วันนี้ (28 มี.ค.) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยหลังเข้าพบ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข เพื่อขอข้อมูลในการตรวจสอบโรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชนถึงความผิดปกติในการสั่งซื้อ สั่งจ่ายยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ว่า การทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขต่อจากนี้มี 2 เรื่องคือ 1. คดีการหายไปของยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ซึ่งมีการทำงานร่วมกันในลักษณะสนธิกำลัง มีกฎหมายของดีเอสไอเป็นกฎหมายกลางให้แต่ละหน่วยยึดถือร่วมกัน และจากนี้ไป กระทรวงสาธารณสุข อย. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะสนธิกำลังทำเรื่องนี้ให้จบ 2.การเพิ่มฐานความผิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุขจะกลายเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องเข้าคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษอีกต่อไป มี 9 ฐานความผิด แนบ ท้ายพ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 คือ คดีเกี่ยวกับยา เครื่องสำอาง วัตถุเสพติด วัตถุอันตราย และอาหาร คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือน เม.ย.
“มีข้อสังเกตส่วนตัวว่าอยากให้พวกเราเชื่อมั่นของระบบสาธารณสุขเมืองไทย ความทุ่มเทของบุคลากรในสาธารณสุขซึ่งดีมาตลอดต่อชาติบ้านเมืองเรา เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการกระทำของคนบางคนเท่านั้น ซึ่งเราจะดำเนินการตามกฎหมาย ความจริงทำงานกันมาล่วงหน้ามาพอสมควรแล้ว และจากนี้ไปก็จะทำงานในเชิงลึก และจะทำความจริงให้ปรากฏ” นายธาริต กล่าวและว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งต้องขอเวลาให้เราทำงานก่อน ขณะนี้สามารถต่อจิ๊กซอว์ได้ภาพใหญ่พอสมควร เหลือเพียงลงรายละเอียดเชิงลึกว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง คาดว่าปลายเดือนเม.ย.น่าจะได้คำตอบในระดับหนึ่ง ส่วนที่ว่าจะเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่นั้นคือการเกี่ยวข้องมีหลายระดับ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไประบุว่าอะไรเป็นอะไรต้องดูตามข้อเท็จจริงเป้าหมายการทำงานของเราคือดูว่า เชื่อมโยงไปถึงใคร ซึ่งได้ติดตามมาตลอดตามเส้นทางการเงิน ทางโทรศัพท์ โดยใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเต็มรูปแบบและสนธิกำลังพอสมควร ขณะนี้มีคนที่อยู่ในข่ายเกี่ยวข้องเยอะเรารู้หน้าตาว่าเป็นใครที่มีส่วนในการช็อปปิ้งยา แต่ไม่ขอเปิดเผยว่ามีจำนวนกี่คน
ด้านนายพสิษฐ์ ในฐานะประธานคณะทำงานป้องกันปรบปราม ฟื้นฟูและเยียวยาด้านยาเสพติด กล่าวว่า เบื้องต้นได้มอบหลักฐานของโรงพยาบาลที่ได้ลงไปตรวจสอบ รวมถึงหลักฐานที่อาจจะเชื่อมโยงไปถึงคนใกล้ชิดผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขให้กับนายธาริตแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะคลี่คลายในเร็วๆนี้ และยืนยันว่าคณะทำงานจะทำการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป เบื้องต้นพบว่ามีความผิดปกติในโรงพยาบาลอีก 8 แห่งที่ตัวเลขไม่ตรงกัน แต่ตอนนี้ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด ต้องตรวจสอบรายละเอียดต่อไป ผอ.รพ. ไม่ต้องกังวล เพราะจะจับปลาตัวใหญ่
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ยินดีให้การสนับสนุนการประสานงานร่วมกับดีเอสไอในทุกเรื่องเพื่อให้ประชาชนสบายใจ ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ตอนนี้ต้องเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายทุกอย่าง.
ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ขัดข้องที่ดีเอสไอเข้ามาดำเนินการ เพราะที่ผ่านมาเกรงว่าถ้าเป็นคดีทั่วไปอาจจะมีปัญหาเรื่องการสอบสวน แต่ดีเอสไอสามารถสอบสวนในเชิงลึกและขบวนการโยงใยการผลิตยาและที่มาของเงินด้วย ซึ่งได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ประสานงานกับดีเอสไอ อย่างไรก็ตามในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณตามแนวชายแดนไทย – ลาว ส่วนที่มีข่าวว่าคนใกล้ชิดรัฐมนตรีมีส่วนเกี่ยวข้องในขบวนการนั้น เท่าที่ตรวจสอบยังไม่มีปัญหาอย่างนั้นแต่ยอมรับว่าคนชื่อวิทยา มีจำนวนมาก และอาจมีคนที่ชื่อเดียวกับแต่ไม่ใช่ตนแน่นอน
ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผบ.ตร. กล่าวปฎิเสธกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ความรว่มมือกรมสอบสวนคดีพิเศษในการทำคดียาแก้หวัดดังกล่าว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนรวม ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็น ปปส.ปปง. หรือแม้กระทั่งตำรวจเองหากเรารู้ก็ต้องดำเนินการ เรื่องเจ้าหน้าที่ไม่ให้ความร่วมมือจึงไม่เป็นความจริง
ที่ จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก. สภ.กมลาไสย เปิดเผยว่า ขณะนี้เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสย ผู้ต้องหาเริ่มให้การที่เป็นประโยชน์และได้ซัดทอดแหล่งปล่อยยาที่จังหวัดร้อยเอ็ด จึงทำให้หลายฝ่ายเกรงว่าอาจจะถูกตัดตอน เพื่อไม่ให้สาวไปถึงขบวนการใหญ่ ซึ่งทางตำรวจพื้นที่พร้อมที่จะเข้าคุ้นกันความปลอดภัยทันทีหากมีการร้องขอมา แต่ทราบว่าขณะนี้เภสัชกรรม ผู้ต้องหา ได้ไปช่วยราชการที่กระทรวงสาธารณสุขจึงยังไม่ได้ประสานมา ทั้งนี้ ในด้านของสำนวนทางสภ.กมลาไสย โดยพนักงานสอบสวนได้รวบรวมทั้งพยานหลักฐานต่างๆครบสมบูรณ์ และชัดเจนแล้วว่าเภสัชมีการกระทำผิดนำยาออกไปโรงพยาลจริง โดยเบื้องต้นได้รับการประสานจาก ดีเอสไอ จะมารับสำนวนผลสอบในวันที่ 30 มี.ค.ซึ่งได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว
ที่ จ.อุดรธานี นาย อังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ เจ้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการ สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้เข้าพบ พ.ต.ท.มนัส อัดโดดดร สารวัตรเวร สภ.เมืองอุดรธานี เจ้าของคดีนายสมชาย แซ่โค้ว เภสัชกรชำนาญการโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ที่ได้ทุจริตยักยอกยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีนกว่า 7 ล้านเม็ด จากคลังยาของโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เพื่อรับสำนวนการสอบสวน นอกจากนี้ยังเดินทางไปรับสำนวนคดีเรื่องยาในพื้นที่ 7 จังหวัด คือ อุดรธานี กาฬสินธุ์ ศรีษะเกษ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เชียงใหม่ และอุตรดิตถ์
ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ พ.ต.อ.เอกชัย พิมลศรี ผกก.สภ.สันกำแพง ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบซองยาแก้หวัดชนิดต่างๆจำนวนมากถูกทิ้งไว้ในป่าไมยราบ ริมถนนสายซูปเปอร์เชียงใหม่-สันกำแพง บ้านน้อย หมู่ 11 ต.สันกำแพง จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อม พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รอง ผบช.ภ.5 นายวิชัย ไชยมงคล ผอ.ปปส.ภาค 5 นายโชคดี อมรวัฒน์ นายอำเภอสันกำแพง พร้อมเจ้าหน้าที่กองวิทยาการเชียงใหม่ บริเวณที่พบเป็นป่าไมยราบร้างกว้างกว่า 5 ไร่ พบถุงขยะขนาดใหญ่ถูกทิ้งเกลื่อนกลาด 39 ถุงข้างในพบซองยาแก้หวัดชนิดต่างๆ เช่น ซูลีดีน นาซิเฟด ฟาเฟด ซินูเฟด แอนติเฟด โพลิเฟด นาโซลีน มิลาเฟด และโคเฟด และยังมียี่ห้ออื่นๆอีกหลายชนิดรวมกว่า 5-6 แสนแผงคิดเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านเม็ดโดยมีจำนวน 14 ถุงใหญ่ที่มีการนำแผงยาเข้าเครื่องบดละเอียดส่วนที่เหลืออีก 25 ถุงใหญ่ยังเป็นแผงยาแต่ไม่มียาอยู่ข้างใน
นายวิไชย กล่าวว่า เบื้องต้นพบว่าทั้งหมดเป็นยาแก้หวัดมากถึง 28 ชนิดและอาจจะเชื่อมโยงกับกรณีการสั่งยาเกินของเภสัชกรโรงพยาบาลในหลายพื้นที่ทางภาคกลาง ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อหาเครือข่ายมาดำเนินคดี และการที่นำซองยามาทิ้งในจังหวัดเชียงใหม่ที่เราพบหลายครั้งนั้นก็เพราะว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นฐานการแกะยาแก้หวัดเหล่านี้เพื่อส่งออกประเทศเพื่อนบ้านไปผลิตยาเสพติดซึ่งยาแก้หวัดที่มีส่วนประกอบของซูโดอีเฟดรีนนั้น ขนาด 60 มิลลิกรัมผลิตยาบ้าได้ 3 เม็ด ขณะที่ยาแก้หวัด 1 ล้านเม็ดผลิตยาไอซ์ได้มากถึง 45 กิโลกรัม
พ.ต.ท.สมชาย อินทะวงศ์ รอง ผกก.ป.สภ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้รับรายงานว่าได้พบซองยาแก้หวัดน้ำหนักรวมกว่า 5 กิโลกรัมถูกทิ้งไว้ตรงที่ทิ้งขยะริมลำน้ำแม่กก บ้านห้วยน้ำเย็น ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จึงเดินทางไปตรวจสอบก็พบซองยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมสารซูโดอีเฟดรีนจำนวน 8 ชนิดกว่า 1 ล้านเม็ดถูกทิ้งไว้ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานและเชื่อว่าของทั้งหมดเป็นของกลุ่มเครือข่ายผลิตยาเสพติดที่ทำการสั่งซื้อเพื่อนำไปผลิตยาเสพติดซึ่งจะได้สืบสวนสอบสวนหาที่มาที่ไปของยาดังกล่าวต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขบวนการลักลอบขนยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมสารซูโดอีเฟดรีนออกจากโรงพยาบาลและกวาดซื้อตามร้านขายยาพบว่า ยาทั้งหมดจะถูกแกะออกจากแผงแล้วถูกนำไปรวบรวมไว้บริเวณชายแดนด้าน อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อลักลอบส่งขายให้กลุ่มว้าในราคาเม็ดละ 10 บาท จากนั้นจึงจะนำไปผลิตเป็นยาบ้าส่งกลับเข้ามาขายในประเทศไทยในราคาเม็ดละ 200-300 บาท.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th