วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

บก.น.8 ตรวจค้นชุมชนสลดจับแม่เสพยาทั้งที่ยังอุ้มลูก


เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้(16มี.ค.) ที่ สน.บางยี่เรือ พล.ต.ต.ประหยัชว์ บุญศรี ผบก.น.8 พ.ต.อ.จีรศักดิ์ ขำคง รอง ผบก.น.8 และ พ.ต.อ.สุนทร คงกล่ำ ผกก.สน.บางยี่เรือ ร่วมกันปล่อยแถวระดมกำลังตำรวจสายตรวจและฝ่ายสืบสวนในโรงพักพื้นที่ บก.น.8 จำนวน 150 นาย อาสาสมัคร 8 นาย และสุนัขตำรวจ 2 ตัว เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 5 จุด ตามชุมชน 2 แห่ง ในพื้นที่ สน.บางยี่เรือ หลังพบข้อมูลว่าเป็นสถานที่พักยาเสพติดแห่งสำคัญของกรุงเทพมหานคร

สำหรับชุมชนดังกล่าวมีชื่อว่าชุมชนริมทางรถไฟและชุมชนตรอกเทวดา ตั้งอยู่เลียบทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย ถนนเทอดไท แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี โดยทั้ง 2 แห่งเคยเป็นแหล่งกระจายยาเสพติดที่สำคัญของ “ไอ้ตั้มเป๋” ผู้ต้องขังคดียาเสพติดชื่อดังย่านฝั่งธนบุรีซึ่งถูก พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง อดีต ผบช.น.นำกำลังเข้าจับกุมไปก่อนหน้านี้ ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้ผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้ พ.ต.ท.วิชัย สนสกุล สว.สส.สน.บางยี่เรือ ที่มีความชำนาญพื้นที่นำกำลังบุกเข้าตรวจค้นทั้ง 2 ชุมชนพร้อมกันทั้ง 5 จุด แต่เนื่องจากลักษณะของชุมชนดังกล่าวมีความกว้างใหญ่และบ้านเรือนปลูกติดกันแออัดมากรถยนต์ไม่สามารถแล่นผ่านได้ ชุดเฉพาะกิจส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยวิธีการเดินเท้าตรวจโดยแบ่งกำลังส่วนหนึ่งใช้รถ จยย.เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว

 ผลจากการตรวจค้นนาน 1 ชั่วโมง พบว่ามีผู้ต้องหารายสำคัญไหวตัวทันวิ่งหลบหนีเข้าป่ามุ่งหน้าออกไปตามทางรถไฟได้หวุดหวิด 1 ราย สุนัขตำรวจสามารถดมกลิ่นจนพบยาบ้าของกลาง 20 เม็ด นอกจากนี้ยังสามารถจับกุมผู้เสพได้อีก 10 ราย แบ่งเป็นชาย 7 รายและหญิงอีก 3 ราย โดยมีผู้ต้องหาหญิงสาวรายหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี อุ้มลูกชายวัย 1 ขวบไว้ในอก ถูกตำรวจจับดำเนินคดีทั้งที่ตัวเองยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือเพราะเพิ่งเสพยามา  เป็นภาพที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง


แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

สุดทนโจรเยอะร้องสื่อจี้ตำรวจ


วันนี้(16 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านละแวกชุมชนคู้บอน ตั้งแต่วัดคู้บอนเลยขึ้นไปทางสี่แยกหทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพ  ว่าถูกหัวขโมยขึ้นบ้านหลายครั้ง จึงเดินทางไปตรวจสอบ บริเวณร้านขายของชำแห่งหนึ่งในถนนคู้บอน พบชาวบ้านหลายสิบราย ต่างให้ข้อมูลว่าบ้านของพวกตนแต่ละหลังถูกคนร้ายขึ้นบ้านไปขโมยทรัพย์สินกันแต่ละหลังไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง กวาดทรัพย์สินไปตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักล้าน โดยทุกครั้งที่ถูกก่อเหตุจะไปแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.คันนายาว แต่ไม่มีความคืบหน้า ทั้งนี้บ้านบางหลัง มีตู้แดงของสน.คันนายาวติดไว้หน้าบ้าน ก็ยังไม่แคล้วถูกหัวขโมยขึ้นไปกวาดทรัพย์สิน จนแทบจะเอาตู้แดงออกจากประตูหน้าบ้าน เนื่องจากไม่สามารถป้องกันทรัพย์สินของประชาชนได้ 
ทางกลุ่มชาวบ้านยังให้ข้อมูลอีกว่า ไม่อยากจะเปิดเผยชื่อและที่อยู่ เนื่องจากทราบมาว่ากลุ่มหัวขโมยที่ก่อเหตุนั้น เป็นกลุ่มชาวเวียดนามที่ทำงานตามร้านอาหารในละแวกถนนคู้บอน โดยมีพฤติกรรมเรียกค่าคุ้มครองในชาวเวียดนามด้วยกัน และยังมีพฤติกรรมติดการพนันงอมแงม จนต้องรวมกลุ่มกันสิบกว่าคนตั้งแก๊งขโมยของในพื้นที่ดังกล่าว ล่าสุดเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา กลุ่มหัวขโมยเวียดนามยังเข้าไปลักทรัพย์ในร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งติดตั้งกล้องวงจรปิด สามารถจับภาพคนร้าย 2 คนที่เข้ามางัดร้านและกวาดทรัพย์สิน เห็นหน้าคนร้ายอย่างชัดเจน แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.คันนายาวกลับบอกว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ แม้จะจับผู้ต้องสงสัยได้แล้ว ก็ปล่อยตัวไปจนชาวบ้านในพื้นที่ทุกวันนี้อยู่ในอาการหวาดผวา เพราะอาจถูกแก๊งเวียดนามตามล้างแค้น ต้องพกไม้ไว้ป้องกันตัว เพราะหวังพึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ จนต้องร้องเรียนผ่านทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ให้ช่วยเหลือประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.คันนายาวดูแลชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่โดยด่วน 

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ประหาร 2 พี่น้องค้ายาไอซ์หนัก 3 กก.


ที่ห้องพิจารณา 709 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (16 มี.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายวิชิต โชคโสด อายุ 39 ปี ชาว จ.ระนอง และนายสมควร หรือชาม หมื่นอินทร์ อายุ 42 ปี ชาว จ.กระบี่  เป็นจำเลยที่ 1- 2 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันมียาไอซ์ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย,สมคบกันกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 53 ระบุความผิดสรุปว่าเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ค. – 17 ก.ค. 53  จำเลยทั้งสองได้บังอาจกระทำผิดโดยจำเลยที่ 2  ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม และเป็นพี่ชายต่างมารดาของจำเลยที่ 1 ได้ลักลอบโทรศัพท์จากเรือนจำให้จำเลยที่ 1 นำยาไอซ์ไปส่งให้ลูกค้า แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเฝ้าติดตามพฤติการณ์ตรวจค้นรถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ ทะเบียน บง 7627 ระนอง ของจำเลยที่ 1  ขณะแล่นมาบริเวณ  ถนนสุขสวัสดิ์ ตรงข้ามห้างบิ๊กซี สาขาพระประแดง จ.สมุทรปราการ พบยาไอซ์ 2 ถุง หนัก 1 กก.ซุกซ่อนในกล่องกระดาษทิชชู่  และจากการสอบสวนขยายผลทราบว่า จำเลยที่ 1 ยังมียาไอซ์ไว้ในห้องเช่าไม่มีชื่อ ซอยประชาอุทิศ 69  แขวง- เขตทุ่งครุ  เมื่อตรวจค้นพบยาไอซ์อีก  4 ถุง หนัก 2 กก. จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 บช.ปส. ดำเนินคดี
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่า  ยาไอซ์ของกลางทั้งหมดเป็นของจำเลยที่ 2  ว่าจ้างให้ส่งยาไอซ์กับลูกค้าครั้งละ 50,000 บาท โดยจะโทรศัพท์สั่งจากเรือนให้ไปส่งลูกค้าที่ใดบ้าง หรือไปรับยาไอซ์จากจุดใดบ้าง  ขณะที่จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานต่างๆของทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง น่าเชื่อถือ เชื่อว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดจริง จึงพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว พร้อมทั้งริบของกลาง.

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

โชเฟอร์แท็กซี่คืนทองเสี่ยร้านทอง


เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้(16มี.ค.) ที่สถานีวิทยุพิทักษ์สันราษฎร์ หรือ “สวพ.91” ถนนพหลโยธิน นายศักดิ์ศรี เกษศรีแก้ว อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62 หมู่ 5 ต.ศรีแก้ว อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด คนขับรถแท็กซี่โตโยต้า อัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทศ 8421 กรุงเทพมหานคร ได้นำทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 540 บาท มูลค่า 13 ล้านบาท มาส่งคืนให้กับเจ้าของ คือ นายเอกรัตน์ กนกวรรณกรณ์ เจ้าของร้านค้าทองเยาวราช ภายในห้างฯบิ๊กซี จ.อุบลราชธานี ที่ลืมกระเป๋าใส่ทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 540 บาท มูลค่าประมาณ 13 ล้านบาท ไว้ในรถแท็กซี่คันดังกล่าว  หลังจากนำทองรูปพรรณมาเปลี่ยนลวดลายที่เยาวราช กรุงเทพ ก่อนเรียกแท็กซี่จากแยกเอสเอบี ถนนวรจักร กรุงเทพฯ ให้มาส่งในตลาดสี่มุมเมือง ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี แล้วลืมกระเป๋าใส่ทองรูปพรรณจำนวนดังกล่าวไว้ในรถแท็กซี่ จึงเข้าแจ้งความไว้กับตำรวจ สภ.คูคต และนายเอกรัตน์ประกาศให้รางวัลสินน้ำใจ 5 แสนบาท หากแท็กซี่นำทองคำมาคืน
โดยนายศักดิ์ศรีกล่าวว่า หลังจากนายเอกรัตน์ลงจากรถแท็กซี่ย่านตลาดสี่มุมเมือง จึงตรวจสอบบริเวณที่นั่งด้านหลัง พบกระเป๋าใส่ของวางอยู่ เปิดออกดูพบสร้อยคอทองคำเป็นจำนวนมาก และพยายามขับรถวนหาเจ้าของเพื่อนำส่งคืน แต่ขับวนอยู่สักพักไม่พบเจ้าของ ไม่ทราบว่าจะนำไปคืนให้ที่ไหน ระหว่างนั้นได้เล่าให้นายมนูญ เนตรลอย เพื่อนคนขับแท็กซี่และเป็นสมาชิก สวพ.91 ฟังเพื่อให้โทรศัพท์ติดต่อ สวพ.91 ว่าพบกระเป๋าใส่ทองวางอยู่หลังรถ และต้องการนำส่งคืนเจ้าของ จนกระทั่งส.อ.ศักดิ์พงษ์ บุญยวุฒิ ทหารสังกัดร.1 พัน 4 รอ. ซึ่งเป็นหลานชาย เห็นภาพข่าวทางหนังสือพิมพ์ว่าเจ้าของคือนายเอกรัตน์ จึงประสานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ  เพื่อนำทองคำมาส่งคืนเจ้าของ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมจึงไม่รีบแจ้งตำรวจเมื่อมีผู้โดยสารลืมทองคำไว้มากขนาดนี้ นายศักดิ์ศรีกล่าวว่าที่ไม่แจ้งตำรวจเพราะทองคำอยู่กับตน ไม่หายแน่นอน และต้องการคืนเจ้าของด้วยตัวเอง โดยไม่คิดเอาทองคำเหล่านี้มาเป็นของตัวเอง เพราะหลังจากเปิดกระเป๋าดูแล้วพบว่าเป็นกล่องใส่ทองคำ 10 กล่อง เมื่อเปิดดูแค่ 3 กล่อง รู้ว่าเป็นทองคำก็ไม่เปิดดูอีก และช่วง 2 วันที่ผ่านมา พยายามขับรถวนหาเจ้าของทองในบริเวณตลาดสี่มุมเมือง ขอยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการทองคำเหล่านี้ โดยที่ผ่านมาเคยมีผู้โดยสารลืมทรัพย์สินในรถแท็กซี่ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋า แต่ก็ส่งคืนเจ้าของทั้งหมด
ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. นายเอกรัตน์ เสี่ยเจ้าของทองคำได้เดินทางมารับมองทองรูปพรรณคืนทั้งหมด โดยเปิดแกะกล่องที่ปิดด้วยกระดาษกาวซึ่งบรรจุทองคำไว้จำนวน 10 กล่องดู ก็พบว่า ทองคำทั้งหมดอยู่ครบไม่ได้สูญหาย ทั้งนี้ เสี่ยร้านทอง กล่าวว่า รู้สึกดีใจอย่างมากที่ได้ทองคำคืน อยากขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถตามทองคืนมา และอยากขอบคุณนายศักดิ์ศรี แท็กซี่พลเมืองดี ที่มีน้ำใจเก็บกระเป๋ามาคืนให้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการรับมอบทองคืนแล้ว นายเอกรัตน์ ได้มอบสร้อยคอทองคำจำนวน 2 เส้น หนัก 5 บาท และ 3 บาท มูลค่า 2 แสนบาทให้เป็นสินน้ำใจ และจะมอบเงินสดส่วนต่างอีกให้ครบ 5 แสนบาทภายหลัง ตามที่ตั้งรางวัลไว้

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

เตรียมบุกมาเลเซียขอตัวอิหร่านวางระเบิด


 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) วันนี้(16มี.ค.) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัติ รองผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีทางอัยการประเทศมาเลเซียทำหนังสือขอเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอตัวนายมาซีซ่า การ์ดซาเดค มะห์ซุด(Sedagahatzadeh Msoud)ผู้ต้องหาคดีระเบิด 3 จุดเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมายังอัยการไทยว่า ทางตำรวจได้ทำการแปลเอกสารที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสำนวนการสอบสวนเป็นภาษาอังกฤษและส่งไปให้อัยการแล้วซึ่งทางอัยการจะประสานกับอัยการมาเลเซียในการดำเนินการขอตัวนายมะห์ซุด ต่อไป
อย่างไรก็ตามในวันที่ 25-26 มีนาคม ทางอัยการและพนักงานสอบสวนจะเดินทางไปประเทศมาเลเซียเพื่อติดตามเรื่องนี้ ส่วนประเทศมาเลเซียจะส่งตัวให้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทางประเทศมาเลเซียแต่ที่ผ่านมาก็มีการร่วมมือกันเป็นอย่างดีและทางตำวจก็พร้อมสนับสนุนเรื่องเอกสารให้ทางอัยการอย่่างเต็มที่ในการดำเนินการขอตัวนายมะห์ซุด กลับมา

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

แม่ค้าขายพวงมาลัยโอด ตำรวจทิ้งคดีลูกชายถูกยิงหน้าร้านคนติดดิน


วันที่ 16 มี.ค.  เมื่อเวลา 13.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  นางภาวิณี  อินจันทร์  อายุ 48  ปี แม่ค้าขายพวงมาลัยตลาดโพธิ์แจ้ ย่านบางบอน เข้าร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่าพนักงานสอบสวน สภ. เมืองนนทบุรี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ใน คดี นายวีระยุทธ บุญพิมพ์  อายุ 29 ปี ลูกชายถูกยิงได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ที่ร้านอาหารคนติดดิน ย่านพระราม 5
นางภาวิณี กล่าวว่า คืนวันที่ 30 ธ.ค.54 ลูกชายและแฟนสาวเดินทางไปร้านอาหารคนติดดิน จะขณะที่กลับบ้านเวลาประมาณ เที่ยงคืนได้เรียกรถแท็กซี่เพื่อจะกลับบ้าน โดยแฟนลูกชายได้เปิดประตูรถแท็กซี่ไปกระแทกกับรถวีโก้ ที่มาจอดข้าง  ๆ  จนมีปากเสียงกัน และคนขับรถวีโก้ได้ชักปืนออกมายิงลูกชายที่บริเวณไหล่ซ้ายได้รับบาดเจ็บ ส่งรพ.พระนั่งเกล้า กระสุนทะลุปอด ตัดเส้นประสาทบริเวณไขสันหลัง ทำให้ช่วงล่างเป็นอัมพฤต และตัดปอดทิ้ง 1 ข้าง ตอนนี้รักษาตัวอยู่ทีบ้าน อ. กระทุ่มแบน จ.ปทุมธานี
นางภาวิณี กล่าวด้วยว่า ตลอดเวลาตนพยายามสอบถามความคืบหน้าไปที่พนักงานสอบสวน สภ. เมืองนนทบุรี ช่วงแรกๆ เขาบอกว่า แม่ดูแลลูกไปเถอะ เดี๋ยวคดี จัดให้ แต่คดียังไม่คืบหน้า ไม่สามารถรวบรวมหลักฐานออกหมายจับคนร้ายได้ กล้องวงจรปิดที่ร้านคนติดดินก็ยังไม่ไปตรวจสอบ ลูกชายกลับมาอยู่บ้านสามารถให้การได้ก็ไม่มาสอบปากคำ โดยบอกว่าจะให้ พนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน มาสอบปากคำให้ แต่ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อมา
“แม่เป็นคนไม่มีความรู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ได้แต่สอบถามไปยังตำรวจ ตอนแรกๆ ก็บอกให้แม่อยู่เฉยๆ เดี๋ยวจัดการคดีให้ แต่ตอนหลังโทรศัพท์ไป เขาบอกว่าติดประชุม แม่ก็เกรงใจตำรวจ จนเวลานี้ 3 เดือนแล้ว คดีไม่คืบหน้าเลย ขนาดลูกชายเราเคยทำงานให้ตำรวจ ทำทุกอย่างทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน เป็นอาสาสมัครให้ด้วย แต่เมื่อมาถูกยิง ตำรวจที่ลูกทำงานให้ก็ไม่มาดูแลเลย“
นางภาวิณี กล่าวด้วยว่า ลูกชายเคยเล่าให้ฟังว่า คนที่ยิงอาจเป็นคนมีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นคนที่ตำรวจรู้จัก ทำให้ตำรวจไม่ทำคดีให้ ตนเองไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องการมาร้องเรียนเพื่อให้ตำรวจทำงาน ช่วยติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี และรับผิดชอบทั้งด้านการเงิน และกับสิ่งที่เขาได้ทำกับลูกชายของตน ขณะนี้ ลูกชายมีแผลกดทับที่ก้น ด้วย การดูแลก็ยากลำบากขึ้น โชคดีที่เจ้าหน้าที่อนามัยดอนไก่ดี ดูแลให้ และคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มมากขึ้นเพราะต้องซื้อทั้งผ้าแพมเพริส  และยามารักษาแผลลูกชาย

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

“เพรียวพันธ์” แถลงจับยาบ้า 2 ล้านเม็ด


เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้(16 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา ผบช.ปส. นายบุญเชิด คิดเห็น ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงจับกุมนายวิชัย แซ่เห้อ อายุ 22 ปี พร้อมยาบ้าซุกซ่อนอยู่ท้ายรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าสีเทา หมายเลขทะเบียน บย-4847 เชียงรายกว่า 2 ล้านเม็ด โดยจบกุมได้บริเวณด่านสกัดอยู่ที่ถนนสายแม่พริก-เถิน ทางด่านชายแดนจ.เชียงราย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า ผลประโยชน์จากการค้ายาเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจทำให้บางคนตัดสินใจกระทำการดังกล่าว ยืนยันว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ได้
ด้านพล.ต.ท.สุเทพ กล่าวว่า ภายหลังการสืบทราบข้อมูลว่าจะมีการขนส่งยาเสพติดผ่านเข้ามาทางด่านขนยาเสพติดผ่านทางชายแดนจ.เชียงราย โดยใช้รถกระบะบรรทุกคันดังกล่าวเป็นยานพาหนะ เพื่อนำไปส่งไปยังพื้นที่ภาคกลาง โดยใช้เส้นทางหลบเลี่ยงด่านตรวจแม่พริกถนนพหลโยธิน เข่ามาทางถนนสายในระหวางเถิน-แม่พริก เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกัน ตั้งด่านสกัดจากการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ จึงสามารถทำให้จับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย พร้อมของกลางและหลบหนีไปอีก 3 ราย ซึ่งการวางแผนจับกุมครั้งนีใช้เวลาเพียง  3 วัน ทั้งนี้ จะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เหลืออีก 3 รายที่หลบหนีต่อไป
ด้านนายวิชัย ผู้ต้องให้การรับสารภาพว่า ได้รับการชักชวนให้ไปทำงานครั้งนี้เป็นครั้งแรกได้เงินครั้งละ 4 แสนบาท เพื่อที่จะนำเงินไปปลูกบ้านให้พ่อแม่อยู่ โดยไม่ทราบว่าผู้ใดว่าจ้างให้ไปส่ง รู้แต่เพียงจุดหมายไปที่ภาคกลาง จ.สุพรรณบุรี เท่านั้น

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

ลูกซองจ่ออกดับหนุ่มใหญ่เมืองตรัง


วันนี้(16 มี.ค.) ร.ต.อ.ปรีชา  หาสังข์ ร้อยเวร สภ.นาโยง  จ.ตรัง รับแจ้งเหตุผู้ถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 4 ต.นาหมื่นศรี อ.นาโยง จ.ตรัง หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ พ.ต.อ.สันทัด วินสน ผกก.สภ.นาโยง ทราบ  ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย ร.ต.อ.หญิง สุชาดา  กัวหา  รองสารวัตรพิสูจน์หลักฐานจังหวัดตรัง  เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นาโยง  และเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลสถานอำเภอนาโยง รุดไปตรวจสอบ          ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าบ้านพบศพ นายโชติ  หนูเลี่ยง หรือ“บ่าวโชติ”  อายุ 54 ปี เจ้าของบ้าน สภาพนอนหงายจมกองเลือด มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้น  1 นัด เข้าที่บริเวณหน้าอก  โดยจากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุไม่พบปลอกกระสุน 
จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์  ทราบว่า  ก่อนเกิดเหตุผู้ตายออกจากบ้านไปนั่งดื่มสุราที่บ้านน้องสาว ห่างจากบ้านตัวเองประมาณ 30 เมตร ตั้งแต่เวลา 16.00 น. (วันที่ 15 มี.ค.) โดยได้ตั้งวงนั่งดื่มเหล้าขาวกันประมาณ 9 คน หลังจากนั้นประมาณ 20.30 น.  ก็มีลูกสาวของนางนุ้ย ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ได้เดินมาส่งผู้ตายที่บ้าน ก่อนจะเดินกลับไปดูละครต่อที่บ้านของตัวเอง ต่อมาไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และเมื่อออกมาดูก็พบว่าผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตแล้ว โดยขณะเกิดเหตุไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ส่วนนางสมคิด หนูเลี่ยง ภรรยาผู้ตายก็ไปร่วมงานแต่งเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ  สันนิษฐานว่า  ก่อนเกิดเหตุผู้ตายน่าจะเมาสุราแล้วเกิดพูดจาไม่เข้าหูใครคนใดคนหนึ่งในวงเหล้า จนอีกฝ่ายเกิดอาการไม่พอใจมีปากเสียงขัดแย้งกัน และเมื่อวงเหล้าเลิกต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน คนร้ายจึงฉวยโอกาสติดตามผู้ตายมาที่บ้าน หลังจากนั้นก็ได้ใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ตายในระยะเผาขน จนเสียชีวิตและหลบหนีไป  อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะได้เรียกบุคคลใกล้ชิดมาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง เพื่อจะได้รวบรวมพยานหลักฐานติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

รวบหนุมใหญ่ขายใบกำกับภาษีค่ากว่า 400ล้าน

 ที่ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)  วันนี้ (16 มี.ค.) พล.ต.ต.ภูมิรา  วัฒนปาณี  รอง ผบช.ก. นายสาธิต  รังคสิริ   อธิบดีกรมสรรพากร  นางวณี  ทัศนมณเฑียร ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี พ.ต.อ.ชัยณรงค์  เจริญไชยเนาว์ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.กิตติ  สะเภาทอง รอง ผบก.ปอศ. ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุม นายธนกฤษ  ฮีลี่ อายุ 45 ปี เจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนถนนสุขาภิบาล 5 แขวง และ เขตสายไหม พร้อมของกลางเอกสารใบกำกับภาษีที่ขายให้กับลูกค้ามีมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กระทำความผิดจำนวนหลายรายการ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก กรมสรรพากร และ บก.ปอศ.พบว่ามีโฆษณาประกาศขายใบกำกับภาษีทางเว็ปไซด์ Market.mthai.com/product/1292893 และเว็บไซต์ www.siamshop.com/product-1438583 ทั้งสองว็บไซต์ระบุผู้ติดต่อทางอีเมลล์  tanakon2005@gmail.com    จึงสืบสวนจนทราบหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ติดต่อคือหมายเลข 089-1681041 เป็นของนายธนกฤษ  ผู้ต้องหา จึงติดต่อขอซื้อใบกำกับภาษี ปรากฏว่า นายธนกฤษ ได้แจ้งหมายเลขบัญชีเงินฝาก เพื่อให้โอนเงินค่าซื้อใบกำกับภาษี

เมื่อเจ้าหน้าที่สรรพากร นำฝากเช็คเงินสดเข้าบัญชีธนาคาร ของนายธนกฤษ เพื่อชำระค่าซื้อใบกำกับภาษีตามที่ตกลงไว้  นายธนกฤษ จึงส่งต้นฉบับใบกำกับภาษี/ต้นฉบับใบส่งของจำนวน 2 ฉบับ และต้นฉบับใบเสร็จรับเงิน  2 ฉบับ ระบุชื่อ บริษัทแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่เลขที่ 17/21 หมู่ 1 แขวงและเขตสายไหม เป็นผู้ออกให้กับเจ้าหน้าที่สรรพากรทางไปรษณีย์ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่านายธนกฤษ เป็นกรรมการบริษัทดังกล่าว จากพยานหลักฐานพบว่า นายธนกฤษ  มีพฤติการณ์กระทำผิดโดยการออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง ถือเป็นการออกใบกำกับภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่สรรพากรและเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอศ.จึงร่วมกัน วางแผนจับกุม นายธนกฤษ โดยติดต่อซื้อใบกำกับภาษีมูลค่าสินค้า 2 ล้าน 6 แสนเศษ นัดหมายส่งมอบใบกำกับภาษี และชำระเงิน ในวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เวลา 09.00 น. ที่ห้างเทสโก้ โลตัส สาขาบางเขน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน พอถึงเวลานัดหมายเจ้าหน้าที่สรรพากร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอศ. จึงจับกุมผู้ต้องหาได้พร้อมของกลาง จากนั้นจึงนำ นายธนกฤษ  ไปตรวจค้นรถยนต์ที่จอดอยู่ในลานจอดรถ พบใบกำกับภาษีอีกจำนวนหนึ่่งที่เตรียมไปขายให้ผู้ซื้อรายอื่น  ก่อนจะนำผู้ต้องหาไปตรวจค้นบริษัทย่านถนนสุขาภิบาล 5 แขวง-เขตสายไหม  พบเอกสาร หลักฐาน เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กระทำความผิดจำนวนหลายรายการ จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง และควบคุมตัว นายธนกฤษ ไว้สอบสวนขยายผลและดำเนินคดีต่อไป

ด้าน นายสาธิต  กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ากรมสรรพากรจะเสียหายจากการกระทำครั้งนี้เป็นมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท และเชื่อว่าผู้ต้องหาทำกันเป็นขบวนการและมีอีกหลายราย เนื่องจาก
เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอศ.ตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ของกลางพบว่ามีใบกำกับภาษีที่ระบุชื่อบริษัทที่่สั่งซื้้อจากผู้ต้องหาอีก 3-4 บริษัท

แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources