วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ดูหนังออนไลน์ Osombie ซอมบี้บินลาเดน [DVD Master][Soundtrack No Sub]

ดูหนังออนไลน์ Curse of The Golden Flower ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ Ninja Assassin แค้นสังหาร เทพบุตรนินจามหากาฬ [DVD Master]



ดูหนังออนไลน์ Iron Man 2 มหาประลัยคนเกราะเหล็ก 2 [DVD Master]





ดูหนังออนไลน์ A Monster In Paris อสุรกายแห่งปารีส [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ The Game เกมตายต้องไม่ตาย [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ James Bond 007 Casino Royale พยัคฆ์ร้ายเดิมพันระห่ำโลก [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ James Bond 007 Quantum of Solace พยัคฆ์ร้าย ทวงแค้นระห่ำโลก [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ John Carter นักรบสงครามข้ามจักรวาล [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ Iron Man มหาประลัย คนเกราะเหล็ก [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ O Brother Where Art Thou สามเกลอ พกดวงมาโกย [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ Shoot Em Up ยิงแม่งเลย [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ Jeepers Creepers โฉบกระฉากหัว [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ Abraham Lincoln Vampire Hunter ประธานาธิบดี ลินคอล์น นักล่าแวมไพร์ [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ The Raven เจาะแผนคลั่ง ลอกสูตรฆ่า [DVD Master]




ดูหนังออนไลน์ Werewolf The Beast Among Us ล่าอสูรนรก มนุษย์หมาป่า [DVD Master]




ปชป. จัดทัพ เดินหน้ายื่นซักฟอกรมต.รายบุคคล


 
 วันนี้ ( 19 ต.ค.) มีรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งถึงความคืบหน้าในการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะยื่นญัตติปลายเดือน ต.ค. เพื่อเปิดอภิปรายในช่วงเดือน พ.ย.ก่อนปิดสมัยประชุมสภา ว่า  การหารือของพรรคยังไม่ตกผลึกว่าจะอภิปรายบุคคลใดบ้าง แต่เบื้องต้นเป็นที่แน่นอนว่า จะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล และประเด็นที่ชัดเจนว่ามีการทุจริต คือ โครงการจำนำข้าว โดยจะพุ่งเป้าไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีโดยตรง และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เมื่อมีประเด็นการทุจริตก็ต้องมีการยื่นถอดถอนด้วย โดยผู้ที่จะอภิปรายในโครงการจำนำข้าว เบื้องต้น มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และนายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์

"ผมกับนายเนวินไม่มีอะไรกัน"


หลังพรรคภูมิใจไทยได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ หลายฝ่ายจับตาว่าอนาคตทางการเมืองหลังจากนี้ของพรรคอันดับ 3 จะไปทางไหน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการไม่เข้าร่วมประชุมของ 7 ส.ส. ในสังกัดที่ใช้ชื่อว่ากลุ่มมัชฌิมา “ทีมข่าวการเมืองเดลินิวส์” ได้สัมภาษณ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา ถึงอนาคตการเมืองหลังจากนี้

ทิศทางการเมืองของกลุ่มมัชฌิมาในอนาคตจะเป็นอย่างไร

  
ในขณะนี้กลุ่มมัชฌิมาอยู่ในพรรคภูมิใจไทยเราเป็นฝ่ายค้าน การเป็นฝ่ายค้านก็คงเป็นกันอีกนานพอสมควรคงไม่เร็ว การทำหน้าที่ฝ่ายค้านก็ต้องดูว่าเราควรจะค้านอย่างไร เดินอย่างไร ทำอย่างไร คงมีระยะเวลาพอสมควรในการทำงาน และพรรคภูมิใจไทยมีผู้บริหารใหม่ เราก็ต้องให้เกียรติกับผู้นำพรรคคนใหม่ได้มีโอกาสแสดงความสามารถ แสดงการบริหารหรือกำหนดแนวทิศทางที่จะเป็นประโยชน์เป็นที่พึ่งที่หวังของ ประชาชน เราต้องให้โอกาสกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เขาว่ากัน

แสดงว่ากลุ่มมัชฌิมาจะอยู่ร่วมกับพรรคภูมิใจไทยต่อไป
   
ในทางกฎหมายเราไปจากพรรคภูมิใจไทยไม่ได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่ามีการเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้าซึ่งคิดว่าคงไม่เร็วนัก
 
ในวันนี้เราต้องบอกว่าบ้านเมืองของเรายังไม่นิ่ง ยังไม่ชัดเจน ยังไม่สงบ เมื่อเป็นอย่างนี้คงไปพยากรณ์หรือคาดการณ์ล่วงหน้าอีก 2-3 ปีอะไรไม่ได้ คงต้องดูกันวันต่อวันเดือนต่อเดือน ผมตั้งใจว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองของเราไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในเร็ว ๆ นี้ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานสภาพบ้านเมืองคงกลับไปสู่ความเป็นปกติโดยอาจจะใช้เวลา ช่วงหนึ่ง ผมรอช่วงของการเปลี่ยนแปลงนี้เข้าไปสู่ความปกติคิดว่าปี พ.ศ. 2556 น่าจะเรียบร้อยคงเห็นความเป็นปกติ เราจะสามารถกำหนดทิศทางการเมืองได้อย่างชัดเจน

อะไรทำให้มั่นใจว่าปีหน้าบ้านเมืองจะสงบ
   
ผมเชื่อว่าในปีหน้าการเมืองจะนิ่งและมีความชัดเจน เพราะมันเป็นเงื่อนไขของเวลา คุณจำคำพูดผมไว้นะว่าความสงบจะเกิดขึ้นเพราะเป็นเงื่อนไขของเวลาที่สามารถ บังคับอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง

จะมีมือที่มองไม่เห็นเข้ามาช่วยหรือไม่

   
รับรองไม่มีมือที่มองไม่เห็นมาเกี่ยวเพราะหมดไปแล้ว

ขณะนี้ก็ใกล้สิ้นปีแล้วแต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าบ้านเมืองจะสงบในปีหน้า
   
เงื่อนไขต่าง ๆ คงจะเริ่มหมดไป ความเบื่อหน่ายของคนแต่ละกลุ่มที่ต้องมาออกแรงรบราฆ่าฟันกัน คงล่าถอยและเหนื่อยด้วยอายุทางการเมือง

หลายฝ่ายมองว่ากลุ่มมัชฌิมาแตกกับพรรคภูมิใจไทยแล้วเพราะไม่ไปร่วมกิจกรรมกับพรรค
  
คงไม่ใช่ แต่เป็นการให้โอกาสพรรคภูมิใจไทยได้ทำงานอย่างเต็มที่เพราะเราก็มองดูว่าจะ ไปเร่งอะไรก็คงยังไม่ใช่ ในเรื่องของการกำหนดทิศทางแนวทางต่าง ๆ ที่ทำอย่างไรให้เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนก็ให้โอกาสภูมิใจไทยได้คิดได้ ทำงานเต็มที่

การที่กลุ่มมัชฌิมาไม่ไปร่วมประชุมกับพรรคภูมิใจไทยแสดงว่าแตกแยกหรือไม่
  
เราไม่แตกแยกแต่เป็นการให้เกียรติกัน เพื่อให้เขาทำงานอย่างสบายใจไม่มีอะไรไปแทรกแซงไม่ต้องมาระวังหน้าระวังหลัง ทำงานกันแบบสบาย ๆ

ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับนายเนวิน ชิดชอบ เป็นอย่างไร
   
ไม่มีอะไรกัน เพราะโดยปกติก็ไม่ได้คุยกันบ่อย ไม่มีอะไรที่จะผิดใจหรือเข้าใจผิดกัน ผมกับนายเนวินไม่มีอะไรกัน ถ้ามีอะไรสำคัญก็ยกหูหากัน แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญมากก็ไม่ได้ยกหูหากัน

การที่มาเป็นฝ่ายค้านรู้สึกหนักใจหรือไม่ในการทำหน้าที่ตรงนี้
  
วันนี้ยังมีประเด็นอะไรที่ควรจะค้านหัวชนฝาหรือไม่ค้านหัวชนฝาบ้าง วันนี้ประเด็นของเราคือเรื่องการปรองดองใช่มั้ยครับก็ต้องดูมุมไหนที่เราจะ เข้าไปสู่การปรองดองได้ เรามาช่วยกันทำให้เกิดความสงบ เพราะประชาชนคงไม่ได้หวังพึ่งอะไรในกลุ่มมัชฌิมาแค่ 7-8 คน แต่เราทำอย่างไรอย่าให้เป็นปัญหาเพิ่มมากขึ้นในสังคมการเมืองก็น่าจะเพียงพอ แล้ว

หมายความว่ากลุ่มมัชฌิมาสนับสนุนการปรองดองของสังคม

ก็ต้องการอยากให้คนมีความสุข และคิดว่าในปีหน้าคนที่จะมีความสุข หลังจากผ่านพ้นอะไรไปแรง ๆ อีกสักนิดหน่อย ในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า

บางฝ่ายต่อต้านการปรองดองจะแก้ไขอย่างไร

  
เขาไม่ต่อต้าน เขาก็เสียประโยชน์ บางที บางคน เขาอยู่เพื่อยึดด้านใดด้านหนึ่งไว้แล้วเขาได้ประโยชน์ ถ้าเกิดเขาปล่อยให้เกิดการปรองดองแล้วความสำคัญของเขาก็อาจจะหายไป เขาเลยอาจจะต้องยึดให้เกิดการดึงดันเขม็งเกลียวเข้าใส่กัน จะทำให้เขาได้ประโยชน์

มองโครงการจำนำข้าวที่ถูกวิจารณ์อยู่ในขณะนี้อย่างไร
   
คือทำมานานแล้วทั้ง 2 แบบ อย่างประกันราคาข้าวก็เติมเงินให้ชาวนา จำนำข้าวก็เติมเงินให้ชาวบ้านได้ราคาสูง แต่วิธีการปรุงใครปรุงอย่างไร เหมือนชงกาแฟใครใส่กาแฟก่อน ใส่น้ำร้อนก่อนคงไม่ต่างกันทั้ง 2 โครงการ ผมดูแล้วประชาชนได้ประโยชน์จากทั้ง 2 โครงการ แต่ว่าวิธีการก็จะมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครทำได้ละเอียดแนบเนียนดีกว่ากัน ส่วนจะได้มากได้น้อยก็พิจารณากันเอง

หากเข้าร่วมรัฐบาลมีโครงการอะไรจะนำเสนอบ้าง
  
คงไม่ได้เป็นในเร็ว ๆ นี้ แต่ในอนาคตผมมองว่ารายได้ของประชาชนไม่มั่นคงยั่งยืน ทำอย่างไรจะให้เขามีรายได้มั่นคงยั่งยืนด้านแรงงานรัฐบาลพยายามขึ้นค่าแรง เงินเดือน แต่การที่ไปเติมเงินให้เกษตรกรทั้งประกันราคาข้าวและจำนำข้าวให้ประชาชนได้ ขายข้าวในราคาสูงขึ้น ตรงนี้เป็นการนำเอางบประมาณของรัฐไปสนับสนุน เป็นภาพที่จะต้องทำต่อไปแต่ไม่ถาวร เราจะทำอย่างไรให้เกิดการถาวร ให้เขามีรายได้อย่างถาวร ให้เขาอยู่อย่างมีความสุข ตามมาตรฐานความเป็นมนุษย์ ตนเชื่อว่าหากตนจะเป็นหรือไม่เป็นกาลเวลาจะช่วยคนไทยให้มีความสุขในปีหน้า แน่นอน

คิดว่าจะนำเสนอโครงการใหม่ให้รัฐบาลบ้างหรือไม่

   
ตอนนี้หากจะให้เสนอโครงการใหม่ ๆ คิดว่ารัฐบาลคงไม่มีเวลาทำ เพราะมีปัญหาความปรองดอง ความโกลาหล ความขัดแย้งกันมากที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข ถือว่าเป็นช่วงรอยต่อทางการเมือง รัฐบาลจึงทำอะไรไม่เต็มที่คงต้องรอปีหน้าที่น่าจะเป็นปีที่ดีขึ้นของคนไทย คิดว่าเวลาน่าจะเข้าใกล้มาถึงความสมบูรณ์แบบจะถูกแก้ไขด้วยเวลา ผมขอย้ำเรื่องเวลา.

นายกฯย้ำผลสำเร็จประชุมสุดยอดผู้นำเอซีดี


วันนี้ ( 20 ต.ต. ) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  กล่าวในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนถึงผลการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความ ร่วมมือเอเชีย (เอซีดี) ที่รัฐคูเวต ว่า ไทยมีบทบาทริเริ่มให้มีความร่วมมือนี้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาขณะนี้มีสมาชิกประมาณ 32 ประเทศ เอซีดีเป็นเวทีเดียวที่รวมผู้นำของเอเชียทั้งหมดในการสร้างความแข็งแรงใน ภูมิภาคนี้ ภาพรวมของการประชุมคือทุกประเทศเห็นความสำคัญว่าเป็นเวทีที่จะแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ความยากจน
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในเวทีนี้ได้พูดคุยเรื่องความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน ที่จะแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยฝ่ายไทยเสนอสานต่อความร่วมมือให้เกิดเป็นรูปธรรม เชื่อมโยงระบบคมนาคม การขนส่ง ความสัมพันธ์ระหว่างกัน ข่าวดีคือรัฐคูเวตได้เสนอจัดตั้งกองทุนเข้ามาช่วยในการลงทุนพัฒนาแก้ปัญหา โครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯเบื้องต้นคูเวตจัดสรรงบประมาณให้เป็นจุดเริ่มต้น 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวถึงกรณี ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอซีดีในปี 2558 ปีเดียวกับที่ก้าวสู่ประชาคมอาเซียนว่า เพราะคิดว่าอาเซียนมีความพร้อมและแข็งแรง น่าจะเป็นโอกาสดีที่ให้ภูมิภาคอื่น หรือ ประเทศอื่นในเอเชียมาร่วมกันสร้างความร่วมให้เกิดเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีคูเวตหลายเรื่อง โดยขอบคุณที่คูเวตให้การสนับสนุนไทยในเวทีโอไอซี(องค์การการประชุมอิสลาม) ซึ่งไทยได้เน้นย้ำการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ด้วยสันติวิธีเพื่อให้ทางคูเวตสบายใจและรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง ทั้งนี้ได้ขอบคุณทางคูเวตที่ให้ทุนนักเรียนไทยจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกปี ทางรัฐบาลคูเวตดูแลนักเรียนไทยเป็นอย่างดี ก็หวังว่าจะมอบทุนต่อเนื่องและเพิ่มทุนให้นักเรียนไทยมุสลิมอีก นอกจากนี้ยังได้ขอเป็นเจ้าภาพเชิญคูเวตมาประชุมระดับรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ๆ เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงการคลัง
"ผลสะท้อนที่ได้กลับมาคือทุกวันนี้ทุกประเทศให้ความสำคัญกับประเทศไทยและ ภูมิภาคนี้มาก  เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ใช้โอกาสนี้เปิดตลาดใหม่เพื่อขยายการค้า การลงทุน รวมทั้งเชิญนักลงทุน นักท่องเที่ยวมาประเทศไทย เชื่อว่าระยะยาวจะเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแรง โดยเฉพาะความผันผวนทางเศรษฐกิจจะทำให้ทุกประเทศหันมาสนใจเอเชีย ถ้ามีการสร้างความสัมพันธ์ ความแข็งแรงที่ดีจะทำให้เกิดความร่วมมือภาครัฐ และเอกชน" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย

"ปู" ถึงสมุย พร้อมประชุม ครม.


วันนี้ (20 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ กำลังเดินทางด้วยเครื่องบินที่ดอนเมือง และจะถึงท่าอากาศยานนาชาติสมุย ในเวลา 12.00 น. เพื่อไปประชุม ครม.สัญจร จากนั้นจะทำการเปลี่ยนเครื่องไปนั่งเฮลิคอปเตอร์ บินต่อไปยังเกาะเต่าและเกาะพะงัน เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่ก่อสร้าง รพ.เกาะเต่า ก่อนจะเดินทางไปที่พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 อุทยานแห่งชาติธารเสด็จ และไปดูสถานที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำธารประพาส อ.เกาะพะงัน ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ จะนั่งเรือเฟอร์รารี่ กลับมาพักค้างคืนที่เกาะสมุยอีกครั้ง

ส่วนทางด้านการรักษาความปลอดภัยนั้น เป็นไปอย่างเข้มงวด เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร หลายกองร้อย ได้สนธิกำลังเฝ้าดูแล จับตาสิ่งผิดปกติ โดยมีการด่านตรวจตามเส้นทางหลายจุด ซึ่งเท่าที่ผ่านมายังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

“หมวดเจี๊ยบ” จี้ “กทม.” จริงใจ จ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม


เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้(20ต.ค.) ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเรียกร้องไปยัง กรุงเทพมหานคร ให้แสดงความจริงใจในการจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วมปีที่ผ่านมาให้กับประชาชน ในพื้นที่ กรุงเทพ เพราะถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง และทางรัฐบาลได้มอบเงินกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนให้กับ กทม. ไปแล้ว ทั้งนี้ทราบว่า วงเงินดังกล่าวยังมีเงินเหลืออยู่ 800 ล้านบาท แต่เมื่อมีประชาชนไปร้องเรียนที่เขต กทม.ก็โยนมาที่รัฐบาลทั้งๆที่ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความไม่รอบคอบของการ ดำเนินการ ของ กทม. อาจจะมีการสำรวจที่ตกหลุ่น รวมถึงอาจมีการจ่ายเงินเยียวยาอย่างไม่เป็นธรรม เพราะในบางพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมเหมือนกันประชาชนกลับได้เงินที่ไม่เท่ากัน และที่น่าสังเกตุอีกอย่างหนึ่งคือในขณะนี้ ทาง กทม.ยังไม่มีการส่งมอบ เงินที่ เหลืออยู่ 800 ล้านบาทให้แก่กระทรวงมหาดไทยตามขั้นตอน ซึ่งในเรื่องนี้ ทางภาค กทม. ของพรรค ก็ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามว่ามีปัญหาขัดข้องในการจ่ายเงินเยียวยาตรง ส่วนใด และ เหตุใดยังไม่มีการส่งมอบวงเงินที่เหลือคืนมายังกระทรวงมหาดไทย
นอกจากนี้ ร.ท.ญ.สุนิสา ยังกล่าวถึงเรื่องการก่อสร้างสนาม บางกอกฟุตซอลอารีนา ที่อาจเสร็จไม่ทันพิธีเปิดการแข่งขันซุตซอลโลก ในวันที่ 1 พ.ย. ว่า หากสนามดังกล่าวเสร็จไม่ทันกำหนดจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายในสาย ตาชาวโลก จึงอยากถามไปยังผู้ว่า กทม.ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร
   

ส.ว.นัดหารือประมูล 3 จีส่อไม่ชอบ


วันนี้(20ต.ค.)  นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา เปิดเผยว่า ในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 22 ต.ค. ตนจะหารือกับส.ว. จำนวนหนึ่ง ซึ่งเห็นตรงกันถึงประเด็นการประมูลคลื่นความถี่ 3 จีของกสทช.ว่าส่อไปในทางไม่โปร่งใส และมีการกระทำที่ส่อว่าจะขัดกับพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) แม้ว่าทาง กสทช. จะชี้แจงข้อมูล แต่ยังคงพบประเด็นที่ส่อไปในทางมิชอบ เช่น การรีบเร่งรับรองการประมูล 3 จี ของคณะกรรมการโทรคมนาคม (กทค.) โดยไม่มีการรับฟังข้อท้วงติงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งระบุว่าไม่มีการแข่งขันราคาอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของการประมูลด้วย วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากผู้ประมูลเสนอราคาเพิ่มขึ้นน้อยครั้งเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ กำหนดให้มีการประมูล และคลื่นความถี่ที่ประมูลมีจำนวนพอดีกับผู้ประมูล รวมถึงประเด็นการกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลที่ 4,500 ล้านบาท ทั้งที่ผลการศึกษาของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าควรมีราคาตั้งต้นที่ 6,440 ล้านบาท แต่ กสทช. กลับลดราคาตั้งต้นประมูลให้อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นราคาเริ่มต้นประมูลซึ่งต่ำกว่ามูลค่าคลื่น 67 เปอร์เซ็นต์ โดยความเห็นส่วนตัวมูลค่าการประมูลที่ได้ควรจะสูงกว่าราคาตั้งต้นที่ 6,440 ล้านบาท ไม่ใช่การลดราคาประมูลเหลือ 4,500 ต่อสลอตตามที่ กสทช. ได้ดำเนินการ
  นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นมีความเป็นไปได้ว่า จะทำเรื่องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานซึ่งมีอำนาจเต็มในการบังคับใช้พ.ร.บ.ฮั้ว โดยจะขอให้มีการดำเนินการอย่างเข้มข้น กับ กรรมการ กทค. ผู้ที่ลงมติรับรองผลการประมูล 3จี ได้แก่ พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธาน กทค., นายสุทธิพล ทวีชัยการ, นายประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ และ พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร กรรมการ กทค. ทั้งนี้จะมีการแจ้งประเด็นที่จะดำเนินการอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 ต.ค. นี้

ปชป. จวกดีเอสไอรับลูกนักการเมือง


วันนี้ (20 ต.ค.)ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากกรณีที่มีรายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ว่าเตรียมจะนำสำนวนไต่สวนคดี นายพัน คำกอง ของศาลอาญา มาดำเนินการพิจารณาออก หมายจับ หมายเรียกผู้สั่งการมารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งหากเป็นจริงอยากถามว่า พนักงานสอบสวนที่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย จะเอาความรู้มาจากไหน เพราะคำสั่งศาลที่ออกมาไม่มีข้อความใดที่ให้ทหารไปฆ่า  ไม่มีคำสั่งศาลชี้ชัดออกมาว่าใครยิงนายพัน  ดีเอสไอ จะต้องกลับไปอ่านกฎหมายใหม่ จะเรียกใครไปรับทราบข้อกล่าวหา อย่าทำคดีในลักษณะมีการตั้งธง ตามที่มีใครวางไว้ให้ เปิดใจให้กว้าง รับฟังความจริงของศาล ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองเดินต่อไปไม่ได้ อย่าคิดว่า ดีเอสไอ ทำอะไรก็ได้ ต้องยึดถือความจริงความถูกต้องด้วย  ระวังจะติดคุกเอง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยกลัวในการต่อสู้คดี

“ขอตั้งขอสังเกตว่า การที่ ดีเอสไอ เร่งออกหมายเรียก นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปรับทราบข้อกล่าวหาเร็วๆนี้ ก็เพื่อที่จะได้ผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ซึ่งค้างอยู่ในการพิจารณาของสภาด้วย ประเด็นดังกล่าวเหมือน ดีเอสไอ พยายามสร้างเงื่อนไข เพื่อให้มองว่าทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์ ถือเป็นวิธีที่ชั่วช้ามาก ซึ่งควรจะต่อสู้แบบตรงไปตรงมา”นายราเมศ กล่าว

 ขณะที่ ดีเอสไอ ก็ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เห็นได้จากการออกหนังสือ 2 ฉบับเพื่อขอตรวจสอบเอกสารหลักฐานการบริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ ธันวาคม 2550 –มกราคม 2555 ทั้งที่มีหน้าที่ดำเนินคดีสำคัญที่สลับซับซ้อน แต่ขณะนี้กลับมาตอบสนองนักการเมือง เรื่องการบริจาคเงินของพรรค ซึ่งทางพรรคก็ได้ชี้แจงกับนายทะเบียนพรรคการเมือง และนายทะเบียนได้รับรองความถูกต้องแล้ว ดังนั้นดีเอสไอ ไม่มีอำนาจหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง
   

"ปู" ปลื้มคนใต้แห่ต้อนรับแน่น ไม่พลาดจดทะเบียนรถเสี่ยงโชค


วันนี้ (20 ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภารกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการเดินทางมาปฎิบัติภารกิจและประชุม ครม.นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 20-22 ต.ค.นั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเกาะสมุย โดยเครื่องบินแบบ Embraer ของกองทัพบก จากนั้น ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปเกาะเต่า เพื่อดูพื้นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต.เกาะเต่า โดยนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ได้บรรยายสรุปถึงความจำเป็นในการก่อสร้างโรงพยาบาลเกาะเต่า ว่า โรงพยาบาลดังกล่าวจะมีการพัฒนาเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก 10 เตียงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ และมีโรงไฟฟ้าอยู่ด้วย โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 50 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปี ซึ่งปัจจุบันเกาะเต่าถือเป็นจุดดำน้ำที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก มีผู้เดินทางมาเรียนดำน้ำถึงปีละ 4-5 แสนคน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำให้เร่งก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายประชาชนที่มาให้การต้อนรับเกือบ 1 พันคน อย่างเป็นกันเอง
             
จากนั้นนายกรัฐมนตรี เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ ต่อไปยังเกาะพะงัน และเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติธารเสด็จ ต.บ้านใต้ อ.เกาะพะงัน โดยได้วางพวงมาลาหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ก่อนฟังบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ และอธิบดีกรมทางหลวงชนบทถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างถนนลาดยางบ้านใต้และ โครงข่ายถนนเกาะพะงัน ซึ่งใช้งบประมาณ 1,400 ล้านบาท
ต่อมา นายกรัฐมนตรี เดินทางต่อไปยังอ่างเก็บน้ำธารประพาส เพื่อตรวจเยี่ยมจุดก่อสร้าง โดยนายณรงค์ ลีนานนท์ ผอ.พัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง กรมชลประทาน และตัวแทนจากการประปาส่วนภูมิภาค ได้รายงานความคืบหน้าว่า ที่ผ่านมาเกาะพงันและเกาะเต่ามีปัญหาเรื่องการขาดแคลนแหล่วน้ำ ประกอบกับมีการพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ความต้องการใช้น้ำจึงเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้าน ลบ.ม. จึงได้มีการสำรวจพื้นที่และเห็นว่าพื้นที่หมู่ 5 ต.บ้านใต้ จำนวน 190 ไร่ มีความเหมาะสม แต่เนื่องจากเป็นที่อุทยานและกรมป่าไม้ จึงได้ประสานงานกัน และวางแผนก่อสร้าง ซึ่งใช้เวลา 3 ปี ระหว่างปี 57-59 ใช้งบ 400 ล้านบาท หากแล้วเสร็จจะสามารถกักเก็บน้ำได้ 1.7 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้ ขณะที่ตัวแทนการประปา ได้เสนอของบจำนวน 90 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาเพื่อรองรับการก่อสร้่างอ่างเก็บ น้ำดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทั้ง 2 หน่วยงานไปหารือและวางแผนร่วมกัน โดยขอให้มีการปรับภูมิทัศน์เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของเกาะพงันเพิ่ม ขึ้น
หลังเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่มาต้อนรับพร้อมรับปากจะเร่งพัฒนาเกาะพงันให้ดีขึ้น กว่าเดิม ก่อนเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่กลับเกาะสมุย และเข้าพักที่โรงแรมชาซ่า รีสอร์ทแอนด์เรสซิเด้นเซส  เกาะสมุย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเดินทางมายังเกาะพงันของ นายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ได้ใช้รถแลนโลเวอร์ ทะเบียน ญภ 7891 กทม. ซึ่งสร้างความสนใจให้กับชาวบ้านพอสมควร โดยเฉพาะป้ายทะเบียนรถ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

ตั้งธงสานเสวนา"ตีปี๊บ"แก้ไขรัฐธรรมนูญเกมชิงมวลชนพา"คนแดนไกล"กลับบ้าน


นับจากวันนี้เป็นต้นไป เชื่อว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองจะเกิดการ “เผชิญหน้า” กันในแทบจะทุก “แนวรบ” ระหว่างฝ่ายหนึ่งซึ่งหมายถึงฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มี “มวลชน” ที่ชื่อ นปช.ให้การสนับสนุน กับอีกฝ่ายซึ่งเรียกตัวเองว่า “ฝ่ายตรวจสอบ” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ส.ว.กลุ่มที่ถูกเรียกว่า กลุ่ม 40 ส.ว.และภาคประชาชนที่ใช้ชื่อย่อว่า ภตช.เรื่อยไปจนถึง “องค์การพิทักษ์สยาม” ที่มี เสธ.อ้าย หรือ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นแกนนำ ซึ่งจะมีประกาศท่าที “ต่อต้าน” รัฐบาลในวันที่ 28 ต.ค.ที่จะถึงนี้ที่สนามม้านางเลิ้ง
  
ที่บอกว่าเป็นการ “ปะทะ” กันในทุกแนวรบนั้นเป็นการ “ปะทะ” กันในลักษณะของ “ข้อมูลข่าวสาร” เป็นหลัก โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ต่างฝ่ายต่างต้องการให้ “สังคม” ได้เข้าใจข้อมูลซึ่งนับวันผู้คนในสังคมจะเชื่อ และเลือกที่จะเชื่อในข้อมูลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมากขึ้นทุกที
  
ในแนวปะทะ “แนวแรก” น่าจะอยู่ที่เวทีวุฒิสภา ซึ่งได้มีการยื่นญัตติเพื่อขอเปิด “อภิปรายทั่วไป” รัฐบาล โดยไม่ลงมติไปแล้วก่อนหน้า คาดการณ์กันว่า รัฐบาลจะเปิดเวทีเพื่อชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ที่สังคมเคลือบแคลงสงสัย ตั้งแต่การ “รับจำนำข้าว” งบประมาณในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ความไม่สงบในปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในต้นเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ขณะเดียวกัน วุฒิสภาส่วนหนึ่งที่นำโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ก็ยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ “วินิจฉัย” ว่า การขายข้าวที่ได้จากการรับจำนำในลักษณะที่เรียกว่า “รัฐต่อรัฐ” หรือ “จีทูจี” นั้นเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่
  
กรณีดังกล่าววุฒิสภาได้ส่งเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อย ขณะนี้ก็อยู่ที่ขั้นตอนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นว่าจะรับเรื่อง “จีทูจี” ไว้พิจารณาหรือไม่
  
สาระสำคัญน่าจะอยู่ตรงที่จะต้องมีการ “เปิดเผย” ว่า การขายข้าวที่ว่านั้นมี “รายละเอียด”ของสัญญาอย่างไร เพราะหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่เชื่อว่าสิ่งที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ระบุว่ามีการทำสัญญากันนั้น มีอยู่จริง
  
แนวปะทะ “แนวต่อมา” คือแนวปะทะในส่วนของภาคประชาชนในกรณีข้อกล่าวหา “ไซฟ่อนเงิน” จากงบประมาณแก้ไขปัญหาน้ำท่วม 1.2 แสนล้านบาท ที่ภตช. ออกมาเปิดเผยและถูกกระบวนการตรวจสอบในรัฐสภาในรูปของคณะกรรมาธิการ ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเรียกข้อมูลไปตรวจสอบ
  
เมื่อฝ่ายหนึ่ง “กล่าวหา” แน่นอนว่าฝ่ายรัฐบาลซึ่งถูกกล่าวหาก็ต้องรีบสร้าง “ความกระจ่าง” ให้เกิดขึ้นโดยเร็วก่อนที่จะลามกลายเป็น “กระแสทางการเมือง” จนสังคมเชื่อกันไปว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น
  
แม้จะมี “ข้อเท็จจริง” ที่ต้องการพิสูจน์ แต่ดูเหมือนจะเกิดมีข้อกล่าวหาทางการเมืองในลักษณะว่ามี “เบื้องหลัง” ของภาคประชาชนเหล่านี้เพื่ออาศัยจังหวะนี้ “จ้องล้ม” รัฐบาลเกิดขึ้น
  
ขณะที่แนว “ปะทะสุดท้าย” ซึ่งน่าจะ “ร้อนแรง” เพราะต่างฝ่ายต่างเห็นไพ่กันมาแล้วก่อนหน้านี้และจับตาความเคลื่อนไหวของกัน และกันอย่างใกล้ชิดมาตลอด ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย
  
ในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้เดินหน้าตั้งเวทีปราศรัยทางการเมืองโดยใช้ชื่อว่า “เวทีผ่าความจริง” โดยเน้นที่การให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อ ปี 53 ที่ผ่านมา และล่าสุดก็เปิดประเด็นเรื่อง “ชายชุดดำ” จนเกิดการปะทะกันทางข้อมูล “รอบใหม่” ระหว่างฝ่ายรัฐบาลและแกนนำ นปช.ที่มีตำแหน่งในรัฐบาล
  
ฝ่ายหนึ่งจัดแรลลี่หาชายชุดดำ อีกฝ่ายก็จัดแรลลี่ในนาม คนเสื้อแดง หรือฝ่ายรัฐบาลอย่างดีเอสไอหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ออกมาให้รางวัลนำจับ “ชายชุดดำ” จำนวน 1 ล้านบาท และล่าสุด แกนนำ นปช.อย่างนางธิดา ถาวรเศรษฐ ก็ให้อีก 1 ล้านบาท หากชี้เบาะแสได้
  
กรณี “ชายชุดดำ” เรื่อยไปจนถึงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเป็น “หัวข้อหลัก” ซึ่งจะใช้การ “สร้างมวลชน” เพื่อสนับสนุนทางการเมืองที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งบัดนี้กระบวนการผลักดันยัง “ค้างคา” อยู่ในที่ประชุมร่วมรัฐสภา และน่าจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า อย่างไรเสียรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ต้อง “เดินหน้า” ต่อแน่ แม้จะประเมินว่าอีกฝ่ายต้องต่อต้านและคัดค้านอย่างหนัก ยิ่งกว่าที่เคยคัดค้านก่อนหน้านี้เป็นแน่
  
ที่สำคัญยังมีเรื่องของการสร้างความปรองดองที่จะผ่านการผลักดันในรูปแบบของ การเสนอร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการสร้างความปรองดองแห่งชาติที่มีชื่อเดิมว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อีกด้วย กรณี “ปรองดอง” นี้เกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้นำพรรคเพื่อไทย “ตัวจริง” โดยตรง
  
ที่ผ่านมาแม้พรรคเพื่อไทย เรื่อยไปจนถึงมวลชนที่ชื่อว่านปช.พยายามจะผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีผลสำเร็จขึ้นมา เนื่องจากถูกต่อต้านจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นด้านหลัก ด้วยเหตุผลที่ว่าจะนำมาซึ่งความแตกแยกรอบใหม่ เป็นการช่วยคน ๆ เดียว ที่สำคัญรัฐบาลไม่ควรเสียเวลากับการแก้ปัญหาการเมืองแต่ควรเอาเวลาไปทำ นโยบายที่ได้หาเสียงไว้ให้ประสบความสำเร็จ
  
การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน การแถลงนโยบายของรัฐบาล 1 ปีต่อรัฐสภา เรื่อยไปจนถึงการปรับคณะรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ 3” เป็นเรื่องที่ “ฝ่ายการเมือง” เล็งเห็นว่ายังไงต้องเกิดขึ้นแน่และมองว่า ไม่น่าจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากนัก เพราะอย่างไรเสียรัฐบาลก็กำหนดปฏิทินไว้แล้วว่า การปรับครม.จะเกิดขึ้นหลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
  
ท่าทีของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศจะเดินหน้า “สานเสวนา” โดยจะประเดิมเปิดเวทีเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน ตำรวจ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องมาประชุมในวันที่ 28 ต.ค.ที่จะถึงนี้ที่จ.นครราชสีมา จึงเป็นท่าทีที่ถูกมองว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเดิน “ก้าวที่ 2” ทางการเมืองหลังก้าวแรกถูกต่อต้านจนเกิดการชะงักขึ้น
  
พรรคเพื่อไทยเข้ามา “มวลชน” ที่ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนในการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. 54 จึงเป็น “สัญญาณ” ที่ไม่ธรรมดาทางการเมือง และไม่แปลกหาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะส่งเอสเอ็มเอสถึงสมาชิกพรรคให้ตรวจสอบกระบวนการสานเสวนาของรัฐบาลอย่าง ใกล้ชิด
  
เพราะการสร้าง “มวลชน” ย่อมมีจุดประสงค์ทางการเมืองรออยู่ เป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายต้อง “จับตา” เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะมีการแก้ไขกติกาอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น “เป้าหมาย” สำคัญ
  
ก็อย่างที่รับรู้กันมาก่อนหน้านี้ การได้รับชัยชนะทางการเมืองเป็นรัฐบาล ก็คือ “ธงแรก” ขณะที่ “ธงต่อมา” คือการแก้ไขกติกาโดยอ้างว่าเรื่องความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ล้างพิษรัฐประหารเมื่อวันที่ 19  ก.ย. 49
  
ที่เคยได้ยินกันในอดีตว่า “ผู้ชนะคือผู้กำหนดกติกา” ซึ่งครั้งหนึ่ง “คนแดนไกล” เคยพูดไว้
  
ยังเหมือนเดิมและไม่มีเปลี่ยนแปลงไปไหน.

"ปราโมทย์"จวกรัฐบาลบริหารน้ำพลาด-พร่องเขื่อนแห้งปีนี้แล้งวิกฤติหนัก


วันนี้ (18 ต.ค.) นายปราโมทย์ ไม้กลัด คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ(กยน.)และอดีต อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งปีนี้ว่ามาเร็วกว่าทุกปีโดยมีปรากฏการณ์เอญนิโย่ ชัดเจนตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.แล้ว ตนเตือนแล้วว่าธรรมชาติปีนี้ฝนน้อยก็ไม่ฟังตั้งหน้าตั้งตาเร่งพร่องน้ำ ระบายน้ำเขื่อนกัน เวลานี้ยังไม่ถึงสิ้นเดือนต.ค.เรื่องสำคัญมากที่แล้งตั้งแต่หน้าฝน บอกให้ระวังจับตาดูรัฐบาลก็ไม่เชื่อ หลังจากนี้ภาคเหนือ ภาคอีสาน จะโดนภัยแล้งหนัก คงจะแน่ชัดว่าเกิดวิกฤติน้ำขาดแคลนทั่วไป โดยเฉพาะนอกเขตชลประทานสำคัญที่สุด นอกเขตอ่างเก็บน้ำ แล้งแห้งชัดเจน  ปริมาณน้ำในเขื่อนไม่พอ ในเขื่อนแต่แห่งน้ำน้อยเหลือเกินที่พูดน้ำพอใช้ ถามว่ารัฐบาลเอาข้อมูลที่ไหน

ยกตัวอย่างเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ สิ้นเดือนพ.ย.นี้ หากได้น้ำร้อยละ 67 จะนำมาใช้ไม่ได้ทั้งหมด ต้องมีปริมาณน้ำตายร้อยละ 30 ของความจุ  อีกทั้งตอนนี้เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ ต้องปล่อยระบายน้ำเลี้ยงพื้นที่ด้านล่าง ส่วนนาข้าวที่ยังไม่ตั้งท้องออกร่วงด้วย ทำให้น้ำน้อยลงทุกกวัน  จะให้พอต้องจำกัดพื้นทำนาปรังแทนที่ปลูกได้ 8-9 ล้านไร่ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จำกัดเหลือพื้นที่ 4-5 ล้านไร่ แต่ในภาคอีสานไม่พอทุกแห่ง เขื่อนห้วยหลวง จ.อุดรธานี เขื่อนอุบลรัตน์ จ.อุลบราชธานี เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ เหลือร้อยละ 20 ต้องประกาศงดส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรแล้ว อย่างนี้ไม่ไหว แย่ไปหมด

บางแห่งก็สั่งให้ระบายมากเพราะกลัวน้ำท่วม ไม่มีเขื่อนไหนน้ำล้นอ่างเก็บน้ำ  มีแต่สั่งระบายน้ำจากเขื่อน จนพื้นที่ชลประทานน้ำไม่พอ ถ้าบอกว่าพอและความพอคืออะไร ต้องมาจำกัดพื้นที่ ปลูกพืช หลายๆพื้นที่ต้องการเยอะลุ่มน้ำเจ้าพระยามีน้ำเต็มที่รับประโยชน์ ปลูกได้ถึง 10 ล้านไร่ต้องมาจำกัด ชาวนาไม่เชื่อฟังทำอย่างไร เตรียมป้องกันชาวนาเดือดร้อนแย่งน้ำกันใช้ไว้อย่างไร เช่น จ.กาฬสินธุ์ ประกาศไม่มีน้ำให้ทำนาปรัง แต่เอาไว้ส่งเข้าเมืองกันหมดหรืออย่างไร

นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า  คณะกรรมการ กบอ.ไม่ได้เอาตัวเลขข้อมูลน้ำชัดๆมาบอก ความจริงต้องพูดกันเป็นแห่งๆเช่น ภาคอีสาน มีน้ำ 30 ภาคเหนือ 60 แต่กลับเอาค่าเฉลี่ยทั้งประเทศหลอกประชาชน และยังไม่ยอมพูดถึงน้ำใช้การได้มีเท่าไหร่ เพราะไม่กล้ารับผิดที่สั่งการให้ระบายมาเยอะแยะเกินขอบเขตสองเขื่อนรวมกัน 100 กว่าล้านเป็นเดือนๆ ระบายทิ้งระบายขวางด้วยความกลัวน้ำท่วม  น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังบอกบริหารถูกไม่ผิดพลาด  ไปดูได้ว่าสั่งให้เหลือน้ำในเขื่อนร้อยละ 45 ปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ตอนนี้แบะ ๆไม่มีทางแก้กันแล้ว บริหารน้ำไม่ถูกไม่เอาความจริงมาพูดกัน ปริมาณน้ำสำรองยิ่งน้อยลงรัฐบาลก็ยังหาทางไม่เจอปีหน้ายุ่งอีก เพาะไม่มียุทธศาสตร์ชาติมีแต่ยุทธศาสตร์ทางการเมือง ใช้งบประมาณมากแต่ไม่มีทางได้อันตรายสำหรับประเทศไทย อย่างนี้ประเทศพัง

คณะกรรมการ กยน.กล่าวด้วยว่า  ปีนี้ที่น้ำไม่ท่วมไม่ใช่เพราะ คณะกรรมการ กบอ.แต่ธรรมชาติจัดมาไม่มากก็ไม่ท่วม ก็แค่นั้น ไม่ใช่จัดการเก่ง  ธรรมชาติไม่มี อย่างพายุแกมีวาดภาพจนไม่รู้เรื่อง ยังสั่งพร่องน้ำ ระบายน้ำจากเขื่อน ข้อมูลจากทุกประเทศบอกตรงกันว่าถึงกัมพูชา สลายตัวเป็นความกดอากาศต่ำ ไม่ดูข้อมูลวิทยาศาสตร์แท้จริง แย่มากใช้เดามัว บริหารอย่างนี้ไม่ไหว การสู้รับตบมือกับภัยแล้งทำอย่างไร เวลานี้ทำฝนหลวงไม่ได้เพราะความชื้นในบรรยากาศไม่มีทำอย่างไรก็ไม่ตก ทำได้อีกทีปลายเดือนเม.ย. พ.ค.ปีหน้า ตอนนั้นตายยังเขียด เจาะบ่อบาดาลในภาคอีสานไม่มีแหล่งน้ำใต้ดินใช้ได้เลย น้ำบาดาลเป็นน้ำเค็ม เจาะได้เป็นบางย่อม ใกล้แนวแม่น้ำชี มูล แต่ปีนี้ระดับน้ำชี มูล มีระดับน้อยวิฤกติแล้วอีกเดือนเดียวเดินข้ามได้ ไม่มีน้ำให้ผันไปช่วยที่อื่น

ขณะนี้ปริมาณน้ำสองเขื่อนมีเพียง 8 พันกว่าล้านลบม.ต้องเก็บสำรองไว้ต้นหน้าฝนอีก 2 พันล้านลบม.เหลือปลูกข้าว 6 พันล้านลบม. อาจสร้างวิกฤติการณ์เขื่อนไม่มีผลิตไฟฟ้า หน้าแล้งอันตรายมาก คนใช้น้ำจากสองเขื่อนเยอะทั้ง คนกรุงเทพ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา มีน้ำจากเขื่อนแควบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มาช่วยได้นิดหน่อยเพราะพื้นที่นาปรังทั่วประเทศ 13 ล้านไร่ เห็นแล้งน่าเป็นห่วงจริงๆ.

นายกฯถวายสักการะพระบรมศพ"เจ้าสีหนุ"


เมื่อวันที่ 19 ต.ค.  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธ ศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี นายนิวัฒน์ธํารง บุญทรงไพศาล รมต.สํานักนายกรัฐมนตรี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ และนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนรมว.ต่างประเทศ ได้เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง ไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดา ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ จะเดินทางต่อไป ยังพระบรมมหาราชวัง จากนั้นนายกรัฐมนตรี วางพวงหรีด และจุดธูป 1 ดอก ถวายความเคารพพระศพ และลงนามในสมุดแสดงความเสียใจ ความว่า ในนามของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และประชาชนชาวไทย ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ผู้ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อความสงบสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรชาว กัมพูชา โดยพระองค์จะเป็นที่จดจําของเหล่าพสกนิกรตลอดไป
โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ ถวายบังคมแสดงความเสียใจแด่พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี และสมเด็จพระราชินี นโรดม มุนีนาถ สีหนุ พระวรราชมารดา รวมถึงจะแสดงความเสียใจต่อสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เข้าร่วมพระราชพิธีถวายสักการะพระบรมศพฯ ณ พระบรมมหาราชวัง ก่อนเดินทางออกจากกรุงพนมเปญกลับประเทศไทย.

สยอง!18 ล้อขนปูนขาวก้อนพุ่งอัดมินิบัส ร่วงตกคลองดับ 5 ศพ


วันนี้ (20 ต.ค.) พ.ต.ต.วัชรชัย   ศิริชัย  สวส.สภ.ศรีมโหสถ   จ.ปราจีนบุรี รับแจ้งเหตุมีรถบรรทุก  18  ล้อ  ชนกับรถบัสรับส่งคนงานตกลงไปในน้ำ  บริเวณสะพานคู้ลำพัน  หน้าทางเข้าวัดคู้ลำพัน   ถนนสุวินทวงศ์  หลัก ก.ม.ที่  136  -  137   หมู่  4  ต.คู้ลำพัน      จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมหน่วยกู้ภัยร่วมกตัญญู   
ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกพ่วง  18  ล้อ ทะเบียนตัวรถ  85 – 1357   สระบุรี  ตัวพ่วง ทะเบียน  85 – 1358  สระบุรี  ด้านหัวรถจมอยู่ในน้ำ และส่วนท้ายโผล่ขี้นเหนือน้ำเล็กน้อย  ใกล้กันพบรถยนต์มินิบัส  ทะเบียน  30 – 0179  ปราจีนบุรี  จมอยู่ในน้ำทั้งคัน    ส่วนที่บริเวณริมตลิ่งเจ้าหน้าที่พบ  นางนพพร ตะเภาพงษ์ อายุ 50 ปี   ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์มินิบัสคันดังกล่าว  และ  น.ส.พรพรรณ  อ่อนวาที  อายุ  35  ปี  สภาพเปียกปอนที่หนีออกมาจากตัวรถได้ มีบาดแผลตามร่างกาย โดยทั้งสองแจ้งว่า มีผู้ติดอยู่ในรถยนต์มินิบัสที่จมน้ำอยู่ 4  คน   รวมทั้งโชเฟอร์รถ 18 ล้อด้วย ยังไม่สามารถออกมาจากตัวรถได้ 
                             
หน่วยกู้ภัยจึงได้ช่วยกันลงไปช่วยเหลือผู้ที่สูญหาย  จนกระทั่งพบผู้เสียชีวิตอยู่ในน้ำ  2   ราย   คือ  นายเอื้อม โพธิ์อ่อง  อายุ  50 ปี  ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ  และน.ส.ปราณี  ทานาม  อายุ   41   ปี   ส่วนผู้สูญหายที่เหลืออีก  3   ราย ต้องประสานชุดประดาน้ำมาช่วยค้นหา
                                
กระทั่ง ผ่านไป 30 นาที ชุดประดาน้ำสามารถนำผู้เสียชีวิตขึ้นออกมาได้อีก  3  ราย คือ   นางสมควร  เจริญจิต อายุ  47  ปี  นางกรรณิการ์  มีชัย  อายุ 38  ปี และนางขวัญดาว  เอื้อการณ์ อายุ 40 ปี  ทั้งหมดอยุ่ในสภาพตัวบวมน้ำ จึงนำส่ง รพ.ศรีมโหสถ   ให้แพทย์ชันสูตร
                                 
สอบสวนทราบว่า  รถมินิบัสดังกล่าวได้รับ – ส่ง   พนักงานของบริษัท  ซีพีเอฟ  เขตมีนบุรี  กรุงเทพฯ   ก่อนเกิดเหตุได้รับพนักงานมาตามรายทางมาแล้ว 3  ราย  จนมาถึงที่เกิดเหตุได้หยุดรถรับพนักงานอีกจำนวน  2  ราย  จู่ๆรถบรรทุกพ่วง  18  ล้อ  ของบริษัท  สุธากัญจ์  จำกัด   อ.พัฒนานิคม  จ.ลพบุรี    ที่บรรทุกปูนขาวก้อนสำหรับไว้ฟอกเหล็กมาเต็มคันกว่า   27  ตัน เพื่อไปส่งที่ จ.ระยอง ได้พุ่งชนรถของนางนพพรอย่างเต็มแรง  ทำให้รถทั้งสองเสียหลักจมลงในคลองข้างถนน จนเกิดเหตุสลดขึ้น  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า โชเฟอร์รถบรรทุกอาจหลับใน หรือหักหลบอะไรบางอย่าง จนพุ่งชนรถบัส  ซึ่งจะสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป.

มะเร็งคร่าชีวิต“เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์”ในวัย63

 วันนี้(20ต.ค.) มีรายงานว่า นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด(มหาชน) หรือบีบีซี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ธนาคารดังกล่าว แล้วถูกศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 20 ปี จากนั้นได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดจนต้องมารักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 63 ปี เมื่อเช้าวันนี้ โดยกำหนดรดน้ำศพในช่วงเย็น และสวดอภิธรรม ที่ศาลาเจ้าจอม วัดธาตุทอง ถนนสุขุมวิท หลังจากนั้นจะเก็บศพไว้ 100 วัน

นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ มีชื่อเล่นว่า ตั้ว เป็นบุตรชายของนายนิธิพัฒน์ ชาลีจันทร์ กับนางอินทิรา ชาลีจันทร์ จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เคยทำงานกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ภัทรธนกิจ ก่อนจะไปทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 10 ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือ หัวหน้าส่วนวิเคราะห์สถาบันการเงิน
ปี พ.ศ. 2529 นายเกริกเกียรติได้เข้ามาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวฝ่ายมารดา ในตำแหน่งรอง กรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายสาขา ก่อนจะรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ในเวลาต่อมา
ภายใต้การบริหารงานธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ นายเกริกเกียรติ ได้ขยายกิจการธนาคาร โดยมุ่งเน้นไปที่สายงานวาณิชธนกิจ, บริหารเงิน และการต่างประเทศ โดยการดำเนินงานของนายราเกซ สักเสนา นักการเงินชาวอินเดีย ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่
จนวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2539 ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ายึดกิจการธนาคารกรุงเทพพาณิชการ และสั่งปิดกิจการ พร้อมกับฟ้องศาลดำเนินคดีกับนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ และนายราเกซ สักเสนา ว่ากระทำผิดตามกฎหมาย ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และ กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ในข้อกล่าวหา ฉ้อโกงและยักยอก รวมทั้งสิ้น 17 คดี มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้มีตัดสินเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 สั่งจำคุกนายเกริกเกียรติ 20 ปี และปรับเป็นเงิน 3.1 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โดยนายเกริกเกียรติได้ขอเลื่อนการพิจารณา โดยให้เหตุผลว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งถือว่าการเสียชีวิตของนายเกริกเกียรติ เป็นการปิดฉากตำนานแบงก์บีบีซี

อ.หนู - พระใบฎีกา ต่างยันมีหลักฐานชัด คดีเงินบริจาค 100 ล้าน


วันนี้ (20 ต.ค.) ที่สำนักสักยันต์ชื่อดัง อ.หนูกันภัย เลขที่ 95/5หมู่ 1 หมู่บ้านพูลศรี ถนนปทุมธานีสายใน ต.บางขะแยง อ.เมืองปทุมธานี ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสังเกตการณ์ที่สำนักสักยันต์ดังกล่าว หลังจากที่ได้มีเหตุการณ์ที่พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ได้ยื่นหนังสือให้กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)เพื่อให้ตรวจสอบกรณีเงินรับบริจาคของประชาชน ร่วมทำบุญเพื่อนำเงินไปทำการสร้างพระหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่มูลค่ากว่า  100 ล้านบาท ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว

วันนี้ที่สำนักสักยันของยังคงเปิดสักยันต์ให้กับลูกศิษย์ตามปกติ ซึ่งบรรยากาศทั่วไปอาจจะเงียบเหงาไปบ้าง โดยอาจารย์หนู  เปิดเผยว่า ไม่อยากจะให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องว่ากันไป สำหรับเรื่องเงินที่ทางเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ จ.เชียงใหม่ ได้ทำเรื่องร้องเรียนกับดีเอสไอนั้น ทางอาจารย์มีหลักฐานการจ่ายเงิน เพื่อนำไปสร้างหลวงปู่ทวดอยู่แล้ว 70 ล้านบาท นี่ยังไม่รวมค่าสักยันที่มอบให้อีกกว่า 20 ล้านบาท  ซึ่งอาจารย์ก็ได้เดินทางไปที่วัดแม่ตะไคร้และสักยันต์ให้กับลูกศิษย์ที่นั่น ประมาณ 30 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งนั้น จะได้เงินครั้งละนับล้านบาท ซึ่งทางวัดจะเป็นคนดำเนินการเรื่องเงินตรงนี้ทั้งหมดโดยที่อาจารย์เองไม่เคย ได้จัดการกับเงินตรงนี้เลย

ด้าน พระใบฎีกาเทียนชัย ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ว่า ตามที่อาจารย์หนู กันภัย ได้โชว์หลักฐานว่าได้จ่ายเงินให้ทางวัดมาครั้งละ10 – 20 ล้านนั้น  อาตมายืนยันว่าไม่เป็นความจริงและไม่มีทางเป็นไปได้เพราะตั้งแต่เริ่มสร้าง หลวงปู่ทวดมาตั้งแต่ปี 2551 อาตมาจะได้เงินมาแต่ละครั้งแค่หลักแสนเท่านั้น  และในส่วนของใบอนุโมทนาบัตร อาตมาจำได้เมื่อครั้งที่เททองหล่อชิ้นส่วนหลวงปู่ทวดที่หน้าสำนักสักยันต์ อ.จารย์หนู เมื่อปี พ.ศ.2551 อาตมาได้ทิ้งใบอนุโมทนาบัตรไว้ประมาณ 3 เล่ม เล่มละ 100 ใบ ที่อาตมาเซ็นชื่อไว้และใช้ไปมีประมาณ 100 ใบ เท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นถ้ามีการเอามาใช้ เพื่อเป็นพยานหลักฐาน จะต้องมีการตรวจสอบลายเซ็นว่าของอาตมาหรือไม่

ผึ้งหลวงสวมหัวใจสิงห์ถลุงบานัลจอดยก 9


ศึกมวยชิงแชมป์โลก ผึ้งหลวง ส.สิงห์อยู่ รองแชมป์โลกอันดับ 2 ชาวไทย ขึ้นชิงแชมป์โลกที่ว่างรุ่นแบนตั้มเวต (118 ปอนด์) องค์กรมวยโลก (WBO) กับนักชกเจ้าถิ่น เอเจ บานัล รองแชมป์อันดับ 1 จากฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่เอสเอ็มมอลล์ ออฟ เอเชีย อารีน่า ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
เปิดฉาก 3 ยกแรก ผึ้งหลวง เดินลุยเข้าหา ชวนแลกหมัดทันที บานัล วนหนีคอยดักชกแบบฉาบฉวย ทั้งคู่แลกหมัดกันดุเดือด ซึ่ง บานัล ได้แม่น แต่ ผึ้งหลวงได้หนัก หมดยก 3 บานัล มีแผลแตกที่เปลือกตาด้านขวา  จนกระทั่งมาถึงยก 6 บานัล โดนตัดแต้ม เนื่องจากชกต่ำกว่าเข็มขัด จากนั้นขึ้นกยก 7 เกมเริ่มเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่แลกหมัดกันแบบต่างคนต่างโดน แม้ว่าผึ้งหลวงจะช้ากว่า แต่ต่อยโดนแต่ละทีทำเอา บานัล ถึงกับออกอาการทุกดอก มาถึงยก 8 ต้นยก บานัล โดนเตือนเป็นครั้งที่ 5 เรื่องการจงใจต่อยต่ำกว่าเข็มขัด แต่กลางยก ผึ้งหลวง ก็โดนเตือนบ้าง ในจังหวะอัดลำตัวคาบลูกคาบดอก ปลายยกแลกกันสนุก ผึ้งหลวง อัดได้หนักๆ หลายหมัด แต่ก็โดนสวนจัง ๆ เช่นกัน
ขึ้นยก 9 ผึ้งหลวง เรี่ยวแรงยังดี ออกมาเดินบดลุยแหลก บี้หนักยิ่งขึ้น ไล่จ้วงหมัดเข้าใบหน้าสลับลำตัว จน บานัล ร่วงคาเชือก หวิดตกเวทีในจังหวะแรก แต่กรรมการไม่ยอมนับ ให้ลุกขึ้นมาสู้ต่อ ทางด้านผึ้งหลวงจึงไม่รอช้า วิ่งเข้าหา ต้อนไปติดเชือก รัวหมัดไม่ยั้ง ส่งร่าง บานัล ทรุดลงไปกองกับพื้นเวทีอีกครั้ง คราวนี้กรรมการนับถึง 8 บานัล ยังมีอาการเซ และไม่พร้อมที่จะสู้ต่อ จากนั้นกรรมการจึงสับมือยุติการชก และตัดสินให้ผึ้งหลวงชนะน็อกในยกที่ 9 คว้าแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวต องค์กรมวยโลก (WBO) ไปครองได้สำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักชกไทยคนแรกที่ไปได้แชมป์โลกที่ฟิลิปปินส์ ทำให้ ผึ้งหลวง ร้องให้ด้วยความดีใจ หลังคาดเข็มขัดแชมป์.   (สโมสร อูบคำ) 

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources