ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (13 พ.ย.)
ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดี ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง
นายประทีป เลี่ยวไพรัตน์ นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ นายประชัย
เลี่ยวไพรัตน์ นายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ น.ส.มาลินี เลี่ยวไพรัตน์
ซึ่งเป็นพี่น้องกัน และ บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 - 6
ฐาน กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 49 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า
เมื่อระหว่างวันที่ 1 ก.พ. 2538 - 27 ก.ค. 2542 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหกซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด จำเลยที่ 6 ได้ร่วมกันกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น และจำเลยได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจรับผิด ชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยร่วมกันก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (ทีพีไอ) ด้วยการที่จำเลยทั้งหก ได้ให้ บริษัท ทีพีไอ เช่าอาคารสำนักงานทีพีไอทาวเวอร์ล่วงหน้านาน 90 ปี เนื้อที่ กว่า 23,000 ตร.เมตร จำนวน 877,303,888 บาท และเงินกินเปล่า จำนวน 79,538,318 บาท รวมเป็นเงิน 956,842,206 บาท ทั้งที่ความจริงแล้ว บริษัท ทีพีไอ ต้องการใช้พื้นที่ทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยเพียง 10,000 ตร.เมตรเศษ เท่านั้น
การกระทำดังกล่าวทำให้บริษัท ทีพีไอ ประสบปัญหาทางด้านการเงินและขาดสภาพคล่อง เหตุเกิดที่ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 311, 313, 315 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า การทำสัญญานาน 90 ปี ถือเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการธุรกิจ และก่อให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นการเปิดเผยข้อมูลการเช่าต่อสาธารณชน สัญญาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งผู้ถือหุ้นบริษัทพีทีไอไม่มีใครทักท้วง และไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัททีพีไอ และบริษัททีพีไอก็ไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน เพราะบริษัท ทีพีไอ ยังมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน นอกจากนี้พยานโจทก์ทั้ง 16 ปาก ก็ไม่มีใครเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1-5 รับเงินค่าเช่าล่วงหน้าและเงินกินเปล่าจำนวนดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน หรือแสวงหาผลประโยชน์แต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยทั้งหกได้ พิพากษายกฟ้อง..
เมื่อระหว่างวันที่ 1 ก.พ. 2538 - 27 ก.ค. 2542 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหกซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด จำเลยที่ 6 ได้ร่วมกันกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น และจำเลยได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจรับผิด ชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยร่วมกันก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (ทีพีไอ) ด้วยการที่จำเลยทั้งหก ได้ให้ บริษัท ทีพีไอ เช่าอาคารสำนักงานทีพีไอทาวเวอร์ล่วงหน้านาน 90 ปี เนื้อที่ กว่า 23,000 ตร.เมตร จำนวน 877,303,888 บาท และเงินกินเปล่า จำนวน 79,538,318 บาท รวมเป็นเงิน 956,842,206 บาท ทั้งที่ความจริงแล้ว บริษัท ทีพีไอ ต้องการใช้พื้นที่ทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยเพียง 10,000 ตร.เมตรเศษ เท่านั้น
การกระทำดังกล่าวทำให้บริษัท ทีพีไอ ประสบปัญหาทางด้านการเงินและขาดสภาพคล่อง เหตุเกิดที่ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 311, 313, 315 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า การทำสัญญานาน 90 ปี ถือเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการธุรกิจ และก่อให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นการเปิดเผยข้อมูลการเช่าต่อสาธารณชน สัญญาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งผู้ถือหุ้นบริษัทพีทีไอไม่มีใครทักท้วง และไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัททีพีไอ และบริษัททีพีไอก็ไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน เพราะบริษัท ทีพีไอ ยังมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน นอกจากนี้พยานโจทก์ทั้ง 16 ปาก ก็ไม่มีใครเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1-5 รับเงินค่าเช่าล่วงหน้าและเงินกินเปล่าจำนวนดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน หรือแสวงหาผลประโยชน์แต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยทั้งหกได้ พิพากษายกฟ้อง..