วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โปลิศชนะสงครามจับเพิ่มแก๊งตุ๋นทอง


จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว น.ส.บี (นามสมมุติ) นักเรียนพาณิชยการแห่งหนึ่ง ซึ่งนำทองปลอมมาหลอกขายร้านทองปภัสสร เลขที่ 154 ถนนจักรพรรดิ แขวงตลาดยอด เขตพระนคร ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

วันนี้( 3 พ.ย.) พ.ต.ท.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ สว.สส.สน.ชนะสงคราม ได้ควบคุมตัวนายพงษ์พิทักษ์ แสนรัตน์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 142/1 หมู่ 4 ต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาแก็งตุ๋นทองมาสอบปากคำเพิ่มเติม หลังสามารถควบคุมตัวได้เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น.ที่ผ่านมา

จากการสอบสวน นายพงษ์พิทักษ์ ให้การว่ามีอาชีพขับวินมอร์เตอร์ไซค์รับจ้าง อยู่ที่หน้าหมู่บ้านจรัญ 4 วิลล่า โดยตนได้รับการว่าจ้างจาก นายบุญช่วย ชัยโนนตุ่น อายุ 45 ปี หัวหน้าแก็งตุ๋นทอง ให้ขับรถพากลุ่มผู้ต้องหาไปหลอกขายทองตามสถานที่ต่างๆ ได้ค่าจ้างวันละ 1,000-1,500 บาท ทำมาได้ประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว โดยที่ผ่านมาทำมาแล้ว  4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 2-3 จุด ทุกครั้งที่ไปจะไปกันเป็นกลุ่ม แล้วปล่อยให้คนลงไปขายทองครั้งละ 1 คน ซึ่งนายบุญช่วยจะไปด้วยเพื่อคอยดูต้นทางและควบคุมไม่ให้หนี ส่วนที่รู้จักกับนายบุญช่วยได้นั้น เพราะนายบุญช่วย เคยใช้ไปจ่ายค่าเช่าบ้านบ้าง ใช้ไปซื้อของบ้างจึงรู้จักกัน ครั้งแรกที่ขับรถพากลุ่มผู้ต้องหาไปหลอกขายทองไม่ทราบว่าเป็นทองปลอม มารู้ทีหลังเพราะได้ยินกลุ่มผู้ต้องหาพูดคุยกัน

ด้าน พ.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยทราบว่าข้อมูลมาว่าโรงงานทำทองปลอมอยู่ย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งจะได้ลงพื้นที่หาข่าวและพรุ่งนี้จะได้ให้ พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ขอหมายค้นศาลเพื่อเข้าตรวจค้นต่อไป เบื้องต้นได้แจ้งข้อหานายพงษ์พิทักษ์ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง และซ่องโจรเพื่อสบคบทำสิ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากมีการทำกันเป็นขบวนการและทำกันอย่างต่อเนื่อง ก่อนส่งตัวดำเนินคดี.

ฆาตกรรมสาวญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวหนุ่มไทยหนีคดี 19 ปีไม่รอดมือตร.


ย้อนเหตุการณ์กลับไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2536 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีเหตุฆาตกรรม นางเมงูมิ อาวาจิ อายุ 33 ปี ภายในห้องพักเขตโตชิมะ กรุงโตเกียว สภาพศพนางเมงูมิ ถูกคนร้ายใช้มีดแทง และเชือกรัดคอเสียชีวิต ตำรวจญี่ปุ่นแกะรอยคดี สุดท้ายได้เบาะแสว่า คนร้ายเป็นหนุ่มชาวไทย หลังก่อเหตุได้หลบหนีออกนอกประเทศไปเรียบร้อย
ศาลเขตโตชิมะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ออกหมายจับผู้ต้องหาหนุ่มไทย ทราบชื่อภายหลังคือ นายวีรศักดิ์ หรือศักดิ์ เอี่ยมพงศ์ษา คดีนี้หากนับอายุความตามขั้นกฎหมาย คือ 20 ปี เหลือระเวลาอีกเพียง 5 เดือนก็กำลังนับถอยหลังจะขาดอายุความแล้ว !!
ช่วงกลางปี 55 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. มีโอกาสนำคณะตำรวจกองปราบฯเดินทางไปดูงานของตำรวจที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการร่วมงานกันของหน่วยงานตำรวจไทยและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไปตามความร่วมมือทางคดีอาญา ที่สำคัญกลับกลายเป็นโอกาสดีเนื่องจากทาง พ.ต.อ.ยูอิจิ ฮารา ตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว ได้ประสานงานกับตำรวจ บก.ป.ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมนายวีรศักดิ์ ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า นางเมงูมิ แล้วหลบหนีกลับมาประเทศไทย โดยทางศาลเขตโตชิมะ ออกหมายจับนายวีรศักดิ์ เอาไว้ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค.2536 แต่เนื่องจากประเทศไทยและญี่ปุ่น ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกันจึงต้องประสานขอให้ทางการไทย ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมและลงโทษผู้ต้องหารายนี้ตามกฎหมายไทย
หลังจากประเทศญี่ปุ่น  พล.ต.ต.สุพิศาล จึงได้รายงานคดีดังกล่าวให้กับทาง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. ได้รับทราบจากนั้นจึงสั่งให้มีการปัดฝุ่นคดีฆาตกรรมสาวญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่อีก ครั้งก่อนที่คดีจะหมดอายุความไปเสียก่อน  พล.ต.ต.สุพิศาล จึงมอบหมายให้ พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก. พร้อมชุดสืบสวนมือดี กองกำกับการ 6 พ.ต.ท.เกื้อกมล ดวงประทีป รอง ผกก.6  พ.ต.ท.ธราดล เหมพัฒน์ และพ.ต.ต.ไกรทอง โพธิ์ตาด พนักงานสอบสวน กก.6 ร่วมกันวางแผนสืบสวนเร่งติดตามจับกุม นายวีรศักดิ์ หรือศักดิ์ เอี่ยมพงศ์ษา เบื้องต้นได้รายละเอียดว่าผู้ต้องหามีภูมิลำเนา อยู่ อ.เมือง จ.ตรัง ทางชุดสืบสวน กก.6 บก.ป.จึงได้ร่วมกับพนักงานอัยการสำนักคดีอาญาและสำนักงานต่างประเทศ เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องในคดี
คดีนี้ตำรวจกองปราบฯได้มาเริ่มค้นหาข้อมูลประวัติของนายวีรศักดิ์ อย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมส่งกำลังลงไปหาข่าวสืบค้นข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผู้ต้องหา ในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัดด้วยกัน เนื่องจากคดีผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้วรูปพรรณสัณฐานน่าจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง กระทั่งได้เบาะแสความเคลื่อนไหวว่าไปใช้ชีวิตอยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช และวันที่ 7 ต.ค. นายวีรศักดิ์ จะนั่งรถทัวร์เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด จ.ตรัง กำลังตำรวจกองปราบฯ จึงไปดักตรวจรถทัวร์ บริเวณที่จอดรถริมถนนเพชรเกษม ต.ชะมาย อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช พบนายวีรศักดิ์ นั่งมากับรถทัวร์จึงได้แสดงหมายจับให้ทราบ จากนั้นควบคุมตัวมาสอบปากคำที่กองปราบปราม ถนนพหลโยธิน พร้อมเชิญเจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย รวมทั้งอัยการ และสื่อมวลชนจากหลายสำนักของประเทศญี่ปุ่นมาร่วมแถลงข่าว
นายวีรศักดิ์ ปัจจุปัน อายุ 39 ปี รูปร่างค่อนข้างบึกบึนเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยเป็นหนุ่มอย่างมาก ยอมเปิดปากสารภาพลงมือสังหารเหยื่อจริงทำลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบพร้อมสำนึก ผิดยกมือไหว้ขอโทษตลอดเวลาที่แถลงข่าว จากนั้นได้เล่าชีวิตปูมหลังว่า ก่อนเกิดเหตุได้รู้จักกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เดินทางมาท่องเที่ยวใน ประเทศไทย และชักชวนให้ไปทำงาน ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ในกรุงโตเกียว ตอนนั้นอายุเพิ่งจะ 19 ปีเศษ จึงรู้สึกท้าทายอยากไปทำงานต่างประเทศเพราะเป็นประสบการณ์ชีวิต ที่สำคัญคิดว่าน่าจะมีรายได้ดี เมื่อเดินทางไปทำงานได้ไม่นานก็รู้จักสนิทสนมกับผู้เสียชีวิตจนมีโอกาสไปพัก อาศัยอยู่ด้วยกันที่ห้องพักของผู้ตาย แต่ไปอยู่ได้เพียง 4-5 วันก็มีปัญหาทะเลาะกันตลอด
“วันเกิดเหตุผู้ตายทั้งพูดจาดูถูกข่มเหงด้วยถ้อยคำค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นลง ไม้ลงมือและคว้ามีดไล่แทง แต่ผมแย่งมีดมาได้จึงแทงสวนกลับไปจากนั้นใช้เชือกรัดคอจนแน่นิ่ง หลังเกิดเหตุก็รู้สึกตกใจมากจึงหยิบฉวยเอาทรัพย์สินเงินสด เครื่องเพชร กล้องถ่ายรูป เพื่อใช้เป็นทุนในการซื้อตั๋วเครื่องบิน  โดยไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นที่รู้จักกัน ให้ช่วยเหลือจนพากลับประเทศไทยสำเร็จ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะล่วงเลยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังฝังใจอยู่เสมอ รู้สึกว่าเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต ที่ผ่านมาเคยคิดจะไปบวชและขอโทษญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต ผมพร้อมจะชดใช้กรรมที่ก่อไว้แล้ว ไม่อยากให้เวรกรรมมันติดตามไปถึงชาติหน้า” นายวีรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย             

คดีนี้จะไม่ประสบความสำเร็จได้เลย หากตำรวจไม่ทำงานแบบเกาะติดอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะคดีที่ใกล้จะขาดอายุความตามกฎหมาย เพื่อไม่ปล่อยให้อาชญากรลอยนวลอยู่ในสังคม ในทางกลับกันผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนี แม้บางส่วนจะยังไม่ถูกจับกุม แต่ชีวิตนี้ก็ต้องรอชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ ตามคำกล่าวที่ว่า “กรรมใดใครก่อ...กรรมนั้นย่อมคืนสนอง” เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น !!
รัชพล ยี่สุ่น : ข้อมูล / ศุภฤกษ์ วิเชียรปัญญา : รายงาน

ป่วนรือเสาะ!จยย.บอมบ์ก่อนซ้ำด้วยคาร์บอมบ์ดับสยอง3เจ็บ8


วันนี้( 3 พ.ย.) พ.ต.อ.ดุลยามาน แยนา ผกก.สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุระเบิดขึ้นที่หน้าบ้านเลขที่ 49/11 ของนายฉกรรจ์ นวลจันทร์ เจ้าหน้าที่กองทุนสงเคราะห์สวนยางรือเสาะ ซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านยะบะอุปการวิทยา หมู่ 2 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ขึ้นที่หน้าบ้านพักเลขที่ 196 หมู่ 1 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ ของ จ.ส.ต.หญิง เพ็ญพิมล จันทมะโน เจ้าหน้าที่ธุรการ สภ.รือเสาะ ซึ่งตั้งอยู่หลัง สภ.รือเสาะ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันทร์ดี รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.จันที แจ่มจันทร์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.นราธิวาส ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.ภ.จว.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

จุดแรกที่หน้าบ้านเลขที่ 49/11 ของนายฉกรรจ์ พบซากรถ จยย. ฮอนด้า ไม่ทราบสีและทะเบียน ดัดแปลงเป็น จยย.สามล้อพ่วง  ที่คนร้ายประกอบระเบิดแสวงเครื่องในถังแก็สปิกนิก หนัก 15 กก. จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ถูกอานุภาพของระเบิดได้รับความเสียหายจนแหลกละเอียดทั้งคัน ส่วนที่บ้านพักเลขที่ 196 ก็ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหายทั้งหลัง และยังมีบ้านเรือราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายไปด้วย 4 หลัง เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อคือนางไพรวัลย์ นวลจันทร์ นางกรรณิกา ชาติวัฒนา ด.ช.ภาณุรุต ชาติวัฒนา ด.ช.เจษฎาภรณ์ ชาติวัฒนา ด.ญ.ทิพยวัลย์ ชาติวัฒนา ด.ญ.อธิตา แวเราะ ด.ช.พิณชนนท์ คงอารี และนายฉกรรจ์ นวลจันทร์ เจ้าของบ้าน ทั้งหมดถูกสะเก็ดระเบิดตามลำตัว เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่ง รพ.รือเสาะ อย่างเร่งด่วน

ส่วนจุดที่ 2 หน้าบ้านเลขที่ 196 ของ จ.ส.ต.หญิง เพ็ญพิมล จันทมะโน เจ้าหน้าที่พบซากรถกระบะนิสสัน สีน้ำเงิน ทะเบียน น-4145 นราธิวาส บรรทุกไม้ยางเต็มคัน ที่คนร้ายประกอบระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุใส่ไว้ในถังแก็สหุงต้มหนัก 80 กก. ซุกซ่อนไว้ภายในห้องโดยสาร จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ถูกอานุภาพของระเบิดได้รับความเสียหายทั้งคัน บนถนนพบรถจยย.ซูซูกิ สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนล้มตะแคงอยู่บนถนน ใกล้กันพบศพนายอับดุลรอแม เจ๊ะเลาะ และ ด.ญ.ศศิธร สูเล็ง อายุ 3 ปี สองพ่อลูก นอนจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่บนถนน และห่างไป 10 เมตร พบศพนางเสงี่ยม หมื่นโกตา นอนจมกองเลือดเสียชีวิตเช่นกัน ส่วนบ้านพักเลขที่ 196 ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหายทั้งหลัง นอกจากนี้บ้านเรือนราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้รับความเสียหายกว่า 10 หลังคาเรือน เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งนำศพผู้เสียชีวิตส่ง รพ.รือเสาะ

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุมีคนร้าย 2 ชุด ชุดแรกนำรถจยย.พ่วงสามล้อ ที่ประกอบระเบิดแสวงเครื่องหนัก 15 กก.ไปจอดไว้หน้าบ้านพักของนายฉกรรจ์ แล้วหลบหนีไป ส่วนชุดที่สองนำรถกระบะที่ประกอบระเบิดแสวงเครื่องหนัก 80 กก. ตบตาเจ้าหน้าที่ด้วยการบรรทุกไม้ยางพาราเต็มคันรถ มาจอดไว้หน้าบ้านพักของ จ.ส.ต.หญิง เพ็ญพิมล แล้วหลบหนีไป ก่อนจะอาศัยช่วงจังหวะที่ชาวบ้านพลุกพล่านจุดชนวนระเบิด จุดแรกเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บดัง กล่าว และ 1 นาทีต่อมาคนร้ายก็จุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์จุดที่ 2 ขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ นายอับดุลรอแม เจ๊ะเลาะ และ ด.ญ.ศศิธร สูเล็ง สองพ่อลูก ที่ขี่รถ จยย.ผ่านมาเสียชีวิตคาที่ ส่วนนางเสงี่ยม ซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามจุดเกิดเหตุถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิตคาที่เช่นกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป.

สองพี่น้องพม่าใจโหดฆ่าหมกศพหัวหน้าคนงานทาสีคาบ้านเช่า


วันนี้( 3 พ.ย.) ร.ต.ต.พายัพ สุคนธสาร พงส. (สบ 1) สน.แสมดำ รับแจ้งเหตุฆ่ากันตายในบ้านเลขที่ 15/254 ปากซอยเทียนทะเล 20 แยก 4 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.วิศัลย์ ศุภวงศ์ ผกก. พ.ต.อ.พงศอานันต์ คล้ายคลึง ผกก.สส.บก.น.9 พ.ต.ท.จำนง วงศ์คุณัญญา สว.สส.บก.น.9 เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเช่าครึ่งตึกครึ่งไม้สูง 2 ชั้น เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางมาถึงได้กลิ่นเหม็นคล้ายซากศพโชยออกมาอย่างรุนแรง จากในบ้าน   ขณะที่ประตูเลื่อนด้านหน้าพบว่าถูกเปิดแง้มขึ้นมาประมาณ 6 นิ้ว จึงตัดสินใจเปิดเข้าไปตรวจสอบภายในบ้านพบน้ำเหลืองหยดจากร่องพื้นกระดานบน ห้องชั้นที่ 2 ลงมาที่พื้นซีเมนต์ด้านล่างจนเจื่องนอง จึงไปตรวจสอบชั้นที่2 ห้องโถง พบศพ นายมิ่งขวัญ ม่วงมิ่งสุข อายุ 40 ปี อาชีพหัวหน้าคนงานทาสี ร่างบวมอืดนอนหงายอยู่กลางห้อง สภาพสวมเสื้อยืดคอกลมสีส้ม นุ่งกางเกงบอลสีดำ ตามร่างกายถูกของมีคมเชือดที่ลำคอและแทงที่ปลายคาง รวม 2 แผล ที่ข้อมือทั้ง 2 ข้างถูกพันธนาการด้วยสายไฟสีดำ ที่ศีรษะถูกรัดด้วยมุ้งผ้าสีฟ้า มีผ้านวมสีม่วงลายดอกคลุมทับบริเวณใบหน้าอีกชั้นหนึ่ง ส่วนสภาพห้องที่เกิดเหตุพบร่องรอยการต่อสู้และรื้อค้นทรัพย์สินจนกระจัด กระจาย โทรศัพท์มือถือและที่ชาร์จแบตของผู้ตายกระเด็นแยกย้ายไปคนละทางจึงเก็บรวบ รวมรายละเอียดที่พบไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบถามชาวบ้านในละเเวกที่เกิดเหตุเล่าว่า ผู้ตายเป็นหัวหน้าช่างทาสีมาอยู่บ้านเช่าหลังนี้ได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว ปกติจะเห็นพักอยู่ด้วยกัน 3 คนคือ ผู้ตายกับภรรยาซึ่งเป็นสาวพม่า ไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 18 ปี และพี่ชายของภรรยาซึ่งเป็นคนสัญชาติเดียวกัน อายุประมาณ 20 ปี ก่อนเกิดเหตุเมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา เห็นผู้ตายขับรถ จยย.ซ้อนท้ายภรรยาเข้ามาที่บ้านจากนั้นทั้งคู่เกิดมีปากเสียงกัน ก่อนที่ภรรยาจะเดินหนีออกจากบ้านไป จากนั้นเมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 1 ต.ค.มีชาวบ้านได้ยินเสียงผู้ตายร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาจากในบ้านแล้ว เงียบหายไป กระทั่งวันนี้เริ่มมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากศพโชยออกมาจากบ้านอย่างรุนแรงทำให้ ชาวบ้านต้องตัดสินใจรวมตัวกันโทรศัพท์ไปแจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.พงศอานันต์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นเชื่อว่าผู้อาศัยในบ้านทั้ง 3 ราย น่าจะมีปากเสียงกัน โดยขณะนี้ตำรวจยังไม่ทราบชื่อภรรยาและพี่ชายของภรรยาผู้ตายอยู่ระหว่าง ติดตามญาติๆ ของผู้ตายมาให้ปากคำอย่างละเอียดและจะนำโทรศัพท์มือถือของผู้ตายไปตรวจสอบ อีกครั้ง เชื่อว่าคดีนี้คงติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินการได้ไม่ยาก เพราะจยย.ของผู้ตายก็หายไปด้วย แต่ขอเวลาให้ตำรวจทำงานสักระยะ

ต่อมาเมื่อเวลา 21.20 น. พ.ต.อ.พงศอานันต์ ได้เรียกเพื่อนร่วมงานผู้ตายมาสอบปากคำแล้วทราบว่า ผู้ตายเพิ่งคบหากับภรรยาสาวชาวพม่า คนนี้ได้ไม่นาน และเพิ่งพาภรรยาคนดังกล่าวกับพี่ชายสัญชาติเดียวกันมาพักที่บ้านเช่าหลังนี้ ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนทรัพย์สินของผู้ตายมีแค่ รถ จยย.ยามาฮ่า มีโอ สีขาวฟ้า ไม่ทราบเลขทะเบียนซึ่งดาวน์จากห้างมาได้ 3 เดือนเพียงคันเดียว ต่อมาชุดสืบสวน บก.น.9 ได้รับการประสานจากตำรวจ สภ.ห้วยยาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า ช่วงเช้าวานนี้ (2 พ.ย.) สามารถจับกุมหนุ่มชาวพม่าได้พร้อมรถ จยย.ของกลาง ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับรถผู้ตาย แต่ขณะนี้ส่งตัวหนุ่มพม่าคนดังกล่าวกลับประเทศผ่านทางด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ไปแล้ว เชื่อว่าผู้ต้องหารายนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งจะติดตามไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ สภ.ห้วยยาง ต่อไป.

ซัลโวเจ้าของร้านซ่อมรถลูกอดีตเลขานายกเล็กตายสยอง ลูกค้าเติมลมถูกลูกหลงดับ


วันนี้ ( 3 พ.ย.) พ.ต.ท.วิมล สมบัติ สวส.สภ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี รับแจ้งเหตุยิงกันตายที่ถนนสายย่านยาว-ท่าพิกุล หมู่ 1 ต.ย่านยาว ไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.เสรี ถีระรักษ์ รอง ผกก.สส.พ.ต.ท.เกษม ช้างเผือก หัวหน้าพนักงานสอบสวน กำลังฝ่ายสืบสวน แพทย์เวร รพ.สามชุก และมูลนิธิเสมอกัน ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ไม่มีชื่อ เลขที่ 200/5 หมู่ 1 ต.ย่านยาว พบศพนายศิริมงคล หรือกบ โอสว่าง อายุ 25 ปีอยู่บ้านเลขที่ 181 หมู่ 1 ต.ย่านยาว ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 11 มม.เข้าที่กลางอก 6 นัดกระสุนทะลุกลางหลัง และที่ใต้คาง และปากอีก 3 นัด จนปากฉีกฟันหักนอนหงายจมกองเลือดอยู่หน้าร้าน ที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนขนาดเดียวกันตกอยู่ 7 ปลอก หัวกระสุน 2 หัว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังมีผู้ลูกหลงได้รับบาดเจ็บพลเมืองดีนำส่ง รพ.สามชุก แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างนำส่ง ทราบชื่อนายดิษฐโรจน์ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 36 ปีอยู่บ้านเลขที่399/817 ซอยโชคชัยร่วมมิตร แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯถูกยิงเข้าที่ อกซ้าย 1 นัดแขน และต้นแขนซ้าย 2 นัด

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่านายศิริมงคล  เป็นเจ้าของร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ไม่มีชื่อ และเป็นลูกชายอดีต เลขานายก อบต.วังลึก ก่อนเกิดเหตุได้ออกมายืนอยู่หน้าร้าน แล้วมีนายดิษฐโรจน์  ซึ่งเป็นช่างตัดผมได้ขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่าสีเทาดำ ทะเบียน คนว 423 ขอนแก่น พา น.ส.ภัทรวรรณ หรือลูกเกด ช่างกราน อายุ 20 ปีแฟนสาวซึ่งเป็นนักศึกษาสาขาวิชาการบัญชีและสาระสนเทศมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลสุวรรณภูมิศูนย์สุพรรณบุรี เข้ามาเติมลม ขณะกำลังลากสายจะเติมลมทันใดนั้นได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนขับรถเก๋งยี่ห้อ ฮอนด้า ซิตี้สีดำไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาจอดหน้าร้านแล้วลดกระจกตะโกนเรียกชื่อนายศิริมงคล เมื่อนายศิริมงคล หันหน้ามาคนร้ายจึงกระหน่ำยิงไม่ยั้งเมื่อเห็นเหยื่อล้มแน่นิ่งคนร้ายจึง เร่งเครื่องหลบหนี  ส่วนสาเหตุเบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดมาจากเรื่องแค้นส่วนตัว อย่างไรก็ตามจะได้สอบสวนสาเหตุที่แท้จริงเพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ตามกฏหมายต่อไป

รองผบช.น.เข้มตรวจร้านเกมส์


วันนี้ ( 3 พ.ย.) พล.ต.ต.มานิตย์  วงศ์สมบูรณ์ รอง ผบช.น.นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเฉพาะกิจ บช.น., ชุดปฏิบัติการสายตรวจ 191และเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ดินแดง รวม 50 นาย เข้าตรวจค้นร้านอินเตอร์เน็ต ย่านถนนประชาสงเคราะห์ แขวง-เขตดินแดง

รองผบช.น.กล่าวว่า วันนี้ได้เข้าตรวจค้นร้านอินเตอร์เน็ตตามนโยบายของ ผบช.น. พล.ต.ท.คำรณวิทย์  ธูปกระจ่าง ให้กวดขันร้านเกมส์ที่ปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าใช้บริการเกินกำหนดเวลา โดยในวันนี้ได้เข้าตรวจค้นในพื้นที่สน.ดินแดง ซึ่งมีร้านเกมส์ อยู่เป็นจำนวนมากถึง 30 ร้าน และจากการตรวจค้นพบว่า มีจำนวน 3 ร้าน ที่ปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าใช้บริการเกินเวลา 20.00 น. ซึ่งได้แก่ร้านฟอร์เวิร์ด เกมส์แอนด์อินเตอร์เน็ต เลขที่ 4845 ถ.ประชาสงเคราะห์ แขวง-เขตดินแดง มีเด็กใช้บริการ 3 คน ร้านขำ-ขำ เลขที่ 5043 ถนนประชาสงเคราะห์ แขวง-เขตดินแดง จำนวน 2 คน และร้านวิน-เน็ต เลขที่ 5051-2 จำนวน 1 คน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวเจ้าของร้านทั้ง 3 ร้าน ไปดำเนินคดีที่สน.ดินแดง ในข้อหาสนับสนุน ยินยอม ให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 30,000 บาทหรือทั้งจำและปรับ

โจรใต้เหิมลอบถล่มเอ็ม 79 โรงพักมูโน๊ะ


วันนี้ ( 4 พ.ย.) กำลังทหารหน่วยเฉพาะกิจสงขลา (ฉก.) และตำรวจสภ.สะบ้าย้อย ปลัดอำเภอสะบ้าย้อย นำกำลังไปที่บ้านไม่มีเลขที่บ้านบ่าว ม.5 ต.ทุ่งพอ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งเป็นบ้านของคนร้ายที่หนีมากบดาน จึงเข้าปิดล้อมพบคนร้ายอยู่ในบ้าน 3 คน จึงได้เกิดยิงปะทะกันสิ้นเสียงปืน เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1คน คือนายมะยุดิน สามะ อายุ 24 ปี ชาวบ้าน ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา พร้อมอาวุธปืน.38 จำนวน 1 กระบอก ส่วนคนร้ายอีก 2 คน คาดว่าถูกกระสุนปืนเข้าหน้าที่ มีรอยเลือดหยดเป็นทาง หลบหนีเข้าพื้นที่ อ.กาบัง จ.ยะลา ส่วนเจ้าหน้าที่ปลอดภัย
ก่อนหน้านี้ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน อาศัยความมืดแฝงตัวเข้ามาทางสวนยางพารา ใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยิงถล่มใส่ สภ.มูโน๊ะ จ.นราธิวาส ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายสุไหงโก-ลก-ตากใบ ช่วงบริเวณบ้านบูเก๊ะ หมู่ 5 ต.มูโน๊ะ อ.สุไหงโก-ลก แต่ลูกระเบิดพลาดเป้าไปตกที่บริเวณกำแพงด้านหลังของโรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเวรยามอยู่โรงพักบน รอดตายไปได้อย่างหวุดหวิด
      
หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.มะตาฮา มูหนะ สวญ. สภ.มูโน๊ะ ได้สั่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าประจำที่บริเวณบังเกอร์รอบโรงพัก เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มคนร้ายบุกโจมตี ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะเข้าตรวจสอบในช่วงเช้า เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย\
อีกราย พ.ต.อ.ดุลยามาน แยนา ผกก.สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุระเบิดขึ้นที่หน้าบ้านเลขที่ 49/11 ของนายฉกรรจ์ นวลจันทร์ เจ้าหน้าที่กองทุนสงเคราะห์สวนยางรือเสาะ ซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านยะบะอุปการวิทยา หมู่ 2 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ขึ้นที่หน้าบ้านพักเลขที่ 196 หมู่ 1 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ ของ จ.ส.ต.หญิง เพ็ญพิมล จันทมะโน เจ้าหน้าที่ธุรการ สภ.รือเสาะ ซึ่งตั้งอยู่หลัง สภ.รือเสาะ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันทร์ดี รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.จันที แจ่มจันทร์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.นราธิวาส ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.ภ.จว.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

จุดแรกที่หน้าบ้านเลขที่ 49/11 ของนายฉกรรจ์ พบซากรถ จยย. ฮอนด้า ไม่ทราบสีและทะเบียน ดัดแปลงเป็น จยย.สามล้อพ่วง  ที่คนร้ายประกอบระเบิดแสวงเครื่องในถังแก็สปิกนิก หนัก 15 กก. จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ถูกอานุภาพของระเบิดได้รับความเสียหายจนแหลกละเอียดทั้งคัน ส่วนที่บ้านพักเลขที่ 196 ก็ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหายทั้งหลัง และยังมีบ้านเรือราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายไปด้วย 4 หลัง เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อคือนางไพรวัลย์ นวลจันทร์ นางกรรณิกา ชาติวัฒนา ด.ช.ภาณุรุต ชาติวัฒนา ด.ช.เจษฎาภรณ์ ชาติวัฒนา ด.ญ.ทิพยวัลย์ ชาติวัฒนา ด.ญ.อธิตา แวเราะ ด.ช.พิณชนนท์ คงอารี และนายฉกรรจ์ นวลจันทร์ เจ้าของบ้าน ทั้งหมดถูกสะเก็ดระเบิดตามลำตัว เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่ง รพ.รือเสาะ อย่างเร่งด่วน

ส่วนจุดที่ 2 หน้าบ้านเลขที่ 196 ของ จ.ส.ต.หญิง เพ็ญพิมล จันทมะโน เจ้าหน้าที่พบซากรถกระบะนิสสัน สีน้ำเงิน ทะเบียน น-4145 นราธิวาส บรรทุกไม้ยางเต็มคัน ที่คนร้ายประกอบระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุใส่ไว้ในถังแก็สหุงต้มหนัก 80 กก. ซุกซ่อนไว้ภายในห้องโดยสาร จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ถูกอานุภาพของระเบิดได้รับความเสียหายทั้งคัน บนถนนพบรถจยย.ซูซูกิ สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนล้มตะแคงอยู่บนถนน ใกล้กันพบศพนายอับดุลรอแม เจ๊ะเลาะ และ ด.ญ.ศศิธร สูเล็ง อายุ 3 ปี สองพ่อลูก นอนจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่บนถนน และห่างไป 10 เมตร พบศพนางเสงี่ยม หมื่นโกตา นอนจมกองเลือดเสียชีวิตเช่นกัน ส่วนบ้านพักเลขที่ 196 ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหายทั้งหลัง นอกจากนี้บ้านเรือนราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้รับความเสียหายกว่า 10 หลังคาเรือน เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งนำศพผู้เสียชีวิตส่ง รพ.รือเสาะ

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุมีคนร้าย 2 ชุด ชุดแรกนำรถจยย.พ่วงสามล้อ ที่ประกอบระเบิดแสวงเครื่องหนัก 15 กก.ไปจอดไว้หน้าบ้านพักของนายฉกรรจ์ แล้วหลบหนีไป ส่วนชุดที่สองนำรถกระบะที่ประกอบระเบิดแสวงเครื่องหนัก 80 กก. ตบตาเจ้าหน้าที่ด้วยการบรรทุกไม้ยางพาราเต็มคันรถ มาจอดไว้หน้าบ้านพักของ จ.ส.ต.หญิง เพ็ญพิมล แล้วหลบหนีไป ก่อนจะอาศัยช่วงจังหวะที่ชาวบ้านพลุกพล่านจุดชนวนระเบิด จุดแรกเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บดัง กล่าว และ 1 นาทีต่อมาคนร้ายก็จุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์จุดที่ 2 ขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ นายอับดุลรอแม เจ๊ะเลาะ และ ด.ญ.ศศิธร สูเล็ง สองพ่อลูก ที่ขี่รถ จยย.ผ่านมาเสียชีวิตคาที่ ส่วนนางเสงี่ยม ซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามจุดเกิดเหตุถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิตคาที่เช่นกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป.

บก.ทล.ตั้งด่านตรวจสกัดจับเด็กแว้น


วันนี้(3 พ.ย.) พล.ต.ต.พงษ์สิทธิ์  แสงเพชร ผบก.ทล. นำกำลังเจ้าหน้าที่ ส.ทล.2 กก .8 บก.ทล. พ.ต.อ.ดิเรก ปลั่งดี รองผบก.ทล. พ.ต.ท.โยธิน  โตสง่า  สวญ.ส.ทล.2 ( เขตสอบสวนคดีจราจร สำนักงานทางหลวง 2 กองกำกับการ8 ) ออกติดตาม การเคลื่อนไหวของกลุ่มวัยรุ่นซิ่งรถจักรยานยนต์ บนถนนกาญจนาภิเษก  ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดบริเวณถนนกาญจนาภิเษกฝั่งขา เข้า  บริเวณหน้าหมู่บ้านสินทรัพย์นครกาเด้น โดยจากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฏหมายหรือผู้กระทำความผิดและแก็งรถจักรยาน ยนต์ซิ่งแต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.ต.พงษ์สิทธิ์ เปิดเผยว่า  วันนี้เป็นการบูรณาการร่วมกัน ทั้งจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทล.2 กก.8 บก.ทล. เจ้าหน้าที่หมวดการทางภาษีเจริญ  อาสาสมัครตำรวจทางหลวง อาสาสมัครมูลนิธิกู้ภัย เพื่อออกตรวจตราตรวจสอบการกระทำความผิดบนท้องถนนอาทิ การร่วมตัวแข่งรถในทางสาธารณะ  การก่อเหตุอาชญากรรมต่าง ซึ่งหลังจากนี้จะมีการออกตรวจตราเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ส่วนในการตรวจค้นได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าต้องกระทำการด้วยความละมุน ละม่อมเพราะถึงจะเป็นเด็กแว๊นซ์ก็เปรียบเสมือนลูกหลาน ทั้งนี้ก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสได้ตลอด24 ชั่วโมง 

จับโจ๋เขมรลอบตัดไม้พะยูงในไทย


วันนี้ (4 พ.ย.) หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล เจ้าอาวาสวัดเขาศาลา อตุลฐานะจาโร ได้รับแจ้งมีชาวกัมพูชากว่า30 คน เข้ามาลักลอบตัดไม้พะยูง ทางทิศใต้ของพุทธอุทยาน วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ ต.จรัส อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ เดินทางเข้าตรวจสอบพร้อม ร.ต.อ.มนัส ทองปน รอง ผบ.ร้อย ตชด.214 นายทิมัมพร สิงหะ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และกำลังทหารพราน และทันที่ที่ชาวกัมพูชาเห็นกำลังเจ้าหน้าที่ต่างพากันวิ่งหนีเข้าป่า แต่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ 3 คน  ซึ่งทั้งสามคนเป็นชาวบ้านอลองเวง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และจากการเข้าเคลียร์พื้นที่พบไม้พะยูงถูกแปรรูปเป็นท่อนเหลี่ยมยาว1 เมตร จำนวน 30 ท่อน และยังพบต้นพะยูงขนาดใหญ่ถูกโค่นเตรียมแปรรูปอีก 6 ต้น ซึ่งหลวงตาเยื้อน ได้ต่อสู้กับขบวนการตัดไม้พะยูงมาอย่างยาวนานและทุ่มเทในการอนุรักษ์ป่า พยายามเก็บความรู้สึกเสียใจ ที่เห็นไม้พะยูงถูกโค่นจำนวนมาก

จากการสอบสวนชาวกัมพูชาทั้ง 3 คน ทราบว่า มีนายทุนว่าจ้างคนหนุ่มและวัยรุ่นในพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา  30 คน ให้มาตัดไม้พะยูงในป่า ซึ่งหลอกว่าอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา โดยจะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 90 บาท ซึ่งไม้แต่ละท่อนหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ราคาประมาณ 4,500 บาท และเมื่อมีการส่งไปประเทศจีนจะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 500 บาท แต่เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่า จุดที่เข้ามาลักลอบตัดไม้อยู่ลึกเข้ามาในเขตไทย 4 กิโลเมตร ผู้ต้องหาทั้งหมดถึงกับหน้าถอดสี พร้อมเปิดเผยว่า ขณะนี้วัยรุ่นกัมพูชา ซึ่งกำลังประสบปัญหาภัยแล้งและส่วนใหญ่ยากจน กำลังนิยมออกหาไม้พะยูงเพื่อส่งขายให้นายทุนชาวกัมพูชาซึ่งได้ราคาดี แทนการส่งยาบ้า ซึ่งมีอัตราโทษหนักกว่า

หลวงพ่อเยื้อน กล่าวว่า จากการที่วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สภาพป่าสมบูรณ์ และมีไม้พะยูงมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ทำให้เป็นเป้าหมายของนายทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ต้องการไม้พะยูงส่งไปขายในต่างประเทศ ซึ่งเฉพาะเดือนตุลาคม มีการเข้าจับกุมชาวกัมพูชาที่เข้ามาลักลอบตัดไม้พะยูงถึง11 ครั้ง จับกุมชาวกัมพูชาได้ 11 คน พร้อมของกลางไม้พะยูงกว่า 70 ท่อน ซึ่งรวมครั้งนี้อีก 30 ท่อน จึงรวมเป็น 100 ท่อน มูลค่านับสิบล้านบาท

อย่างไรก็ตามขณะนี้หลวงพ่อเยื้อนและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่มีหน้าที่ปกป้อง ป่าพะยูง ต่างรู้สึกหนักใจ เนื่องจากการลักลอบเข้ามาตัดไม้ในเขตไทยมีความถี่มากขึ้น อีกทั้งผู้ต้องหาเริ่มมีอายุน้อยลง โดยส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุ 14-18 ปี ซึ่งมีกำลังในการตัดและชักลากไม้ออกจากป่าเข้าไปในฝั่งกัมพูชา

ผจก.แผนกอะไหล่เชฟฯ ขับเก๋งตกตึกรสาดับ


เมื่อเวลา 19.30 น.วันนี้( 2 พ.ย.) ร.ต.อ.ธนกฤต วรรณโกศ ร้อยเวร สน.พหลโยธิน รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ตกลงมาจากอาคารรสา ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 19 ถนนพหลโยธิน แขวงและเขตจตุจักร ไปตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ข้างอาคาร พบเศษอิฐ เศษปูนเกลื่อนพื้น ใกล้กันพบรถเก๋งเชฟโรเล็ต รุ่นครูซ สีขาว ทะเบียนป้ายแดง ศ 2453 กรุงเทพมหานคร ตกลงมาจากอาคารตัวรถหงายท้อง หลังคา และฝากระโปรงฉีกขาด สภาพพังยับเยินทั้งคัน ตรวจสอบมีผู้บาดเจ็บติดอยู่ภายใน หน่วยกู้ภัยต้องงัดร่างออกมาด้วยความทุลักทุเล และปั๊มหัวใจช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ทัน ผู้ตายเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ทราบชื่อ น.ส.กอบกาญ วิชรัตน์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการฝ่ายอะไหล่ บริษัท เชฟโรเล็ต เซลล์(ประเทศไทย) จำกัด
สอบสวนเพื่อนผู้ตายให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเป็นเวลาหลังเลิกงาน ผู้ตายนั่งคุยเล่นกับเพื่อนๆ ในบริษัทก่อนแยกย้ายกันกลับ โดยผู้ตายเดินมาเอารถที่ลานจอดรถชั้น 6 และพยายามขับรถวนลงมาที่ชั้น 5 บี ระหว่างนั้นแทนที่รถของผู้ตายจะเลี้ยววนลงมาตามทางปกติ กลับขับชนกรวยสีส้มกั้นทาง ก่อนจะเสยผนังคอนกรีตอย่างจัง พุ่งทะลุตกลงมากระแทกพื้นด้านล่างเสียงดังสนั่นหวั่นไหว อย่างไรก็ตาม ผู้ตายเพิ่งจะขับรถเป็นได้ 2 เดือน และเพิ่งออกรถได้ไม่นาน อาจเกิดจากความไม่ชำนาญก็เป็นได้
ด้านพนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า ผู้ตายเป็นพนักงานบริษัทเชฟโรเล็ตฯ สำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 21 ของอาคารดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุได้ขับรถลงมาตามปกติ แต่จุดเลี้ยวของอาคารเป็นช่วงสั้นและแคบ หากไม่ชำนาญอาจผิดพลาดได้ ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบสภาพรถหลังเกิดเหตุ พบว่าเกียร์ของรถอยู่ที่ตำแหน่งพี หรือจอดรถ ส่วนเบรกมือถูกดึงขั้นมา ไม่แน่ใจว่าเกิดจากผู้ตายพยายามห้ามล้อไม่ให้รถตกลงมา หรือเกิดจากรถกระแทกพื้นจนตำแหน่งเกียร์และเบรกเคลื่อนที่ไปเอง ส่วนสาเหตุคงต้องรอผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์มาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ว่าเกิดจากผู้ตายไม่ชำนาญ หรือเกิดความผิดปกติจากตัวรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ถือว่าเคราะห์ดีที่ไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาในจุดที่รถตกลงมา มิฉะนั้นอาจเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำอีก.

รวบแล้วโจรบุกเดี่ยวจี้ชิงเงิน 2.7 ล้านบาทแบงก์รวงข้าวภูเก็ต


วันนี้ ( 3 พ.ย.) ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนเทพกระษัตรี ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต พล.ต.อ.รชต เย็นทรวง ที่ปรึกษา สบ.10 พล.ต.ต.วิศณุ ม่วงแพรสี พล.ต.ต.กิตติสัณห์ เดชสุนทรวัฒน์ รอง.ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผบก.ภ.ภูเก็ต พ.ต.อ.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต แถลงข่าวการจับกุมนายอนุศิษฎ์ แก้วมุกดา อายุ 32 ปีคนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์บุกเดี่ยวจี้ชิงเงินสดจากเจ้าหน้าที่ บริการลูกค้าภายใน ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนเทพกระษัตรี ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต กวาดเงินสดใส่ถุงผ้าลดโลกร้อนไป 2.7 ล้านบาทก่อนใช้รถ จยย.ฮอนด้าเวฟสีฟ้า-ขาวไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนี เหตุเกิดเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา  ได้พร้อมของกลางเป็นเงินสดจำนวน 2.5 ล้านบาทและปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 1 นัด
พล.ต.อ.รชต เย็นทรวง ที่ปรึกษา สบ.10 กล่าวว่า หลังก่อเหตุ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ ผบช.ภ.8 และ ผบก.ภ.ภูเก็ต เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยด่วน เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์และเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องต่างเร่งคลี่คลายคดีอย่างเร่งด่วน เพียง 24 ชม.ได้เบาะแสของคนร้ายจากประชาชนในพื้นที่ จนทราบว่าคนร้ายใช้รถ จยย.ฮอนด้าเวฟสีฟ้า-ขาวไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไปยังพื้นที่ ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต  จึงได้รวบรวมหลักฐานเสนอต่อศาล จ.ภูเก็ตออกหมายจับ
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ชุดสืบสวน สภ.เมืองภูเก็ตและชุดสืบสวน ภ.จ.ภูเก็ตเข้าตรวจสอบบ้านเช่าเลขที่ 63/67 เกาะแก้ว ซ.3 ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต หลังได้เบาะแสคาดว่าเป็นบ้านพักของนายอนุศิษฎ์ คนร้าย โดยพบเงินสดบรรจุอยู่ในถุงผ้าลดโลกร้อนจำนวน 2.5 ล้านบาทพร้อมปืนไทยประดิษฐ์ที่ใช้ก่อเหตุซุกซ่อนอยู่ภายในบ้าน จากนั้นได้นำตัว น.ส.อัญทนีย์ หรือ ออย ทองสาร อายุ 32 ปีแฟนสาวนายอนุศิษฎ์ และรถ จยย.ฮอนด้าเวฟสีฟ้า-ขาว ทะเบียน ขยษ 785 สุราษฏร์ธานี  ไปสอบสวนขยายผล เบื้องต้นไม่พบตัวนายอนุศิษฎ์ภายในบ้านพัก ซึ่งคาดว่าหลบหนีไปก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าตรวจค้น
จากนั้นชุดคลี่คลายคดีได้ตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือของคนร้ายจนทราบว่า มีการติดต่อกับแฟนเก่า ซึ่งทำงานเป็นพนักงานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โดยมีห้องพักอยู่ที่อาคารน้องมิลล์อพาร์ทเม้นท์ หลังสนามกีฬาสุระกุล ซอยซุ่ยหลานอุทิศ ถนนวิชิตสงคราม อ.เมืองภูเก็ต จึงเข้าตรวจสอบพบนายอนุศิษฏ์ นอนพักอยู่ภายในห้องพักดังกล่าว จึงควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.เมืองภูเก็ต เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือใช้อาวุธปืนบุกจี้ชิงเงินภายใน ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนเทพกระษัตรี จริง จึงแจ้งข้อหาชิงทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อ ให้พ้นการจับกุมและมีอาวุธปืน-เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับ อนุญาต

ที่ปรึกษา สบ.10 กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินสดอีก 2 แสนบาทที่สูญหายไป นายอนุศิษฏ์ผู้ต้องหาได้นำไปใช้หนี้ นำไปไถ่สร้อยคอทองคำที่นำไปจำนำไว้ให้แฟนเก่า ขณะเดียวกันนายอนุศิษฏ์ ยังรับสารภาพด้วยว่าเมื่อวันที่ 29 ม.ค.55 เคยก่อเหตุใช้อาวุธปืนกระบอกเดียวกันบุกจี้ชิงเงินสดจาก ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้างเทสโกโลตัสเอ๊กซ์เพลส สาขาถนนเจ้าฟ้ามาแล้ว โดยครั้งนี้ได้เงินสดไป 694,000 บาท ซึ่งนำเงินไปจ่ายหนี้พนันบอลและซื้อรถจักรยานยนต์อีก 1 คัน จนกระทั่งมาก่อเหตุดังกล่าว โดยนายอนุศิษฎ์ยังมีหมายจับคดีลักทรัพย์ในเวลากลางคืนเมื่อวันที่ 17 มี.ค.50 ของ สน.ดินแดง ส่วนสาเหตุที่นายอนุศิษฏ์ ลงมือก่อเหตุเฉพาะ ธนาคารกสิกรไทย เนื่องจากไม่มี รปภ.ดูแล จากนั้นนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตามจุดต่างๆ ก่อนที่จะนำตัวไปส่งฟ้องฝากขังที่ศาลต่อไป

สุรยุทธ์ ปัดอยู่เบื้องหลังม็อบเสธ.อ้าย


วันนี้ ( 3 พ.ย.)  พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอยู่เบื้องหลังจัดการชุมนุมของพล.อ.บุญ เลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ที่สนามม้านางเลิ้ง เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่ายอมรับว่าตนเองเป็นเพื่อนเรียนโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกับ พล.อ.บุญเลิศ  ซึ่งความเป็นเพื่อนกัน อาจทำให้ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกังวล
"ความจริงที่เห็นคือ ผมทำงานเพื่อสังคม เด็กและเยาวชนมาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถที่จะไปห้ามความคิดใครได้ ส่วนที่มีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท. ) บางคนเดินทางมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม เพื่อขับไล่รัฐบาลด้วยนั้น มองว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ และเป็นนักประชาธิปไตย จึงมีสิทธิ์ในการเคลื่อนไหว คงไปห้ามไม่ได้เช่นกัน"  พล.อ.สุรยุทธ์

วิปฝ่ายค้านสรุปประเด็นซักฟอก 6 พ.ย.นี้


วันนี้ ( 3 พ.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลที่จะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจขั้นสุดท้าย ก่อนยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันที่ 9 พ.ย. นี้
"ในวันที่ 6 พ.ย. จะมีการประชุมวิปฝ่ายค้านอีกครั้ง ซึ่งในส่วนของพรรคร่วมฝ่ายค้านกำลังอยู่ระหว่างการประสานงาน เนื่องจากมีพรรคภูมิใจไทย และพรรครักประเทศไทย แสดงความจำนงว่า จะร่วมลงชื่อในการญัตติ และร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย"นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์   กล่าวอีกว่า ส่วนการอภิปรายใครหรือประเด็นใดนั้น ตนได้ให้ทั้ง 2พรรคไปรวบรวมข้อมูล เพื่อสรุปประเด็นมาเสนอก่อน ซึ่งทั้งหมดจะต้องชัดเจนก่อนวันที่จะมีการยื่นญัตติ 2วัน และสมมติว่ามีรัฐมนตรีที่จะต้องถูกถอดถอนนั้น ก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยจะมีการยื่นถอดถอนก่อนวันการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

“ยุทธศักดิ์” คาด “ยิ่งลักษณ์” ให้ดูแลปัญหาไฟใต้


วันนี้( 3 พ.ย.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่าจะให้รับผิดชอบดูแลในงานด้านใด แต่คาดว่าน่าจะเป็นงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกำลังขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีภายหลังจากการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์และนโยบายแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศปก.กปต.) อย่างไรก็ตามคาดว่าเร็วๆ นี้นายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมคณะทำงานพร้อมมอบหมายงานรับผิดชอบโดยจะเชิญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เป็นรองผอ.รมน. พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพราะต่อไปจะต้องมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการแก้ปัญหาในพื้นที่.

"ยุทธศักดิ์"ไม่เกี่ยงหากนายกฯมอบดูแลด้านความมั่นคงต่อ


วันนี้( 3 พ.ย.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เดลินิวส์ ถึงข่าวการเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ว่า ไปหา พล.อ.เปรม จริงแต่ไม่ได้ไปวิ่งเต้นเพื่อขอตำแหน่ง ไปหาวันที่ 31 ต.ค. เพื่อไปบอกเรื่องงานศพมารดาที่เสียชีวิต เนื่องจากหมอประจำตัวป๋าได้บอกป๋าว่ามารดาตนเองเสียชีวิต ป๋าเลยบอกว่าทำไมไม่มาบอกข่าว จึงไปรายงานกับป๋าว่ามารดาเสียชีวิต เพราะตอนแรกก็เกรงใจ เนื่องจากท่านอายุเยอะแล้ว จึงไม่อยากไปรบกวน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากในเรื่องงาน เพราะตอนที่ไปพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่ได้แต่งตั้งตนเป็นที่รึกษานายกรัฐมนตรีเลย
เมื่อถามว่าหากนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ดูแลเรื่องความมั่นคงต่อไปจะว่า อย่างไร พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าท่านจะให้ดูเรื่องอะไร คงต้องรอรับนโยบายก่อนว่าท่านจะว่าอย่างไร  และว้นไหนท่านเข้าทำเนียบ คงต้องไปรายงานต้ว เพื่อรับทราบนโยบายว่าท่านจะมอบหมายงานอะไรบ้าง ซึ่งพร้อมจะทำงานในทุกหน้าที่ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งอะไร เพราะอายุเยอะแล้ว อยากทำงานเพื่อชาติมากกว่าอยากได้ตำแหน่ง เหมือนอย่างที่ป๋าบอกเกิดมาเป็นคนไทยต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน

พิชัย” ชี้ เหมาะซักฟอกรัฐ 3 ปมหลักเชื่อข้อมูลโกง“จำนำข้าว”


วันนี้ ( 13 พ.ย.) นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงการเตรียมข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน ว่าไม่ได้ติดตามเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างละเอียด และคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ให้เวลากับรัฐบาลมากพอแล้วกว่า 1ปี จึงเหมาะสมแล้วที่จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายฯ ในช่วงนี้ ซึ่งควรที่จะมีอภิปรายฯเรื่องการสร้างความปรองดองในชาติ เรื่องปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรื่องจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการรับจำนำข้าว นโยบายรถคันแรก ที่พบว่ามีปัญหาอยู่แล้วและการอภิปรายเรื่องเศรษฐกิจ ขณะที่ถ้าตนเป็นหัวหน้าพรรคก็จะพูดเรื่องนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน โดยพูดในลักษณะว่ารัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
“ไม่ทราบว่าจะอภิปรายฯประเด็นอะไรบ้าง เพราะเขาไม่ได้มาปรึกษาอะไร ผมแก่แล้ว ไม่รู้ว่าข้อมูลแน่นไม่แน่น แต่การอภิปรายเพื่อให้เกิดประโยชน์นั้นข้อมูลต้องแน่นพอ แต่ผมเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์มีข้อมูลที่แน่นพอ โดยเฉพาะเรื่องจำนำข้าวที่รัฐบาลทำไม่สำเร็จและโกงกินจำนวนมาก” นายพิชัย กล่าว

“พิชัย” ค้าน “เสธ.อ้าย” นัดชุมนุมล้มรัฐบาล


วันนี้(3 พ.ย.)นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานสภาที่ปรึกษาพรรค กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมือง ที่พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์(เสธ.อ้าย) ประธานองค์กรกลุ่มพิทักษ์สยาม เตรียมนัดชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลว่า  ตนไม่กล้าและไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ เพราะถ้าเป็นตนจะไม่ทำแบบนี้ เนื่องจากบ้านเมืองมีปัญหามากแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้เกิดการเผชิญหน้ากันอีก และการที่น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เข้าร่วมกับพล.อ.บุญเลิศ ด้วยนั้นตนก็แปลกใจว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะ 3 ประเด็นหลักที่มีการอ้างก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ซึ่งเห็นว่าต้องใช้ช่องทางของสภาฯ ในการเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า
นายพิชัย กล่าวว่า  หากพล.อ.บุญเลิศ มีข้อมูลอะไรก็ควรเอาไปให้ฝ่ายค้านเล่นงานรัฐบาลในสภาฯ ดีกว่า ทั้งนี้ตนเห็นว่าไม่ควรให้มีเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุม 2 กลุ่มจะมาปะทะกัน และก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่การเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติหรือไม่ แต่ตนขอชื่นชมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่มีความหนักแน่นในจุดยืนของตัวเองและอยากให้ยืนหยัดในจุดยืนแบบนี้ ต่อไป

ศึกซักฟอกกระบวนการตาม 'กติกา' เวทีทดสอบประชาธิปไตย 'ยิ่งลักษณ์'


สถานการณ์การเมืองในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ทุกฝ่ายต้องจับตาไปที่รัฐสภาซึ่งเหลือระยะเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น ตาม “ปฏิทิน” ที่ถูกกำหนดไว้ในช่วง 30 วันของเดือนนี้ จะมีเวทีทางการเมืองอยู่ 3 เวทีสำคัญ

เวทีหนึ่งคือ การแถลงผลงาน 1 ปีรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

เวทีหนึ่งคือ การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตาม รธน.มาตรา 161 ของวุฒิสภา

เวทีหนึ่งคือ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ

ทั้ง 3 เวทีที่ว่าถือเป็นกระบวนการประชาธิปไตยตามระบอบรัฐสภา ที่ “ทุกฝ่าย” พึงต้องกระทำตามบทบาทและอำนาจหน้าที่ของตัวเอง

เวทีแรก เวทีแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาล ซึ่งเดิมทีรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ กำหนดไว้ว่าจะมีขึ้นหลังครบรอบการทำงาน 1 ปีซึ่งครบกำหนดในวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่ด้วยข้ออ้างเรื่องการใช้ระยะเวลารวบรวมผลงานซึ่งมีจำนวนมากจึงทำให้ต้อง เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ในระหว่างที่มีการรวบรวมผลงาน รัฐบาลก็ชิงการนำด้วยการให้แต่ละกระทรวงไปรายงานผลงาน 1 ปีผ่านสาธารณชนแทน

จากเดิมที่เคยมองกันว่า เวทีแถลงผลงาน 1 ปี จะเป็นเวที “ซ้อมใหญ่” ให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ “ลับฝีปาก” แต่จนแล้วจนรอด รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่มีความชัดเจนออกมาว่า จะกำหนดให้วันไหนเป็นวันแถลงผลงานต่อรัฐสภา การทอดเวลาเพื่อให้เวทีแถลงผลงานมาอยู่ในช่วง 30 วันก่อนปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 28 พ.ย.นี้ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจที่จะใช้เวลาฝ่ายบริการที่กำลังเหลืออยู่ไม่มากนัก ให้น้อยลงไปอีก

ขณะเวทีอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติของวุฒิสภา นั้นแน่นอนแล้วว่า รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ “ไฟเขียว” แม้จะมองว่ามีบางส่วนต้องการจะใช้สถานการณ์นี้เพิ่มกระแสการตรวจสอบรัฐบาล ให้เข้มข้นมากขึ้น จริงอยู่แม้ ส.ว. กลุ่มที่ถูกเรียกว่า “กลุ่ม 40 ส.ว.” ยื่นญัตติเพื่อ “ตรวจสอบ” รัฐบาลในปัญหานโยบาย “รับจำนำข้าว” แต่ก็มี ส.ว. สายเลือกตั้งเสนอญัตติในลักษณะเดียวกับเข้าประกบ

การใช้เวทีวุฒิสภาของ ส.ว.ทั้ง 2 กลุ่มจึงน่าจะถูกมองว่า ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่รัฐบาลจะรับมือไหว ที่สำคัญรัฐบาลอาจจะใช้โอกาสตรงนี้ชี้แจงแสดงหลักฐานเพื่อให้สังคมคลายความ สงสัยในปัญหาที่คาดว่าจะถูกฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ระยะเวลาจะเป็นเมื่อไหร่ระหว่างช่วงวันที่ 16-17 พ.ย.หรือระหว่างวันที่ 23-24 พ.ย.     
              
ส่วนเวทีสุดท้าย ซึ่งได้ถูก “ล็อกเป้า” ไว้เป็นที่เรียบร้อยนั่นคือ เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศไว้ชัดเจนพร้อม ๆ กับได้ประสานงานเป็นการภายในกับรัฐบาล โดยเบื้องต้นกำหนดที่จะยื่นญัตติในวันที่ 9 พ.ย.นี้ จากนั้นในวันที่ 25-26 พ.ย.จะเป็นวันอภิปรายฯและในวันที่  27 พ.ย.จะเป็นวันลงมติ หรือหากมีการชิงไหวชิงพริบกันในเรื่องเวลาก็อาจจะมีเลยไปถึงวันที่ 28 พ.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุมก็ได้

ในวันที่ 9 พ.ย.คงได้เห็นความชัดเจนว่า จะมีรัฐมนตรีกี่คนที่ถูกไม่ไว้วางใจและกี่คนที่ถูกยื่น “ถอดถอน” ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมต้องมีชื่อของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะ “ผู้นำรัฐบาล” อย่างไม่ต้องสงสัย

เหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ ชิงจำกัดช่วงเวลาด้วยการเลือกสัปดาห์สุดท้ายเพราะหวังจะใช้เวลาบีบให้รัฐบาล เปิดโอกาสให้วุฒิสภา และใช้เวลาที่เหลืออยู่แถลงผลงาน 1 ปี

แต่ดูเหมือน รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งความจริงก็รู้กระบวนการในสภาเป็นอย่างดี แต่กลับไปให้เวลากับการประชุมในต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่กระบวนการตรวจสอบเช่นนี้เป็นเรื่องที่นานาชาติที่มีระบอบประชาธิปไตยเข้า ใจดีและเข้าใจในกลไกการทำงาน

ตามกำหนดการที่ออกในเดือนพ.ย.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แทบจะหาเวลาอยู่ในประเทศยากเต็มที เพราะระหว่างวันที่ 5-6 พ.ย.ก็มีกำหนดการไปร่วมประชุมประเทศในกลุ่มประเทศเอเชีย-ยุโรปหรืออาเซ็ม จากนั้นระหว่างวันที่  8-9 พ.ย.ก็จะเดินทางไปร่วมประชุมเชิงประชาธิปไตยที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 12-14 พ.ย.มีกำหนดการไปเยือนประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ  จากนั้นระหว่างวันที่ 17-20 พ.ย. มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ประเทศกัมพูชา

การใช้เวลาในต่างประเทศ ทางหนึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นการทำหน้าที่ในฝ่ายบริหาร แต่อีกทางหนึ่งก็มองได้เช่นกันว่าเป็นความพยายามที่หลีกเลี่ยงฝ่าย นิติบัญญัติ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ อีกทั้งในการยื่นญัตตินั้นต้องทำในสมัยประชุมนี้เท่านั้น หากไม่ทำก็ต้องรอไปอีกประมาณ 8 เดือน หรือในปลายปีพ.ศ.2556 โน่น

การมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพที่มั่นคงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายปรารถนา แต่ในความมั่นคงของรัฐบาล กระบวนการ “ตรวจสอบ” ต้องมีความเข้มแข็งเป็น “เงาตามตัว”

กระบวนการตรวจสอบอย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นกระบวนการปกติธรรมดาในการปกครองระบอบประชาธิปไตย

รัฐบาลไหนจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ดูได้ที่กระบวนการตรวจสอบ

การตรวจสอบในรัฐสภาจึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องเรียกร้องและให้การสนับสนุนดี กว่าปล่อยให้เกิดกระบวนการ ตรวจสอบ “นอกสภา” ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้าและนำมาซึ่งความวุ่นวายจนนำไปสู่ความ ขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ขึ้นมา

จะน่าเบื่อ จะตื่นเต้น จะไม่มีสาระ หรือจะน่าสนใจ ส่วนรวมจะได้ประโยชน์หรือเปลืองไฟ เสียเวลาหรือจะอะไรก็ช่าง แต่นี่ก็คือ กติกา

ไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ ประชาชนตัดสินเอง.

“ปุระชัย”จี้รัฐแก้ค้ามนุษย์ก่อนถูกแบล็กลิสต์


วันนี้( 4พ.ย.) ที่รัฐสภา ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ  พรรครักษ์สันติ  ในฐานะกรรมาธิการที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.)กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ  สภาผู้แทนราษฎร กล่าวแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์การค้ามนุษย์ในประเทศไทยว่า ขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ของเราน่าเป็นห่วงมาก เพราะขาดข้อมูล ภาวะผู้นำ รวมทั้งขาดความต่อเนื่องทั้งที่ประเทศไทย เราถูกจัดอันดับ tier 2.5(ประเทศที่ต้องจับตามอง)  เป็นระยะเวลา 3 ปี และไม่ทราบว่าจะถูกจัดเป็น tier 3 (ล้มเหลว) ในปีไหน ซึ่งการจัดลำดับนี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  ด้านสังคม  ด้านการเมืองระหว่างประเทศ และที่สำคัญกระทบต่อศักดิ์ศรีของประเทศไทยอย่างรุนแรง  จึงอยากให้รัฐบาลรีบแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังโดยเร็วก่อนถูกขึ้นแบล็กลิสต์
ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าวต่อว่า ตนได้พยายามติดตามเรื่องการค้ามนุษย์มาโดยตลอดนับตั้งแต่รัฐบาลได้ประกาศ เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติในปีพ.ศ. 2547 และผลักดันอย่างจริงจังในช่วง1 ปีที่ผ่านมากับพรรครักษ์สันติ  ล่าสุดคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ มีมติให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งให้ตนเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา ติดตามการค้ามนุษย์  เป็นประธานอนุกรรมาธิการร่วมกับอนุกรรมาธิการรวม 10 คน เพื่อทำงานเชิงรุกในพื้นที่เพื่อแสวงหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้า มนุษย์ในเชิงลึกต่อไป ท่านใดมีข้อมูลที่จะแจ้งต่อคณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ ขอความอนุเคราะห์แจ้งผ่าน facebook ของร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ หรือแจ้งผ่าน email ของพรรครักษ์สันติ info@raksanti.org เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับแจ้งว่านำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

นายกฯพักผ่อนก่อนรอต้อนรับประธานอียู-มอบถ้วยแชมป์ศึกฟุตบอลมูลนิธิไทยคม เอฟ เอ คัพ 2012


วันนี้ ( 4 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศบ้านพักของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายในซอยโยธินพัฒนา 3 เป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยนายกรัฐมนตรีพักผ่อนอยู่ในบ้านพัก ขณะที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยรอบบริเวณบ้านตามปกติ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการปฏิบัติภารกิจในช่วงเย็น ที่ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 17.00 น. นายกรัฐมนตรี บันทึกเทปการนำเสนอวิสัยทัศน์ของผู้นำจากทั่วโลก ที่ห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า
จากนั้น เวลา 17.30 น. นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับนายจูเซ มานูเอล บาโรโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป(อียู) อย่างเป็นทางการ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีพิธีตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ต่อด้วยการหารือข้อราชการ ที่ห้องสีงาช้าง ตึไทยคู่ฟ้า แล้วจะมีการแถลงข่าวร่วม ที่โถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการเพื่อเป็น เกียรติแก่ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปอย่างเป็นทางการ ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ต่อมา เวลา 20.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปยังสนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ เพื่อเป็นประธานพิธีปิด พร้อมมอบถ้วยให้กับผู้ชนะการแข่งขันฟุตบอลมูลนิธิไทยคม เอฟ เอ คัพ 2012 ซึ่งเป็นการชิงชนะเลิศระหว่างทีมสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า กับสโมสรอาร์มี่ ยูไนเต็ด.

นายกฯ ตรวจซ้อมใหญ่ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคฯ


เมื่อเวลา 15.10 น. วันนี้( 2 พ.ย.) ที่ห้องชมวัง อาคารราชนาวิกสภา หอประชุมกองทัพเรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  (ผบ.สส.) และตัวแทนผบ.เหล่าทัพ ได้เดินทางมาตรวจความพร้อมในการจัดซ้อมใหญ่ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคใน งานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา7 รอบ5 ธันวาคม 2554  ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 9 พ.ย.นี้  ณ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร โดยมีพล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)ให้การต้อนรับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการซ้อมใหญ่เหมือนจริงในวันนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในงานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 9 พ.ย. 2555 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค
ทั้งนี้การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในครั้งนี้เป็นการจัดขบวนพยุหยาตรา ทางชลมารคใหญ่ ประกอบด้วย  5 ริ้วขบวน จำนวน 52 ลำ เป็นเรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือรูปสัตว์ 8 ลำ พร้อมด้วยเรือพระราชพิธีอื่นๆ อีก 40 ลำ ใช้กำลังพลและฝีพายจากกองทัพเรือ และกำลังพลในส่วนอื่นๆ กว่า 2,200 นาย
โดยบรรยากาศทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้มีประชาชนให้ความสนใจชมการ ฝึกซ้อมเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามจะมีการฝึกซ้อมใหญ่เหมือนจริงอีกครั้งในวันที่ 6 พ.ย. สำหรับประชาชนที่สนใจชมขบวนพยุหยาตราทางชลมารคสามารถรอชมได้บริเวณพื้นที่ ต่างๆ ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมี 5 จุดหลักๆ น่าสนใจเพราะมีพื้นที่กว้างขวางสามารถชมได้ฟรี ได้แก่ สวนหลวงพระราม 8 (เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี) สวนสันติชัยปราการ (ถนนพระอาทิตย์) สถานีรถไฟธนบุรีเดิม สวนนาคราภิรมย์ (ท่าเตียน) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) สำหรับวันที่ 9 พ.ย.2555 วันพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร   รัฐบาลขอเชิญชวนหน่วยงานราชการ ร้านค้า และประชาชนที่อยู่บริเวณขบวนเรือผ่านทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งโต๊ะหมู่บูชา เครื่องราชสักการะพร้อมประดับธง ภปร. และธงชาติไทย ตามอาคารบ้านเรือนโดยพร้อมเพรียงกัน
พล.ร.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ความพร้อมในการซ้อมใหญ่ครั้งนี้มีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเรื่องกระแสน้ำที่มีความเป็นห่วงนั้นก็สามารถควบคุมได้ เนื่องจากทางกองทัพเรือได้ประสานกับกรมชลประทานอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ทางด้านนายกฯ ก็ได้ชื่นชมกำลังพลของกองทัพเรือว่าได้มีความทุ่มเทต่อการซ้อมเป็นอย่างมาก.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources