วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ศาลยกฟ้อง ประชัย ให้ทีพีไอเช่าพื้นที่นาน 90 ปี


ที่ห้องพิจารณา 908  ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (13 พ.ย.) ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดี ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายประทีป เลี่ยวไพรัตน์   นายประมวล  เลี่ยวไพรัตน์   นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์  นายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์   น.ส.มาลินี เลี่ยวไพรัตน์   ซึ่งเป็นพี่น้องกัน และ บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด   เป็นจำเลยที่ 1 -  6 ฐาน กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 49 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า

เมื่อระหว่างวันที่ 1 ก.พ. 2538 - 27 ก.ค. 2542 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน  จำเลยทั้งหกซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด จำเลยที่ 6 ได้ร่วมกันกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น และจำเลยได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจรับผิด ชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยร่วมกันก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (ทีพีไอ)  ด้วยการที่จำเลยทั้งหก ได้ให้ บริษัท ทีพีไอ เช่าอาคารสำนักงานทีพีไอทาวเวอร์ล่วงหน้านาน 90  ปี เนื้อที่ กว่า 23,000 ตร.เมตร จำนวน 877,303,888 บาท และเงินกินเปล่า จำนวน 79,538,318 บาท รวมเป็นเงิน 956,842,206 บาท   ทั้งที่ความจริงแล้ว บริษัท ทีพีไอ  ต้องการใช้พื้นที่ทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยเพียง  10,000 ตร.เมตรเศษ เท่านั้น

การกระทำดังกล่าวทำให้บริษัท ทีพีไอ ประสบปัญหาทางด้านการเงินและขาดสภาพคล่อง เหตุเกิดที่  แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 311, 313, 315 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า  การทำสัญญานาน 90 ปี   ถือเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการธุรกิจ และก่อให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นการเปิดเผยข้อมูลการเช่าต่อสาธารณชน สัญญาสามารถเปลี่ยนแปลงได้   อีกทั้งผู้ถือหุ้นบริษัทพีทีไอไม่มีใครทักท้วง และไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัททีพีไอ  และบริษัททีพีไอก็ไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน  เพราะบริษัท ทีพีไอ ยังมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน นอกจากนี้พยานโจทก์ทั้ง 16 ปาก ก็ไม่มีใครเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1-5 รับเงินค่าเช่าล่วงหน้าและเงินกินเปล่าจำนวนดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน หรือแสวงหาผลประโยชน์แต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยทั้งหกได้ พิพากษายกฟ้อง..

รวบเอเย่นต์ค้ายาบ้าวัยโจ๋ พร้อมยาบ้า และอาวุธปืน


เมื่อเวลา 08.20 น. วันนี้ (13 พ.ย.) ที่ สภ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พ.ต.อ.มงคล ลิ้มสุวรรณ ผกก.สภ.กันทรลักษ์ เปิดเผยว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ร.ต.อ.เสกสิทธิ์ สาระวรรณ รอง สว.สส. สภ.กันทรลักษ์  ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจำนวนหนึ่ง บุกเข้าทำการจับกุมตัว นายรังสรรค์ บุญโสม อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/1 หมู่ 14 ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ นายเขียว (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี เยาวชนชาว ต.หนองหว้า อ.เบญจลักษ์ และ นายขาว (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี เยาวชนชาว ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ ในขณะกำลังมั่วสุมเสพยาบ้า อยู่ภายในห้องของบ้านบ้านเลขที่ 105/1 หมู่ 17 ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านของนายขาว พร้อมด้วยของกลางยาบ้าจำนวน 22 เม็ด และอุปกรณ์เสพยาบ้าจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งตรวจพบสมุดบัญชีรายชื่อ ทั้งนี้หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้สืบทราบว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมานาน จึงได้วางแผนเข้าจับกุมดังกล่าว และควบคุมตัวมาสอบสวน ที่ สภ.กันทรลักษ์

จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ให้การรับสารภาพว่า ได้เสพยาบ้า และได้จำหน่ายยาบ้าให้กับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษ์ โดยซื้อยาบ้ามาจากนายศรัญญู และนายประสิทธิ์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้ทำการวางแผนเข้าทำการจับกุมตัว นายศรัญญู ถนอมศรี อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ 13 ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และนายประสิทธิ์ เกตศักดิ์ อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77 หมู่ 10 ต.ทุ่งเทิง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นเอเย่นต์ค้ายาบ้ารายสำคัญ ใน อ.กันทรลักษ์ พร้อมด้วยของกลางยาบ้าจำนวน 59 เม็ด และเงินสด จำนวน 129,000 บาท ได้ขณะกำลังนั่งวางแผนส่งยาบ้า และมั่วสุมเสพยาบ้าอยู่ ที่บริเวณกระท่อมกลางทุ่งนา ด้านทิศตะวันตกของบ้านนากันตม ต.สังเม็ก ตรวจสอบบริเวณรอบกระท่อม พบปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ นอริงโก้ 1 กระบอก ปืนสั้นไทยประดิษฐ์ ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนขนาด 9 มม.และ ขนาด .22 รวมจำนวน 15 นัด ซึ่งเป็นของนายศรัญญู

  เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาทั้งหมด ในข้อหา เสพยาบ้า และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ส่วนนายศรัญญู ได้แจ้งข้อหาเพิ่ม ในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นได้ควบคุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป..

ฝากขัง"ยู่ยี่"ซุกโคเคนคาดอนเมือง


วันนี้ (12พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ร.ต.ต.พิสิฐษ์  เฮงที พนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง ได้นำตัวนางชัชชญา เกวสต้า รามอส  อายุ 39 ปี อดีตนักร้อง -  นางแบบเซ็กซี่ชื่อดัง อยู่บ้านเลขที่ 59/95 ซอยรามคำแหง 140 แขวงและเขตสะพานสูง กทม. ผู้ต้องหาคดีมียาเสพติด(โคเคน)ไว้ในครอบครองมายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้ง แรก โดยพนักงานสอบสวนระบุ พฤติการณ์สรุปว่า
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 11.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สนามบินดอนเมือง รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่งานตรวจลงตรา ด่านตม.สนามบินดอนเมือง พบผู้ต้องหาสัญชาติไทย แสดงอาการพิรุธ โดยเข้าไปในห้องน้ำและส่งเสียงดังผิดปกติ จึงแจ้งให้ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาและขอตรวจค้นตัวและกระเป๋าถือ พบถุงพลาสติกใส ชนิดรูดเปิดปิดภายในบรรจุผงสีขาวหนัก 5 มิลลิกรัม และยาเม็ดสีฟ้าอ่อน 8 เม็ด และยาเม็ดแค็ปซูลสีเขียว เข้มอีก 4 เม็ด สอบถามผู้ต้องหาแจ้งว่า ผงสีขาวเป็นโคเคน ที่เหลือจากการเสพที่ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 9 พ.ย.  ส่วนยาเม็ดสีฟ้าอ่อนเป็นยานอนหลับ และยาแค็ปซูล อีก 4 เม็ดเป็นยาบำรุงตับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือโคเคน ไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพโดยตลอด
พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนมาโดยตลอดแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ต้องรอสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 4 ปาก รอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง รอผลลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ต้องหา ด้วยความจำเป็นดังกล่าว จึงขอฝากขังไว้ 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 12 – 23 พ.ย.นี้ ทั้งนี้พนักงานสอบสวนไม่ขอคัดค้านการประกันตัว   ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถาม ผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมา นายแฟรงค์  เกวสต้า รามอส   สามีชาวสเปน ของอดีตนักร้องสาวได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 10,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัวได้

ผบช.น.วางกำลังเข้มรับ "โอบาม่า"


เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้(13พ.ย.) ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พร้อมด้วยพล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ รอง ผบช.น. และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมวีดีโอคอนเฟอเรนซ์กับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุมและความเคลื่อนไหวต่างๆ โดยเฉพาะการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ นายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา  ในวันที่ 18 พ.ย. นี้

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ ได้กำชับเรื่องคดีอาชญากรรมไม่ให้พุ่งสูงขึ้น รวมถึงคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งหากบช.ใดมีคดีเกิดขึ้นให้นำสถิติคดีที่เกิดและแผนประทุษกรรมไปให้ทีม วิเคราะห์อาชญากรรมของแต่ละบช. วิเคราะห์ เพื่อนำไปปรับปรุงกำหนดแผนให้คดีลดลงให้ได้ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนายบารัค โอบาม่า ทางผบ.ตร. ได้กำชับแล้ว และมอบหมายให้ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ร่วมประชุมกับทีม รปภ.ของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า โดยในส่วนของบช.น. ได้ให้พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น. ไปร่วมประชุม และมีการวางแผนร่วมกันทุกจุดที่ไป ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลศิริราช หรือทำเนียบรัฐบาล และจุดอื่นๆ ซึ่งยืนยันว่าทาง บช.น. พร้อมดูแลความปลอดภัยคณะของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาด้วย

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวอีกว่า บช.น.มีการจัดกำลังเต็มที่ และอาจมีการปิดถนนบางช่วงที่นายบารัคต้องสัญจรผ่านด้วย โดยได้ประสานทั้งเฮลิคอปเตอร์ที่เขานำมาเอง และทีมงานของเรา ซึ่งแผนได้มีการประชุมกันตลอด ส่วนกำลังพื้นที่อื่นๆนั้น คงไม่จำเป็น บช.น.มีกำลังเพียงพอ ด้านการข่าวก็ไม่มีปัญหาอะไร มีการประชุมเป็นระยะ ว่าเตรียมการอย่างไร ประกอบกำลังอย่างไร ซึ่งบางจุดก็มีการร้องขอกำลังเพิ่ม เช่น พื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ทีมรปภ.ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็พอใจแผนการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ไทย หากต้องการอะไรเพิ่มเติมจึงจะร้องขอมา เรื่องนี้ทาง ผบ.ตร. และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอยู่แล้ว..

ดีเอสไอเรียกครม.อภิสิทธิ์ เข้าให้ปากคำคดี 91 ศพ


วันนี้ (13 พ.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายชวรัตน์   ชาญวีรกูล  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  และนายชุมพล  ศิลปอาชา  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอเพื่อให้ปากคำคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้า หน้าที่รัฐ 91 ศพ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ตามหมายเรียกของดีเอสไอ เนื่องจากทั้ง2 คนถือเป็นผู้มีบทบาทร่วมในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รัฐบาลชุด นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  โดยมี พ.ต.อ.ประเวศน์  มูลประมุข  รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเข้าร่วมสอบปากคำ
นายชุมพล  กล่าวว่า ตนเข้าให้ปากคำในฐานะพยานเนื่องจากมีตำแหน่งในครม.เมื่อปี 2553 จึงคาดว่าดีเอสไอจะเรียกเข้ามาสอบถามถึงสถานการณ์เมื่อปี 2553  ส่วนจะสอบถามประเด็นใดบ้างนั้นยังไม่ทราบ แต่พร้อมจะตอบทุกข้อ ข้อซักถาม  อย่างไรก็ตาม การประชุมครม.ในขณะนั้นเป็นการประชุมตามปกติ ไม่มีการสั่งการบัญชาการให้ทำอะไรเป็นพิเศษ  ขณะที่นายชวรัตน์  ปฏิเสธตอบข้อซักถามถึงการเข้าให้ปากคำ

ด้านพ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า  ได้ซักถามทั้ง 2 คน ในประเด็นการประชุมครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2553 ที่มีการหารือและประกาศพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยทั้ง 2 ได้ให้การที่สอดคล้องกันแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยหลังจากนี้จะทยอยเรียกผู้ที่มีชื่อเข้าร่วมประชุมครม. 13 คนเข้าให้ข้อมูลทุกปาก  ซึ่งหลังจากนี้ยังมีพยานในส่วนของฝ่ายผู้ปฏิบัติที่ต้องเรียกเข้าให้ปากคำ อีกหลายปาก  รวมถึงในวันนี้ตนจะออกหมายเรียกให้พยานที่เป็นเจ้าของบ้านไม้โบราณที่คณะ กรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) อ้างในรายงานว่าอาจถูกใช้เป็นสถานที่ยิงอาวุธใส่กลุ่มทหารเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 เข้าให้ปากคำด้วย หากไม่มาก็จะถือว่ามีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานต้องมีโทษทางอาญา  อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะต้องเรียกพยานที่เคยให้ปากคำกับคอป. รวมถึงคณะทำงานทุกชุดมาให้ปากคำเพื่อรวบรวมข้อมูลก่อนออกหมายเรียกนายคณิต  ณ นคร  ประธานคอป. เข้าให้การต่อไป..  

ตร.งัด 9 มาตรการเข้ม หลังพบเหตุอุกฉกรรจ์จากอาวุธปืน


ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) วันนี้ (13 พ.ย.) พล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ รองโฆษก ตร.กล่าวถึง มาตรการดูแลการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ว่า เนื่องด้วยการก่อเหตุคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ และคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ ส่วนใหญ่คนร้ายจะใช้อาวุธปืนในการกระทำความผิด และหลายคดีได้กระทำการในลักษณะอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ก่อให้เกิดความหวาดกลัวแก่ประชาชนทั่วไป ฉะนั้นเพื่อลดความรุนแรงการก่อเหตุอาชญากรรม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ดำเนินการดังนี้
1.หัวหน้าสถานีตำรวจทุกแห่ง ต้องประชุมฝ่ายสืบสวน สอบสวน ป้องกันและปราบปราม เพื่อรับทราบสถานการณ์อาชญากรรมในพื้นที่รับผิดชอบด้วยตนเองทุกวัน 2.ปรับแผนการจัดสายตรวจทุกประเภทให้เหมาะสมกับห้วงเวลา และแนวโน้มอาชญากรรมที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง จุดล่อแหลม อย่างธนาคารที่ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ร้านสะดวกซื้อ โดยจะต้องเพิ่มความเข้มในการตรวจช่วงใกล้ปิด หรือในยามวิกาล

 3.ออกแผนเผชิญเหตุคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ธนาคาร ร้านทอง ย่านธุรกิจการค้าที่ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก่อนกำหนดจุดตรวจ หรือจุดสกัดเคลื่อนที่ จุดก้าวสกัดจับที่ชัดเจนเมื่อเกิดเหตุ และต้องซักซ้อมการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุอย่างจริงจัง 4.ตั้งจุดตรวจบุคคล ยานพาหนะในเส้นทางล่อแหลม เพื่อตรวจค้นอาวุธทุกชนิดที่อาจจะนำไปใช้ในการกระทำความผิด โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถที่ไม่มีใบอนุญาต หรือไม่มีสำเนาทะเบียนรถ ทั้งนี้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมถ่ายรูปทำประวัติเก็บไว้เป็นหลักฐาน

5.ระดมกวาดล้างอาวุธปืน อาวุธสงคราม และบุคคลตามหมายจับในคดียาเสพติดและคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 12 – 20 พ.ย.นี้ โดยในช่วงระดมให้เข้มงวดกวดขันในการตรวจตราสถานบริการ ร้านคาราโอเกะ ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง สถานที่ที่เป็นแหล่งมั่วสุมนักเลงอันธพาล เพื่อกดดันและจำกัดเสรีภาพในการก่อเหตุอาชญากรรม

 6.ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานที่ที่อาจตกเป็นเป้าหมายในการกระทำผิด เกี่ยวกับทรัพย์ ให้เพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันตนเอง และตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ แลหากเกิดเหตุ ขอแนะนำให้พยายามสังเกตจดจำตำหนิรูปพรรณคนร้าย และยานพาหนะ หรือการบันทึกภาพคนร้ายด้วยโทรศัพท์มือถือ ก่อนแจ้งข้อมูลดังกล่าวมายัง สน.หรือ สภ.ท้องที่ทราบโดยเร็วที่สุด 7.ให้ ผบก.และรอง ผบก.น.หรือ ผบก.ภ.จว.ลงไปควบคุมกำกับเร่งรัดการปฏิบัติ และสุ่มตรวจสอบการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด การซักซ้อมแผนเผชิญเหตุด้วยตนเอง

 8.ให้ บช.ก.กำชับทุกหน่วยในสังกัดที่รับผิดชอบพื้นที่ ให้เพิ่มมาตรการเชิงรุก เพื่อสนับสนุนการควบคุมและลดความรุนแรงของอาชญากรรมตามนโยบายของ ตร.โดยให้ประสานการปฏิบัติกับ ผบก.น.หรือ ผบก.ภ.จว.อย่างใกล้ชิด และ 9.ให้รายงานรอง ผบ.ตร.หรือที่ปรึกษา (สบ10) และผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมผ่านระบบโพลิส..

"ชัชวาลย์" เร่งกวาดล้างแก๊งค้ามนุษย์


วันนี้(13พ.ย.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ รองโฆษก ตร.กล่าวถึงสถานการณ์การค้ามนุษย์ว่า ขณะนี้พบว่าพื้นที่ต่างๆ มีขบวนการค้ามนุษย์เพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมาพบว่ามีคดีเกิดขึ้นมาก แต่การจับกุมผู้กระทำผิดยังมีปริมาณน้อย ฉะนั้นทาง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ปรึกษา (สบ10) กำชับให้เร่งติดตามจับกุมแก๊งค้ามนุษย์ในทุกพื้นที่ โดยให้รายงานเข้ามาทุกระยะ เรื่องนี้ทาง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล ตร.ก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สั่งการให้ ตร.รายงานผลให้ทราบทุกเดือน
ทั้งนี้หากพื้นที่ใดไม่มีการรายงานเรื่องผลการจับกุมเข้ามา จะต้องมีการรายงานสาเหตุให้รับทราบด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เมื่อทางตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้แล้ว จะต้องมีการรายงานให้ ป.ป.ง.ทราบเพื่อดำเนินการต่อไป..

รวบ 2 สาวนักร้องพร้อมยาบ้า


เมื่อเวลา 06.30 น. วัน (13 พ.ย.)  พ.ต.อ.กันตพิชญ์  กฤตวงศ์วิมาน  ผกก.สภ. สามร้อยยอด จ.ประจวบฯ พร้อมด้วย พ.ต.ท. เสมอ  อยู่สำราญ  รอง ผกก. (ป.) นำกำลังเข้าจับกุมตัว น.ส.สุนิษา หรือจอย  อินทร์จันทร์  อายุ  21  ปี อยู่บ้านเลขที่  127/2  ม.5  ต.จันเสน  อ.ตาคลี  จ.นครสวรรค์ และ น.ส.กนกวรรณ หรือแอม  อร่ามรักษ์  อายุ 20  ปี  อยู่บ้านเลขที่  109/1  ม.11 ต.ชัยเกษม  อ.บางสะพาน  จ.ประจวบฯ ทั้งคู่เป็นนักร้องร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขณะมั่วสุมเสพยาบ้าอยู่ภายในบ้านเช่าไม่มีเลขที่  ม. 5 ต. ศิลาลอย อ.สามร้อยยอด และยังตรวจค้นพบยาบ้าจำนวน 5 ถุง รวมทั้งสิ้น  834  เม็ด คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนบาทซุกซ่อนอยู่ในรองเท้าผู้ชายภายในห้อง นำตัวมาสอบสวน เบื้องต้น น.ส.สุนิษา ให้การภาคเสธว่าเสพยาบ้าจริง แต่ยาบ้าของกลางเป็นของ นายสาท ไม่ทราบนามสกุล แฟนหนุ่มของตนนำมาซุกซ่อนไว้โดยที่ตนไม่รู้ อย่างไรตำรวจไม่เชื่อคำให้การของผู้ต้องหาก่อนออกหมายจับนายสาท เพื่อขยายผลต่อไป.  

หนุ่มจุดไฟเผาแฟนมอบตัวอ้างหึงหวง


จากกรณีที่นายเอกพล อุดมมาลา อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 122 หมู่ 7 ต.บ้านดู่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ก่อเหตุใช้น้ำมันราดจุดไฟเผาทั้งเป็น น.ส.ธัญญารัตน์ ภูธร อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ 21 ต.ห้วยข่า อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี แฟนสาว โดยทั้งคู่เป็นพนักงานจัดสินค้า บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) หรือคลังสินค้าเซ่เว่นฯ นิคมนำไกร เนื่องจากนายเอกพลโกรธแค้นที่แฟนสาวตีจากไปรักกับชายคนใหม่ หลังก่อเหตุได้หลบหนีไป เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายในห้องพักเลขที่ 1321/34 บ้านเอื้ออาทรโครงการลาดกระบัง 2 ถนนประชาพัฒนา แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กทม. ท้องที่ของ สน.จระเข้น้อย
ล่าสุดเมื่อเวลา 08.30 น.วันนี้(13พ.ย.) นายเอกพล เดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.จระเข้น้อย หลังถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายจับ ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
โดยพ.ต.อ.ปพณพัชร์ ตั้งจิตจารุพัชร์ ผกก. กล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน จนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือนายเอกพล กระทั่งศาลได้อนุมัติออกหมายจับ ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนก็กดดันติดตามจับกุม กระทั่งได้รับการติดต่อจากญาติผู้ต้องหาว่าจะพาเข้ามอบตัว เพราะรู้สึกสำนึกในความผิด และจากการสอบสวนนายเอกพล ให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จากความโกรธแค้นหึงหวงแฟนสาว
พ.ต.อ.ปพณพัชร์ กล่าวอีกว่า หลังจากผู้ต้องหาเข้ามอบตัวก็ทำการสอบปากคำและสรุปสำนวนส่งฟ้องศาลอาญา ทั้งนี้ได้กำชับให้พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวตามกระบวนการ เพราะเป็นเหตุอุกฉกรรจ์ แต่หากญาติต้องการประกันตัวก็ให้ยื่นประกันที่ศาล โดยศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่
สำหรับอาการของผู้เสียหายยังถือว่าวิกฤต ในระดับเดิม ยังนอนรักษาตัวอยู่ในห้อง ไอซียู โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ด้านนายเอกพล ให้การว่า ที่ก่อเหตุนั้นไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ โกรธแค้น เนื่องจากรักน.ส.ธัญญารัตน์ มาก ผู้ใหญ่ก็รับรู้ทั้งสองฝ่าย จนมีความคิดให้ญาติไปสู่ขอหมั้นหมายและแต่งงาน แต่น.ส.ธัญญารัตน์ กลับปันใจไปให้ชายคนอื่น และตนพยายามเคลียร์รักสามเศร้า แต่แฟนสาวยืนยันจะเลิกกับตนไปคบกับนายแอม แฟนใหม่ ยิ่งทำให้เครียดและโกรธมาก จึงไปดักรอที่ห้องตอนเวลา 03.00 น. วันที่ 12 พ.ย. แต่ก็ไม่พบ จึงออกตระเวนหากระทั่งไปพบนอนกอดกับนายแอม ที่ห้องของนายแอม ยิ่งทำให้แค้นหนักไปกว่าเดิม
ขณะที่น.ส.อนุลักษณ์ อุดมมาลา อายุ 34 ปี น้าสาวนายเอกพล กล่าวว่า ที่ผ่านมานายเอกพล ไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ปกติจะเป็นคนเงียบๆ ที่ก่อเหตุครั้งนี้ตนและญาติๆก็รู้สึกตกใจและเสียใจ เพราะรู้ดีว่านายเอกพลกับแฟนสาวคบหากัน ญาติผู้ใหญ่ก็รู้จักสนิทสนมทั้งสองฝ่าย และเตรียมที่จะไปสู่ขอให้เป็นหมั้นเป็นเหมาะ แต่ก็มาเกิดเหตุก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบปากคำนายเอกพลผู้ต้องหาอยู่นั้นได้มีญาติผู้ เสียหายฝ่ายหญิงเดินทางมาดู พร้อมกับร้องไห้เสียงดันลั่น พยายามจะปรี่เข้าไปหานายเอกพล แต่เจ้าหน้าที่ขวางได้ทัน และเข้าไปปลอบเพื่อให้สงบสติอารมณ์ จากนั้นได้นำตัวนายเอกพลไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้วางกำลังกันไว้เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและทำร้ายผู้ ต้องหา ภายหลังทำแผนเสร็จก็นำตัวกลับไปสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้งที่ สน.จระเข้น้อย ก่อนจะสรุปสำนวนส่งฟ้องและฝากขังที่ศาลต่อไป..

โร่เข้ามอบตัว โจ๋ซ่าควงลูกซองซันโว่เข้าเบ้าตา ตาย 1 เจ็บ 1


วันนี้ (13 พ.ย.) เมื่อเวลา 01.30 น.ได้รับแจ้งจาก ศูนย์วิทยุสื่อสาร สภ.เมืองอุบลราชธานี ว่ามีคนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นได้ได้รับบาดเจ็บหน้าโรงพิมพ์ศิริ ธรรมออฟเซต ถ.เลี่ยงเมือง ต.ไร่น้อย อ.เมือง จว.อุบลราชธานี
จากการสอบสวน ทราบว่า ขณะที่นายณัฐวุฒิ ธานี อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5 หมู่ 12 ต.ไร่น้อย อ.เมือง จว.อุบลราชธานี ขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยมีนายวรกิจ จันทร์กอง อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58 หมู่ 2 ต.ไร่น้อย อ.เมือง จว.อุบลราชธานี โดยซ้อนท้าย มาตาม ถนนเลี่ยงเมือง มาถึงหน้าโรงพิมพ์ที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้าย 2 คน คือ นาย เชด (นามสมมติ) อายุ 19 ปี ชาวอุบลราชธานี และ นายศิริศักดิ์ ทองโชติ อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ 3 ต.ไร่น้อย อ.เมือง จว.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ ซึ่งผู้เสียหายได้รู้จักกันดี เนื่องจากเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน โดยที่นายพิเชษฐ์ เป็นคนถืออาวุธปืนลูกซองยาวเล็งมายังผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายได้โบกมือ และพูดออกไปว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ แต่นายพิเชษฐ์ ก็ไม่สนใจ แล้วยิงมาทางผู้เสียหาย 1 นัด กระสุนทะลุฝ่ามือแล้วทะลุไปโดนบริเวณเบ้าตา แล้วขับรถหลบหนีไป
ต่อมา นายวรกิจ ได้ไปเสียชีวิตที่ ร.พ.สรรพสิทธิ์  หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา ได้ 2 คนคือ นายศิริศักดิ์ และ นายเชด เจ้าหน้าที่จึงได้นำส่ง พนง.สอบสวนต่อไป..

จ่ายเงินเหยื่อคดีอาญา 15 ราย


วันนี้ (13 พ.ย.) ที่กระทรวงยุติธรรม  กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยพ.ต.อ.ณรัชต์  เศวตนันทน์  อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ  เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือเยียวยา ตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา 2544 ให้กับญาติผู้เสียหายจำนวน 15 ราย รวมเป็นเงิน 1,470,000 บาท ประกอบด้วย 1.ญาติพ.ต.อ.ธณัชพงศ์  ประเสริฐศิริปภา  ซึ่งถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต  เหตุเกิดที่สถานีตำรวจภูธรศรีสำโรง ต.คลองตาล อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย  2.ญาติน.ส.หทัยรัตน์  วิเศษสิงห์ ซึ่งถูกคนทำร้ายร่างกายเสียชีวิต 3. ญาตินายวิชิต  อภิรพงศ์   ซึ่งคนร้ายใช้มีดฟันคอเสียชีวิต 4.ญาตินายพรพจน์  หอมพันธุ์  ซึ่งถูกรุมทำร้ายเสียชีวิตที่ตลาดบางใหญ่ซิตี้ 5.ญาตินางวัชต์วดี  ทองพานิช  ถูกคนร้ายใช้อาวุธยิงเสียชีวิต 6.ญาติพลทหารภาสกร  เชิงเขา ซึ่งถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต 7.ญาตินายฉัตรชัย  ศรีสวัสดิ์  ซึ่งถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต 8.ญาติน.ส.รุ่งฟ้า บางเล็ก ซึ่งถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต 9.ญาติน.ส.สิริญญาพน  บุญมาก ซึ่งถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต 10.ญาติน.ส.สำรวย  ตรงดี ซคางถูกคนร้ายใช้เสื้อรัดคอเสียชีวิต
  11.ญาตินายอธิศักดิ์  อริยะแสนสุข ซึ่งถูกคนร้ายยิงเสีชีวิต 12.ญาตินายกฤษณะภูมิ  พลเยี่ยม  ซึ่งถูกคนร้ายยิงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 13.ญาตินายชาลี  สวนสมุทร ซึ่งถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต 14.ญาตินายธวัชชัย  พงษ์เพชราภรณ์  ซึ่งถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงเสียชีวิต  ในส่วนนี้ได้รับเงินค่าตอบแทนฯเป็นเงินรายละ  100,000 บาท และ15.ญาตินายทองพูล  มหาคาม ถูกคนร้ายใช้มีดปังตอฟันเสียชีวิต ได้รับค่าตอบแทนฯจำนวน 70,000 บาท
พ.ต.อ.ณรัชต์  กล่าวต่อว่า  จากสถิติผู้ยื่นคำร้องขอรับค่าตอบแทนขณะนี้ยังถือว่ามีจำนวนน้อยกว่าจำนวน ผู้เสียหายที่เกิดขึ้นจริงมาก ดังนั้น กรมคุ้มครองสิทธิฯจำเป็นต้องประสานข้อมูลให้เข้าถึงผู้เสียหายเหล่านี้เพื่อ ให้ได้รับสิทธิในการรับค่าทดแทนจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน..

หนุ่มใหญ่ประสาทหลอนคว้าปืนเป่าหัวดับ


เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้(13พ.ย.) ร.ต.อ.วุฒิศักดิ์ โภคทรัพย์ พนักงานสอบสวน.สภ.เมืองศรีสะเกษ รับแจ้งเหตุคนเสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 1554/1-2 ถนนศรีสุมังค์ ต.เมืองใต้ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างจิตต์ฯ ศรีสะเกษ และแพทย์เวร รพ.ศรีสะเกษ ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเช่า 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ บริเวณห้องนอนชั้นบน พบศพ นายวีรวัฒน์ เรืองอมรวิวัฒน์ อายุ 37 ปี สภาพศพนอนหงายสวมเสื้อคอกลมสีขาว สวมกางเกงขาสั้นสีชมพูอ่อน บริเวณกลางหน้าผากมีร่องรอยบาดแผลเป็นรูทะลุศีรษะ  เลือดไหลนองเต็มพื้น ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ใกล้กันพบอาวุธปืนสั้นไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 วางอยู่ข้างศพ ด้านแพทย์ระบุ เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วัน
สอบสวนหลานผู้ตาย วัย 14 ปี  ให้การว่า ผู้ตายและตนเช่าบ้านหลังดังกล่าวอยู่ ซึ่งผู้ตายนอนอยู่ชั้นบน ส่วนตนนอนอยู่ชั้นล่าง และจะไม่ค่อยขึ้นไปบนบ้าน เนื่องจากผู้ตายมีอาการทางประสาท  ล่าสุดตนเห็นผู้ตายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ต่อมารู้สึกแปลกใจ เนื่องจากมีกลิ่นเหม็น จึงเดินขึ้นไปข้างบนบ้าน เห็นน้าของตน นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ และรู้สึกตกใจมากที่นอนเฝ้าศพอยู่ตั้ง 2 วัน จึงรีบแจ้งให้เพื่อนบ้านทราบ และโทรศัพท์แจ้งตำรวจตรวจสอบดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้ตายน่าจะเกิดอาการทางประสาทกำเริบ แล้วคว้าปืนขึ้นมายิงตัวเอง เนื่องจากไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือถูกทำร้ายแต่อย่างใด ซึ่งญาติไม่ติดใจเรื่องการเสียชีวิต จึงส่งมอบศพให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนาต่อไป..

คนขับรถแสบลักทรัพย์นักท่องเที่ยว


เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้(13พ.ย.) ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ต.รอย อิงคไพไรจน์ ผบก.ทท. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกก.1.บก.ทท. ร่วมกันแถลงการจับกุม นายสำรวม ทองตุ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 297/10 ถนนตลาดใหม่  ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี และ นายธนวัฒน์ เฉลิมชัย อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/236 หมู่ที่ 3 ถนนเลี่ยงเมือง ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันลักทรัพย์บนยานพาหนะอื่นที่ประชาชนโดยสารในเวลากลาง คืน ร่วมกันมีเพื่อนำออกใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยประการทีน่าสนจะเกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่น เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตตามีน) ขณะขับขี่รถโดยสาร และพกพาอาวุธปืนติดตามตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต  นอกจากนี้ยังมีความผิดแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของตัวรถโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนายทะเบียน และใช้รถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ถูกต้องตามกระทรวง ฯ เช่นเจาะช่องคนขับ เพื่อให้สามารถเข้าถึงห้องเก็บสัมภาระของผู้โดยสาร พร้อมด้วยของกลาง บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคารต่างประเทศ BNP PARIBAS 1 ใบ อาวุธปืนพกสั้นขนาด 0.22 นิ้ว 1 กระบอก เครื่องกระสุน 4 นัด อุปกรณ์สะเดาะแม่กุญแจ 1 อัน อุปกรณ์การเสพยาเสพติด 1 ชุด
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก สืบสวนพบว่ารถโดยสารไม่ประจำทางหมายเลขทะเบียน 31-4721 กรุงเทพมหานคร มีอาชญากรแฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มคนขับและพนักงานประจำรถ เพื่อก่อเหตุลักทรัพย์ของนักท่องเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง เจ้าหน้าที่จึงได้จัดกำลังเฝ้าดูพฤติกรรมและติดตามอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทราบว่ารถโดยสารคันดังกล่าวจะรับนักท่องเที่ยวจากสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา และจะไปส่งยังปลายทาง กทม. บริเวณถนนมหาราช เจ้าหน้าที่จึงติดตามดูพฤติการณ์ระหว่างเดินทาง จนกระทั่งเวลาประมาณ 06.30 น.ของวันที่ 13 พ.ย. รถโดยสารคันดังกล่าวได้พาผู้โดยสารมาส่งยังบริเวณถนนมหาราช เจ้าหน้าที่จึงเข้าแสดงตัวขอตรวจค้น และมีผู้โดยสารชาวต่างชาติเข้ามาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าบัตรเครดิตของตนหายไป หลังจากที่เก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางและล็อคกุญแจอย่างดี ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจค้นตัวนายสำรวม คนขับรถและพบบัตรเครดิตซุกซ่อนอยู่ในกางเกงด้านขวา
สอบสวน นายสำรวม ให้การรับสารภาพว่า มีหน้าที่เป็นคนขับรถ หากจะลงมือก่อเหตุลักทรัพย์ผู้โดยสาร จะให้นายธนวัฒน์ มาขับรถแทนเมื่อก่อเหตุเสร็จจึงจะมาทำหน้าที่ขับรถเหมือนเดิม โดยทำมาแล้วประมาณ 3-4ครั้ง
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาพบว่านายสำรวม เคยถูกจับในข้อหาพยายามฆ่านักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน เมื่อวันที่27 มิ.ย. ที่ผ่านมา ส่วนนายธนวัฒน์นั้นเคยถูกจับในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง เมื่อปี 2551..

ตชด.รวบขบวนการค้ายาบ้าชายแดนไทย-เขมร


เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้(13พ.ย.) พ.ต.ท.นพรัตน์ กองเมืองปัก ผบ.ร้อย ตชด.ที่ 224 นำกำลังกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 และกองกำกับการที่ 21 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังสุรนารี และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกันจับกุมนายวุฒิพงษ์ สมผิว อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 178 หมู่ 1 บ้านสันติสุข ต.ดงรัก อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นางจำเนียร บุญเยี่ยม หรือ เจ้เล็ก อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/1 หมู่ 3 ต.ถลุงเหล็ก อ.สังขะ จ.สุรินทร์ และนายวิรัช คงนาถ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 290 หมู่ 2 ต.สังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.ศรีสะเกษ หลังมีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาจำหน่ายให้กับกลุ่มผู้ค้ารายย่อยในเขต พื้นที่ อำเภอต่างๆตามแนวชายแดน โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ได้ที่บริเวณสะพานข้ามห้วยเสลา ทางด้านทิศตะวันตกบ้านจำปานวง ต.ดงรัก อ.ภูสิงห์  พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 5,650 เม็ด อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ไม่ทราบขนาด 1 กระบอก และเครื่องกระสุน 5 นัด
สอบสวนในเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า ทั้ง 3 คน เป็น 1 ใน ขบวนการลักลอบและจำหน่ายยาเสพติดในพื้นที่ โดยสั่งยาเสพติดมาจาก กลุ่มพ่อค้าในกรุงเทพมหานคร ซึ่งยาเสพติดจะถูกลำเลียงมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบนและตอนล่าง แล้วนำมาพักไว้ที่กรุงเทพ โดยสังเกตได้จากตราบนถุง และสีของเม็ดยา จะมีสีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ผลิต  โดยกลุ่มพวกตนนั้น ก็จะนำยาที่ได้รับมา ไปจำหน่ายให้กับกลุ่มผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่อีกทอดหนึ่ง ซึ่งทำเป็นรูปแบบขบวนการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา พร้อมด้วยของกลางทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ภูสิงห์ เพื่อดำเนินคดีและทำการขยายผลไปยังกลุ่มผู้ค้ารายต่อไป..

จับแก๊งค์ค้าแรงงานต่างด้าว


เมื่อเวลา 03.30 น. วันนี้(13พ.ย.) พ.ต.ท.ชนะเทพ สวนแก้ว สว.สทท.8 กก.2 บก.ทท.(สว.ทท.กาญจนบุรี) สืบทราบมาว่าที่บ้านเลขที่ 27/2 หมู่ 4 ต.ท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี เป็นแหล่งซุกซ่อนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมนำส่งต่อไปยังโรงงานต่าง ๆ ในจังหวัดชายทะเล จึงประสานกับ พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ตรีแดงน้อย สว.ตม.กาญจนบุรี นำกำลังเข้าตรวจสอบ พบ นายธนิต แดงสอาด อายุ 21 ปี อยู่ภายในบ้าน ตรวจสอบพบต่างด้าวชาวพม่าหลบหนีเข้าเมืองรวม 61 คน เป็นชาย 40 คน หญิง 21 คน อยู่ภายในบ้าน จึงได้ควบคุมตัว นายธนิต พร้อมต่างด้าวทั้งหมดไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป..

จับงูเห่ามาเลย์ลอบผ่านไทย


ที่กรมศุลกากร คลองเตย ตอนบ่ายวันนี้ (13 พ.ย.)   นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมศุลกากร นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม พร้อมด้วยนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมงูเห่า  600 ตัวลักลอบหนีศุลกากร มูลค่า 5 แสนบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ศุลกากรปราณบุรีจับกุมได้ขณะเตรียมลักลอบส่งออกประเทศที่สาม โดยใช้ไทยเป็นเส้นทางผ่านทางชายแดนภาคใต้ 
นางเบญจา เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำศูนย์ป้องกันและปราบปรามศุลกากรปราณบุรีสืบทราบว่า จะมีผู้ลักลอบส่งงูเห่า จากทางชายแดนภาคใต้เพื่อส่งออกไปประเทศจีนโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน  กระทั่งกลางดึกวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรปราณบุรี อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธุ์ ได้ตรวจพบรถกระบะยี่ห้อนิสสัน สีดำ หมายเลขทะเบียน บร-5173 ระยอง ซึ่งเป็นรถที่มีลักษณะตรงตามที่ได้รับรายงานจากสายลับขับลงใต้มาตามถนนเพชร เกษมจึงเรียกตรวจค้นด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ชนิดเคลื่อนที่ (X-Ray Mobile Unit) พบงูเห่าป่า 600 ตัว รวมมูลค่า 500,000 บาท  จึงตรวจยึดและควบคุมตัวนายตึ๋ง (นามสมมุติ) คนขับรถ มาสอบสวนให้การว่ารับจ้างขนงูจากประเทศมาเลเซียที่ลักลอบเข้ามาตามแนวชายแดน ได้ค่าจ้างในการขนส่งครั้งละ10,000บาท  ให้ไปส่งที่จังหวัดนครราชสีมาเพื่อกระจายงูเห่าไปสูประเทศที่สาม เพราะเป็นที่ต้องการสำหรับการผู้นิยมเปิบงู และมีความเชื่อว่าการกินดีงูและเลือดงูสดๆเป็นยาบำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพ ทางเพศ ช่วยให้หายปวดเมื่อยได้
เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาความผิดฐานนำหรือพาของที่ยังไม่ได้เสียภาษี หรือของต้องห้าม ต้องกำกัด หรือของที่ยังไม่ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักรหรือซื้อหรือรับ ไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของ อันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม หรือข้อกำกัด อันเป็นความผิดตามมาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบมาตรา 16 มาตรา 17  แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9)  พ.ศ. 2482  พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญ พันธุ์ (CITES) เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ยึดของกลางพร้อมผู้ต้องหา โดยสัตว์ทั้งหมดส่งมอบให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเพื่ออนุบาล และฟื้นฟูต่อไป..

กรมอุทยานฯฟิตจัด ลุยตลาดนัดกลางกรุง ได้สัตว์ป่าคุ้มครองนับร้อยตัว


เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (13 พ.ย.) ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช  ได้เปิดเผยผลการจับกุมการลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวนมาก นำโดย นายไพศาล สถิตวิบูรณ์ ผ.อ.สำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า นาายอรรถพล เจริญชันษา  ผอ.ส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปราม พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม(บก.ปทส) เข้าตรวจค้นบริเวณตลาดศรีสมรัตน์ ใกล้ตลาดนัดจตุจักร กทม.ในพื้นที่ล็อคที่ 7 ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น พบผู้ต้องสงสัย 2 คน กำลังเตรียมจะล็อคกุญแจในห้องเก็บของ เพื่อเก็บนกที่อยู่ในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง และเมื่อผู้ต้องสงสัยเห็นเจ้าหน้าที่ จึงวิ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความชำนาญเส้นทางในพื้นที่ คนร้ายจึงสามารถหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เข้าตรวจสอบห้องดังกล่าว พบของกลางเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ได้แก่ นกปรอทหัวโขนจำนวน 100 ตัว นกขมิ้น 2 ตัว นกกางเขนดง 3 ตัว นกขุนทอง 6 ตัว นอกจากนี้พบกรงไม้ 26 กรง กรงเหล็ก 2 กรง โดยเจ้าหน้ากรมอุทยานฯได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของห้องดังกล่าว เพื่อทำการสอบสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป ส่วนของกลางที่ยึดได้เจ้าหน้าที่สำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า ของกรมอุทยานฯ ได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่คลินิกสัตว์ป่า กรมอุทยานฯ ก่อนที่จะนำส่งไปที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่านกน้ำบางพระ จ.ชลบุรีต่อไป
นายธีรภัทร ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครองถือว่ามีความผิด ตามพระราชบัญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ซึ่งผู้ครอบครองและมีไว้จำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้หากประชาชนพบเห็นสัตว์ป่าถูกทำร้าย มีการครอบครองที่สงสัยว่าอาจผิดกฎหมาย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมอุทยานฯ 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ในวันเดียวกัน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กรุงเทพมหานคร เขตห้วยขวาง แจ้งให้ทราบว่าได้นำงูเหลือมและงูหลามจำนวน 20 ตัว มามอบให้กรมอุทยานฯ หลังจากที่ปภ. เขตห้วยขวาง ได้ช่วยเหลือจับงูตามบ้านเรือนประชาชน ซึ่งงูเหลือมและงูหลามจำนวนดังกล่าว กรมอุทยานฯจะนำส่งไปที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จ.ราชบุรี ต่อไป..

ส.ว.โวย “รัฐบาล” ให้เวลาอภิปรายน้อย


ที่รัฐสภา วันนี้ (13 พ.ย.) ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภาฯ  โดยมี นายวิทวัส บุญญสถิตย์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ในช่วงการหารือ ได้มีการกล่าวถึงกำหนดการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ที่รัฐบาลจัดสรรเวลาให้ ส.ว. อภิปรายภายหลังการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน โดย นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. สรรหา กล่าวว่า ตนได้พบกับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ก็ยืนยันว่าจะใช้เวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 วัน ซึ่งจะทำให้ ส.ว. เหลือเวลา ในการอภิปรายเพียงครึ่งวันเท่านั้น และประธานวิปฝ่ายค้านก็ได้ระบุอีกว่า หากจะมีการประชุมวิปทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อกำหนดเวลาในการอภิปราย วิปฝ่ายค้านจะไม่เข้าร่วม ซึ่งตนก็เห็นด้วย เพราะเรื่องการอภิปรายของ ส.ว. เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลต้องตกลงกับ ส.ว.

นายคำนูณ กล่าวต่อว่า หากรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับ ส.ว. ในการอภิปรายทั่วไป โดยโยนเพียงเศษเวลาให้ ส.ว.เพียงครึ่งวัน ในวันนี้ที่มีการประชุมร่วมรัฐสภา ส.ว.ที่ประชุม กมธ. ก็ควรประชุมต่อเนื่องโดยไม่หยุดประชุมเพื่อไปลงมติ เนื่องจากการประชุม กมธ.ถือเป็นภารกิจของ ส.ว. และถึงอย่างไรก็ได้ลงชื่อเข้าประชุมในช่วงเช้าแล้ว

ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ตนจะทำหนังสือถึงนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และเป็นประธานวิปวุฒิสภา เพื่อให้ส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีโดยตรง โดยจะกำหนดขอวันอภิปรายในวันที่ 23-24 พ.ย. อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ของนายนิคม แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มอบหมายให้กับนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1  เป็นผู้รับผิดชอบแทน ซึ่งก็ไม่มีความคืบหน้า

นายไพบูลย์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลให้เวลาวุฒิสภาเพียงครึ่งวันในการอภิปรายทั่วไป เป็นเรื่องที่ส.ว.จะยอมไม่ได้ เพราะถ้า ส.ว.ยอมเท่ากับว่าอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ส.ว.ก็เป็นหมัน และจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะให้ส.ว.อภิปรายในวันสุดท้ายของสมัย ประชุมเท่านั้น ที่ผ่านมา ส.ว.ทำหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี แล้วส่งต่อมายังวิปรัฐบาล จากนั้นวิปรัฐบาลก็ยังบอกให้วิปวุฒิสภาคุยกับวิปฝ่ายค้าน เพื่อขอเวลา ถามว่าสถานะของส.ว.คืออะไร..  

คดี พ.ต.ท.ล่าสัตว์แก่งกระจานไม่มีล้ม


จากกรณีที่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแก่งกระจาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แก่งกระจานเข้าจับกุม พ.ต.ท.ธีรยุทร เกตุมั่งมี สว.สส.สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมชาวบ้านอีก 8 คน และของกลางในข้อหาร่วมกันกระทำผิด มีและพกพาอาวุธปืน ยิงปืน ล่าสัตว์ ครอบครองซากสัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติ( พ.ร.บ.)สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535  โดยได้ควบคุมตัวทั้งหมดเอาไว้พร้อมของกลางเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น

วันนี้ (13 พ.ย.) นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ให้สัมภาษณ์ ว่า ทส.มีนโยบายชัดเจนเรื่องการปราบปรามเอาผิดกับผู้ที่ลักลอบทำลายป่าและล่า สัตว์ เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ กรณีที่ป่าแก่งกระจานนั้น ต้องชมเจ้าหน้าที่ที่เข้มงวดกวดขัน และไม่เกรงกลัวว่า จะเป็นใครมาจากไหน แต่หากทำผิดก็ต้องได้รับโทษทางกฎหมาย ได้รับรายงานว่า เวลานี้ เรื่องทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการสืบสวน สอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว คนที่ทำความผิดคงจะหนีไม่พ้น เพราะหลักฐานชัดเจนออกขนาดนั้น

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าตำรวจจะกันตัวให้ พ.ต.ท.ธีรยุทธ เป็นพยาน โดยจะบอกว่า เป็นเพียงคนเข้าไปเที่ยวในป่า ไม่ใช่คนล่าสัตว์ นายปรีชา กล่าวว่า ไม่น่าจะทำเช่นนั้นได้ และขอให้มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพิจารณาเรื่องจากพยานหลักฐานที่มีอยู่ ซึ่งตนก็เห็นว่าหนักแน่นและครอบคลุมพอ

นายเริงชัย ประยูรเวช รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า กรณีที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานสามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าไปล่า สัตว์ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานได้ แสดงให้เห็นว่า มีการเข้มงวดกวดขันในพื้นที่ มีการหาข่าว และได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่อย่างดี เพราะก่อนจะเข้าจับกุมนั้น ได้วางแผนกันพอสมควร จนมั่นใจว่า จะดำเนินการในวันดังกล่าวแน่จึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด

เมื่อถามถึงกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ป่าชุดที่ออกปฏิบัติการครั้งนี้ บอกว่า หากมีการล้มคดี หรือไม่สามารถเอาผิดกับนายตำรวจคนดังกล่าวได้ จะขอลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทันที นายเริงชัย กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น ทั้งนี้ นายปรีชา ได้กำชับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่กลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวแล้วคือ ในมาตรา 36 ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าสงวนหรือคุ้มครอง มีโทษ ปรับ 5 หมื่น จำคุก 5 ปี หรือ ทั้งจำและปรับ..

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources