วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

'เบนซ์' ปัดเล่นบทนำ 'จันดารา' ยันไม่แต่งปีนี้แน่ต้องขอแม่ก่อน



เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงสาวที่ติดโผจะได้เล่นเป็นตัวนำใน “จันดารา” เวอร์ชั่นล่าสุด ที่ได้ หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล เป็นผู้กำกับ สำหรับสาว เบนซ์-พรชิตา ณ สงขลา  แต่งานนี้เจ้าตัวยืนยันว่ายังไม่ได้รับการติดต่อแต่อย่างใด แต่ก็อยากร่วมงานกับหม่อมน้อยมาก ส่วนเรื่องการแต่งงานกับหวานใจหนุ่ม มิค-บรมวุฒิ หิรัญยฐิติ เบนซ์เผยว่าต้องรอขอแม่ก่อน แต่ยังไงก็ไม่ใช่ปีนี้แน่ ๆ

เบนซ์ เผยว่า “ไม่มีเลย แต่อยากทำงานกับหม่อมน้อย เบนซ์เป็นคนไม่ค่อยได้เล่นหนังสักเท่าไหร่ หนังอาจจะยากหน่อย คือมันยังไม่มีคนติดต่อมาจริง ๆ เราว่าคนที่จะต้องเล่นตรงนี้มันต้องเซ็กซี่ ตัวดำถูกน้ำแข็ง เบนซ์คิดว่าคงไม่มีใครอยากดู เขาคงจะอยากดูผ่อง ๆ มาก กว่า” ถ้ามีติดต่อมาสนใจไหม? “ก็สนใจนะ เพราะมันเป็นบทที่คนจำ อีกอย่างคืออยากทำงานกับหม่อมมาก อยากไปเรียน อยากไปได้รับความรู้จากหม่อมบ้าง ถ้าติดต่อมาก็ต้องดูบทก่อนว่าประมาณไหน เพราะคงจะเป็นอะไรที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชั่นเดิมแน่ ถ้าเยอะมากตัวเองก็เขินเหมือนกัน ไม่ต้องให้ไปขอแม่เลย ตัวเองก็คงไม่เล่น ถ้ามันเยอะเกิน เพราะว่าชุดว่ายน้ำยังไม่ถ่ายเลย และรู้สึกว่าคนดูอาจจะมองว่าไม่เหมาะกับเรา”

เห็นเดือน ต.ค. มิคก็จะติดยศแล้ว? “เขาจะติดช่วง ต.ค–พ.ย. จริง ๆ ก็มีการคุยเรื่องนี้กันบ้าง แต่อย่างที่บอกเราต้องคุยกับแม่ด้วย ก็จะเป็นปัญหาใหญ่นิดหน่อย เพราะยังไม่ได้เคลียร์กับแม่เลย ก็ยังเป็นการคุยแค่เราตามประสาเด็ก แต่เอาจริง ๆ มันก็คงไม่ได้ไปไหนแล้ว ก็คงเป็นคนนี้แหละ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ มันยังไม่มีจังหวะนั้น คือตัวเบนซ์เองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะเราก็คบกันมานาน 7 ปีแล้ว ตอนนี้ก็รอให้เขาเก็บเงินอยู่ ถ้ามีตังค์พอก็โอเค” แสดงว่าเรียกเยอะอยู่? “ไม่รู้จริง ๆ อันนี้ไม่สามารถเดาใจแม่เบนซ์ได้ บางทีแม่อาจจะให้เลยหรือไม่ให้ก็ได้” ข่าวแต่งงานค่อนข้างเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แม่ว่าไงบ้าง? “แม่เห็นข่าวแล้วแม่เดินมาถามว่าจะแต่งงานเหรอถามฉันหรือยัง บอกเลยว่างานเข้าพวกเรา เบนซ์ว่าคงอีกพักใหญ่ ไม่ใช่ปีนี้แน่ ๆ  แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่”.

'ชมพู่' อดถือหมอนบวช 'น็อต' ส่วนเรื่องเบียดยังไม่มีแพลน



ไฮโซหนุ่ม น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์ เข้ารับการอุปสมบทไปเมื่อ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ที่หลายคนลุ้นกันว่าหวานใจอย่างสาว ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต จะไปถือหมอนด้วยหรือเปล่านั้นต้องผิดหวังตาม ๆ กัน เพราะแม่ฝ่ายชายให้ถืออย่างอื่นแทน แล้วบวชเสร็จจะเบียดเลยไหม สาวชมเลยเปิดเผยในงานปาร์ตี้เปิดตัวนาฬิกา ทอย วอช 2012 ที่ เซ็นทรัลเวิลด์ ว่า
“ก็บวชค่ะ แต่บวชเงียบ ๆ ไม่ได้เชิญคนมากค่ะ” หลายคนลุ้นว่าชมพู่จะถือหมอนรึเปล่า? “ไม่ถือค่ะ คุณแม่บอกมาแล้ว ถือเป็นพานพุ่ม” ปกติคนเป็นแฟนกันจะต้องถือหมอน? “ปรึกษาคนโบราณมาแล้วให้เป็นอย่างนี้ดีกว่า พี่สาวถือหมอน เขาบวชประมาณ 10 วันค่ะ จริง ๆ ตั้งใจจะบวชปีนี้ แต่ยังไม่กำหนดวัน ก็คิดไปคิดมาว่าถ้าช่วงสงกรานต์ก็คงกระทบกับงานน้อยที่สุด โรงงานก็หยุด เลยตัดสินใจค่อนข้างปุ๊บปั๊บ” บวชแล้วเบียดเลยไหม? “อันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลยค่ะ ยังไม่มีแพลนเลย เรื่องบวชมันเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายที่ต้องทำตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ มันก็ถึงเวลาแล้วอายุก็ประมาณนึงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็อายุมากแล้ว” คิดว่าจะเป็นปีนี้ไหม? “ถ้าเป็นปีนี้ค่อนข้างจะตั้งตัวไม่ทันแล้วเนอะ เรายังไม่ได้คุยกันจริงจัง มันไม่ใช่เรื่อง 3 วัน 7 วันที่จะเตรียมกันได้ คงต้องใช้เวลา” ปีหน้าก็มีลุ้น? “เดี๋ยวว่ากันอีกทีนึง” จะมีเตรียมทำอาหารไปถวายไหม? “ทำไม่เป็น (ยิ้ม) แต่ว่าจะลองหุงข้าวดู แต่คงไม่ได้ไปทุกวันค่ะ เพราะชมจะไปอเมริกา”.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

บก.น.1 จับมือ ปปส. ปิดชุมชนค้นยาเสพติด ย่านดินแดง


บก.น.1 จับมือ ปปส.สนธิ กำลังปิดชุมชนค้นยาเสพติด ใน ชุมชน ซ.ประชาสงเคราะห์ 4 ย่านดินแดง ก่อนเทศกาลสงกรานต์
วันนี้ ( 5 เม.ย.) ที่สน.ดินแดง พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.น.1 พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบก.น.1 นายนิยม เติมศรีสุข ผอ.ป.ป.ส. กทม.ร่วมกันปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บก.น.1และเจ้าหน้าที่ป.ป.ส. จำนวนรวม 95นาย ระดมร่วมกวาดล้างอาชญากรรมและปิดล้อมตรวจค้นชุมชนเป้าหมาย  ในชุมชน ซ.ประชาสงเคราะห์ 4  แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. โดยสามารถจับตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 20 คน พร้อมของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภทต่างๆ คือ ยาบ้าจำนวน 10 เม็ด ยาไอซ์ น้ำหนักประมาณ 0.5 กรัม กัญชา จำนวน 3 ห่อเล็ก น้ำหนักประมาณ 3 กรัม อุปกรณ์การเสพยาเสพติด และลูกกระสุนปืนขนาด 0.22  จำนวน 8 นัด
 
พล.ต.ต.พชร เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ตรวจค้นในวันนี้  ได้การตรวจค้นปิดล้อมชุมชน ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการที่จะเป็นแหล่งในการยาเสพติดในกทม. ในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์  ซึ่งมีทั้งหมดกว่า 1,120 ชุมชน ตามแผนยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติด ของรัฐบาง  และจะร่วมกันปราบปรามยาเสพติดกับเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ เพื่อกดดัน ให้ผู้ค้า และผู้เสพยาเสพติด ลงจำนวนลงสำเร็จตามเป้าหมายต่อไปได้มากที่สุด
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th  

ผบ.ตร.สั่งคุมเข้มทั่วประเทศ หวั่นวินาศกรรมช่วงสงกรานต์


เมื่อวันนี้ (5 เม.ย.)  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มีโทรสารด่วนที่สุด ถึงผบช.น. ผบช.ภ.1-9 และผบช.ศชต. ผบช.ส. ผบช.สตม.ผบช.ก และผบช.ตชด.สั่งการให้เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัย ในช่วงสงกรานต์
คำสั่งผบ.ตร.ระบุว่า ตามที่สถานการณ์ก่อการร้ายยังคงเป็นภัยคุกคามความสงบเรียบร้อยของประชาคมโลก และจากการจับกุมสารประกอบระเบิด  รวมทั้งเหตุระเบิด 3 จุด โดยกลุ่มฮิชบอลเลาะห์ ในพื้นที่กทม.ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงต้องเพิ่มความเข้มในการปฏิบัติ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ กทม.(ถนนข้าวสาร ถนนสุขุมวิท) เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอื่นๆ เพื่อให้การรักษาความปลอดภัยบุคคล และสถานที่สำคัญที่อาจตกเป็นเป้าหมาย เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้ดำเนินมาตรการเชิงรุกในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดังนี้
“ให้สันติบาลเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานทูต สถานกงศุล และบุคคลสำคัญทางการทูต โดยให้ประสานการปฏิบัติกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสถานทูต และสถานีตำรวจที่รับผิดชอบพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมการปฏิบัติให้เข้มแข็งรัดกุมมากขึ้น ขณะเดียวกันสั่งการให้นครบาล บช.ภ.2 ,5 ,8 และบช.ก. กำชับสถานีตำรวจ ฝ่ายสืบสวน สายตรวจปฏิบัติการพิเศษและหน่วยปฏิบัติการพิเศษให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตรา โดยจัดกำลังสายตรวจเดินเท้า สายตรวจรถยนต์ รถจักยานยนต์ สุนัขตำรวจ และตั้งจุดตรวจจุดสกัด เพื่อตรวจบุคคล ยานพาหนะ รอบบริเวณสถานที่สำคัญ รวมทั้งตรวจสอบอาคารสูง จุดสูงข่ม รอบบริเวณภายในรัศมี 300 เมตร เพื่อป้องกันอาวุธวิธีโค้ง ที่อาจพุ่งเป้าสถานทูต สถานกงศุล ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ทางศาสนา แหล่งท่องเที่ยว สถานประกอบการภาคธุรกิจ ร้านอาหาร ซึ่งเป็นที่นิยมพบปะสังสรรค์ โดยให้ตำรวจทุกหน่วยในพื้นที่อาทิ ตำรวจท่องเที่ยว ปองปราบปราม ทางหลวง และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขึ้นการควบคุมทางยุทธการ ด้านแผนและการปฏิบัติกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด หรือผู้บังคับการตำรวจนครบาล เพื่อให้การปฎิบัติภารกิจเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด“ ผบ.ตร.สั่งการ
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ สั่งการอีกว่า ให้สตม.เพิ่มความเข้มในการตรวจการเดินทางเข้าออก ของบุคคลสัญชาติเป้าหมายทุกช่องทาง โดยต้องวิเคราะห์เส้นทางการเดินทางของกลุ่มบุคคลสัญชาติ เป้าหมายเพื่อประกอบการใช้ดุลยพินิจ ในการดำเนินพิธีการเข้าเมือง ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องตรวจสอบบุคคลสัญชาติเป้าหมายที่เข้าพักในโรงแรม หรือที่พักอาศัยในพื้นที่รับผิดชอบอย่างจริงจังด้วย ขณะที่ให้ ตชด. จัดชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเตรียมพร้อม ณ ที่ตั้ง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติได้ทันที ที่ได้รับการร้องขอ หรือมีคำสั่ง ทั้งนี้ให้ ผบก.และ รองผบก.หน่วย ลงไปควบคุมกวดขันกำชับ ตรวจสอบ การปฏิบัติด้วยตนเอง โดยเฉพาะในเวลากลางคืน หากมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนให้รายงาน ตร.ทราบทันที ผ่านศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

ผบ.ตร.มั่นใจไม่มีคาร์บอมในกทม.


ผบ.ตร.มั่นใจไม่มีคาร์บอมในกทม.เพราะเจ้าหน้าที่ทำงานเต็มที่ พร้อมปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 200 นาย ในการดูแลความปลอดภัย และรณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ เผยสั่งกำลังให้ความสำคัญดูแลความปลอดภัยทุกพื้นที่

เมื่อเวลา 17.00 น.วันนี้ (5 เม.ย.) ที่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. เป็นประธานปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บช.ก ,บช.น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ และเจ้าหน้าที่เทศกิจ จำนวนกว่า 200 นาย เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนและรณรงค์ลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 55 โดยมี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ปรึกษา (สบ 10) ผบ.ตร.  พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร. พล.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น.และศิลปินนักร้องค่ายอาร์เอส อาทิ ใบเตย-อาร์สยาม เนย-ซินญอริต้า หวิว-ณัฐพนธ์ ฟลุค-ซีควิน ร่วมเปิดพิธี

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ โดยตั้งเป้าว่าจะลดสถิติของอุบัติเหตุให้ได้เท่ากับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้ยังคงเป็นห่วงเรื่องเส้นทางสายรองมากว่าสายหลัก เพราะมักจะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าเส้นทางสายหลัก ทั้งนี้จะขอความร่วมมือไปยังร้านค้าที่จำหน่ายสุราให้ปิดเร็วขึ้น สำหรับเรื่องการดูแลความปลอดภัยนั้นจะให้ความสำคัญทุกพื้นที่ โดยเฉพาะทางแหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งบช.น. กองปราบปราม และสันติบาล เข้าไปดูแลความปลอดภัย นอกจากนี้ต้องขอขอบคุณไปยังบริษัทเอกชนที่เข้ามาร่วมให้บริการประชาชนในช่วงสงกรานต์ด้วย

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการข่าวเรื่องคาร์บอมในกทม.แต่อย่างใด และยังมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุคาร์บอมขึ้นในกทม. เพราะเจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ เมื่อช่วงเช้าก็ร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรี และหน่วยข่าวกรอง ซึ่งก็ได้ชี้แจงไปว่ามีมาตรการดูแลความปลอดภัยอบ่างไรบ้าง ส่วนเหตุคาร์บอมที่เกิดขึ้นที่หาดใหญ่ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวนั้น ก็เนื่องมาจากมีพื้นที่อยู่ติดกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้คนร้ายใช้ระยะเวลาไม่นานในการเดินทางเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ได้ สำหรับผู้ต้องหา 5 คน ที่สามารถจับกุมได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และมีประวัติเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมา แต่ก็ต้องรอผลการตรวจลายนิ้วมือและดีเอ็นเอ ซึ่งยอมรับว่าทำได้ยาก อย่างไรก็ตามหลักฐานที่มีนั้นระบุว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับที่ จ.ยะลาที่เดียว ยังไม่เชื่อมโยงไปที่อ.หาดใหญ่ แต่อย่างใด แต่ก็มั่นใจว่าเป็นฝีมือของขบวนการเดียวกัน
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

ศาลลงโทษปรับ“โจอี้ บาซู”6พันบาทคดียักยอกทรัพย์รถหรู


ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (5 เม.ย.)  ศาลนัดไกลเกลี่ยคดีหมายเลขดำ อ.244/2555 ที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรเดช ทับทิมใส หรือ โจอี้ บาซู อายุ 43 ปี อดีตนักร้องวงบาซู เป็นจำเลย ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์
 
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปความผิดว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2545 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู รุ่น 318 ไอ เอเอสอี สีแดง หมายเลขทะเบียน วว 318 กรุงเทพมหานคร ราคา 2 ,633,177.52 บาท กับบริษัทซีทีไอ แอสเซทส์ ลิสซิ่ง จำกัด ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ โดยมีนายวุฒิพงศ์ หรือ ณัฐวุฒิ ถนอมวงศ์ ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง เป็นผู้ค้ำประกัน โดยระหว่างที่จำเลยและนายวุฒิพงศ์ครอบครองรถนั้น ได้ร่วมกันเบียดบังเอารถไปจำหน่ายให้กับผู้อื่นโดยทุจริต ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถและมอบคืนให้กับผู้เสียหาย เหตุเกิดที่เขตห้วยขวาง กทม.  

โดยวันนี้นายสุรเดช หรือโจอี้ บาซู ได้นำเงินจำนวน 150,000 บาท มอบให้แก่ตัวแทนบริษัทผู้เสียหาย ต่อหน้าผู้พิพากษา ตามที่ทั้งสองฝ่ายประสงค์นำคดีเข้าศูนย์สมานฉันท์และสันติวิธีกระทั่งสามารถเจรจายินยอมชดใช้เงินกันได้ โดยตัวแทนผู้รับมอบอำนาจบริษัทผู้เสียหาย แถลงไม่ติดใจเอาความ แต่ด้วยนโยบายของบริษัท ไม่สามารถถอนคำร้องทุกข์ได้ ผลของคดีให้ศาลเป็นผู้พิจารณา
 
จากนั้นศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบ มาตรา 83 ลงโทษปรับ 6,000 บาท จำเลยและผู้เสียหายนำคดีเข้าศูนย์สมานฉันท์และสันติวิธี และจำเลยยินยอมชดใช้เงินคืนให้ โดยผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความและคดีเป็นความผิดต่อส่วนตัว ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับจำเลยจำนวน 3,000 บาท  
 
ภายหลังนายสุรเดช หรือโจอี้ บาซู กล่าวว่า ตนไม่มีเจตนายักยอกรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู แต่ปัญหาเกิดจากเพื่อนที่เป็นคนค้ำประกันรถ ได้นำรถคันดังกล่าวไปขาย ทางบริษัทไฟแนนซ์ จึงแจ้งความดำเนินคดีกับตน ภายหลังได้ติดตามนำรถกลับไปคืนให้บริษัทไฟแนนซ์ได้ ส่วนเพื่อนที่เป็นคนค้ำประกันยังหลบหนีไม่สามารถตามตัวได้ ต่อมาบริษัทนำรถขายทอดตลาด และให้ตนชดใช้ค่าส่วนต่างรถจำนวน 350,000 บาท เมื่อเรื่องถึงชั้นศาล จึงมีการไกล่เกลี่ยให้ลดค่าเสียหายเหลือ 150,000 บาท ซึ่งตนยินดีชดใช้ให้ถือเสียว่าเป็นคราวเคราะห์
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

“ณัฐวุฒิ”ระบุไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมในคดีทุจริต-คอรัปชั่น


เมื่อเวลา 22.00 น.วันนี้ (5 เม.ย.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายถึงแนวทางการปรองดองว่า ความจริงของแต่ละฝ่ายยังสวนทางกันระหว่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ตนขอเสนอความจริงแท้ และเชื่อว่าประชาชนเห็นด้วย คือความจริงที่ว่าประเทศไทยจะปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องยุติขัดแย้งและนำไปสู่ความปรองดองให้เร็วที่สุด ทั้งนี้สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าวิกฤตที่สุดในรอบ 10 ปี หากไม่ยุติเชื่อว่าความขัดแย้งจะนำไปสู่ความรุนแรงรอบใหม่ โดยมีการสูญเสียเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในรัฐบาลที่ผ่านมาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุด เพื่อค้นหาความจริงและสร้างความปรองดอง รวมถึงวุฒิสภาก็ได้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาและค้นหาความจริงเช่นกัน แต่ไม่เห็นผลงานที่เกิดความสำเร็จในทางปฏิบัติ ทำให้รัฐบาลปัจจุบันต้องทำเพราะเคยประกาศเป็นนโยบาย ซึ่งไม่ได้ลุกลี้ลุกลนอย่างที่กล่าวหา
              
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนปฏิเสธสิ่งที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดองฯ เสนอไม่ได้ เพราะหากยืนรออยู่กับที่ก็มีเจอแต่ความตาย อย่างไรก็ตามในการอภิปรายในสภาฯ ที่ผ่านมา ระบุว่าปลายทางของแนวทางปรองดองคือออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ตนยืนยันไม่เห็นด้วยหากนิรโทษกรรมคดีทุจริตคอรัปชั่น เพราะถือผิดประเพณีปฏิบัติของกฎหมาย
            
“ผมเคารพคุณทักษิณ แต่ไม่ได้บอกว่าเราต้องล้มคดีของคุณทักษิณ ต้องคืนเงิน หรือเคลียร์ทุกอย่างให้กับคุณทักษิณ แต่ตอนนี้เรากำลังพูดว่าคุณทักษิณควรได้รับการยุติธรรมเหมือนกับคนอื่น เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ อย่างไรก็ตามกระบวนการยุติธรรมที่ได้ทำกับคุณทักษิณคือความอยุติธรรม เพราะมาจากอำนาจรัฐประหาร อย่างไรก็ตามประเด็นการสร้างความปรองดองเพื่อให้ประเทศเดินหน้า อย่าได้นำเรื่องในอดีตมาผูกโยงกับอนาคต และอย่าเอาพวกผมไปขัดขวางการเดินหน้าของประเทศ” นายณัฐวุฒิ กล่าว
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

รวบ3ผู้ต้องสงสัยพัวพันบึ้มยะลา-หาดใหญ่


เจ้าหน้าที่ยกกำลังบุกรวบ 3 ผู้ต้องสงสัยพัวพันลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ยะลา และชั้นใต้ดินโรงแรมลีการ์เดนส์ หลังมีข้อมูลรถที่ประกอบระเบิดถูกนำไปจอดไว้ที่พักก่อนลงมือ
วันนี้(4 เม.ย) พ.ต.อ.สะท้านฟ้า วามะสิงห์ ผกก.สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส พ.อ.คมกฤช รัตนฉายา ผบ.กรมทหารพรานที่ 41และกำลังเจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 30 จำนวน 50 นาย ใช้กฎอัยการศึกบุกตรวจค้นบ้านต้องสงสัยไม่มีเลขที่ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านปูโปะ หมู่ 2 ต.รือเสาะออก หลังสืบทราบมีกลุ่มคนร้ายที่พัวพันและรู้เห็นกับเหตุการณ์วางระเบิดคาร์บอมบ์ในพื้นที่ที่ จ.ยะลาและเหตุคาร์บอมบ์ชั้นใต้ดินโรงแรมลีการ์เดนพลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 55 ที่ผ่านมา กบดานอยู่ 
เมื่อถึงเป้าหมายเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันโอบล้อม พร้อมใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักเดินออกมามอบตัว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการเกลี้ยกล่อมนานกว่า 30 นาที จึงมีกลุ่มบุคคล ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักทยอยเดินทางออกมามอบตัวแต่โดยดี ประกอบด้วย 1.นายดุลละหะเล็ง ยามาสกา อายุ 50 ปี 2.นายอับดุลอาซิ ฮะตะมะ อายุ 41 ปี และ3.นายอัดนัน ดือราแม อายุ 31 ปี
จากนั้นจึงควบคุมตัวสอบสวนที่กองบังคับการชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 30 ก่อนจะมีการนำตัวมาแถลงข่าวโดย พ.ต.อ.สะท้านฟ้า  กล่าวว่า จากการตรวจสอบขยายผลรถกระบะและรถเก๋งที่วางระเบิด พบ ว่าจากการแกะรอยของรถทั้ง 2 คัน โดยเฉพาะรถกระบะอีซูซุ 4 ประตู สีบรอนซ์เงิน ของนางเพ็ญศรี มานันตพงศ์  หน.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยะต๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา ที่ถูกคนร้ายปล้นไปเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 54 ได้เข้ามาจอดที่บ้านพักของนายนายอับดุลอาซิ  ใน ต.จะกวั๊ะ อ.รามัน และพบว่าป้ายทะเบียนของรถคันดังกล่าวหายไป และป้ายดังกล่าวคนร้ายได้นำไปสวมรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮนด้า สีดำ ของนายธนศร เกื้อสุข ปลัด อบต.เชิงคีรี อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ที่ถูกคนร้ายบุกยิงและปล้นรถเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 54  จากนั้นจึงนำไปใช้ก่อเหตุร่วมกับรถกระบะ ด้วยการบุกยิงจุดตรวจยุทธศาสตร์ อส.อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 55 ก่อนปล้นปืนไปด้วย จากนั้นเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 55 คนร้ายใช้รถเก๋งยิงชาวบ้าน และในวันที่ 31 มี.ค. 55 พบว่ารถเก๋งและรถกระบะ คนร้ายได้ใช้ไปวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่ จ.ยะลาและชั้นใต้ดินของโรงแรมลีการ์เดนพล่าซ่าดังกล่าว
 
ส่วนนายนายดุลละหะเล็ง จากการตรวจสอบประวัติพบเป็นโต๊ะอิหม่าม หลบหนีคดีป.วิ อาญา จำนวน 9 หมายจับ คือ หลบหนีหมายจับของ สภ.รือเสาะ 2 คดี สภ.จะกวั๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา 4 คดี ของ สภ.รามัน 2 คดี และของ สภ.เมืองปัตตานี 1 คดี ส่วนนายอัดนันนั้น ขณะเจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นได้อาศัยอยู่ภายในบ้านพักหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวนขยายผล ว่ามีส่วนรู้เห็นและพัวพันกับคดีวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่จะ.ยะลา และชั้นใต้ดินโรงแรมลีการ์เด้นพลาซ่าหรือไม่ต่อไป
 
ล่าสุดเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนขยายผลบุคคลทั้ง 3 ว่า มีความเชื่อมโยงกับบุคคลอีก 4 คน คือ 1. นายมะอูเซ็ง เด็งสาแม อายุ 26 ปี 2.นายสาหูดิน โต๊ะเจ๊ะมะ อายุ 28 ปี 3. นายอึสมาน เด็งสาแม อายุ 34 ปี และนายอับดุลรอเซะ เด็งสาแม ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีวางระเบิดคาร์บอมบ์ จ.ยะลา หรือไม่อย่างไรต่อไป แต่เชื่อว่าในเร็ววันนี้ เจ้าหน้าที่จะสามารถทราบตัวบุคคลว่ามีผู้ใดบ้างที่ร่วมก่อเหตุวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่จ.ยะลา และชั้นใต้ดินของโรงแรมลีการ์เด้นพลาซ่าอย่างแน่นอน
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

ระทึกผัวคลั่งยาจี้คอเมียเป็นตัวประกัน


วันนี้(5เม.ย.) เกิดเหตุชายคลุ้มคลั่งทราบชื่อนายศักดาวุฒิ งามศิริ อายุ 30 ปี  ใช้มีดปลายแหลมยาวจี้คอภรรยาตัวเองบริเวณเชิงทางขึ้นสะพานกรุงเทพ  ริมถนนพระราม 3 ส่งผลให้การจราจรติดขัดเป็นทางยาว เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรีบปิดการจราจรบริเวณดังกล่าวทันที อย่างไรก็ตามขณะนี้ทางตำรวจอยู่ระหว่างการเจรจา
เบื้องต้น น.ส.พรทิพย์ นัยนิตย์  น้องสาวภรรยานายศักดาวุฒิ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุพี่เขนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร จับกุมตัวไปสงบสติอารมณ์ เนื่องจากเมายา จากนั้นพี่สาวจึงเดินทางไปประกันตัวกลับบ้านภายในซอย มไหสวรรค์ 6 เมื่อเวลาประมาณ 02.00น. ก่อนทั้งคู่จะมีปากเสียงกันเนื่องจากพี่เขยเข้าใจว่า พี่สาวตนไปแจ้งตำรวจจับทำให้มีการทำร้ายร่างกายกัน ตนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบคว้าไม้หน้าสามเข้าไปตีนายศักดาวุฒิ และช่วยพี่สาวออกมาได้ แต่เหตุการณืกลับบานปลาย เมื่อนายศักดาวุฒิ ไปหยิมมีดปลายแหลมภายในบ้านมาจี้คอแล้วลากออกมาที่หน้าปากซอยดังกล่าว
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเจรจา   เพื่อให้ชายดังกล่าวปล่อยตัว แต่ยังไม่เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเบื้องต้น ทราบว่า เป็นเหตุสามีเกิดอาการหลอนยาเสพติด เพราะคิดว่า ภรรยา แจ้งความตำรวจให้มาจับตัวเอง  จึงใช้อาวุธมีด จี้บังคับภรรยา ซึ่งเวลาผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่การเจรจาก็ยังไม่เป็นผล เนื่องจาก ชายดังกล่าว ไม่ยอมให้ความร่วมมือ กลัวว่าจะมีคนมาทำร้าย  อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ยืดเยื้อ จะเดินทางไปเจรจาด้วยตนเอง
ต่อมา 09.20 น.หลังจาก นาน 6 ชั่วโมงรวมเจรจาไม่เป็นผลทางตำรวจจึงแบ่งกำลังออกมาเป็น 2 ชุด โดยให้ พ.ต.ท.สรศักดิ์ ทองมี สว.สส.สน.วัดพระยาไกร ร่วมกับทางญาติเข้าเจรกับผู้ก่อเหตุเพื่อให้สงบสติอารมณ์และเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ จากนั้นให้หน่วยอรินทราช ยิงปืนช๊อตไฟฟ้าใส่กลางหลังนายศักดาวุฒิ จนล้มลง จากนั้นกรูเข้าช่วยตัวประกันพร้อมนำส่ง รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ ส่วนบรรดาชาวบ้านกรูกันจะเข้าทำร้าย ทางตำรวจจึงรีบนำตัวนายศักดาวุฒิ ไปสอบปากคำที่ สน.เพื่อดำเนินการต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

ผู้การฯกาญจน์แถลงข่าวจับแก๊งค์ค้ายาบ้ารายใหญ่ ได้ของกลางเพียบ


ผู้การฯกาญจน์สั่งเฉียบกวาดล้างแก๊งค์ยาบ้าได้ผลทันตา หน.นปพ.กาญจน์พร้อมกำลังจับได้ทั้งแก๊งค์พร้อมของกลางหลายรายการ

วันนี้ ( 5 เม.ย.)  ที่บริเวณหน้าสำนักงานกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี พล.ต.ต.โชต วีรเดชกำแหงผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.มานิตย์ จำลองรักษ์ รอง ผบก.พ.ต.อ.ชินภัทร ตันศรีสกุล รอง ผบก.พ.ต.อ.ภัทรชัย กอสนาน ผกก.สส. ร่วมแถลงข่าวจับกุมแก๊งค์ค้ายาบ้าได้ผู้ต้องหาจำนวน 10 คน ซึ่งทำงานเป็นเครือข่ายแบ่งหน้าที่กันทำ ประกอบด้วย
นายกิตติธัช เมฆวัฒน์ อายุ 24 ปี ,นายอานนท์ จันจะ อายุ 25 ปี ,น.ส.ชลลดา ฉายะยันต์ อายุ 24 ปี ,นายอนันต์ จันจะอายุ 19 ปี ,นายพิทยา ใจซื่อตรง อายุ 22 ปี  ,นายกิตติพงษ์ บริสุทธิ์ อายุ 22 ปี  ,นายวรรณ แม้นเดช อายุ 28 ปี ,นายมนต์ชัย ขำสืบสุข อายุ 23 ปี ,นายชินชัย แสงฉวี อายุ 29 ปี และนายภควัต โพธิ์เงิน อายุ 30 พร้อมยาบ้าจำนวน 3,600 เม็ด รถยนต์ 4 คัน รถ จยย.1 คัน สร้อยคอทองคำ 1 เส้น กระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 50 นัด ขนาด 11 มม.50 นัด เงินสด 85,000 บาท โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง จึงควบคุมตัวทำการขยายผลต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

ซีตรองติดแก๊สไหม้วอดคาอนุสาวรีย์ชัยฯแม่ลูกหนีทัน วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2555 เวลา 14:09 น. ระทึก!แม่ลูกหนีตายกลางอนุสาวรีย์ หลังแวนซีตรองติดแก๊สไฟลุกไหม้สูงกว่า 2 เมตร ก่อนเผาวอดทั้งคันในพริบตา สาเหตุคาด ระบบติดตั้งรวน เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (6 เม.ย. ) ร.ต.อ.กิตติคม วิริยะกิจ พงส.(สบ1) สน.พญาไท รับแจ้งเหตุไฟไหม้รถยนต์บริเวณโค้งวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตรงข้ามรพ.ราชวีถี ถนนพหลโยธิน แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ไปตรวจสอบพร้อมประสานเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร ที่เกิดเหตุพบกลุ่มควันและเพลิงกำลังลุกไหม้รถซีตรองแวน สีเขียว ทะเบียน 5475 กรุงเทพมหานคร เกือบทั้งคัน โดยเฉพาะห้องเครื่องหน้ารถไฟพวยพุ่งสูงกว่า 2 เมตร โดยมีประชาชนจำนวนมากมุงดูเหตุการณ์ ส่งผลให้การจราจรรอบบริเวณอนุสาวรีย์ติดขัด เจ้าหน้าที่รีบใช้น้ำฉีดสกัดและน้ำยาเคมีดับใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเพลิงจึงสงบ สอบสวนนายอดิศักดิ์ รวยรื่น อาสาสมัครย่านอนุสาวรีย์ ผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุรถแวนจอดติดไฟแดง จากนั้นเห็นควันพวยพุ่งออกมาจากด้านหน้ารถ ก่อนจะมีผู้ชายวัยรุ่น และหญิงวัยกลางคนรีบวิ่งลงออกจากรถ เพื่อขอความช่วยเหลือตำรวจ แต่ยังไม่ทันจะนำถังดับเพลิงเข้าไปดับไฟ ปรากฏว่าไฟลุกไหม้รุนแรงจนเสียหายทั้งคัน ร.ต.อ.กิตติคม กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบสวนนายปยุต รัตนาภรณ์ อายุ 27 ปี เจ้าของรถ ทราบว่า นายปยุตเป็นผู้ขับรถมีมารดานั่งข้างมาธุระย่านพญาไท แต่ขณะขับถึงที่เกิดเหตุเกิดควันไฟออกมาจากช่องแอร์หน้าคอนโซลรถยนต์ จากนั้นมีไฟลุกใต้คอนโซล และห้องเครื่องยนต์ นายปยุตพร้อมมารดาจึงรีบลงรถ พร้อมวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหน้า รพ.ราชวิถี เพื่อขอถังดับเพลิงมาฉีด แต่ไฟลุกอย่างรวดเร็ว ส่วนสาเหตุคาดว่า อาจมาจากการติดเแก๊สแอลพีจีที่ไม่สมบูรณ์ ประกอบกับอุปกรณ์รถยนต์ขัดข้องจนเกิดประกายไฟทำให้แก๊สรั่วติดไฟที่ห้องเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง


เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (6 เม.ย. ) ร.ต.อ.กิตติคม วิริยะกิจ พงส.(สบ1) สน.พญาไท รับแจ้งเหตุไฟไหม้รถยนต์บริเวณโค้งวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตรงข้ามรพ.ราชวีถี ถนนพหลโยธิน แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ไปตรวจสอบพร้อมประสานเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร
 
ที่เกิดเหตุพบกลุ่มควันและเพลิงกำลังลุกไหม้รถซีตรองแวน สีเขียว ทะเบียน 5475 กรุงเทพมหานคร เกือบทั้งคัน โดยเฉพาะห้องเครื่องหน้ารถไฟพวยพุ่งสูงกว่า 2 เมตร โดยมีประชาชนจำนวนมากมุงดูเหตุการณ์ ส่งผลให้การจราจรรอบบริเวณอนุสาวรีย์ติดขัด เจ้าหน้าที่รีบใช้น้ำฉีดสกัดและน้ำยาเคมีดับใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเพลิงจึงสงบ
 
สอบสวนนายอดิศักดิ์ รวยรื่น อาสาสมัครย่านอนุสาวรีย์ ผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุรถแวนจอดติดไฟแดง จากนั้นเห็นควันพวยพุ่งออกมาจากด้านหน้ารถ ก่อนจะมีผู้ชายวัยรุ่น และหญิงวัยกลางคนรีบวิ่งลงออกจากรถ เพื่อขอความช่วยเหลือตำรวจ แต่ยังไม่ทันจะนำถังดับเพลิงเข้าไปดับไฟ ปรากฏว่าไฟลุกไหม้รุนแรงจนเสียหายทั้งคัน
 
ร.ต.อ.กิตติคม กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบสวนนายปยุต รัตนาภรณ์ อายุ 27 ปี เจ้าของรถ ทราบว่า นายปยุตเป็นผู้ขับรถมีมารดานั่งข้างมาธุระย่านพญาไท แต่ขณะขับถึงที่เกิดเหตุเกิดควันไฟออกมาจากช่องแอร์หน้าคอนโซลรถยนต์ จากนั้นมีไฟลุกใต้คอนโซล และห้องเครื่องยนต์ นายปยุตพร้อมมารดาจึงรีบลงรถ พร้อมวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหน้า รพ.ราชวิถี เพื่อขอถังดับเพลิงมาฉีด แต่ไฟลุกอย่างรวดเร็ว ส่วนสาเหตุคาดว่า อาจมาจากการติดเแก๊สแอลพีจีที่ไม่สมบูรณ์ ประกอบกับอุปกรณ์รถยนต์ขัดข้องจนเกิดประกายไฟทำให้แก๊สรั่วติดไฟที่ห้องเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources