วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฆาตกรรมสาวญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวหนุ่มไทยหนีคดี 19 ปีไม่รอดมือตร.


ย้อนเหตุการณ์กลับไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2536 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีเหตุฆาตกรรม นางเมงูมิ อาวาจิ อายุ 33 ปี ภายในห้องพักเขตโตชิมะ กรุงโตเกียว สภาพศพนางเมงูมิ ถูกคนร้ายใช้มีดแทง และเชือกรัดคอเสียชีวิต ตำรวจญี่ปุ่นแกะรอยคดี สุดท้ายได้เบาะแสว่า คนร้ายเป็นหนุ่มชาวไทย หลังก่อเหตุได้หลบหนีออกนอกประเทศไปเรียบร้อย
ศาลเขตโตชิมะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ออกหมายจับผู้ต้องหาหนุ่มไทย ทราบชื่อภายหลังคือ นายวีรศักดิ์ หรือศักดิ์ เอี่ยมพงศ์ษา คดีนี้หากนับอายุความตามขั้นกฎหมาย คือ 20 ปี เหลือระเวลาอีกเพียง 5 เดือนก็กำลังนับถอยหลังจะขาดอายุความแล้ว !!
ช่วงกลางปี 55 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. มีโอกาสนำคณะตำรวจกองปราบฯเดินทางไปดูงานของตำรวจที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการร่วมงานกันของหน่วยงานตำรวจไทยและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไปตามความร่วมมือทางคดีอาญา ที่สำคัญกลับกลายเป็นโอกาสดีเนื่องจากทาง พ.ต.อ.ยูอิจิ ฮารา ตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว ได้ประสานงานกับตำรวจ บก.ป.ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมนายวีรศักดิ์ ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า นางเมงูมิ แล้วหลบหนีกลับมาประเทศไทย โดยทางศาลเขตโตชิมะ ออกหมายจับนายวีรศักดิ์ เอาไว้ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค.2536 แต่เนื่องจากประเทศไทยและญี่ปุ่น ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกันจึงต้องประสานขอให้ทางการไทย ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมและลงโทษผู้ต้องหารายนี้ตามกฎหมายไทย
หลังจากประเทศญี่ปุ่น  พล.ต.ต.สุพิศาล จึงได้รายงานคดีดังกล่าวให้กับทาง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. ได้รับทราบจากนั้นจึงสั่งให้มีการปัดฝุ่นคดีฆาตกรรมสาวญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่อีก ครั้งก่อนที่คดีจะหมดอายุความไปเสียก่อน  พล.ต.ต.สุพิศาล จึงมอบหมายให้ พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก. พร้อมชุดสืบสวนมือดี กองกำกับการ 6 พ.ต.ท.เกื้อกมล ดวงประทีป รอง ผกก.6  พ.ต.ท.ธราดล เหมพัฒน์ และพ.ต.ต.ไกรทอง โพธิ์ตาด พนักงานสอบสวน กก.6 ร่วมกันวางแผนสืบสวนเร่งติดตามจับกุม นายวีรศักดิ์ หรือศักดิ์ เอี่ยมพงศ์ษา เบื้องต้นได้รายละเอียดว่าผู้ต้องหามีภูมิลำเนา อยู่ อ.เมือง จ.ตรัง ทางชุดสืบสวน กก.6 บก.ป.จึงได้ร่วมกับพนักงานอัยการสำนักคดีอาญาและสำนักงานต่างประเทศ เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องในคดี
คดีนี้ตำรวจกองปราบฯได้มาเริ่มค้นหาข้อมูลประวัติของนายวีรศักดิ์ อย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมส่งกำลังลงไปหาข่าวสืบค้นข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผู้ต้องหา ในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัดด้วยกัน เนื่องจากคดีผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้วรูปพรรณสัณฐานน่าจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง กระทั่งได้เบาะแสความเคลื่อนไหวว่าไปใช้ชีวิตอยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช และวันที่ 7 ต.ค. นายวีรศักดิ์ จะนั่งรถทัวร์เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด จ.ตรัง กำลังตำรวจกองปราบฯ จึงไปดักตรวจรถทัวร์ บริเวณที่จอดรถริมถนนเพชรเกษม ต.ชะมาย อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช พบนายวีรศักดิ์ นั่งมากับรถทัวร์จึงได้แสดงหมายจับให้ทราบ จากนั้นควบคุมตัวมาสอบปากคำที่กองปราบปราม ถนนพหลโยธิน พร้อมเชิญเจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย รวมทั้งอัยการ และสื่อมวลชนจากหลายสำนักของประเทศญี่ปุ่นมาร่วมแถลงข่าว
นายวีรศักดิ์ ปัจจุปัน อายุ 39 ปี รูปร่างค่อนข้างบึกบึนเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยเป็นหนุ่มอย่างมาก ยอมเปิดปากสารภาพลงมือสังหารเหยื่อจริงทำลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบพร้อมสำนึก ผิดยกมือไหว้ขอโทษตลอดเวลาที่แถลงข่าว จากนั้นได้เล่าชีวิตปูมหลังว่า ก่อนเกิดเหตุได้รู้จักกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เดินทางมาท่องเที่ยวใน ประเทศไทย และชักชวนให้ไปทำงาน ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ในกรุงโตเกียว ตอนนั้นอายุเพิ่งจะ 19 ปีเศษ จึงรู้สึกท้าทายอยากไปทำงานต่างประเทศเพราะเป็นประสบการณ์ชีวิต ที่สำคัญคิดว่าน่าจะมีรายได้ดี เมื่อเดินทางไปทำงานได้ไม่นานก็รู้จักสนิทสนมกับผู้เสียชีวิตจนมีโอกาสไปพัก อาศัยอยู่ด้วยกันที่ห้องพักของผู้ตาย แต่ไปอยู่ได้เพียง 4-5 วันก็มีปัญหาทะเลาะกันตลอด
“วันเกิดเหตุผู้ตายทั้งพูดจาดูถูกข่มเหงด้วยถ้อยคำค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นลง ไม้ลงมือและคว้ามีดไล่แทง แต่ผมแย่งมีดมาได้จึงแทงสวนกลับไปจากนั้นใช้เชือกรัดคอจนแน่นิ่ง หลังเกิดเหตุก็รู้สึกตกใจมากจึงหยิบฉวยเอาทรัพย์สินเงินสด เครื่องเพชร กล้องถ่ายรูป เพื่อใช้เป็นทุนในการซื้อตั๋วเครื่องบิน  โดยไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นที่รู้จักกัน ให้ช่วยเหลือจนพากลับประเทศไทยสำเร็จ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะล่วงเลยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังฝังใจอยู่เสมอ รู้สึกว่าเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต ที่ผ่านมาเคยคิดจะไปบวชและขอโทษญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต ผมพร้อมจะชดใช้กรรมที่ก่อไว้แล้ว ไม่อยากให้เวรกรรมมันติดตามไปถึงชาติหน้า” นายวีรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย             

คดีนี้จะไม่ประสบความสำเร็จได้เลย หากตำรวจไม่ทำงานแบบเกาะติดอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะคดีที่ใกล้จะขาดอายุความตามกฎหมาย เพื่อไม่ปล่อยให้อาชญากรลอยนวลอยู่ในสังคม ในทางกลับกันผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนี แม้บางส่วนจะยังไม่ถูกจับกุม แต่ชีวิตนี้ก็ต้องรอชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ ตามคำกล่าวที่ว่า “กรรมใดใครก่อ...กรรมนั้นย่อมคืนสนอง” เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น !!
รัชพล ยี่สุ่น : ข้อมูล / ศุภฤกษ์ วิเชียรปัญญา : รายงาน

0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources