วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พธม.เตรียมแถลงมาตรการเคลื่อนไหว 6 มิ.ย.


วันนี้ ( 5 มิ.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)เปิดเผยภายหลังประชุมแกนนำ พธม.ว่าแกนนำ พธม.จะแถลงถึงแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองในวันที่ 6 มิ.ย. เพื่อกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ยอมถอนร่าง พรบ.ปรองดองแห่งชาติ ออกจากสภา จะมีมาตรการกดดันที่ชัดเจนอีกครั้ง เพราะขณะนี้แกนนำ พธม.เพียงแต่หยุดการชุมนุมชั่วคราวเท่านั้นเพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลและ รัฐสภา ว่าจะยังมีความพยายามที่จะนำ พรบ.ปรองดองฯเข้าสู่การพิจารณาอีกหรือไม่ โดยแกนนำพธม.คาดว่าพรรคร่วมรัฐบาล คงยังไม่ยุติเรื่องนี้และไม่มีการปิดสมัยประชุมอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้อง เพราะทั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ก็แสดงจุดยืนออกพร้อมที่จะดันทุรังทำทุกวิธีทางแม้แต่การล่ารายซื่อถอดถอน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการดำเนินการที่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ต้องถือว่าคำ วินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถือว่าสิ้นสุดแล้วองค์กรใดจะมีคำสั่งอื่นก็ ต้องยกเว้นไปก่อน ซึ่งเขาก็พร้อมรับความเสี่ยงนั้นด้วยอาจถึงขั้นถูกยุบพรรค ทั้งนี้จะต้องจับตาดูว่ารัฐสภาจะเดินหน้าประชุมสภาเพื่อพิจารณา กฎหมายรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ต่อหรือไม่ซึ่งน่าจะใช่ช่วงจังหวะสอดแทรก พรบ.ปรองดอง เข้ามาได้

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

สั่งกักขัง25เด็กแว้นพร้อมพักใบขับขี่ 6 เดือน


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 มิ.ย. ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวง (พระนครเหนือ) นำตัวเยาวชน จำนวน 25 คน ผู้ต้องหาในคดีแข่งรถบนถนนหลวง มายื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาล ในความผิดฐานขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลอื่น ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ภายหลังพนักงานสอบสวน สน.วิภาวดี นำตัวส่งอัยการ
โดยอัยการยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. เวลากลางคืน จำเลยกับพวกที่ยังหลบหนีอีก 200 คน ได้ร่วมกันขี่รถ จยย. มาบนถนนวิภาวดีรังสิต ลักษณะส่ายไปมามุ่งหน้าหลักสี่ เมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขี่หลบหนีขึ้นสะพานลอยเพื่อกลับรถแล้วมุ่งหน้าขึ้นทางโทลเวย์ กระทั่งถูกจับกุมได้ในที่สุด จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริง จึงพิพากษาให้จำคุกคนละ 2 เดือน คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยคนละ 1 เดือน โดยเปลี่ยนโทษจำคุก ให้เป็นโทษกักขังแต่ไม่ให้รอลงอาญา และสั่งพักใบขับขี่่ 6 เดือน ริบรถ จยย.ของจำเลยทั้ง 25 คัน
ภายหลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลยทั้งหมด ส่งไปควบคุมตัวยังสถานกักขังคลองหก อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ต่อไป.

ครม.ตีกลับโครงการประกันภัยข้าว


วันนี้ ( 5 มิ.ย.) นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ยังไม่เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอและมอบหมายให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีชุดที่ 4 ที่ มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง เป็นประธาน ไปพิจารณารายละเอียดให้ชัดเจนรอบคอบอีกครั้ง โดยเฉพาะค่าเบี้ยประกันภัยที่เห็นว่าค่อนข้างแพงเกินไป

นายภักดีหาญส์ ยังกล่าวด้วยว่า  เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.มีมติอนุมัติค่าใช้จ่ายการระบายข้าวเปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรตาม โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 54/55 เพื่อเป็นค่าขนย้ายข้าวเปลือกจากยุ้งฉางเกษตรกรถึงจุดรับมอบข้าวเปลือกให้ เกษตรกรตามที่จ่ายจริงไม่เกินตันละ 300 บาท มีปริมาณการรับจำนำจำนวน 176,910 ตัน คิดเป็นมูลค่า 53 ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน การโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 54/55
 รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ที่ประชุม ครม. ได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกฯและรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา, นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์  และ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ได้ตั้งข้อสงสัยเรื่องเบี้ยประกันภัยที่กระทรวงการคลังนำเสนอมาสูงถึงไร่ละ 225.77 บาท ซึ่งเป็นราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์แล้ว โดยรัฐบาลต้องเข้าไปรับภาระอุดหนุนค่าเบี้ยประกันให้กับเกษตรกรเป็นจำนวน 165.77 บาทต่อไร่ คิดเป็นวงเงินงบประมาณสูงถึง 1,428.93 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากปีที่ผ่านมาเป็นเท่าตัวทีเดียวที่รัฐบาลเข้าไปอุดหนุนค่าเบี้ยเพียงแค่ไร่ละ 60 บาท หรือคิดค่าเบี้ยที่ไร่ละ 120 บาท เท่านั้น ขณะที่นายกิตติรัตน์ เองไม่ได้โต้แย้งหรือเสนอความคิดเห็นใด ๆ อย่างไรก็ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังระบุว่า สาเหตุสำคัญที่เบี้ย ประกันภัยเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้ว คือ การขยายตัวความคุ้มครองให้ครอบคลุมถึงภัยศัตรูพืชและโรคระบาดตามความต้องการ ของเกษตรกร รวมถึงการปรับเพิ่มความเสี่ยงระดับมหันตภัยของประเทศไทย และการปรับวงเงินความคุ้มครองให้เท่ากันตลอดช่วงระยะเวลาการเพาะปลูก

ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้เสนอให้ ครม.เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 และอนุมัติวงเงินงบประมาณ จำนวน 1,428.93 ล้านบาท เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นำไปดำเนินการโครงการฯ นี้ต่อไป โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยไม่เกินไร่ละ 60 บาท โดยที่รัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยในส่วนที่เหลือไร่ละ 165.77 บาท พร้อมทั้งได้ขยายความคุ้มครองจากภัยธรรมชาติเพิ่มเติมโดยรวมถึงภัยศัตรูพืชและโรคระบาด ด้วย จากเดิมที่คุ้มครองเพียง 6 ภัย คืออุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บและอัคคีภัย แยกวงเงินคุ้มครองเป็น 2 อัตราคือไร่ละ 1,111 บาท ตลอดช่วงการเพาะปลูก สำหรับ 6 ภัยธรรมชาติ และคุ้มครองไร่ละ 555 บาท สำหรับภัยศัตรูพืชและโรคระบาด
 นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังระบุด้วยว่าจาก เหตุการณ์สถานการณ์ภัยน้ำท่วมรุนแรงในปี 2553 และ 2554 ทำให้เกษตรกรตระหนักในการสร้างระบบประกันความเสี่ยงให้กับตนเองมากยิ่งขึ้น รัฐจึงจำเป็นต้องอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย โดยเห็นควรให้เกษตรกรรมรับภาระค่าเบี้ยประกันภัย 60 บาทต่อไร่ เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปี 2554 และรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เกินกว่า 60 บาทต่อไร่และให้ธ.ก.ส.พิจารณามาตรการสร้างแรงจูงใจให้กับเกษตรกรที่เป็น ลูกค้าเพิ่มเติมด้วย
 อย่าง ไรก็ตามธ.ก.ส.จะเป็นผู้บริหารโครงการและเป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอา ประกันภัยกับผู้รับประภันภัยเอกชน เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการในปี 54 โดยให้ภาค เอกชนเป็นผู้รับประกันภัยในส่วนที่เพิ่มเติมจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ ประสบภัยของรัฐ และใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่รัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปี 2554

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ทธ.ยันเขย่า 4 ริกเตอร์ระนองเรื่องปกติ


วันนี้ ( 5 มิ.ย.)  นายเลิศสิน รักษาสกุลวงศ์ ผอ. สำนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี ( ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ( ทส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเกิดแผ่นดินไหวขนาด  4 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลาง ที่ อ.เมือง จ.ระนอง  ว่า เวลานี้ธรรมชาติยังบอกโจทย์อะไรไม่ชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นบ่งบอกถึง อะไร แต่จากการเก็บข้อมูลเรื่องแผ่นดินไหวในพื้นที่ดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียง ยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่า พื้นที่ภาคใต้ทั้งระนองและภูเก็ตไม่น่าจะมีแผ่นดินไหวรุนแรง ทั้งนี้การเกิดแผ่นดินไหวแต่ละครั้ง คือการปลดปล่อยพลังงานออกมา ทำให้แผ่นเปลือกโลกขยับตัวเข้าหาจุดสมดุลมากขึ้น

“ทธ.เองก็บอกอะไรได้ไม่มากว่า จะเกิดแผ่นดินไหวอีกหรือเปล่า และไหวเมื่อไร เพราะเทคโนโลยีเรายังไปไม่ถึงขนาดนั้น ดีที่สุดเรื่องการทำนายการเกิดแผ่นดินไหวก็คือประเทศญี่ปุ่น คือสามารถทำนายล่วงหน้าได้ประมาณ 2-3 วินาที เมื่อเขารู้ เขาจะสามารถปิดระบบทุกระบบที่อาจจะเกิดอันตรายได้ เช่น ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถใต้ดิน หรือโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ได้ทันการ เพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดสำหรับพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวแบบรุนแรง อย่างญี่ปุ่น แต่สำหรับประเทศไทยนั้น โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงนั้นมีน้อยมาก อาจจะมีก็ขนาดเล็ก ถึงขนาดปานกลางเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เราจำเป็นจะต้องเข้าไปให้ความรู้อย่างมากสำหรับประชาชนที่อยู่ใน พื้นที่เสี่ยงสำหรับการเกิดแผ่นดินไหว เพื่อที่จะได้อยู่กับพื้นที่บริเวณนั้นได้อย่างเป็นสุข ยอมรับว่าเวลานี้ เรายังให้ความรู้กับคนเหล่านั้นน้อย โอกาสที่จะเกิดความตระหนกตกใจจึงมีสูง”นายเลิศสิน กล่าว

นายเป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย(เอไอที) กล่าวว่า ได้เก็บข้อมูลและศึกษาเรื่องการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ภาคใต้มาระยะหนึ่ง พบว่า จ.ระนอง ภูเก็ต และ พังงา มีแผ่นดินไหวขนาดเล็ก คือ ขนาด 2-3 ริกเตอร์ กระจายอยู่ในพื้นที่เดิมเป็นประจำอยู่แล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ทั้งนี้ ประชาชนจะไม่ค่อยรู้สึกว่ามีแผ่นดินไหว แต่ครั้งนี้เป็นการไหว ขนาด 4 ริกเตอร์ ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นการเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็ก แต่เกิดขึ้นใน อ.เมือง อาจจะเกิดความเสียหายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

“เรานำข้อมูลมาวิเคราะห์ดูแล้ว พบว่า บริเวณไหนที่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 2-3 ริกเตอร์บ่อยๆนั้น โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 4 ริกเตอร์ ก็จะเกิดขึ้นประมาณ 5-10 ปีต่อครั้ง และบริเวณไหนที่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4 ริกเตอร์บ่อยๆ โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5 ริกเตอร์ก็จะเกิดได้ประมาณ 5-10 ปี ต่อครั้งเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับที่ จ.ระนอง คือ เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2-3 ริกเตอร์เป็นประจำอยู่แล้ว การเกิดแผ่นดินไหวขนาด 4 ริกเตอร์ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย” นายเป็นหนึ่งกล่าว

นายเป็นหนึ่ง กล่าวอีกว่า พื้นที่ที่เราจับตามองคือภาคเหนือ เพราะที่ผ่านมามีแผ่นดินไหวขนาด 5 ริกเตอร์ค่อนข้างบ่อย โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์ก็จะมีอยู่ ซึ่งขนาด 5 และ6 ริกเตอร์นั้น ตามตัวเลข จะดูห่างกันไม่มากนัก แต่ขนาดความรุนแรงจะต่างกัน กล่าวคือ 5 ริกเตอร์ขึ้นไปจะทำให้สิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงได้รับผลกระทบได้ แต่ก็ไม่ควรตื่นตระหนกในเรื่องนี้ ทุกคนจะต้องรู้ว่าในพื้นที่ตัวเองมีความเสี่ยงเรื่องแผ่นดินไหวอย่างไรบ้าง เพื่อจะปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เรื่องนี้เราจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังต่อไป

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

“นฤมล”ยื่นผู้ตรวจฯ สอบส.ส.ปชป.ป่วนประชุมสภา


วันนี้ ( 5 มิ.ย.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วยคณะ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมการปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสมของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายกุลเดช พัวพัฒนกุล นายอภิชาต สุภาแพ่ง นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี และนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ไม่พอใจในการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 30 – 31 พ.ค. ในขณะที่มีการประชุมสภา โดยมีนายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้รับหนังสือ
โดยนางนฤมล กล่าวว่า พฤติกรรมที่ ส.ส. วิ่งขึ้นไปบนบังลังก์ของประธานสภา เพื่อบังคับไม่ให้ประธานสภา ไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ในการหน้าที่ พร้อมทั้งยังมีลากเก้าอี้ของประธานสภา ออกจากห้องประชุม ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายจนถึงขั้นทำร้ายซึ่งกันและกัน  อีกทั้งยังได้มีการขว้างปาหนังสือข้อบังคับการประชุมและเอกสารประกอบการ ประชุมใส่หน้าประธานสภา  ถือว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการละเมิด และฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภา อีกทั้งเป็นการขัดหลักจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตนและตัวแทน ส.ว. จึงขอเรียกร้องมายังผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำการพิจารณาและสอบสวนข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพฤติกรรมของ ส.ส.ที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศ ได้กระทำการละเมิดและฝ่าฝืนต่อข้อบังคับการประชุมสภา และมาตรฐานทางจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และขอให้ตรวจสอบว่าเป็นการกระทำผิดขั้นร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 279  วรรคสามหรือไม่ หากเป็นการกระทำที่เป็นความผิดขั้นร้ายแรง ขอให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิจารณาต่อ ไป


ด้านนายศรีราชา กล่าวว่า ตนทราบว่าเรื่องนี้มีสมาชิกรัฐสภาไปยื่นยังคณะกรรมการจริยธรรม ของสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบแล้ว โดยหลักปฏิบัติมีสมาชิกรัฐสภายื่นให้คณะกรรมการจริยธรรม ของสภาฯ ทำให้ทางผู้ตรวจการฯ ต้องชะลอเพื่อรอผลการพิจารณา ดังนั้นในเบื้องต้นตนก็จะรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาและตรวจสอบควบคู่กันไป หากผลสรุปออกมาไม่ตรงกับทางผู้ตรวจการฯ ทางผู้ตรวจการฯ จะมีการไต่สวนสาธารณะ ตามมาตรา 280 ทั้งนี้ เราจะยึดความเป็นธรรมตามหลักความเป็นจริง และยืนยันว่าจะเร่งพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นธรรมและเร็วที่สุด


แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources