วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

รถตู้คณะผ้าป่าเบรกแตกแหกโค้งดับ2ศพ


 เกิดอุบัติเหตุสลด ชาวบ้านกรุงเก่าเหมารถตู้ ไปทำบุญผ้าป่า-แวะกราบพระประจำเมืองพิษณุโลก ระหว่างทางเคราะห์ร้าย รถตู้เกิดเบรกแตก แหกโค้งพุ่งลงเขา ทิ่มเสาไฟฟ้าหัก ตายทันที 2 ศพ เจ็บสาหัสอีกนับสิบราย
วันนี้ (25 มี.ค.) พ.ต.ท.สุพจน์ ท่วงที พนักงานสอบสวน (สบ 3) สภ.วังทอง จ.พิษณุโลก รับแจ้งอุบัติเหตุรถตู้พลิกคว่ำมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ที่บริเวณบ้านไผ่ใหญ่ หมู่ที่ 10 ต.วังแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยแพทย์โรงพยาบาลวังทอง และเจ้าหน้าที่กู้ภัยบูรพา
ในที่เกิดเหตุพบรถตู้โดยสารยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์เงิน ข้างรถติดสติ๊กเกอร์ กรุงเทพฯ-อยุธยา ทะเบียน ฮต 9512 กรุงเทพมหานคร เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าข้างทางจนสภาพพังยับเยิน ภายในรถมีผู้ได้รับบาดเจ็บติดอยู่จำนวนมาก ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้รีบทำการช่วยเหลือและรีบลำเลียงนำส่ง รพ.วังทอง และ รพ.พุทธชินราชทันที
ภายหลังตรวจสอบพบผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย ทราบชื่อ นางสมคิด วัยเดชา อายุ 65 ปี และ นางประนอม สวนขวัญ อายุ 62 ปี ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ประกอบด้วย พระภิกษุ จำนวน 3 รูป และ ชาวบ้านอีก 12 คน อาการสาหัส แพทย์ระดมให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วน
จากการสอบถาม นายธาวิน พุฒินันทชัยกุล อายุ 21 ปี เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองและชาวบ้านลำไทร ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 60 คน ได้เหมารถตู้โดยสารสายกรุงเทพฯ-อยุธยา จำนวน 4 คัน และ รถกระบะอีก 2 คัน เดินทางมาที่วัดเผ่าไทย ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก เพื่อทอดผ้าป่าสามัคคี หาเงินสร้างอุโบสถ โดยออกเดินทางมาตั้งแต่เวลา 04.00 น. โดยมาถึงที่วัดประมาณ 11.00 น.
นายธาวิน เล่าต่อว่า  หลังจากที่ทุกคนร่วมกันทอดผ้าป่าและรับประทานอาหารเรียบร้อย จึงได้ออกเดินทางกันต่อ เพื่อจะไปกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก กระทั่งมาถึงที่เกิดเหตุเป็นทางลงเขาและทางโค้ง ทำให้รถตู้คันที่สุดท้ายที่คณะร่วมทำบุญโดยสารมาทั้งหมด 15 คน ได้เกิดเบรกแตกแหกโค้งและเสียหลัก พุ่งชนเสาไฟฟ้าจนหักโค่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้น คาดว่า รถตู้คันดังกล่าวขับมาด้วยความเร็วสูงและเกิดเบรกแตกกะทันหัน ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ ประกอบกับที่เกิดเหตุเป็นทางโค้ง มักเกิดอุบัติเหตุเป็นประจำ ทำให้รถพุ่งตกลงข้างทางชนเสาไฟฟ้าเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว  ส่วนสาเหตุทีแท้จริงอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th   

มือปืนตามกระหน่ำยิงสองผัวเมียดับ 1 เจ็บ 1


คนร้ายวัยรุ่นอายุประมาณ 20-23 ปี จำนวน 2 คน ขี่รถ จยย.ตามประกบยิงสองสามีภรรยาที่เพิ่งกลับมาจากการนั่งดื่มสุรา ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 ราย ส่วนอีกรายได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นตำรวจมุ่งปมเรื่องส่วนตัว หรืออาจมีการเขม่นกันกับกลุ่มวัยรุ่นในร้านเหล้า เลยถูกตามมาไล่ยิงดับแค้น

เมื่อเวลา 00.30 น.วันนี้ (26 มี.ค.) พ.ต.ท.ณัฐพล สิทธิมงคล พนักงานสอบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณท้ายซอยรังสิต-นครนายก 26 แยก 1 หมู่ที่ 3 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมพ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ ผกก. พ.ต.ท.มงคล จิตต์พรหม สว.สส. กำลังชุดสืบสวน แพทย์ รพ.ประชาธิปัตย์ และเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน เขต 1 (ศพฐ.1) และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง
ในที่เกิดเหตุพบศพ นางอำพร สิงห์สวัสดิ์ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/26 ถนนรังสิต-นครนายก 26 แยก 1 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี  นอนหงายเสียชีวิตอยู่ข้างรถ จยย.ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ทะเบียน รบธ 827 กรุงเทพมหานคร โดยมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด.38 เข้าที่ด้านหลังศีรษะจำนวน 1 นัด และที่น่องขวาอีก 1 นัด ห่างออกไปเล็กน้อยพบกระสุนปืนขนาด .38 ตกอยู่บนถนน จำนวน 1 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังพบผู้บาดเจ็บอีก 1 ราย คือ นายสากล อุททาแสง อายุ 37 ปี สามีใหม่ของนางอำพร ถูกกระสุนปืนถากเข้าที่สะโพกซ้าย อาการไม่สาหัส
สอบสวน นายสากล ให้การว่า ตนเองเป็นอาสาสมัครตำรวจชุมชน ก่อนเกิดเหตุตนและนางอำพรเพิ่งกลับจากการนั่งดื่มกับเพื่อนๆ ที่ร้านย่านเสมาฟ้าคราม ต.คูคต โดยมีนางอำพรเป็นผู้ขับขี่รถ จยย.คันดังกล่าว ส่วนตนนั่งซ้อนท้าย เมื่อขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักประมาณ 300 เมตร ก็ได้มีคนร้ายลักษณะเป็นชายวัยรุ่น อายุประมาณ 20-23 ปี จำนวน 2 คน สวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกกันน็อกสีขาว ขับขี่รถ จยย.แบบผู้หญิง ไม่ทราบรายละเอียด ตามมาประกบ ก่อนที่คนซ้อนท้ายจะชักอาวุธปืนยิงใส่ประมาณ 5-6 นัด กระสุนโดนนางอำพรเสียชีวิตทันที ส่วนตนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายได้เร่งเครื่องหลบหนีไป ส่วนสาเหตุนั้นตนก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยมีเรื่องกับใครมาก่อน  
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า น่าจะมาจากความขัดแย้งส่วนตัว หรืออาจจะมีการเขม่นกันกับกลุ่มวัยรุ่นในร้านเหล้าที่ผู้ตายไปนั่งดื่มด้วยกัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนติดตามตัวคนร้ายทั้งสองมาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th   

เจอกลิ่นฉุนรถแก๊สคว่ำ สั่งกรอกน้ำก่อนพิสูจน์ซ้ำ


 เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบซากรถแก๊สคว่ำหาร่องรอยหลักฐานเพิ่มเติม ผวาเจอกลิ่นฉุนเกรงจะเกิดระเบิดซ้ำ
วันนี้ (26 มี.ค.) เวลา 12.00 น. ที่ สน.คลองตัน พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก.สน.คลองตัน นำเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เจ้าหน้าที่กองวิศวกรรมเครื่องยนต์กรมการขนส่งทางบก สำนักการโยธาธิการกรุงเทพมหานคร และพนักงานฝ่ายช่างของบริษัทพีลาทัส แลนด์ แอนด์ ทรานสปอร์ต จำกัด เข้าตรวจสอบรถบรรทุกแก๊ส หมายเลขทะเบียน 75-3816 กรุงเทพมหานคร ที่ประสบอุบัติเหตุเสียหลักชนราวสะพานปากซอยพัฒนาการ 20 จนถึงพัฒนาการ 22 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย โดยใช้เวลาในการตรวจพิสูจน์หลักฐานโดยรอบตัวรถอย่างละเอียดประมาณ 30 นาที
พ.ต.ท.อนุศักดิ์ วนาปกรณ์ รองผกก.สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้รับการประสานจากพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ให้เดินทางมาสำรวจความเสียหายของรถคันดังกล่าว พร้อมทั้งเก็บหลักฐานสำคัญไปตรวจ เพื่อนำผลมาใช้ประกอบสำนวนคดี และเท่าที่ดูด้วยสายตาสภาพรถได้รับความเสียหายทั้งคัน ส่วนในวันนี้เน้นดูที่ร่องรอยการชน และรอยไหม้ร่วมกับเจ้าหน้าที่กองวิศวกรรมเครื่องยนต์กรมการขนส่งทางบก สำนักการโยธาธิการกรุงเทพมหานคร และพนักงานฝ่ายช่างของบริษัทเจ้าของรถ เบื้องต้นพบว่ายังมีกลิ่นแก๊สโชยออกมาจากถังแคปซูล เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงปรึกษาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าในวันนี้ (27 มี.ค.) จะเดินทางมาตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ดีได้นำน้ำมากรอกใส่ถังแคปซูล เพื่อชะล้างกลิ่นแก๊สออกไปให้หมดเสียก่อนแล้วจะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการเก็บหลักฐานในวันนี้ดำเนินการไปได้พอสมควร จากนั้นจะนำผลไปรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.กฤษดา ขันโสดา พงส. (สบ 2) สน.คลองตัน เจ้าของคดี เผยว่า ขณะนี้ได้สอบปากคำพยานครบเกือบหมดแล้ว ขาดเพียงนายบัวพัน สุวรรณแสน อายุ 66 ปี ช่างไม้ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู โรงพยาบาลเพชรเวช โดยคาดว่า 1-2 วันนี้น่าจะสามารถให้การได้ โดยจะเข้าทำการสอบปากคำที่โรงพยาบาล ส่วนการติดตามตัวนายอนันต์ แก้วมะ คนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ หลังจากออกหมายเรียกตัวครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อเข้ามอบตัวเเต่อย่างใด โดยทราบว่าได้หลบหนีไปแล้ว และหากภายใน 1-2 วันนี้ ยังไม่ได้รับการติดต่อเข้ามอบตัว จะยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขออนุมัติออกหมายจับ โดยไม่จำเป็นต้องรอการออกหมายเรียกครั้งที่ 2 เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีอย่างชัดเจน
รายงานข่าวแจ้งว่าในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.ของวันเดียวกันนี้ ผู้บริหารบริษัทพีลาทัส แลนด์ แอนด์ ทรานสปอร์ต จำกัด เจ้าของรถคันที่เกิดเหตุ จะเดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนในประเด็นสัญญาว่าจ้างพนักงานขับรถ หลักฐานทะเบียนรถ หลักฐานการขนส่ง และหลักฐานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของตัวรถเพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี ส่วนการแจ้งข้อหากับบริษัทเจ้าของรถแก๊สหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตรวจสอบก่อนว่าบริษัทมีความบกพร่องจนทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือไม่ต่อไป.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th   

เครื่องให้สารละลายทางหลอดเลือดดำTE311,TE331,TE332



เครื่องให้สารละลายทางหลอดเลือดดำTE311,TE331,TE332

เครื่องให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ

เครื่องให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ
TERUFUSION SYRINGE PUMP
MODEL : TE311,  TE331,  TE332

รุ่น TE 311
รุ่น TE 331

รุ่น TE 332
SPECIFICATION TECNICAL 
RATED VOLTAGE  100-240 VAC 50/60Hz
12-15VDC
POWER CONSUMTION 23VA(AC) 7.5W (DC)
CLASSCIFICATION : CLASS I5 INTERNALLY
FACTORY 2005
POWER EQUIPMENT
TYPE CF IPx4
TERUMO COPERATION TOKYO JAPAN
MADE IN JAPAN
BATTERY
Rechageable battery
9.6V 1700mA. NI-MH, Ni-cd



Calibrate (cal)

VCD Programs Test rate 1.



อยู่ระหว่างปรับปรุงหน้าเว็บ...


บทความโดย นิกร

จี้ถอนผลวิจัยปรองดอง ก่อนประชุมรัฐสภา


วันนี้ (26 มี.ค.) ที่บ้านพักขจรประศาสน์  ถ.สนามบินน้ำ นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะตัวแทนชมรมศิษย์เก่าโรงเรียนการเมือง รุ่นที่ 7 พร้อมด้วย นพ.วินัย วิริยะกิจจา อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา  และศิษย์เก่าโรงเรียนการเมือง รุ่นที่ 5, 6, 7 รวมทั้งประชาชนในพื้นที่สนามบินน้ำประมาณ 20 คน เดินทางมามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจแก่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสนต์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น

พล.ต.สนั่น กล่าวภายหลังรับมอบดอกไม้ว่า คำถาม 3 ข้อที่ตนเองถามพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง แห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ( กมธ.ปรองดอง )นั้นมีเจตนาสนับสนุนการปรองดองทั้งสิ้น ตนคิดว่า กมธ.ต้องทบทวนผลการวิจัยของคณะวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าว่าครอบคลุมราย ละเอียดทั้งหมดหรือไม่ การวิจัยต้องเป็นการวิจัยอดีต เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นมา 5 ปีต้องไปดูตรงนั้นก่อน นักวิจัยทำวิจัยย้อนหลังตั้งแต่ปี 48 แต่วิจัยไม่ครบถูกขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร และคำถามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ถามนั้น คณะวิจัยยังตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นตนคิดว่าช้าหน่อยไม่เป็นไร ควรทำความเข้าใจให้กระจ่างก่อนนำเข้าที่ประชุมรัฐสภา เนื่องจากจะยิ่งเร่งความร้าวฉานมากยิ่งขึ้น เพราะหลายฝ่ายยังไม่เห็นด้วย จึงควรระงับไว้ก่อนแล้วมาพูดคุยกันใหม่ นักวิจัยจะได้ไปดำเนินการเพิ่มเติมในสิ่งที่ไม่ได้ทำ

เมื่อ ถามว่า หากผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาแล้วจะทำให้การช่วย เหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้กลับประเทศไทยโดยพ้นจากความผิดหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ตนไม่ขอก้าวล่วงบุคคลใดคนหนึ่ง แต่เรื่องปรองดองยังใช้กฎหมายไม่ได้ ต้องใช้ธรรมชาติบำบัด ที่ทำความเข้าใจกับประชาชนและประชาชนจะเป็นผู้กำหนดเรื่องความปรองดองเอง ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องเล็ก หากเราได้ทำความเข้าใจกันให้ถ่องแท้ การให้อภัยกัน ก้าวข้ามความเครียดแค้นต่างๆ เป็นเรื่องประกอบทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องพูดกันด้วยหัวใจว่าถึงเวลาสร้างประเทศให้มีความเจริญในอา เซียน และขอให้ลืมอดีตเหตุการณ์ทั้งหลายมาพูดกันให้เข้าใจก็สามารถปรองดองกันได้

พล.ต.สนั่น กล่าวต่อว่า ตนคิดว่านักวิจัยควรจะถอนรายงานผลการวิจัยออกมาก่อน เนื่องจากยังไม่ครอบคลุมสถานการณ์ทั้งหมด อีกทั้งหากถอนรายงานการวิจัยออกมาก่อนก็จะทำให้ กมธ.ไม่สามารถเสนออะไรได้ ทั้งนี้ก็อยู่ที่นักวิจัย หากตัดสินใจว่าความขัดแย้งยังเกิดขึ้นก็ข้อให้ถอนข้อเสนอออกมาก่อน นอกจากนี้แล้วหากเป็นไปตามมารยาทตนก็จะไม่เข้าร่วมประชุมรัฐสภาเพราะตนเป็น พรรคร่วมรัฐบาล แต่ไม่ใช่มติทั้งพรรค

เมื่อถามว่าบรรยากาศ ในขณะนี้จะดีขึ้นหรือไม่ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณได้ส่งสัญญาณออกมาว่าจะกลับประเทศไทยอย่างเท่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ตนอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาประเทศอย่างเท่ หากกลับมาจริง แนวทางของตนเป็นแนวทางที่เท่ห์ที่สุดและประชาชนก็เห็นด้วยทุกคน เมื่อถามย้ำว่าหมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องรับโทษใช่หรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า “ไม่ต้องไปรับหรอก เรื่องเล็กๆน้อยๆ  คนปฏิวัติก็ได้รับนิรโทษกรรมเหมือนกัน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องใจเย็นกว่านี้ อย่างเร่งให้คณะโน้นไปทำโน่น คณะนี้ไปทำนี่ มันก็เลยกลายเป็นความขัดแย้งเพิ่มขึ้น”

เมื่อถามว่าต่อว่า พล.อ.สนธิ ระบุว่าจะตอบคำถามเรื่องปฏิวัติก็ต่อเมื่อไม่มีชีวิตอยู่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า “ตอบเถิด เพราะมันไม่ถึงคอขาดบาดตายอะไร คำตอบนี้ไม่ได้ตอบผม แต่ตอบประชาชนคนไทยทั้งประเทศ"

เมื่อ ถามอีกว่าหากที่ประชุมรัฐสภาลงมติรับรองรายงานของ กมธ.จะเกิดอะไรตามมาหรือไม่ พล.ต.สนั่นกล่าวว่า จะเกิดความไม่ยอมรับมากขึ้น คนที่อยู่กลางๆ หลากสีอาจเกิดความไม่พอใจ ดังนั้นยับยั้งไว้ก่อนดีกว่า ขอให้ใจเย็น พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับมาอย่างเท่ห์ อย่าทำให้ท่ามัวหมอง

ที่ พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงว่า ตามที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 9 คน ลาออกจากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ( กมธ.ปรองดอง ) นั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่จริงใจและไม่ตั้งใจจะทำหน้าที่ กมธ.ปรองดองมาตั้งแต่ต้น โดยมีคำตอบไว้ก่อน เมื่อคำตอบไม่ตรงกับสิ่งที่ กมธ.เสียงข้างมากคิด จึงสำแดงธาตุแท้ออกมา ทั้งนี้ตนมองว่าผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าเพียงเล่มเดียวนั้นไม่มีผลทำ ให้ประเทศไทยต้องปรองดอง เป็นเพียงการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายแล้วนำมาประเมินเท่านั้น แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการปรองดองก็ขอให้ประกาศจุดยืนออกมา พวกตนจะประกาศไม่ปรองดองกับพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นเดียวกัน

นาย จตุพร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายจตุพรไปเจรจาความกับศาลเรื่องประกันตัวผู้ ต้องหากลุ่มเสื้อแดง โดยกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณเอาฐานะอะไรไปมอบให้ผู้ต้องหาไปเจรจากับศาลนั้น นายวิทยาพูดความเท็จ 100 เปอร์เซ็นต์ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยมอบหมายอะไรตน อีกทั้งตนไม่มีสถานะอะไรต้องไปเจรจาด้วย สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวหมายถึงเป็นอำนาจของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งต้องหารือกันในเรื่องของหลักทรัพย์ที่จะต้องใช้ดำเนินการ แต่พรรคประชาธิปัตย์ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ บิดเบือนและพยายามขยายสร้างเสียหายต่อกระบวนการตุลาการและตนเอง

นาย จตุพร กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ตั้งคำถามถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฐประหาร 19 ก.ย.49 กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ตนเห็นว่า พล.ต.สนั่นมีข้อผิดปกติบางอย่าง เพราะ พล.ต.สนั่นตั้งคำถามและเฉลยด้วยตัวเองในวันต่อมา ดังนั้น พล.ต.สนั่นต้องพูดให้ชัดว่าต้องการอะไรในฐานะที่เป็นผู้เริ่มต้นการปรองดอง และขอให้พูดความจริงให้ปรากฏว่าต้องการอะไร เพราะขณะนี้มีความพยายามของคนบางกลุ่มอยากเป็นรัฐบาลด้วยวิธีพิเศษ.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th   

“เฉลิม”ฟุ้งอาเซียนปลอดยาเสพติดปี 2015


วันนี้ (26 มี.ค.) เวลา 13.00 น.ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) เป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดประจำปี 2555 
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ได้ตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลเล็งเห็นถึงความจำเป็นต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน โดยกำหนดให้เป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการให้เห็นผลภายในปีแรก โดยกำหนดให้เป็น "วาระแห่งชาติ" และสหประชาชาติได้ประมาณการว่า มีคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมากถึง 210 ล้านคน และเสียชีวิตปีละประมาณ 2 แสนคน สำหรับยาเสพติดในประเทศไทยเกิดจากการลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าร้อยละ 90 ได้แก่ ด้าน จ.เชียงใหม่ เชียงราย และ แม่ฮ่องสอนมากที่สุด จนทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างมากในพื้นที่ตอนบนของประเทศ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า จากการดำเนินงานที่ผ่านมาเกือบ 7 เดือน ภาคใต้การขับเคลื่อนของศพส.และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีผลการดำเนินงานที่เห็นเป็นรูปธรรมในทุกด้าน ๆ เช่น การสกัดกั้นการลักลอบนำเข้า และการปราบปรามยาเสพติดจากการกดดันจากหน่วยทหารและตำรวจมากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนทิศทางไปทางด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้าน จ. หนองคาย อุบลราชธานี นครพนมมากขึ้น ส่งผลต่อการส่งออกเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นที่นำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตยาเสพติด โดยลักลอบส่งออกยาแก้หวัดมีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนที่นำเข้ามาจากประเทศเกาหลีผ่านทางมาเลเซียแล้วส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบสถิติผลการการดำเนินงานด้านการปราบปรามกับช่วงระยะเวลาเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา มีผลการจับกุมนักค้ายาเสพติด และยึดของกลางยาบ้าได้มากถึงเกือบ 30 ล้านเม็ด สูงกวาปีที่ผ่านมาที่ยึดได้ 23 ล้านเม็ด ยึดยาไอซ์ได้ 650 กิโลกรัม สูงกว่าปีที่ผ่านมาที่ยึดได้ 510 กิโลกรัม ยึดยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนมากถึง 4.2 ล้านเม็ด มีการตรวจสอบทรัพย์สิน ได้มากถึง 2,146 คดี มูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดมากกว่า 855 ล้านบาทสูงกว่าเท่าตัวในปีที่ผ่านมาที่มีการตรวจสอบทรัพย์สิน 900 คดี มูลค่าทรัพย์สินที่ยึด 430 ล้านบาท ดงนั้น รัฐบาลยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหายาเสพติดให้มากขึ้นในลักษณะของ "หุ้นส่วน" โดยจะเริ่มจากประเทศในแถบภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเป็นอันดับแรกและมุ่งไปสู่เป้าหมาย "อาเซียนปลอดยาเสพติดในปี 2015"
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th   

รับซ่อมเครื่องมือการแพทย์ทุกชนิด ในเขตกรุงเทพและปริมณทล


รับซ่อมเครื่องมือการแพทย์ทุกชนิด  ในเขตกรุงเทพและปริมณทล

สนใจติดต่อ  083 - 792 - 5426



เรื่องของปลั๊กไฟฟ้าและเต้าเสียบปลั๊กไฟฟ้า เป็นเรื่องที่หลายๆคนถามผมอยู่บ่อยๆว่ามาตรฐานของปลั๊กไฟฟ้าเขากำหนดให้ต่อสายแบบไหน เนื่องจากมีบางคนสังเกตเห็นว่ารูของเต้าเสียบปลั๊กไฟฟ้ามันมีลักษณะเฉพาะของแต่ละรู แล้วเขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร บางคนคงเคยพบกับปัญหาไฟรั่วจากคอมพิวเตอร์เมื่อเราเอามือไปจับตัวถังหรือส่วนที่เป็นโลหะจะรู้สึกตกใจมากเมื่อดโนไฟช๊อต สิ่เหล่านี้ปัญหาหลักๆมาจากการต่อสายไฟที่เต้าเสียบผิดขั้วหรือเสียบปลั๊กกลับด้าน
อันดับแรกเรามาทำความรู้จักกับเต้าเสียบปลั๊กไฟฟ้ากันก่อนว่าปลั๊กไฟฟ้ามาตรฐานมันมีหน้าตาอย่างไรกันชัดๆ 

ปลั๊กไฟฟ้าสำหรับเครื่องมือแพทย์จากรูปจะเห็นว่ามีรูที่เราใช้เสียบปลั๊กทั้งหมด 3 รู ต่อชุดเสียบปลั๊ก 1 ปลั๊ก โดยเป็นรูที่เราใช้เสียบปลั๊กตาม ปกติ 2 รูก็คือด้านที่เป็นรูแบนในรูปซ้าย หรือรูกลมที่มีหัวตัดแบนในรูปขาว 2 รูนี้ทำหน้าที่ให้ไฟฟ้าไหลเข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ครบวงจร ส่วนอีกรูกลมหัวตัดเป็นรูของสายดิน
ตามมาตรฐานของปลั๊กไฟฟ้าจะกำหนดให้แต่ละรูของเต้าเสียบมีชื่อเรียกและมีหน้าที่เฉพาะของมันโดยเฉพาะ คือ
1. รูแคบ (L : Line) คือรูเสียบที่แคบกว่า(ลูกศรชี้อยู่)
2. รูกว้าง (N : Neutral) คือรูเสียบที่กว้างกว่ารู L หัวตัดแบนจะกว้างกว่า
3. รูกลมหัวตัด (GND : Ground) คือรูเสียบด้านข้างสำหรับสายดิน 


ไม่ใช่เฉพาะเต้าเสียบแบบ 3 ตาเท่านั้นนะครับถึงแม้เป็นแบบ 2 รูไม่มีสายดินก็ต้องเป็นแบบนี้เหมือนกัน ทีนี้เรามาดูหน้าที่ของเต้าเสียบปลั๊กไฟแต่ละช่อง
  • L : Line - เป็นรูที่ต่อกับสายไฟฟ้าที่มีไฟฟ้าวิ่งมาจากโรงงานผลิตไฟฟ้า สายนี้จะมีศักย์ไฟฟ้าสูงก็คือ 220 โวลต์สำหรับไฟฟ้าในบ้านทั่วไป เมื่อเช็คด้วยไขควงวัดไฟจะมีแสงสว่างติดแสดงว่าเป็นสายที่มีไฟฟ้าคือสาย Line หรือ Hot ถ้าเอามือจับสายนี้ไฟฟ้าก็จะไหลเข้ามาช๊อตเราได้ และเช่นกันหากสายไฟเส้นนี้ไปแตะกับตัวถังเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือช๊อตคนที่มาสัมผัสได้
  • N : Neutral - เป็นรูที่ต่อกับสายไฟฟ้าที่วิ่งกลับไปยังโรงงานผลิตไฟฟ้าหรือหม้อแปลงของการไฟฟ้าที่เป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าให้เรา สายไฟเส้นนี้จะมีศักย์ต่ำเมื่อเช็คด้วยไขควงวัดไฟฟ้าจะไม่มีไฟติดสว่างแสดงว่าเป็นสาย N
  • GND : Ground - เป็นรูที่ต่อกับสายดินของอาคาร โดยสายดินจะต่ิเข้ากับทุ่นโลหะที่ตอกลงไปในดินใต้อาคารตามมาตรฐานที่การไฟฟ้ากำหนด

ปลั๊กไฟฟ้าสำหรับเครื่องมือแพทย์ วิธีการตรวจเช็คขั้วปลั๊กไฟฟ้าจากรูปจะเห็นว่าบางยี่ห้อเขาจะพิมพ์ตัวอักษร L กับ N ไว้ที่หน้ากากด้านหน้าเลยว่ารูไหนต้องต่อกับสายอะไร ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการติดตั้งหรือต่อสายไฟเข้ากับเต้าเสียบให้ถูกขั้วมันมีความสำคัญมาก หากต่อสายไฟที่เต้าเสียบไว้ผิดขั้วต่อให้ปลั๊กที่นำมาเสียบมีมาตรฐานก็ทำให้ไฟฟ้าวิ่งเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าผิดขั้วไปด้วยนั่นเอง เนื่องจากมีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายประเภทที่มีความจำเป็นต้องต่อสายไฟเข้าเครื่องให้ถูกขั้วจะจะปลอดภัยและไม่มีผลต่อการใช้งานของเครื่อง ซึ่งก็ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้กะแสไฟฟ้ามากๆหรือกินกำลังไฟฟ้าสูง และเครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีแหล่งจ่ายไฟเป็นแบบสวิตซ์โหมดหรือ Switching Power Supply ลักษณะเดียวกับคอมพิวเตอร์เนื่องจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าสลับขั้วจะให้ผลการเหนี่ยวนำที่ต่างกัน ในคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ต่อสายดินถ้าเราเสียบปลั๊กผิดขั้วจะเห็นว่ามีไฟช๊อตถ้าเอมือไปจับตัวถัง ถ้าเอไขควงวัดไฟเช็คหลอดก็จะติดสว่าง ถ้าลองดึงปลั๊กออกแล้วสลับขั้วเสียบใหม่จะพบว่าไฟไม่ช๊อตเราแล้ว หรืออย่างน้อยมันก็ช๊อตน้อยลง สาเหตุมาจากเต้าเสียบต่อไฟไว้สลับขั้วหรือเราหักขาวสายดินออกทำให้เสียบกลับขั้วได้แล้วเกิดปัญหาขึ้น อย่างไรก็ตามขอย้ำว่าควรต่อสายดินนะครับเพื่อความปลอดภัย 

ปลั๊กไฟฟ้าสำหรับเครื่องมือแพทย์ วิธีการต่อสายไฟเข้าเต้าเสียบปลั๊กไฟฟ้าการตรวจเช็คขั้วของสายไฟฟ้าหรือขั้วของเต้าเสียบปลั๊กไฟฟ้าด้วยไขควงวัดไฟที่ถูกต้องไฟต้องติดแค่ขั้ว L นะครับขั้ว N ต้องไม่ติด ถ้าติดทั้งสองขั้วหรือไม่ติดทั้งสองขั้วก็ถือว่าใช้ไม่ได้ 
ทีนี้เรามาดูกันว่าตอนติดตั้งหรือต่อสายไฟเข้ากับเต้าเสียบช่างเขาต้องดูอะไรบ้างจึงจะต่อได้ถูกตามมาตรฐาน จากรูปจะเห็นว่าเมื่อเราพลิกดูด้านหลังเต้าเสียบปลั๊กไฟฟ้าที่มาตรฐานเขาจะระบุไว้าอย่างชัดเจนแทบทุกยี่ห้อว่าให้ต่อสาย L เข้าด้านไหน และสาย N เข้าด้านไหน สายดิน GND เข้าช่องไหน ดังนั้นถ้าช่างเข้าใจถูกต้องและเอาใจใส่หน่อยก็คงสามารถต่อได้ถูกต้อง แต่ก็มีช่างชำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดและยืนยันว่าไฟฟ้ากระแสสลับต่อด้านไหนมันก็เหมือนกันและสามารถใช้งานได้ เครื่องใช้ไฟฟ้าก็เปิดติดได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ให้พลิกด้านหลังของเต้าเสียบให้เขาดูและบังคับให้เข้าต่อตามมาตรฐานก็แล้วกัน เพราะถ้ามันไม่ต่างกันหรือไม่มีความสำคัญจริงๆเขาจะกำหนดหรือผลิตมาให้มันต่างกันให้ยุ่งยากไปทำไม ผลิตให้มันเหมือนกันไปเลยจะไม่ง่ายกว่าหรือ

คลิปหวาดเสียว เกือบโดนฉลามงับขา


สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดำน้ำแล้ว การได้เห็นฉลามขณะแหวกว่ายอยู่ใต้ทะเล ถือเป็นความโชคดีอย่างที่สุด
นักดำน้ำกลุ่มนี้ กำลังตื่นตาตื่นใจกับฝูงฉลามที่ได้พบ ซึ่งว่ายวนเวียนอยู่รอบๆ พร้อมทั้งเข้ามาให้เก็บภาพอย่างใกล้ชิด แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น โดยดูจากคลิปประมาณวินาทีที่ 40 เมื่อนักดำน้ำที่ถือกล้องบันทึกภาพท่านหนึ่ง เกือบโดนฉลามงับขา!!!
ดูแล้วต้องบอกว่าฉิวเฉียดจริงๆ หวาดเสียวแค่ไหน ต้องดู!
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th  

นอนหลับ “มากไป-น้อยไป” เสี่ยงต่อโรคหัวใจ


วันนี้ ( 26 มี.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในสหรัฐเผยว่า ผู้ที่นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมง หรือมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ มากกว่าผู้ที่นอนหลับเพียงพอ ระหว่าง 6 ถึง 8 ชั่วโมง

ผลงานวิจัยจากสมาคมสำรวจด้านสุขภาพและโภชนาการแห่งสหรัฐ ที่ได้รับการเผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุว่า สุขนิสัยในการนอนหลับ อาจส่งผลต่อสุขภาพของหัวใจ โดยจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 3,000 คน ซึ่งมีอายุ 45 ปีขึ้นไป และมีอาการป่วยด้วยโรคหัวใจ ด้วยวิธีการสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอนหลับ พบว่า ผู้ที่นอนน้อยกว่าคืนละ 6 ชั่วโมง มีความเสี่ยงต่อภาวะเส้นโลหิตในสมองอุดตัน หรือโรคหัวใจ มากกว่าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อคืน ถึง 2 เท่า และมีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวมากกว่าถึง 1.6 เท่า
 
ขณะที่ผู้ที่นอนหลับมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อคืน  มีความเสี่ยงต่ออาการเจ็บหน้าอก จากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มากกว่าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อคืน ถึง 2 เท่า และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหลอดเลือดแดงเลี้ยงหัวใจอุดตัน มากกว่าผู้ที่นอนหลับต่อวันอย่างเพียงพอถึง 1.1 เท่า
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th  

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources