้ ระบุอีกว่า พวกเรายังจำเรื่องกล้องซีซีทีวีปลอมของ กทม. หรือที่เรียกว่า "กล้องดัมมี่" ได้ไหมครับที่มีคนแอบไปส่องดูแล้วพบว่ากล้องตามที่ผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์โฆษณาหาเสียงว่าติดตั้งครบแล้ว10,000 ตัว พร้อมสโลแกน "ทั้งชีวิตเราดูแล พร้อม...เพื่อคนกรุงเทพ" เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด จำเลยทางสังคมในเรื่องนี้ทั้ง 2 คน โยนความผิดกันไปมา ล้วนเป็นผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งคู่ ติดตั้งกล้องดัมมี่ตั้งแต่ปี 50 สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ยันสมัยม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร โกหกคนกรุงเทพฯทั้งเมือง ปิดข่าวเงียบกริบจนมีคนไปถ่ายรูปมาลงในเน็ต จนสุดท้ายต้องยอมรับสารภาพว่าโกหก และติดกล้องดัมมี่หลอกเอาไว้เป็นพันๆตัว แล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาให้เหตุผลกันยกใหญ่ว่าโกหกด้วยความปรารถนาดี บ้าง เอาไว้หลอกโจรจะได้ไม่กล้ากระทำผิดบ้าง แต่ในกรณีที่คนดีๆที่เขากล้าไปเดินคนเดียว เพราะนึกว่ามีกล้องอยู่จริงๆ ปรากฏว่าโดนปล้น,จี้,ข่มขืน.ฆ่า แล้วจับตัวผู้ร้ายไม่ได้เพราะเป็นกล้องปลอม เขาต้องเดือดร้อนจากผู้ว่าฯโกหก ไม่มีพลพรรคประชาธิปัตย์ออกมาด่าผู้ว่าพรรคตัวเองสักคน
“ ผมสรุปอย่างนี้แล้วกันนะครับว่า รองกิตติรัตน์ คราวหน้าไม่ต้องไปหวังดีขนาดนั้นครับ ตัวเลขมันจะตามหรือไม่ตามเป้าก็ว่ากันไปตามข้อเท็จจริงเลยดีกว่าเพราะการ เมืองไม่เหมือนภาคธุรกิจ เนื่องจากมีฝ่ายค้านครับ ค้านได้ทุกเรื่องแล้วก็อีกอย่างทางการเมืองเค้าไม่ใช้วิธียอมรับ ไม่ว่าจะดำหรือขาวยอมรับไปเจอไฮยีน่ารุมตายเลยครับ ทางการเมืองเขาใช้วิธีไม่พูดครับ บางเรื่องโดนจับได้คาหนังคาเขา หลักฐานชัด พยานเพียบ ถามอย่างไรก็ไม่ตอบ จี้ถามไปหนักๆเข้าก็หลบหน้านักข่าวให้เรื่องเงียบ แล้วค่อยออกมาพล่ามกันต่อแบบนี้ก็มีครับ

“เหลิม”บ่นแดงทำตัวไม่น่ารักไปป่วนมาร์ค


ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้(27 ส.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยมีมาตรการควบคุมคนเสื้อแดงไม่ให้ป่วนใน การลงพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนเห็นด้วยเพราะลักษณะอย่างนี้ หากทำไปคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ และจะทำให้ไม่มีโอกาสนำไปสู่ความปรองดอง เพราะทุกคนต้องมีสิทธิไปได้ทุกที่ ทุกแห่งในประเทศไทย การแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจก็ย่อมทำได้ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น และเมื่อวานตนได้มีโอกาสคุยกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ทางโทรศัพท์ว่าหากมีลักษณะอย่างนี้ มันจะทำให้ผมหนักใจ และรัฐบาลก็หนักใจ มันจะต้องมีความพอดีทุกฝ่าย
ซึ่งที่ผ่านมาคนเสื้อแดงอาจมีความไม่พอใจต่อการสลายการชุมนุม แต่คนเสื้อแดงก็ต้องเห็นว่ารัฐบาลได้ดำเนินการตามหลักกฎหมาย เอาสำนวนชันสูตรศพสู่ศาล ทางดีเอสไอก็เรียกผู้เกี่ยวข้องไปสอบ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าทุกอย่างมีความคืบหน้า เราก็ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ถ้าจะทำอะไรตามใจทุกอย่างมันจะไม่เหมาะสม ซึ่งนายจตุพร ก็รับปากว่าจะไปเจรจากับพรรคพวกเขา เพราะผมเองก็เคยเจ็บปวดที่ถูกคนเสื้อเหลือง 5 พันคนปิดล้อมอยู่ในโรงแรมตั้งแต่ 2 ทุ่มถึงตี 5 มาแล้ว  วิธี อย่างนี้รัฐบาลไม่นำมาใช้กับฝ่ายตรงข้ามแน่นอน ไม่ดีหรอก อย่าไปทำเลย คนไทยด้วยกันทั้งนั้น การเลือกตั้งก็ว่ากันไป ใครผิดกฎหมายก็ว่ากันไป ถ้าไปทำอย่างนั้น บ้านเมืองก็จะไร้อารยธรรม
รองนายกฯ กล่าวด้วยว่า ในฐานะที่ตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ก็จะพยายามสื่อผ่านแกนนำที่คนเสื้อแดงนับถือทั้งนายจตุพร และบ่ายนี้ตนจะพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดง จ.อุดรธานี ว่าถ้าปล่อยไปอย่างนี้มันจะไม่เหมาะสม ขอว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีกเลย ในทุกพื้นที่ ซึ่งการที่ตนพูดไป คนเสื้อแดงอาจจะไม่พอใจตน แต่ถ้าตนไม่พูด  กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติตนก็หนักใจ และที่ผ่านมา ไม่เคยมองนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นศัตรู เพราะในทางการเมืองก็ว่ากันไป เขาทำอะไรไว้เขาก็ต้องรับผิดชอบ สำหรับตนจะพยายามเดินทางสายกลางให้ดีที่สุดและคิดว่าน่าจะทำได้
เมื่อ ถามว่า ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดว่าหากผู้สั่งการสั่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบ ผู้สั่งการก็ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ก็ยังมีความเห็นเหมือนเดิมอยู่ และหากท้ายที่สุดแล้วไม่เป็นไปตามนั้นก็ไม่ผิด ทั้งหมดจบที่ศาล และใครไปสั่งศาลไม่ได้ จึงอยากฝากบอกไปถึงเสื้อแดงว่าให้ใจเย็น ๆ ถ้าไปทำอะไรในลักษณะที่ไม่น่ารักก็จะถูกตำหนิ

“สุเทพ” หอบคำให้การแจงคดี 91 ศพ พร้อมเอกสารภาพถ่ายชายชุดดำ


วันนี้ (27 ส.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)  นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เดินทางเข้าปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอตามหมายเรียกในคดีการเสียชีวิต 91 ศพ ช่วงปี 2553 โดยมีนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ   ได้มารอให้การต้อนรับถึงหน้าประตูรถยนต์ ทั้งนี้เมื่อนายสุเทพก้าวลงจากรถยนต์ได้เป็นฝ่ายกล่าวสวัสดีทักทายนายธาริต  จากนั้นได้นำนายสุเทพขึ้นไปส่งที่ห้องสอบสวนชั้น 7 เพื่อรอการสอบปากคำต่อจากนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  อดีตนายกรัฐมนตรี

นายสุเทพ  ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนว่า  ได้ทำบันทึกการให้ถ้อยคำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเม.ย.- พ.ค. 2553  เพื่อยื่นให้พนักงานสอบสวนตามที่พนักงานสอบสวนได้แจ้ง โดยเอกสารเป็นการรวบรวมคำสั่งทุกฉบับที่มีการส่งการจนไปถึงการคลี่คลาย สถานการณ์ เชื่อว่าน่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนของดีเอสไอ   ทั้งนี้ เอกสารที่เตรียมมาไม่มีอะไรใหม่  แต่เหตุการณ์ผ่านมานานกว่า 2 ปีแล้ว คนอาจจะลืมเลือนหรือมองข้ามข้อเท็จจริงบางประการ จึงได้รวบรวมเอกสารประมาณ 200 หน้ากระดาษ พร้อมภาพถ่ายชายชุดดำมาประกอบการชี้แจง  ส่วนจะสามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับดีเอสไอว่าจะทำอย่างไร ต่อไป  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ตนมีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ

เมื่อถามว่ายังมั่นใจการทำงานของดีเอสไอหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ขอไม่ตอบ ความจริงเป็นอย่างไรก็จะชี้แจงไปอย่างนั้น ส่วนกรณีที่นายธาริต อ้างว่าไม่เคยเข้าร่วมการประชุมกับฝ่ายยุทธการจึงไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการ วางแผนนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นความจริงบางส่วน แต่ในการประชุมหลายครั้งอธิบดีดีเอสไออยู่ร่วมกับตนตลอด และเคยแสดงความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้สถานการณ์ ซึ่งตนโชคดีและได้เปรียบนิดหน่อยตรงที่เวลานั่งประชุมจะมีสมุดจดบันทึกส่วน ตัวว่าใครเสนอความเห็นอย่างไร และมีข้อโต้แย้งอย่างไร  ดังนั้นการทำบันทึกการให้การครั้งนี้จึงทำได้ง่าย เพราะเป็นการเรียบเรียงจากสมุดบันทึกส่วนตัว  อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าส่วนตัวตนกับอธิบดีดีเอสไอชอบพอกันดี แต่เรื่องงานก็ว่ากันไปตามหน้าที่

“อภิสิทธิ์” เข้าให้ปากคำดีเอสไอคดี 91 ศพ ลั่นไม่หนักใจ


เมื่อเวลา 09.45 น. วันนี้( 27 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  อดีตนายกรัฐมนตรี   เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอเพื่อเข้าให้ปากคำในคดีการเสียชีวิตของ เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จำนวน 91 ศพ จากเหตุชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553  โดยนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ  ได้มารอต้อนรับและทักทายพูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  โดยนายอภิสิทธิ์ ได้สอบถามนายธาริต ว่า สบายดีไหม ขณะที่นายธาริต ตอบรับว่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นนายธาริตได้พานายอภิสิทธิ์ ขึ้นไปส่งที่ห้องสอบสวน ชั้น 7 ซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับสอบปากคำนายอภิสิทธิ์ ขณะเดียวกันได้มีหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อสีเหลืองนำดอกกุหลาบมามอบเป็นกำลังใจ ให้นายอภิสิทธิ์  ขณะที่นายวรัญชัย  โชคชนะ  ได้เตรียมป้ายกระดาษมาประท้วงนายอภิสิทธิ์แต่ประท้วงไม่ทันเพราะนาย อภิสิทธิ์เดินทางถึงก่อนเวลานัดหมาย 
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์  กล่าวก่อนเข้าให้ปากคำพร้อมทนายความ เพียงสั้น ๆว่า   ได้เตรียมเอกสารลำดับเหตุการณ์เพื่อเข้าชี้แจงกับพนักงานสอบสวนซึ่งในชั้น นี้ไม่มีสิ่งใดน่าหนักใจเพราะคดีเป็นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคดี ก่อการร้าย  ตนจึงเตรียมคำให้การเพื่อชี้แจงและอธิบายเหตุจนนำไปสู่การสั่งสลายการ ชุมนุม   ส่วนจะต้องนำเอกสารใดยื่นประกอบคำให้การบ้างนั้นคงต้องขอฟังทางพนักงานสอบ สวนว่ามีประเด็นใดต้องการซักถามบ้าง  อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตนเคยเข้าให้ข้อมูลกับกรรมการสิทธิ์(กสม.) และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ไปแล้ว
นายธาริต  กล่าวว่า  การสอบสวนวันนี้จะมีประเด็นใดบ้างเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน  ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยคดีดังกล่าวจะมีพนักงานสอบสวนดีเอสไอ  ตำรวจ และพนักงานอัยการร่วมสอบปากคำ   ในส่วนดีเอสไอมี พ.ต.อ.ประเวศน์  มูลประมุข  รองอธิบดีดีเอสไอ  เป็นผู้รับผิดชอบคดี  ซึ่งการเรียกนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  อดีตผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เข้าให้ปากคำเชื่อว่าจะทำให้ข้อมูลมีความรอบด้านมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ได้สอบถามถึงระยะเวลาในการสอบสวนคดี ซึ่งตนได้ชี้แจงว่าอาจต้องใช้เวลา ยังตอบไม่ได้จะเสร็จเมื่อไหร่  แต่การเรียกเข้าสอบครั้งเป็นการเรียกสอบในฐานะพยาน  ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล  โดยตนได้ชี้แจงถึงคณะทำงานที่เกี่ยวข้องในคดีให้ทราบด้วย
เมื่อถามว่าตนจะต้องเข้าให้ข้อมูลกับดีเอสไอในฐานะเคยเป็นกรรมการ ศอฉ. หรือไม่ นายธาริต  กล่าวว่า คงไม่ เพราะเป็นเพียงข้าราชการพลเรือนที่เข้าไปทำหน้าที่ในศอฉ.  แต่ไม่เคยร่วมประชุมกับฝ่ายยุทธการ   ในประเด็นนี้คงไม่ขอชี้แจงอีกแล้ว

ไขปัญหาธรรม


01:53:42
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๑.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 1,779
วัดนาป่าพง
02:27:36
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๑.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 1,321
วัดนาป่าพง
01:40:49
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๒.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 1,354
วัดนาป่าพง
01:03:58
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๒.๐๗.๕๐ 
ถูกเรียกดู: 1,360
วัดนาป่าพง
42:51
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๒.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 1,254
วัดนาป่าพง
01:46:31
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๓.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 1,249
วัดนาป่าพง
02:13:51
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๔.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 1,060
วัดนาป่าพง
01:59:31
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๕.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 979
วัดนาป่าพง
01:25:03
quicklist
ไขปัญหาธรรม ๑๕.๐๗.๕๐
ถูกเรียกดู: 984
วัดนาป่าพง

เด้งผกก.บางขุนเทียนช่วยราชการบช.น. 30 วัน


เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ ( 25 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ธนกฤต ไชยจารุวุฒิ ผกก.สน.บางขุนเทียน มาช่วยราชการบช.น. เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และให้พ.ต.อ.ภาดล ประภานนท์ รองผบก.น.9 รักษาการณ์แทน ส่วนสาเหตุที่มีคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น.ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสน.บางขุนเทียน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ กระสุนถากศีรษะ ถูกนำตัวส่งรพ.ตำรวจ ซึ่งอีกนิดเดียวอาจถึงตายได้ แต่ผู้กำกับไม่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่รายงานเหตุ เรียกมาพบตอน 10 โมงเช้า ก็ได้คำตอบว่ากำลังพยายามอยู่ คนถูกยิงเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชายังไม่สนใจ แล้วถ้าเป็นประชาชนจะทำอย่างไร

สำหรับชนวนเหตุสั่งเด้งผกก.สน.บางขุนเทียนมาช่วยราชการที่บช.น. สืบเนื่องมาจาก เมื่อเวลาประมาณ 04.00 น.ของวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุเด็กแว้นไล่ยิงกันบริเวณหน้าปากซอยเอกชัย 76 ทำให้มีคู่กรณีได้รับบาดเจ็บ 1 คนนอกจากนี้กระสุนยังแฉลบไปถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจที่กำลังตั้งด่านอยู่ ที่บริเวณดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ1 นาย ทราบชื่อต่อมาคือ ด.ต.วัลลภ ใบศรี ผบ.หมู่ ป.สน.บางขุนเทียน ถูกกระสุนแฉลบเข้าหมวกสายตรวจถากไปโดนกลางศีรษะ เข้ารักษาอาการที่ รพ.พระราม 2 เบื้องต้นแพทย์ให้การรักษาด้วยการเย็บบาดแผล จำนวน 15 เข็ม ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว

ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น.รับผิดชอบด้านการป้องกันและปราบปราม ได้เดินทางมาที่ สน.บางขุนเทียน เพื่อเรียกนายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่อง ดังกล่าวประกอบด้วย พล.ต.ต.รัษฎากร ยิ่งยง ผบก.น.9 พ.ต.อ.ทักษิณ พ่วงเงิน รอง ผบก.น.9 พ.ต.อ.สุรนิตย์ พรหมบุตร รอง ผบก.น.9 พ.ต.อ.ภาดล ประภานนท์ รอง ผบก.น.9 พ.ต.อ.ธนกฤต ไชยจารุวุฒิ ผกก.สน.บางขุนเทียน พ.ต.ท.วรลภย์ สุวรรณเกษการ รอง ผกก.สส.สน.บางขุนเทียน และกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางขุนเทียน โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.ต.ปริญญา เปิดเผยว่า การเดินทางมาในวันนี้ได้รับคำสั่งจาก ผบช.น.ให้มาชี้แจงข้อบกพร่องให้ ผกก.สน.บางขุนเทียน รับทราบ เนื่องจากทาง ผกก.สน.บางขุนเทียน ไม่รายงานเหตุให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้นอีกทั้งยังไม่เดินทางไปดู ที่เกิดเหตุและไม่เดินทางไปเยี่ยมลูกน้อง ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ส่วนมือปืนผู้ก่อเหตุได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนโรงพักร่วมกับ กก.สส.บก.น.9 ตามล่าตัวมาดำเนินคดีแล้วเชื่อว่าคงไม่ยาก ตนอยากฝากไปถึงผู้บังคับบัญชาระดับกองบังคับการและระดับโรงพักใน บช.น.ทุกท่านด้วยว่าหากเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นขอให้รีบเข้าให้การช่วย เหลือและดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในทันทีเนื่องจากขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติ มีความสำคัญต่องานตำรวจอย่างมาก

ตชด.วิสามัญแก๊งค้ายาเสพติด


วันนี้ ( 26 ส.ค.) พ.ต.ท.ไพฑูรย์ ตั้งความเพียร พนักงานสอบสวน( สบ 2)  สภ.แกลง จ.ระยอง ได้รับแจ้งมีเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.11 อ.มะขาม จ.จันทบุรี ใช้อาวุธปืนวิสามัญแก๊งค้ายาเสพติดในสวนยางที่ริม ถนนสุขสำรอง-น้ำใส บ้านเนินสุขสำรอง หมู่ 9 ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง จ.ระยอง ไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.ธนศักดิ์ ปานแย้ม ผกก.สภ.แกลง พ.ต.ท.สุเชาว์ ขมสนิท รอง ผกก.ป.ฯ ร.ต.อ.หญิง อรรถพร วงศ์จิรัฐิติ รอง สว.ฝ่ายวิทยาการจังหวัดระยอง นายไมตรี อุ่นจิตต์ รองอัยการ จ.ระยอง นายบัญญัติ เศียรเขียว ปลัดความมั่นคงอำเภอแกลง
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อคาวาซากิ รุ่น KSR สีดำเหลือง หมายเลขทะเบียน ก 448 เมืองระยอง ป้ายแดง ล้มตะแคงอยู่ในที่เกิดเหตุ และปลอกกระสุนขนาด 11 มม. จำนวน 2 ปลอก ยาบ้าจำนวน 4 ถุง จำนวน 780 เม็ด โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ค้ายาเสพติดที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงทราบชื่อ นายอุเทน หรือโต๊ด ซื่อตรง อายุ 27 ปี ถูกนำส่งโรงพยาบาลแกลงแต่ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา สภาพถูกยิงเข้าที่ลำตัวและขารวม 2 นัด
พ.ต.ต.ชัชวาลย์ รัชตะประกร สว.การข่าว กก.ตชด.11 อ.มะขาม จ.จันทบุรี  กล่าวว่า ได้ให้สายติดต่อล่อซื้อยาบ้าจากนายอุเทน โดยนัดมารับยาในสวนยางบริเวณที่เกิดเหตุ นายอุเทนได้ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ รุ่น KSR สีดำเหลือง ทะเบียน ก 448 เมืองระยอง ป้ายแดง และนำยาบ้ามาส่งตามที่นัดหมายไว้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเข้าจับกุมนายอุเทน หรือโต๊ด ได้เร่งเครื่องรถจักรยานยนต์พุ่งเข้าชนเจ้าหน้าที่ตำรวจจนกระเด็น เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้อาวุธปืนยิงสวนไปที่รถจักรยานยนต์จำนวน 2 นัด แต่กระสุนพลาดไปถูกนายอุเทนเข้าที่ขา และลำตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รีบนำตัวนายอุเทน หรือโต๊ด ส่งโรงพยาบาลแกลง
 พ.ต.อ.ธนศักดิ์ เปิดเผยว่า นายอุเทน มีฉายาในแก๊งค้ายาด้วยกันว่า โต๊ด ละโอก ซึ่งถูกจับคดียาเสพติด 2 ครั้ง และอาวุธปืน 2 ครั้ง ได้หนีประกันตัวชั้นศาล ขณะนี้หลบหนีอยู่ และเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในเมืองแกลง ซึ่งก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมแก๊งค้ายาเสพติด ได้ของกลาง 130,000 เม็ด ให้การซัดทอดว่าได้รับยาเสพติดมาจากนายอุเทน เจ้าหน้าที่มีหมายจับและกำลังติดตามจับกุมอยู่ แต่ในที่สุดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.11 วิสามัญจนเป็นเหตุดังกล่าว
พ.ต.อ.ธนศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ส่วนรถจักรยานยนต์ที่นายอุเทนใช้นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดมาตรวจสอบ ซึ่งมีหมายเลขยึดเขียนไว้ที่เบาะ เลขที่ 115/54 และจะตรวจสอบว่ารถคันดังกล่าวนั้นออกมาจาก สภ.แกลง ได้อย่างไร และจากการสอบถามญาติ แม่ผู้ตายที่เดินทางมาที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งไม่ติดใจเอาความ เพราะทราบว่าลูกนั้นมีพฤติกรรมค้ายาเสพติดอยู่แล้ว และถูกจับมาหลายครั้ง

สาวโดนข่มขืนจนตั้งท้องพอคลอดออกมาทิ้งไว้หน้าห้อง


วันนี้( 26 ส.ค.) ร.ต.ต.ธงชัย ศรีสำโรง พงส.(สบ 1) สน.ท่าข้าม รับแจ้งจาก น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี เจ้าของห้องเช่าห้องหนึ่งภายในซอยบางบอน-บางขุนเทียน 11 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน ว่า มีผู้นำเด็กทารกมาทิ้งไว้หน้าห้อง รุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.นครินทร์ สุคนธวิท ผกก. และมูลนิธิร่วมกตัญญู พบทารกเพศหญิง อายุประมาณ 1 วัน ผิวขาว น่าตาน่ารัก ถูกนำมาทิ้งไว้บนพื้นทางเดินหน้าห้องสภาพเปลือยกายสายสะดือเพิ่งถูกตัด เนื้อตัวยังเต็มไปด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง โดยเด็กเริ่มมีอาการตัวเขียวและไม่ส่งเสียงร้อง จึงรีบนำส่งให้แพทย์ รพ.บางปะกอก 8 ทำการปฐมพยาบาลและป้อนนมจนอาการปลอดภัย เมื่อตำรวจทำการสอบสวน น.ส.บี ผู้แจ้งกลับให้การวกวนไปมาส่อพิรุธ จึงเชิญตัวไปสอบปากคำที่ สน.ท่าข้าม

จากการสอบสวนนานกว่า 2 ชั่วโมง น.ส.บี จึงยอมเปิดปากว่า เด็กทารกดังกล่าวเป็นลูกสาวของตนเอง ซึ่งเกิดจากการถูกคนร้ายลงมือข่มขืน เมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ช่วงนั้นยังอาศัยอยู่บ้านเกิดที่ จ.สุโขทัย ระหว่างกำลังขับรถ จยย.กลับบ้านหลังจากที่ไปสังสรรค์งานปีใหม่ ได้ถูกคนร้ายชาย 1 คน ขี่ จยย.ตามประกบแล้วกระชากจนรถล้ม จากนั้นคนร้ายก็ลากตัวเข้าไปข่มขืนในป่าข้างทางก่อนหลบหนีไป ด้วยความรู้สึกอับอายและไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวัง เลยไม่ได้เดินทางไปแจ้งความ ต่อมาทราบว่าตัวเองตั้งท้องเพราะประจำเดือนขาดจึงรอเวลาให้ผ่านไปนาน 5 เดือน แล้วตัดสินใจออกอุบายขอพ่อกับแม่เดินทางมาทำงานที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากวิตกว่าท้องจะโตกลัววงศ์ตระกูลจะเสื่อมเสียชื่อเสียง กระทั่งมาเช่าห้องพักดังกล่าวเพียงลำพัง โดยไปสมัครงานเป็นสาวโรงงานย่านท่าข้ามเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เมื่อคืนนี้ปวดท้องคลอดลูกไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใคร เลยเบ่งคลอดออกมาพร้อมใช้ใบมีดตัดสายสะดือด้วยตนเอง จากนั้นนำลูกไปวางไว้หน้าห้อง แล้วแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ

ด้าน พ.ต.อ.นครินทร์ กล่าวว่า เชื่อว่า น.ส.บี ไม่ได้โกหก และไม่ต้องการเดินทางกลับ จ.สุโขทัย ไปแจ้งความเรื่องถูกข่มขืน เนื่องจากเป็นห่วงสภาพจิตใจผู้ปกครอง จึงได้ว่ากล่าวตักเตือน น.ส.บี ไป ส่วนเด็กทารกที่เกิดจากการการข่มขืนนั้น แพทย์ตรวจดูแล้วแข็งแรงดี จึงส่งตัวกลับมาสู่อ้อมอกผู้เป็นแม่ แต่เมื่อสอบถามแล้วเจ้าตัวยังไม่พร้อมเลี้ยงดู เพราะต้องการกลับบ้านไปเรียนต่อ จึงให้ตำรวจเป็นธุระติดต่อกับศูนย์ประชาบดี ขอส่งตัวเข้าไปอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ทั้งแม่และลูก ซึ่งจะจัดการให้ตามที่ร้องขอต่อไป.

มือดีลอบปากระจกโรงแรมเดอะเดวิสของ "ชูวิทย์"


วันนี้(26 ส.ค.) ขณะที่ พ.ต.ท.จิรกฤต จารุนภัทร์ สว.สส.สน.ทองหล่อ ปฏิบัติหน้าที่ ได้รับแจ้งทางวิทยุว่า มีคนใช้ก้อนหินขว้างประตูกระจก โรงแรม เดอะเดวิส แบงค็อก ซอยสุขุมวิท 24 ซึ่งเป็นของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย เป็นเหตุให้กระจกด้านข้างประตูโรงแรมได้รับความเสียหาย รีบรุดไปตรวจสอบ
จากการตรวจสอบเบื้องต้น  พบกระจกที่แตกมีขนาด 2.5x1.2 เมตร หนา 10 มิลลิเมตร เป็นกระจกบริเวณด้านขวาประตูทางเข้าห้องอาหารชื่อแกลเลอรี่ คาเฟ่ ของโรงแรงดังกล่าว นอกจากนี้ยังตรวจดูอย่างละเอียด พบรอยคล้ายถูกของแข็งกระทบที่บานประตู นอกจากนี้พบเศษกระจกบางส่วนตกอยู่ใกล้กับบานประตูด้วย แต่จากการดูภาพกล้องวงจรปิด ไม่พบว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ นอกจากนี้ผู้เสียหายก็ไม่ประสงค์แจ้งความลงบันทึกประจำวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยังไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบทางคดีได้ เนื่องจากเป็นความผิดเกี่ยวกับความเสียหายต่อทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรม ออกมาปฏิเสธว่า สาเหตุที่กระจกแตก เกิดจากอุณหภูมิของอากาศ ที่ก่อนหน้านี้ โดนความร้อนจัด และมากระทบกับความเย็นของอากาศจึงทำให้กระจกแตกเสียหาย ขณะนี้กำลังซ่อมแซมโดยเอาแผ่นไม้อัดจำนวน 3 แผ่นใส่แทนกระจกที่แตก โดยนายชูวิทย์ จะออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วยตัวเอง.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources