วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

ลุลา”งานรุ่งหัวใจแฮปปี้แย้มรักหนุ่มนอกวงการเข้าใจ


เป็นนักร้องสาวที่มีผลงานเพลงฮิตติดหูทุกครั้งที่ออกซิงเกิ้ลใหม่สำหรับนักร้องสาว ลุลา-กันยารัตน์ ติยะพรไชย ยิ่งตอนนี้เจ้าตัวมาร้องเพลงประกอบละครหลายเรื่องก็ยิ่งทำให้เพิ่มฐานแฟนเพลงมากยิ่งขึ้น งานนี้พอมีโอกาสเจอตัวสาวลุลาเลยคว้าตัวมาถามถึงความรู้สึกสักหน่อย เจ้าตัวก็ตอบทันทีว่าปลื้มใจมากที่แฟน ๆ ให้การตอบรับดีขนาดนี้ ส่วนเรื่องหัวใจเจ้าตัวก็ยอมรับว่าแฮปปี้ดีกับหวานใจหนุ่มนอกวงการอยู่ 
“ช่วงนี้จะได้ยินเพลงเราตีกันหลายเพลงมาก “รักประกาศิต” แม่แตงร่มใบด้วย แล้วก็เพลงที่ไปร้องคู่อินสติง เพลงที่สุดในโลกด้วย” งานเยอะเหมือนเดิม? “เยอะเหมือนเดิมค่ะ ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ก็หวังว่าสิ้นปีนะ ตอนนี้ยังคุยเกี่ยวกับอัลบั้มให้จบก่อนแล้วจะได้ปูคอนเสิร์ตต่อไป ต้องเอาอัลบั้มให้ชัดเจนก่อน คอนเสิร์ตก็จะมาสานต่ออัลบั้มอีกที” ตอนนี้คนแซวว่าผูกขาดเพลงละครไปแล้ว? “พี่ ๆ ผู้จัดเขาใจดีค่ะ ส่งเพลงละครมาก็รู้สึกว่าได้ร้องเพลงที่ค่อนข้างท้าทาย แล้วออกมาได้กระแสตอบรับดีเราก็ดีใจค่ะ” ได้ฐานแฟนละครเพิ่มขึ้นด้วยสิ? “ใช่ค่ะอย่างเพลงทะเลสีดำคนอาจจะไม่ได้เคยฟังทุกคน แต่พอมาประกอบละครเขาได้ยินเขาก็หันมาฟังลุลามากขึ้น เราก็ดีใจที่มีแฟน ๆ เพิ่มขึ้น” งานเยอะแบบนี้ดูแลตัวเองยังไงบ้าง? “ก็พยายามทำทุกอย่างให้สมดุลกัน ทำงานโอเค สุขภาพก็ออกกำลังกาย ถ้าว่างก็พยายามจะทำ เหนื่อยแต่ได้พักผ่อนดีกว่านอนอยู่บ้านเฉย ๆ เพราะถ้าป่วยก็คงยาวเลยนะ” อย่างเรื่องหัวใจล่ะโอเคมั้ย? “ดีค่ะ คบกันมาได้ 2 ปีแล้วแต่เขาเป็นคนที่ดูแลเราเหมือนเพื่อน มีอะไรปรึกษาได้ เลยทำให้เราค่อนข้างสบายใจจากการที่เราต้องทำงานเยอะมาก ถ้าได้แฟนที่ไม่เข้าใจเราคงแย่ คนนี้เขาทำงานวงการเพลงเหมือนกัน เขาเลยเข้าใจเราดี ช่วงนี้ถ้ามีปัญหาอาจจะเป็นเรื่องที่หงุดหงิด ขี้โมโห เพราะเราเหนื่อย เขาก็ไม่ชอบเราอารมณ์ไม่ดี เราก็พยายามปรับเหมือนกัน เพราะเรารู้บางทีเจอคนเยอะ รถเยอะก็ทำให้หงุดหงิดได้ ก็พยายามมองโลกแง่บวกคนที่อยู่ข้าง ๆ เราจะได้สบายใจด้วย” แสดงว่าทั้งงานและความรักแฮปปี้ทั้งสอง? “แฮปปี้เรื่อย ๆ เลยค่ะ”.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

“ลุลา”งานรุ่งหัวใจแฮปปี้แย้มรักหนุ่มนอกวงการเข้าใจ


เป็นนักร้องสาวที่มีผลงานเพลงฮิตติดหูทุกครั้งที่ออกซิงเกิ้ลใหม่สำหรับนักร้องสาว ลุลา-กันยารัตน์ ติยะพรไชย ยิ่งตอนนี้เจ้าตัวมาร้องเพลงประกอบละครหลายเรื่องก็ยิ่งทำให้เพิ่มฐานแฟนเพลงมากยิ่งขึ้น งานนี้พอมีโอกาสเจอตัวสาวลุลาเลยคว้าตัวมาถามถึงความรู้สึกสักหน่อย เจ้าตัวก็ตอบทันทีว่าปลื้มใจมากที่แฟน ๆ ให้การตอบรับดีขนาดนี้ ส่วนเรื่องหัวใจเจ้าตัวก็ยอมรับว่าแฮปปี้ดีกับหวานใจหนุ่มนอกวงการอยู่ 
“ช่วงนี้จะได้ยินเพลงเราตีกันหลายเพลงมาก “รักประกาศิต” แม่แตงร่มใบด้วย แล้วก็เพลงที่ไปร้องคู่อินสติง เพลงที่สุดในโลกด้วย” งานเยอะเหมือนเดิม? “เยอะเหมือนเดิมค่ะ ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ก็หวังว่าสิ้นปีนะ ตอนนี้ยังคุยเกี่ยวกับอัลบั้มให้จบก่อนแล้วจะได้ปูคอนเสิร์ตต่อไป ต้องเอาอัลบั้มให้ชัดเจนก่อน คอนเสิร์ตก็จะมาสานต่ออัลบั้มอีกที” ตอนนี้คนแซวว่าผูกขาดเพลงละครไปแล้ว? “พี่ ๆ ผู้จัดเขาใจดีค่ะ ส่งเพลงละครมาก็รู้สึกว่าได้ร้องเพลงที่ค่อนข้างท้าทาย แล้วออกมาได้กระแสตอบรับดีเราก็ดีใจค่ะ” ได้ฐานแฟนละครเพิ่มขึ้นด้วยสิ? “ใช่ค่ะอย่างเพลงทะเลสีดำคนอาจจะไม่ได้เคยฟังทุกคน แต่พอมาประกอบละครเขาได้ยินเขาก็หันมาฟังลุลามากขึ้น เราก็ดีใจที่มีแฟน ๆ เพิ่มขึ้น” งานเยอะแบบนี้ดูแลตัวเองยังไงบ้าง? “ก็พยายามทำทุกอย่างให้สมดุลกัน ทำงานโอเค สุขภาพก็ออกกำลังกาย ถ้าว่างก็พยายามจะทำ เหนื่อยแต่ได้พักผ่อนดีกว่านอนอยู่บ้านเฉย ๆ เพราะถ้าป่วยก็คงยาวเลยนะ” อย่างเรื่องหัวใจล่ะโอเคมั้ย? “ดีค่ะ คบกันมาได้ 2 ปีแล้วแต่เขาเป็นคนที่ดูแลเราเหมือนเพื่อน มีอะไรปรึกษาได้ เลยทำให้เราค่อนข้างสบายใจจากการที่เราต้องทำงานเยอะมาก ถ้าได้แฟนที่ไม่เข้าใจเราคงแย่ คนนี้เขาทำงานวงการเพลงเหมือนกัน เขาเลยเข้าใจเราดี ช่วงนี้ถ้ามีปัญหาอาจจะเป็นเรื่องที่หงุดหงิด ขี้โมโห เพราะเราเหนื่อย เขาก็ไม่ชอบเราอารมณ์ไม่ดี เราก็พยายามปรับเหมือนกัน เพราะเรารู้บางทีเจอคนเยอะ รถเยอะก็ทำให้หงุดหงิดได้ ก็พยายามมองโลกแง่บวกคนที่อยู่ข้าง ๆ เราจะได้สบายใจด้วย” แสดงว่าทั้งงานและความรักแฮปปี้ทั้งสอง? “แฮปปี้เรื่อย ๆ เลยค่ะ”.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ป.ป.ช.สอบ “สุพจน์”เพิ่มคาดชี้มูลร่ำรวยผิดปกติเดือนพ.ค.


.
วันนี้ ( 20 เม.ย.)ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการป.ป.ช. ในฐานะคณะอนุกรรมการไต่สวนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีการร่ำรวยผิดปกติ  ได้เรียกนายสุพจน์มารับทราบการสรุปถ้อยคำและสอบปากคำเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการป.ป.ช.ในคดีร่ำรวยผิดปกติ 
นายปรีชา เลิศกมลมาศ คณะอนุกรรมการไต่สวน ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการเรียกนายสุพจน์มารับทราบการสรุปถ้อยคำของคณะอนุกรรมการ พร้อมสอบถามว่า ต้องการแสดงหลักฐานอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ขณะนี้คณะอนุกรรมการป.ป.ช.ได้สอบปากคำพยานเพิ่มเติม 12 ปากตามที่นายสุพจน์ต้องการเสร็จแล้ว รวมถึงเรียกภริยานายสุพจน์มาข้อมูลเรื่องเงิน 5 ล้านบาท ที่ถูกขโมยไป และที่มาของทรัพย์สินต่างๆ ขณะนี้คงไม่จำเป็นต้องเรียกใครมาสอบเพิ่มอีกแล้ว คาดว่า ต้นเดือนพ.ค.คณะอนุกรรมการจะสรุปพยานหลักฐานต่างๆเสร็จเรียบร้อย และสัปดาห์ต่อไป จะสรุปผลการสอบสวนในชั้นค
ณะอนุกรรมการได้ จากนั้นจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ลงมติชี้ขาดได้ประมาณสัปดาห์ที่ 3-4 เดือน พ.ค.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ถกรธน.ป่วน“วัชระ” หวิดถูกหิ้วออกจากห้องประชุม


ถกรธน. ป่วน “วัชระ”พาดพิง แตะ “แม้ว” หวิดถูก ตร. หิ้วออกจากห้องประชุม ปชป.ประท้วงวุ่น


วันนี้ ( 20 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอดทั้งวัน เป็นไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งในช่วงค้ำได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายใน (5) โดยอภิปรายนอกประเด็นและพาดพิงถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ส.ส.พรรคเพื่อไทย หลายคนลุกขึ้นประท้วง จนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ป่ระชุม ขอให้นายวัชระ อภิปรายอยู่ในประเด็น แต่นายวัชระยังคงพูดนอกประเด็นอยู่ นายสมศักดิ์ จึงขอให้ยุติการอภิปราย แต่นายวัชระไม่ยอมยุติ ยังคงพูดต่อไป แม้นายสมศักดิ์จะพยายามให้หยุดพูดก็ตาม
จนในที่สุดนายสมศักดิ์ ใช้อำนาจประธานด้วยการลุกจากที่นั่ง พร้อมสั่งให้นายวัชระนั่งลง แต่นายวัชระไม่ยอมนั่งนายสมศักดิ์ จึงสั่งให้ตำรวจสภา นำตัวนายวัชระออกจากห้องประชุม โดยกำชับให้นำตัวออกไปอย่างสุภาพ แต่นายวัชระ ไม่ออก พร้อมปัดมือเจ้าหน้าที่ตำรวจสภาที่จะมาพาตัวออกไป ซึ่งนายสมศักดิ์ ได้กำชับให้อีกรอบว่า “ขอให้ตำรวจสภายกมือไหว้และตำรวจสภาเชิญตัวออกไปอย่างสุภาพ” ทำให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ต่างลุกขึ้นยืนประท้วงที่จะไม่ให้คุมตัวนายวัชระออกนอกห้องประชุม จนกระทั่งนายนิพิฎฐ์  อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตะโกนว่า  “ประธานใช้ข้อบังคับ2มาตรฐาน”  ทำให้นายสมศักดิ์ ชี้แจงอีกว่า ที่ผ่านมาตนอนุโลมให้มาโดยตลอดแต่เหตุการณ์ที่ตนสั่งให้ออกจากห้องประชุมเพราะหาทางออกไม่ได้ ทั้งนี้ขอให้นายวัชระยอมนั่งลงเถอะเพื่อให้การประชุมเดินหน้าไปได้ด้วยดี ในที่สุดนายวัชระยอมนั่งลงโดยดี
             
จนกระทั่งนพ.วรงค์ เดชกิจกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นมาขอใช้สิทธิ์เสนอให้มีการนับองค์ประชุม  ทำให้นายสุนัยจุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นมาขอให้ที่ประชุมตามระเบียบ เพราะในเมือมีการอภิปรายมาพอสมควรแล้ว และกรรมาธิการฯ เสียงข้างมากเห็นด้วยแล้ว เมื่อมีการนับองค์ประชุม ตนขอเสนอให้มีการปิดอภิปรายมาตรา 291/ 3 ซึ่งภายหลังการนับองค์ประชุมปรากฏว่ามีสมาชิกอยู่ในห้องประชุมจำนวน 345 เสียง ถือว่าครบองค์ประชุม
             
จากนั้นนายสุนัย ได้เสนอญัตติขอปิดการอภิปรายและให้ลงมติในมาตรา 291/3  แต่นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนให้ทบการขอปิดการอภิปราย ด้วยเสียงข้างมากว่าสมควร และรอบคอบหรือไม่ แต่นายสุนัย ยังคงไม่ยอม พร้อมกล่าวว่า เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าน่าจะเป็นปัญหา ซึ่งทำให้ทั้ง 2 คนถกเถียงกัน จนพล.อ.ธีรเดช  ซึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้ขอไกล่เกลี่ยเพื่อให้การประชุมดำเนินต่อไป
ได้ จนท้ายที่สุดนายสุนัยยอมถอนญัตติ  ทำให้ที่ประชุมได้อภิปรายกันต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

สภาถกร่วม10 ชม.ก่อนผ่านม.291/3


              
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 2 ภายหลังให้สมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งเวลา 00.20 น.หลังจากประชุมนานกว่า 10 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติในมาตาม 291/3 เกี่ยวกับบุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ( ส.ส.ร.) โดยเห็นชอบตามกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยคะแนน 319 ต่อ 26 เสียง งดลงคะแนน 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 5 เสียง ทั้งนี้ สาระสำคัญคือ การเพิ่ม (5) ห้ามบุคคลเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก ได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
             
นอกจากนี้บุคคลที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร.ยังต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย และไม่เป็นบุคคลที่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ และจะต้องไม่เป็นส.ส. ส.ว. หรือข้าราชการการเมือง
             
จากนั้นเวลา 00.20 น.ที่ประชุมได้เริ่มพิจารณาในมาตรา 291/4 เกี่ยวกับคุณสมบัติของบุคคลที่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง และห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร.ตามมาตรา 291/1 (2) ซึ่งเป็นส.ส.ร.ที่มาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมของรัฐสภา จำนวน 22 คน
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

สหกรณ์เข้าโครงการโชห่วยช่วยชาติ


นายอนันต์ มหัจฉริยพันธุ์ สหกรณ์จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่าสำนักงานสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ร่วมกับสำนักงานการค้าภายในจังหวัดขอนแก่นได้บูรณาการในการทำงานร่วมกัน เพื่อดำเนินโครงการโชห่วย ช่วยชาติ โดยสนับสนุนให้ร้านจำหน่ายสินค้าที่ตั้งอยู่ในสหกรณ์ต่าง ๆ ในจังหวัดขอนแก่น เปิดเป็นจุดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้โครงการโชห่วย ช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากเล็งเห็นว่าโดยปกติสหกรณ์การเกษตรต่าง ๆ
จะมีสำนักงานตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนและมีร้านค้าหรือจุดจำหน่ายสินค้า ประเภทวัสดุอุปกรณ์การเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อบริการสมาชิกสหกรณ์และประชาชนทั่วไปอยู่แล้ว จึงต้องการให้สหกรณ์ได้เข้าร่วมโครงการโชห่วย ช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” เพื่อเป็นการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์และประชาชนทั่วไป ได้มีแหล่งซื้อหาสินค้า จำเป็นต่อการครองชีพที่มีคุณภาพดีในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพในครัวเรือนได้อีกทางหนึ่ง
ด้าน นายประเสริฐ ฝ่ายชาวนา หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า โครงการโชห่วย ช่วยชาติ เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยแบ่งเบารายจ่ายด้วยการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ด้วยการดูแลราคาสินค้าและจำหน่ายสินค้าจำเป็น
ต่อการครองชีพของประชาชนในราคาต่ำกว่าท้องตลาดจำนวน 20 รายการ ได้แก่ หมวดอาหาร เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย น้ำปลา ปลากระป๋อง ซอสปรุงรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น และหมวดของใช้ประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ผ้าอนามัย จึงขอเชิญชวนสหกรณ์ที่สนใจจะเปิดจุดจำหน่ายสินค้าของโครงการโชห่วย ช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จะได้รับการสนับสนุน ค่าบริหารจัดการและตกแต่งร้านจำนวน 10,000 บาท ซึ่งสหกรณ์ใดที่มีความประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการสามารถประสานงานกับสำนักงานการค้าภายในจังหวัดได้ทุกจังหวัด โดยมีระยะเวลาดำเนินการจะไปสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2555 นี้.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

สุดสลด แม่ใจร้ายยัดลูกชายทิ้งขยะ


เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (20 เม.ย.) ร.ต.อ.สมศักดิ์ คำมูลศรี พนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งพบศพเด็กทารกในถังขยะ บริเวณหน้าหอพักไม่มีชื่อ ภายในซอยสุรณรงค์ ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมมูลนิธิกู้ภัยธรรมรัศมีมณีรัตน์ 
ในที่เกิดเหตุพบศพทารกเพศชายแรกคลอด สภาพอวัยวะครบ 32 ส่วน ยังมีสายรกติดที่สะดือ ผิวขาว น้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม ถูกบรรจุอยู่ในถุงขยะสีดำ โดยนำมาทิ้งใส่ไว้ในถังขยะสีฟ้าของเทศบาลเมืองบ้านสวน นอกจากนี้ยังพบเศษเส้นผมประมาณ 3 เส้น ตกอยู่บนตัวศพเด็กทารก ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของแม่เด็ก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า น่าจะเป็นฝีมือของวัยรุ่นหรือหญิงสาวใจแตกในละแวกใกล้เคียง ที่เกิดตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หลังคลอดเด็กออกมาจึงนำยัดใส่ถุงขยะก่อนนำมาโยนทิ้ง อย่างไรก็ดีจะต้องนำศพเด็ไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตว่าเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือถูกจับยัดใส่ถุงดำจนขาดอากาศหายใจตาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในและแวกที่เกิดเหตุ เพื่อหาเบาะแสของแม่ใจร้ายรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

“ธาริต” เผยหลังเหตุจลาจลเคยเสนอออกกม.นิรโทษกรรม


วันนี้ ( 20 เม.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ )ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีความการชุมนุมทางการเมือง ว่า การทำงานของดีเอสไอแบ่งเป็นสองส่วนคือ 1.คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง ขณะนี้ไม่มีตกค้างอยู่ที่ดีเอสไอแล้ว ได้ส่งทุกคดีไปยังอัยการ และอัยการส่งไปยังศาลแล้ว  2. คดีล่วงละเมิดสถาบันที่ส่วนใหญ่ได้ส่งเรื่องไปอัยการแล้ว เหลืออยู่ในการดำเนินการของดีเอสไออยู่บ้าง ส่วนที่ครอบครัวผู้เสียหาย จากคดี 91 ศพเรียกร้องหาความจริงและคนผิดมากกว่าต้องการเงินชดเชยนั้น ตนถือว่าเป็นสิทธิของผู้เสียหายและญาติผู้ตาย และมีหลายหน่วยงานกำลังดำเนินการตรวจสอบความจริง 

 เมื่อถามว่าคดีของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม มีความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างไรเพราะก่อนหน้านี้ดีเอสไอสรุปว่าเป็นการกระทำของคนเสื้อแดง นายธาริต กล่าวว่า ดีเอสไอกำลังดำเนินการอยู่และได้มีการติดต่อกับภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ยืนยันว่าเราทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนเข้าใจว่าเหตุการณ์การชุมนุมชุลมุนวุ่นวายในขณะนั้นการหาพยานหลักฐานค่อนข้างยาก ในขณะที่การพิสูจน์ในคดีอาญานั้นต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัย พยานหลักฐานต้องชี้ชัดได้ ไม่เช่นนั้นศาลจะยกฟ้อง

“ในความเห็นส่วนตัวของผม ในภาวะอย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างผิดและเคยเสนอตั้งแต่อยู่ในศูนย์อำนวยการปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ( ศอฉ.) หลังจากที่เหตุการณ์ความวุ่นวายจบแล้วว่า ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ตอนนั้นผมเป็นเสียงเดียวและมีคนค้านแบบไม่พอใจด้วยซ้ำไป  และยังบอกว่าอธิบดีเสนอแปลก ความจริงเรื่องนี้ควรจะต้องนิรโทษกรรมกันทุกฝ่าย มันมีคนผิดหลายฝ่ายถ้ามันมาถึงจุดที่ควรลบล้างกันไป อภัยให้แก่กัน ก็มีทางเดียวคือต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งการนิรโทษมันก็มีหลายระดับ หลายดีกรี เช่น ลุงป้าน้าอา ที่มาชุมนุมก็ควรนิรโทษกรรมหรือไม่ จะได้ไม่มีเรื่องติดตัว ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปในเหตุการณ์โดยที่ไม่มีเจตนาไปฆ่าใคร แต่เป็นการป้องกันทรัพย์สิน บ้านเมืองให้ปลอดจากความวุ่นวายก็ควรได้รับการนิรโทษกรรม และอภัยให้กัน แต่คนที่เป็นหัวโจกและตัวร้ายจริงๆก็ต้องพิจารณาตามความรุนแรง ถ้าเราเปิดใจให้กัน อภัยซึ่งกันและกันก็จะมีมิติการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขขึ้น” นายธาริต กล่าว
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

"ลูกข้าใครอย่าแตะ"กระหน่ำยิงหนุ่มอาการปางตาย


วันนี้ (20 เม.ย.) พ.ต.อ.ปรีชา วัชรเสถียร ผกก.สภ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง เปิดเผยว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ร.ต.ท.วันชาติ นุ่นงาม พนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์ทอง รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงมารักษาตัวที่ รพ.โพธิ์ทอง จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมชุดสืบสวน  ภายในห้องฉุกเฉินพบว่าแพทย์และพยาบาลกำลังให้การช่วยเหลือ นายประทีป เฉยชอบ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 4 ต.บ่อแร่ อ.โพธิ์ทอง ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่สะโพกด้านขวา 1นัด โคนขา 1 นัด กระสุนฝังใน อาการสาหัส จึงนำตัวส่งไปรักษาต่อที่ รพ.อ่างทอง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณโรงเรียนวัดท่าโขลง หมู่ 4 ต.บ่อแร่ อ.โพธิ์ทอง จุดเกิดเหตุอยู่ใต้ถุนโรงเรียน เจ้าหน้าที่พบร่องรอยกระสุนยิงไปโดนผนังห้องเรียน จำนวน 3 รู นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนขนาด .38 จำนวน 2 หัว ตกอยู่ โดยพบรอยเลือดหยดเป็นทาง
จากการสอบสวน ทราบว่า มือปืนคือนายสุรินทร์ ธารานิธิ ไม่ทราบอายุ โดยใช้ปืนลูกโม่ขนาด .38 กระหน่ำยิงนายประทีปจำนวน 5 นัด แต่กระสุนถูก 2 นัด หลังก่อเหตุได้ขี่รถ จยย.หลบหนีไป ส่วนสาเหตุมาจากเมื่อช่วงเย็นของวันเกิดเหตุนายประทีปได้ไปชกต่อยเด็กชายอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของนายสุรินทร์ มือปืน ที่นั่งเล่นอยู่บริเวณศาลาหน้าโรงเรียนกับเพื่อนๆวัยเดียวกันรวม 4 คน ทำให้ลูกชายของนายสุรินทร์นำเรื่องกลับไปฟ้องพ่อ นายสุรินทร์จึงคว้าปืนออกจากบ้าน มาตามยิงนายประทีปเพื่อล้างแค้นแทนลูกชาย อย่างไรก็ดีทางเจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามตัวนายสุรินทร์มาดำเนินคดีต่อไป.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

“ชินณิชา” หลุดเก้าอี้ ส.ส. พร้อมถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี


ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา นายฐานันท์ วรรณโกวิท รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำที่ อม.3 /2554 และองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษา คดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคไทยรักไทย  พ้นจากตำแหน่งและห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีที่ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 และขอให้ลงโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช. เห็นว่า การที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.51 หลังจากที่ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส.เชียงใหม่ไปแล้ว เป็นเวลากว่า 8 เดือน โดยอ้างเหตุที่ไม่ได้แสดงรายการหนี้สินดังกล่าว เพราะความหลงผิดและเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริตว่า ระหว่างทำรายการบัญชีฯนั้นกระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ยังไม่เสร็จสิ้น จึงเข้าใจว่าหนี้สินที่ถูก คตส.มีคำสั่งอายัดไว้ผู้ยื่นไม่สามารถดำเนินการอื่นใดได้จนกว่า คตส. จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด ขณะที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยได้แสดงรายการเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก 3 (ทรูทาวเวอร์) ของตนเอง จำนวนเงิน 6,823,058.97 บาท ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากที่ คตส. มีคำสั่งอายัดไว้และ น.ส.ชินณิชาได้ร้องขอให้ คตส. เพิกถอนการอายัด และได้แสดงรายการเงินให้กู้ยืม ระบุว่า บริษัท วาย ชินวัตร จำกัด ได้กู้ยืม รวม 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 42,700,000 บาท โดยครั้งที่ 2 ได้ให้กู้ยืมเป็นเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน 100 ล้านบาทที่กู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์ โดยการขอยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์เพิ่มเติม ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการที่ น.ส.ชินณิชา ได้ร้องขอเพิกถอนการอายัดเงินจำนวน 100 ล้านบาท ต่อ คตส. และภายหลังจากที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของ น.ส.ชินณิชาแล้ว
โดยศาลฎีกาฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานและเอกสารในสำนวน แล้วเห็นว่า น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จฯ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 259 และ 263 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119
จึงพิพากษาให้น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้จำคุกน.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 2 เดือนพร้อมทั้งปรับเป็นเงิน 4,000 บาท แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกเห็นสมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

คุม ฮาเวิร์ด หวัง ส่งศาลจังหวัดตลิ่งชัน


ตำรวจ สน.บางขุนนนท์ คุมตัว ฮาเวิร์ด หวัง นักแสดง-นายแบบชื่อดัง พร้อมเพื่อนสาวประเภท 2 อีก 3 ราย ส่งฟ้องศาลจังหวัดตลิ่งชัน ข้อหามั่วสุมเสพยาไอซ์ คัดค้านประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (20 เม.ย.) พ.ต.อ.สุกิจ อรุณฤกษ์ถวิล ผกก.สน.บางขุนนนท์ ได้สั่งการให้ ร.ต.ต.ธนรัฐ ทุพรม รอง สวป. พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ควบคุมตัว นายวิลลี่ หวัง หรือ ฮาเวิร์ด หวัง อายุ 26 ปี นักแสดง-นายแบบชื่อดัง อดีตนักร้องวงไจแอนท์ พร้อมเพื่อนที่เป็นสาวประเภท 2 จำนวน 3 คน คือ นายกุ้ง (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี นายภาณุ พันทอง อายุ 21 ปี และ นายพงศธร เรืองเดช อายุ 20 ปี ขึ้นรถคุมขัง เพื่อส่งฟ้องยังศาลจังหวัดตลิ่งชัน ในข้อหามั่วสุมเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) หลังจากคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งทางญาติได้ติดต่อเพื่อขอประกันตัวนายฮาเวิร์ดแล้ว ยังอยู่ในขั้นตอนดุลยพินิจของศาล
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.บางขุนนนท์ ได้จับกุมตัวนายฮาเวิร์ด หวัง พร้อมเพื่อนที่เป็นสาวประเภท 2 ที่เปิดห้องพักเลขที่ 918 จรัญแมนชั่น ชั้น 9 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 35 แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย มั่วสุมเสพยาไอซ์ โดยนายฮาเวิร์ด ให้การปฏิเสธอ้างว่า ที่ตรวจพบมีสารเสพติดในปัสสาวะเนื่องจากถูกเพื่อนที่เป็นสาวประเภท 2 หลอกให้ดื่มน้ำโดยที่ไม่รู้ว่าน้ำดังกล่าวมียาเสพติดเจือปนอยู่ อย่างไรก็ตาม สำหรับ ฮาเวิร์ด หวัง ตกเป็นข่าวในทางลบมาแล้วหลายครั้ง โดยก่อนหน้านี้เคยถูกตำรวจ สน.ทองหล่อ จับกุมในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และเคยถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ยังเคยถูกตำรวจกองปราบ จับกุมได้พร้อมของกลางกัญชาแห้งบรรจุถุงพลาสติก น้ำหนัก 5.5 กรัม และบ้องกัญชา 1 อัน ภายในบ้านแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ซิวหนุ่มหัวใสซุ่มเรียนขว้างจักรไว้โยนมือถือเข้าเรือนจำ


ช่างลงทุน หนุ่มแก๊งรับจ้างโยนโทรศัพท์มือถือเข้าเรือนจำ ไปซุ่มฝึกวิธีการขว้างจักร เพื่อให้สามารถโยนสิ่งของข้ามรั้วเรือนจำกลางเชียงราย ที่มีกำแพงกั้นอยู่ถึง 3 ชั้น แต่สุดท้ายไปไม่รอด ถูกเจ้าหน้าที่ตามรวบตัวได้ขณะกำลังจะหลบหนี
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (20 เม.ย.) นายไพโรจน์ พันธ์แก้ว ผบ.เรือนจำกลางเชียงราย รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ประจำอยู่บนป้อมแดน 3 ว่า สังเกตเห็นชายหนุ่มขว้างสิ่งของผ่านรั้วสูงเข้าไปในเรือนจำ จึงไปตรวจสอบพร้อมด้วย นายประดิษฐ์ สุภาใส เจ้าหน้าที่สายตรวจเรือนจำกลางเชียงราย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จำนวน 2 นาย
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณถนนสายระหว่างบ้านดอยฮาง – บ้านแม่ยาว ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย พบผู้ก่อเหตุกำลังขึ้นสตาร์ทรถ จยย. ยี่ห้อจีพีเอ็กซ์ แบบรถมินิวิบาก รุ่น แอลเอ็กซ์ 140 สีแดง ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน และได้พยายามขี่พุ่งเข้าชนนายประดิษฐ์และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม เพื่อเปิดทางหนี แต่รถได้เกิดเสียหลักล้มลง จึงสามารถจับกุมตัวเอาไว้ได้ สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าชื่อ นายนรินทร์ อินทะวงค์ อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/50 หมู่ที่ 3 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.อ่างทอง
นายไพโรจน์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำเห็น นายนรินทร์ โยนสิ่งของบางอย่างเข้ามาในเรือนจำ บริเวณแดนควบคุมผู้ต้องขังที่ 3 จึงเข้าตรวจสอบ ก็พบโทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์ครบชุด รวม 3 เครื่อง มัดเป็นก้อนห่อหุ้มกันกระแทกเป็นอย่างดีตกอยู่ในสนามหญ้าของแดนควบคุมผู้ต้องขังที่ 3 จึงได้ไล่ตามจับกุมตัวดังกล่าว
ด้าน นายนรินทร์ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า รับจ้างจากนายทุนคนหนึ่งให้โยนโทรศัพท์มือถือให้กับนักโทษในเรือนจำกลางเชียงราย โดยได้ค่าจ้างครั้งละ 10,000 บาท เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้โยนโทรศัพท์เข้าไป 6 เครื่อง แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจพบและยึดได้เสียก่อน  ทุกวันนี้ตน ไม่มีอาชีพหลักแหล่ง จึงรับจ้างโยนโทรศัพท์เข้าเรือนจำเพื่อยังชีพ โดยตนได้ไปฝึกวิธีการขว้างจักรมา เพื่อให้สามารถโยนสิ่งของได้ไกล เพราะขณะนี้ เรือนจำกลางเชียงรายได้ทำรั้วถึง 3 ชั้น ตั้งแต่รั้วลวดหนาม รั้วเหล็ก และรั้วกำแพงสูง
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา นำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำโดยไม่ได้รับอนุญาต และ บุกรุกสถานที่ราชการ ก่อนควบคุมตัว พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่ยาว จ.เชียงราย ดำเนินคดีต่อไป.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

สืบสวนนครบาลซิวแก๊งตุ๋นขายรถเถื่อนทางเน็ต


เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (20 เม.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. พ.ต.อ.นิติพันธุ์ โรหิโตปการ ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.อรรถพร สุริยเลิศ รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมแก๊งหลอกขายรถเถื่อนทางอินเตอร์เน็ต ได้ผู้ต้องหา 2 คน ประกอบด้วย นายธีระศักดิ์ บุญเลาะ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31 หมู่ 4 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม และ นายวัชรชัย เหลืองสัมฤทธิ์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/958 หมู่ 4 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม พร้อมด้วยของกลาง รถยนต์โตโยต้าคัมรี่ สีเทา ทะเบียน ศก 8960 กรุงเทพมหานคร รถยนต์โตโยต้าวีออส สีดำ ทะเบียน ฎต 5901 กรุงเทพมหานคร รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ สีดำ ทะเบียน ญศ 8494 กรุงเทพมหานคร รถยนต์โตโยต้า ออติส สีเทา ทะเบียน ฐศ 5973 รถยนต์โตโยต้า วีออส สีน้ำตาล ทะเบียน ณช 8728 กรุงเทพมหานคร รถยนต์นิสัน นีโอ สีเทา ทะเบียน สฮ 9176กรุงเทพมหานคร รถยนต์โตโยต้ายาริส สีขาว ทะเบียน ชศ 7513 กรุงเทพมหานคร รถเบนซ์ อี 200 สีเทา ทะเบียน ฆฉ 6202 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู 525 สีเทา ทะเบียน ขจ 8822 กรุงเทพมหานคร รวม 9 คัน
พล.ต.ท.วินัย ผบช.น. เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนหลายรายเข้าแจ้งความ ว่าถูกคนร้ายหลอกขายรถยนต์ทางอินเตอร์เน็ต ผ่านทางเว็บไซด์ตลาดรถดอทคอม โดยหลังจากที่จ่ายเงินซื้อรถยนต์ไปแล้วไม่สามารถทำการจดทะเบียนโอนที่กรมการขนส่งได้ เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่ผิดกฎหมาย ชุดสืบสวน บก.สส.บช.น.จึงได้ทำการหาเบาะแสของกลุ่มคนร้าย จนทราบว่ากำลังประกาศขายรถยนต์โตโยต้า ยาริส จึงได้ทำการล่อซื้อที่ห้างสรรพสินค้าแฟชั่นไอซ์แลนด์ จนกระทั่งจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองได้ ส่วนนายเป้ (ยังไม่ทราบชื่อและนามสกลุจริง) ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ของแก็งดังกล่าวสามารถหลบหนีไปได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัวแล้ว นอกจากนี้ยังได้ทำการล่อซื้อและตรวจยึดรถเบนซ์และรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูอีก 2 คัน ซึ่งเป็นรถหนีภาษีนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย ก่อนนำมาสวมทะเบียนและหลอกลวงประชาชน ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมออกหมายจับ นายปุณฑริก นาคะศักดิ์เสวี อายุ 30 ปี เจ้าของรถ เพื่อดำเนินคดีด้วย
พล.ต.ท.วินัย กล่าวอีกว่า ขบวนการดังกล่าวจะนำรถที่โจรกรรมนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย รถยนต์ที่ติดไฟแนนซ์และรถยนต์หนีภาษีมาประกาศขายทางอินเตอร์เน็ต โดยจะนำแผ่นป้ายทะเบียนปลอมมาสวมไว้ มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมายเลขตัวรถ และยังนำแผ่นป้ายทะเบียนของรถยนต์คันอื่นมาติดไว้ ก่อนจะนำไปหลอกขายทางอินเตอร์เน็ตในราคาถูก จากนั้นจะนัดหมายกับผู้เสียหายเพื่อทำสัญญาซื้อขายและจ่ายเงินสด โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จะทำหน้าที่ขับรถของกลางไปให้ผู้เสียหาย อ้างว่าได้ค่าจ้างคันละ 5,000 บาท ส่วนนายทุนจะขับรถยนต์อีกคันตามประกบดูห่างๆ เมื่อขายรถไปแล้วผู้ต้องหาก็จะขึ้นรถยนต์ของนายทุนกลับ สำหรับเอกสารในการซื้อขายรถยนต์กลุ่มผู้ต้องหาจะทำการเซ็นเอกสารโอนลอยไว้ และใช้ชื่อนามสกุลในการทำสัญญาซื้อขายปลอมทั้งหมด เมื่อผู้เสียหายทำการจดทะเบียนที่กรมการขนส่งจึงไม่อาจทำได้
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ารถยนต์ต่างๆมีการโจรกรรมมาจากที่ใดบ้างหรือไม่ ขณะนี้พบว่ารถยนต์โตโยต้า อัลติส ทะเบียน ฐศ 5973 ได้แจ้งหายไว้ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ร่วมกันปลอม และใช้เอกสารราชการปลอมแก่ผู้ต้องหาทั้งสองราย ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติออกหมายจับ เพื่อนำตัวมาดำเนินคดี อย่างไรก็ตามอยากฝากประชาสัมพันธ์ ไปถึงประชาชนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายรถยนต์ทางอินเตอร์เน็ต หากจะซื้อขายรถยนต์ให้ไปที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด หากสงสัยหรือพบเบาะแสการทำความผิด ให้แจ้งได้ที่ บก.สส.บช.น. หมายเลขโทรศัพท์ 02-354-5162” ผบช.น. กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.วินัย ยังได้นำประกาศจับตามหมายคนร้ายคดีโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์มาเผยแพร่ จำนวน 71 คน ซึ่งรวบรวมจากทั่วประเทศ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และประชาชนเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแส ซึ่งโครงการ “อันฟอร์เก็ท” ของ บช.น. นั้น พล.ต.ท.วินัย ระบุว่า จับได้กว่า 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว  พร้อมบอกด้วยรอยยิ้มว่า “ให้ตำรวจเอาหมายจับไปดู เพื่อจะได้ไปติดตามคนร้าย ดีกว่าเอาเวลาไปดูภาพโป๊ เพราะจะทำให้ฟุ้งซ่าน.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources