วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นายกฯ รับมอบดอกกุหลาบจากคนเสื้อแดง



วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2555 เวลา 16:15 น.
ต่อมาเวลา 16.00 น. การประชุมมอบนโยบายให้หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารระดับสูงระดับปลัดกระทรวงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่โรงแรมเชอราตัน พัทยา ได้เสร็จสิ้นลง โดยนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เน้นให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดเอกภาพ และขับเคลื่อนนโยบายสำคัญให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะกาทำงานเพียงกระทรวงเดียวอาจทำได้ยาก จึงได้มาพูดคุยกันว่าส่วนไหนบ้างที่จะต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน  เช่นการเตรียมอัตรากำลังคน หรือการรองรับภาคแรงงานต่าง ๆเป็นต้น

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้เดินไปพบกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดทางให้มาดักรอ พบเพื่อให้กำลังใจและมอบดอกกุหลาบแดงให้กับนายกรัฐมนตรีถึงบริเวณด้านหน้า โรงแรมเชอราตันตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยนายกรัฐมนตรี ได้เดินจับมือทักทายคนเสื้อแดงอย่างอารมณ์ดีไปตลอดเส้นทาง โดยคนเสื้อแดงต่างตะโกนสู้ ๆ เสียงดังลั่น จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับไปยัง กทม. เพื่อร่วมงานวันตำรวจที่สโมสรตำรวจ ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้สนใจจดและถ่ายรูปทะเบียนรถของนายกรัฐมนตรี นบ 1 กรุงเทพมหานคร กันจำนวนมาก

รองโฆษกรัฐ ยันออกหมายจับ"ทักษิณ" แค่เรื่องเก่า


วันนี้ ( 13 ต.ค.)  นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีอนุมัติให้ธนาคารกรุงไทย ปล่อยสินเชื่อจำนวน 9,000 ล้านบาท ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่คดีใหม่ แต่เป็นขั้นตอนทางกฎหมายที่ศาลต้องออกหมายเรียก แต่เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่างประเทศนานกว่า 5 ปี เดินทางมาไม่ได้ จึงเป็นดุลพินิจที่ศาลจะออกหมายดังกล่าว และหมายที่ออกมาไม่ได้ชี้ว่าผิดหรือถูก เพราะยังมีขั้นตอนดำเนินการต่อไป  ขอย้ำว่าเรื่องนี้คดีเป็นคดีการเมือง หลังรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ประชาชนเขายอมรับไม่ได้เพราะผิดหลักนิติธรรมชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีความพยายามที่จะทำให้ความปรองดองของบ้านเมืองต้องทอดเวลา ออกไปอีก
                
รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า เห็นว่าไม่ใช่เรื่องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ เวลาที่เป็นเรื่องของตัวเอง เช่น กรณีที่กระทรวงกลาโหม เตรียมดำเนินการถอดยศ หรือคดี 98 ศพ บอกว่าเป็นเรื่องการเมือง มีการกลั่นแกล้งกันเกิดขึ้น แต่พอเป็นเรื่องของฝ่ายคู่ขัดแย้งบอกว่า ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แบบนี้ไม่ใช่การมองแบบสองมาตรฐาน แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์แบบไร้มาตรฐานมากกว่า

นายกสมาคมชาวนาไทย ชี้วงจรทุจริตข้าวอยู่ระดับบน


วันนี้ ( 13 ต.ค.) นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เปิดเผยถึงกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวต่อไปว่าชาวนาดีใจกันมากเพราะข้าวเกี่ยวมาแล้วจะ ไปขายใครหากไม่มีโครงการเพราะขณะนี้โกดังข้าวโรงสีเต็มเกือบทุกแห่ง ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ รับพิจารณาจะรับผิดชอบกับชาวนาทั่วประเทศหรือไม่ โครงการรับจำนำเป็นโครงการที่ดีมีประโยนช์ต่อชาวนา มากกว่าโครงการประกันราคา ทำให้ชาวนาได้เงินมากกว่าเพราะราคาข้าวไม่ถูกโรงสีกดราคา หากไม่มีโครงการรับจำนำ จะราคาข้าวจะอยู่ที่ 8-9 พันบาทต่อตันเท่านั้น ซึ่งราคาจำนำอยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท ชาวนาเอาข้าวเข้าโครงการจำนำ ถ้าความชื้น 20 เปอร์เซนต์ ได้ราคา 1.3 หมื่นบาท ความชื้น 25 ได้ราคา 1.2 หมื่นบาท ความชื้น 29-30 ได้ราคา 1.1 หมื่นบาท หากไม่มีโครงการเงินจะหายไปตันละเกือบ 4 พันบาท ซึ่งชาวนาไม่ยอมให้ยกเลิกแน่
อย่างไรก็ตามขณะนี้ชาวนาจำนวนหลายหมื่นครัวเรือน รอเงินจากโครงการจำนำข้าวรอบพิเศษนาปีและนาปรัง ที่เกี่ยวหนีน้ำท่วม เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จำนวน 1.5 หมื่นตันประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ยังไม่ได้รับเงินกันเลย ตอนนี้เกษตรกรหลายจังหวัด เช่น ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา นครนายก อยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี นครปฐม จะเริ่มรวมตัวกันแล้วหากไม่ได้เงินจำนำข้าวภายในเดือนนี้ รวมทั้งรัฐบาลเปิดโครงการจำนำข้าวนาปี 55/56 เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ขณะนี้ทางโรงสียังไม่เปิดรับข้าวเข้าโครงการเลยเพราะโรงสีไม่มีที่เก็บข้าว เนื่องจากข้าวโครงการรับจำนำรุ่นแรกโรงสียังปิดบัญชีไม่ได้ เพราะรัฐบาลยังไม่ขนออกไปซึ่งชาวนาฝากท้วงถามว่ารัฐบาลทำไมไม่เร่งระบายข้าว เมื่อเปิดโครงการมาแล้วแต่ชาวนาเอาข้าวเข้าจำนำไม่ได้รัฐบาลจะแก้ปัญหาได้จบ เมื่อไหร่
ในส่วนปัญหาการทุจริต ชาวนาส่วนใหญ่เชื่อว่ามีแน่ แต่ยืนยันว่าไม่เกิดจากชาวนาเพราะชาวนาอยากได้โครงการ แต่ที่ผ่านมาทุกฝ่ายก็รู้ดีว่าโครงการรับจำนำทุกครั้งมีการทุจริตแบบเดิมๆใน วงจรระดับบน ทั้งนักการเมือง เจ้าหน้าที่ บริษัทส่งออกเกี่ยวข้องเป็นของใครใกล้ชิดกันอย่างไรอยากให้รัฐบาลแก้ไขอย่าง จริงจังเพราะทุกโครงการเป็นโครงการที่ดีและช่วยเกษตรกรได้

“ทักษิณ” ร่อนจดหมายชื่นชม “ยงยุทธ” เสียสละเพื่อพรรค



วันนี้ ( 13 ต.ค.) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์รูปภาพจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของพ.ต.ท.ทักษิณ ถึงนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ลงวันที่ 8 ต.ค.ต่อกรณีการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่า “ท่านยงยุทธ ที่รักและเคารพ วันนี้ขอเขียนโน้ตสั้นๆ มาขอบคุณท่านที่ได้เสียสละแสดงสปิริตที่หาได้ยากในสังคมการเมือง ผมและพี่ๆ น้องๆ ในพรรคเพื่อไทยขอแสดงความชื่นชมมา ณ ที่นี้ และจะจารึกไว้กับประวัติศาสตร์ของพรรคตลอดไปครับ ขณะนั้นพรรคเรายังเปราะบางกับการไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่มาก ไม่อยู่ในฐานะที่จะวางใจได้ จึงต้องมีผู้เสียสละและปลดชนวนกันอีกหลายครั้งอยู่จนกว่าเราจะมีประชาธิปไตย ที่แท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เปลือก คนไทยยังลำบากอยู่อีกมากครับ เราจะมุ่งมั่นช่วยคนไทยให้ยืนบนขาตัวเองอย่างเข้มแข็งต่อไปโดยไม่ย่อท้อครับ และท่านก็ยังต้องช่วยพรรคทำต่อไปนะครับ รักและเคารพในน้ำใจ "

ปชป.จัดเวทีผ่าความจริงตามหาชายชุดดำคึก ไร้แดงป่วน


วันนี้ ( 13 ต.ค.). ที่อาคารสโมรสรพลเมืองอาวุโสฯ สวนลุมพินี พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดนิทรรศการ “เดินหน้าผ่าความจริง “ผ่าความจริง ใครบงการมัจจุราชชุดดำรับจ้างฆ่าประเทศไทย” ควบคู่กับการเปิดเวทีผ่าความจริงหยุดความผิดล้มล้างรัฐธรรมนูญ โดยมีแกนนำพรรค พร้อมด้วยสมาชิกพรรค รวมถึงนพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเสื้อหลากสี และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ซึ่งภายในงานมีการตั้งบูธจำหน่ายเสื้อ และของที่ระลึก รวมทั้งหนังสือ “ความจริงไม่มีสี” ที่เขียนโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 1,000 เล่ม ในราคาเล่มละ 120 บาท ซึ่งปรากฎว่าจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นภายในนิทรรศการเป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่กลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จัดการชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2552 -2553

โดยแบ่งออกเป็นโซนเพื่อเล่าถึงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยมีการฉายคลิปจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซึ่งมีภายชายชุดดำปราก ฎอยู่ รวมถึงการอภิปรายของแกนนำนปช.ที่ปลุกระดมจนเกิดความรุนแรง โดยมีการตั้งหัวข้อแต่ละเหตุการณ์อาทิ ผ่าเหตุการณ์คนใจดำสั่งฆ่าประเทศไทย,ผ่าความจริงคนบงการ, 10 เมษายน 53 มัจจุราชชุดดำปฏิบัติการ, 63 จุดปฏิบัติการป่วนเมือง รวมถึงรายงานของคอป.ที่มีการระบุว่ามีการใช้อาวุธ และจุดที่พบชายชุดดำ เป็นต้น ทั้งนี้ได้มีการจำลองภาพขนาดเท่าตัวจริง อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธแดง) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายอริสมัตน์ พงศ์เรืองรอง และชายชุดดำ ประกอบตามนิทรรศการ ทั้งนี้ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยอยู่รอบ ๆงานดังกล่าว โดยไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาป่วนแต่อย่างใด
          
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาของหนังสือ “ความจริงไม่มีสี” นั้นเป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 15ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นวันที่นายอภิสิทธิ์ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยบรรยายถึงความรู้สึกในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่า มีคนในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่สรุปแล้วส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เรื่อง เพราะสิ่งที่เขาต้องการเราให้ไม่ได้ เนื่องจากขัดกับหลักการของบ้านเมือง และแม้ว่าตนจะตายไปในวันไหนก็ขอยืนยันว่า การจัดการปัญหาสถานการณ์ปี 2552 – 2553 ไม่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ นอกรัฐธรรมนูญ หรือผู้มีบารมี นอกรัฐธรรมนูญ หรือใครอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหา

หนังสือ “มาร์ค” เปิดโปง “ฮุนเซน อินไซท์” คนเสื้อแดง


วันนี้ (13 ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในหนังสือ "ความจริงไม่มีสี" ที่เขียนโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีตอนหนึ่งระบุในหัวข้อ “ฮุนเซน อินไซท์”ว่า ในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา และมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาคุยกับตนโดยแสดงความยินดีที่รัฐบาลไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินในวันก่อนการ ประชุมและวันประชุม เมื่อการประชุมถูกคนเสื้อแดงขัดขวางจนต้องยุติลง เราส่งผู้นำประเทศต่าง ๆ กลับ พอตนพูดขึ้นว่าจะทานข้าวกลางวันกันก่อน นายกฯฮุนเซน ก็รีบรวบรัดบอกทันทีว่าไม่ต้องทาน หลังจากนั้นเพียงครูเดียว คนเสื้อแดงก็บุกเข้ามาไล่ล่าภายในโรงแรมรอยัลคลิฟฯ ซึ่งเมื่อตนมองย้อนกลับไปจึงคิดได้ว่า ท่านค่อนข้างจะ “อินไซท์” มีความสนใจและรู้เรื่องราวการเมืองไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในไทย

รอยล เผยแผนใช้น้ำหน้าแล้งให้ทำนา



วันนี้ ( 13 ต.ค.) นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ และจัดสรรน้ำเพื่อดูแลบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ของ กบอ.เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำของประเทศว่าขณะนี้ไม่มีพายุเข้ามาภาคกลางและภาค เหนือแล้ว อาจจะเข้าภาคใต้เพราะเป็นช่วงฤดูมรสุม ทั้งนี้ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าจะมีฝนตกอีกครั้งในช่วง 15-17 ต.ค.นี้มาจากร่องความกดอากาศสูงจากจีน มาปะทะกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ฝนตกในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ปริมาณฝนที่ตกไม่มากเรียกว่าเป็นปลายฝนต้นหนาวแล้ว
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานายปลอดประสพ สุรัสวดี ประธาน กบอ.ได้วางแผนการใช้น้ำในหน้าแล้งไว้แล้วจากปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่สองแห่ง คือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ คาดว่าจะมีน้ำ 9,000 กว่าล้านลบม.ซึ่งยืนยันว่าเป็นตามเป้าที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนว่าจะได้น้ำ ฝนเข้าเขื่อนเท่านี้ และเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในภาคกลาง ซึ่งใช้น้ำสำหรับทำนาปรัง 6-7 ,000 ล้านลบม. และเก็บไว้ 2,000 ล้านลบม. ไว้ใช้ให้กับทำนานาปีก่อนฤดูฝนจะมาในปีหน้า โดยแบ่งน้ำไว้สำหรับการอุปโภค บริโภค 10 เปอร์เซนต์ ซึ่งไม่เกิดการขาดแคลนน้ำแน่นอน ยกเว้นภาคอีสานบางแห่ง ที่เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินทร์  มีปริมาณน้ำไม่ถึงครึ่ง ต้องเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรให้หันไปปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยเช่น ดอกดาวเรืิอง พริกขี้หนู หรือแตงกวา ซึ่งมีรายได้ดีกว่าปลูกข้าวทั้งปี
"ปริมาณน้ำต้นทุนมีให้ทำนาปรังรุ่นแรกได้ไม่เกิน 5-6 ล้านไร่ ต้องช่วยกันใช้น้ำอย่างสมดุลไม่ใช่เห็นมีน้ำในคลองก็ปลูกกันไม่หยุดหากปลูก มากไม่ฟังคำแนะนำไม่มีน้ำให้แน่นอนเพราะเขื่อนมีน้ำแค่นั้น เท่าที่ทราบทุกปีปลูกข้าวนาปรังมากถึง 13 ล้านไร่ต่อครั้งขณะนี้หลายจังหวัดภาคกลางเริ่มลงมือปลูกข้าวกันแล้วขอเตือน ว่าอย่าเสี่ยงปลูกเกินพื้นที่ที่กำหนด จะทำให้ได้ผลผลิตไม่ดีเพราะน้ำมีไม่มาก ชาวนาควรหันไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยอีกหลายชนิดที่มีราคาดีกว่าข้าวจะทำให้ลดการ ใช้น้ำด้วยเพราะนาข้าวใช้น้ำมากถึงไร่ละ 1 พันลบม. อยากให้หน่วยงานราชการ ออกชี้แจงชักจูงชาวนาเห็นแนวทางปลูกพืชชนิดอื่นที่มีราคาสูงกว่าและรายได้ มากว่าข้าว เช่นดอกดาวเรือง ทำรายได้ถึงไร่ละ 2 แสนบาทแต่ใช้น้ำเพียง 2-3 ร้อยลบม.ต่อไร่ ขณะนี้เกษตรกรภาคอีสานหันมาปลูกพืชผักกันมากแม้จะมีโครงการจำนำข้าว  ซึ่งถ้าถามว่าเมื่อน้ำไม่พอหน้าแล้งควรสร้างเขื่อนเพิ่มหรือไม่ และจะสร้่างเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ ซึ่งต้องมองทั้งแง่การอนุรักษ์ การใช้น้ำ การป้องกันอุทกภัย เมื่อก่อนประเทศไทยมีประชากร 11 ล้านคนขณะนี้มี 60 กว่าล้านคน ทรัพยากรป่าไม้และน้ำทั้งประเทศเหลือเพียง 30 เปอร์เซนต์ เป็นปัญหาที่ต้องร่วมกันแก้ไขว่าจะหาทางออกอย่างยั่งยืนได้อย่างไร"

แกนนำปชป.เรียงหน้าสับรัฐบาล “ปู” บิดเบือนความจริง


ต่อมาเวลา 16.30 น. บรรดาแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทยอยกันขึ้นปราศรัยบนเวที”ผ่าความจริง ใครบงกรคนชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย” โดยเล่าถึงเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมาซึ่งยืนยันว่ามีชายชุดดำ ก่อความรุนแรงในการชุมนุมทางการเมืองตามผลสรุปของคอป. ทำให้เกิดการเสียชีวิตและเจ้าหน้าที่
โดยนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง กล่าวว่า ตอนนี้คนทั้งประเทศเชื่อว่านโยบายจำนำข้าวมีการทุจริต เชื่อว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงมีชายชุดดำติดอาวุธสังหารเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่พอน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ คนกลับลังเล ทั้งที่มีการจับชายชุดดำและฟ้องศาลแล้ว และตนยังเป็นคนเอานายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก เข้าคุกมาแล้ว และต่อไปจะดำเนินการกับนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ให้เป็นของขวัญปีใหม่ในคดีที่ตนยื่นคำร้องให้ถอนประกันตัว ซึ่งศาลจะตัดสินในวันที่ 29 พ.ย.นี้ และการที่แกนนำนปช.ไม่ออกมาพูดมา เพราะโดนตนตบปากไปแล้ว และต่อไปตนจะตบแรงกว่านี้เพื่อให้คนเหล่านี้หุบปากไปอีก 2 ปี

“สุเทพ”หลั่งน้ำตาประกาศทุ่มเงินหาทนายมือดีช่วยคดีทหารตกเป็นจำเลย


วันนี้(13 ต.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที”ผ่าความจริง ใครบงกรคนชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย”ตอนหนึ่งว่า จะยืนหยัดเคียงข้างเจ้าหน้าที่ทหารที่ตกเป็นจำเลยในเหตุการณ์การชุมนุมทาง การเมือง จะเรี่ยไรเงินจ้างทนายที่ดีที่สุดในประเทศเพื่อสู้คดีให้ทุกคน จะไม่มีวันทอดทิ้งให้ทหารผู้เสียสละต้องว่าเหว่ในการต่อสู้โดยเด็ดขาด และจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตนเป็นคนสั่งเองทั้งสิ้นโดยมีกฎหมายรองรับ
“ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ เช่น พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เราขอคารวะดวงวิญญาณนายทหารที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีนายทหารเสียชีวิตอีกหลายคน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีบุตร ภรรยา และพ่อ แม่ ที่ต้องดูแล ครอบครัวของเจ้าหน้าที่ทหารที่เสียชีวิตที่กำลังจมอยู่ในความทุกข์ พวกเขาได้รับเงินดูแลเดือนละ 6,000-8,000 พันบาท และทายาทของเขาไปขอรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลก็ได้รับเงินเพียงคนละ 4 แสนบาท แต่ลูกน้องของแกนนำนปช.ได้คนละ 7.5 ล้านบาท จึงอยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับเขาด้วย แต่คนของรัฐบาลยังบอกว่าพวกเขาเป็นจำเลยอีก ” นายสุเทพ กล่าวด้วยเสียงสะอื้นหลั่งน้ำตากลางเวที
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีทหารอีก 675 คนที่บาดเจ็บ จนพิการรับราชการไม่ได้ จึงอยากบอกว่าการที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงรองนายกฯ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และพ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ พูดทำลายเจ้าหน้าที่เหล่านี้ถือว่าเป็นบาปอย่างมหาศาล วันนี้ดีเอสไอ ภายใต้การชี้นำของร.ต.อ.เฉลิม ตั้งธงเอาตนและนายอภิสิทธิ์ เป็นผู้ต้องหาให้ได้ ทำให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในจุดต่าง ๆมีความทุกข์ เพราะเขาพยายามบังคับให้ทหารบอกว่าเป็นผู้เหนี่ยวไกให้คนตาย และขู่ว่าถ้าไม่สารภาพจะเอาเป็นจำเลยทั้งหมด แต่ถ้าสารภาพก็จะกันไว้เป็นพยานเล่นงานตนทั้งสอง ตนเองชื่นชมน้ำใจทหารทั้งหลาย เพราะเขาชื่นชมการทำงานของพวกผมและบอกว่าไม่มีวันซัดทอดผมทั้งสองซาบซึ้งและ ขอบคุณเป็นพิเศษ และตนเองพร้อมพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรมไม่หนีไปต่างประเทศเด็ด ขาด แต่อยากถามว่าจำเลยในคดีก่อการร้ายบางคนสารภาพว่าได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำคนเสื้อแดงรู้เห็นเป็นใจด้วย

“อภิสิทธิ์” ขึ้นเวทีปัดสั่งห๋าประชาชน

วันนี้(13 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที”ผ่าความจริง ใครบงการคนชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย”ตอนหนึ่งว่า ถ้าตนเองและนายสุเทพ สั่งให้ทหารฆ่าประชาชน ก็สมควรถูกประหารชีวิต แต่ไม่ได้ทำอย่างนั้น เราพยายามคลี่คลายสถานการณ์เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย ดังนั้นจึงทนไม่ได้ที่บอกว่าไม่มีชายชุดดำ และมีการสั่งให้ทหารฆ่าประชาชน เพราะมันไม่จริง และหากเทียบระหว่างนายกฯที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ กับนายกฯ ที่มาจากพรรคพลังประชาชน เพื่อไทย ไทยรักไทย หรือพรรคอะไรที่อาจเปลี่ยนชื่อไปอีก จะพบว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะความรุนแรงล้วนเกิดขึ้นในรัฐบาลฝั่งโน้น อีกทั้งยังพยายามช่วยให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับประเทศโดยไม่ต้องติดคุก หลายเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ทำตนเห็นว่าแย่ และขอเตือนข้าราชการว่าอย่าทำผิดเพราะถ้าทำผิดคนเหล่านี้เขาไม่ช่วย ก็จะลำบาก แต่ถ้ากลั่นแกล้งพวกผม และผมชนะคดีเมื่อใดพวกคุณก็จะติดคุก ดั้งนั้นเราต้องหยุดให้ได้และสอนว่าการ เข่นฆ่าประชาชนต้องได้รับกรรม

คุก 99 ปีแม่ใจยักษ์ทารุณลูกสาว 2 ขวบ


วันนี้ ( 13 ต.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ศาลสหรัฐมีคำพิพากษาเมื่อวันศุกร์ ให้จำคุก 99 ปี นางเอลิซาเบธ เอสคาโลนา วัย 23 ปี แม่ใจยักษ์ที่ทุบตีบุตรสาววัย 2 ขวบอย่างทารุณ และทากาวติดมือของบุตรสาวเข้ากับกำแพง

ผู้พิพากษาแลร์รี มิตเชลล์ แห่งศาลแขวงเมืองดัลลัส กล่าวระหว่างการอ่านคำตัดสินว่า พฤติกรรมของนางเอสคาโลนาแสดงถึงความโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ เธอจึงสมควรได้รับการลงโทษโดยไม่มีการรอลงอาญา แม้ทนายฝ่ายจำเลย รวมถึงมารดา และพี่สาวของเธอจะร้องขอให้มีการลดโทษจำคุกเหลือ 45 ปีก็ตาม

บุตรที่เหลือของนางเอสคาโลนาให้การว่า มารดาทุบตีและทำร้ายร่างกาย ด.ญ.โจเซลลีน เซดิลโล เมื่อช่วงเดือนก.ย. ปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลเพียงว่า หนูน้อยยังไม่สามารถหัดเข้าห้องน้ำอย่างเป็นที่เป็นทางได้ ส่วนผลการตรวจร่างกายด.ญ.โจเซลลีนระบุว่า เธอถูกเตะอย่างแรงเข้าที่ท้อง และถูกกระหน่ำตีตามร่างกายด้วยเหยือกนม ก่อนจะใช้กาวที่มีความเหนียวพิเศษทามือทั้งสองข้างของบุตรสาวแท้ๆ แล้วแปะติดไว้กับกำแพงเป็นระยะเวลานาน

ทั้งนี้ ผลจากการถูกทารุณกรรมอย่างรุนแรง ส่งผลให้โจเซลลีนต้องเข้ารับการรักษาตัวในหน่วยรักษาพยาบาลผู้ป่วยหนัก ( ไอซียู ) เป็นเวลานาน ด้วยอาการเลือดคั่งในสมอง กระดูกซี่โครงหัก และบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกทุบตีทำให้เกิดรอยฟกช้ำเป็นวงกว้างตามร่างกาย นอกจากนี้ ผิวหนังบริเวณฝ่ามือบางส่วนของหนูน้อยยังหลุดออก ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษาให้การก่อนหน้านี้ว่า พบเศษกาวแห้ง และสีจากกำแพงบ้านที่ร่อนออกมา ติดตามมือของโจเซลลีนเต็มไปหมด

ด้านอัยการเผยแพร่หลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทปบันทึกเสียงของนางเอสคาโลนา ที่กล่าวว่า เริ่มสูบกัญชา และเข้าแก๊งอันธพาลตั้งแต่อายุ 11 ปี รวมถึงเคยมีเจตนาคิดสังหารมารดาแท้ๆของตนเอง

แม้นางเอสคาโลนาจะให้การรับสารภาพ หลังถูกจับกุมเมื่อเดือนก.ค. โดยหวังเพื่อขอให้มีการผ่อนผันโทษ แต่อัยการยืนกรานว่า ไม่สมควรลดโทษให้ผู้ต้องหาอย่างยิ่ง เนื่องจากมีแต่ “ปีศาจ” เท่านั้น ที่จะสามารถกระทำการอันโหดร้ายเช่นนี้ต่อบุตรแท้ๆของตนเองได้

คอหวยเฝ้าจับตาทะเบียนรถ “นายกฯปู” ใช้ “นบ 1” มาประชุมกับปลัดที่พัทยา


วันนี้ (13 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเดินทางไปเป็นประธานการประชุมและมอบนโยบายให้หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารระดับสูงระดับปลัดกระทรวง ที่โรงแรมเชอราตัน พัทยา ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนั้น  ปรากฏว่ารถที่นายกรัฐมนตรีใช้ยังคงเป็นที่จับตาดูของบรรดาคอหวย เนื่องจากใกล้วันที่ 16 ต.ค.ซึ่งเป็นวันหวยออก โดยการเดินทางมาพัทยาครั้งนี้นายกรัฐมนตรี ใช้รถโฟล์คตู้สีดำ หมายเลขทะเบียน นบ 1 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถคันเดิมที่เคยใช้สมัยหาเสียงเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วงแรก แต่ช่วงนั้นเป็นป้ายแดงหมายเลขทะเบียน ว 1662 ซึ่งก็เคยให้โชคกับบรรดาคอหวยมาแล้วครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ทะเบียนรถของนายกรัฐมนตรีคันอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถโฟล์คสีดำกันกระสุน เลขทะเบียน ช 3438 กรุงเทพมหานคร ที่เพิ่งเกิดเหตุลูกปืนหลังซ้ายแตกกะทันหัน ระหว่างวิ่งอยู่บนทางด่วนโทลล์เวย์ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา จนต้องเปลี่ยนไปนั่งรถโตโยต้า คัมรี่ หมายเลขทะเบียน ญค 1645 ของ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแทน และในระหว่างที่ส่งรถคันดังกล่าวเข้าเช็คที่ศูนย์ ก็ได้เปลี่ยนมาใช้รถโฟล์คตู้สีดำ หมายเลขทะเบียน ช 3429 กรุงเทพมหานคร ก็ได้รับความสนใจและเป็นที่จับตาของคนใกล้ชิด และบรรดาคอหวยด้วยเช่นกัน แม้แต่ทะเบียนรถคัมรี่ของ พล.ต.ต.ธวัช ก็ได้รับความสนใจไปด้วย

เจ้าท่าบุกพ่ายโปลิศส่อตกชั้น


ศึกลูกหนัง “สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก 2012” เลกที่ 2 นัดที่ 32 เมื่อวันที่ 13 ต.ค.มีการฟาดแข้ง 3 คู่ โดยที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน “เสือสามย่าน” บีบีซียู ทีมอันดับ 17 ลงเตะ 30 นัด มี 24 แต้ม ลงสนามพบกับ “กงจักรพิฆาต” อาร์มี่ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 10 ลงเตะ 31 นัด มี 39 คะแนน ซึ่ง บีบีซียู จัดการส่ง สลาฮูดิน อาแว, กิตติศักดิ์ ปิ่นทอง, อดิศักดิ์ กานู ลงเล่นเป็นแกนหลัก ขณะที่ “ทัพบก” ยังคงใช้ ธาตรี สีหา, ณรงค์ จันทร์เสวก, วีรพงษ์ มูลคำแสน นำทัพเหมือนเดิม
  
เริ่มเกม “เสือสามย่าน” ที่ต้องการ 3 แต้ม เพื่อลุ้นหนีการตกชั้น ครองเกมได้ดีกว่า นาทีที่ 5 อดิศักดิ์ กานู หลุดเข้าไปซัด 18 หลา แต่ วัชรพงษ์ กล้าหาญ นายทวารทีมเยือน ปัดบอลออกหลังไปได้ นาทีที่ 35 บียอห์น ลินเดอมันน์ เปิดบอลให้ ธาตรี สีหา วอลเลย์ด้วยขวา 10 หลา ลูกกำลังจะข้ามเส้นประตู แต่ วิราชโรจน์ จันทร์เต็ง แผงหลังเจ้าถิ่นมาสกัดบอลไว้ได้ มาถึงนาทีที่ 40 จูเนียร์ กุยมาโร่ เปิดบอลเข้ากลางประตู วัชรพงษ์ ออกมาปัดลูกพลาด บอลตกมาเข้าทาง คิม ยอง กวาง โขกเข้าไปง่ายๆ ทำให้ บีบีซียู ขึ้นนำ 1-0 แต่นาทีที่ 45 บียอห์น ลินเดอมันน์ ซัดฟรีคิก 25 หลา ลูกพุ่งเสียบเสาเข้าไปตีเสมอให้ “ตรากงจักร” 1-1       
  
เข้าครึ่งหลัง บีบีบียู ครองเกมได้ดีกว่า แต่กลายเป็น “กงจักรพิฆาต” ที่โต้กลับได้น่ากลัว นาทีที่ 55 บียอห์น ลินเดอมันน์ หลุดขึ้นมาส่อง 22 หลา ฌอง มาร์ก บีเยเม่ นายทวารเจ้าบ้าน ล้มตัวเซฟบอลเอาไว้ได้ นาทีที่ 63 ธาตรี สีหา หาจังหวะหลอกยิง 25 หลา ยังโชคดีที่ ฌอง มาร์ก บีเยเม่ ยังไวพุ่งปัดบอลออกนอกกรอบไปได้อีก มาถึงนาทีที่ 83 บียอห์น ลินเดอมันน์ จ่ายบอลให้ ธาตรี สีหา หลุดทะลุเข้าไปยิงโล่งๆ แต่บอลพุ่งเฉี่ยวเสาออกข้างไปหวุดหวิด  ช่วงท้าย “เสือสามย่าน” บุกหนัก แต่ไม่สามารถทำประตูได้ จบเกม บีบีซียู ทำได้แค่เสมอกับ อาร์มี่ ยูไนเต็ด 1-1
  
ที่สนาม ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต “สุภาพบุรุษโล่เงิน” เพื่อนตำรวจ ทีมอันดับ 14 ลงเตะ 31 นัด มี 35 แต้ม เปิดบ้านเล่นเกมหนีการตกชั้นกับ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือไทย ทีมอันดับ 15 ลงเตะ 31 นัด มี 33 คะแนน ปรากฏว่า ทั้ง 2 ทีมเปิดเกมรุกเข้าสู้กัน เพื่อหวังจะเก็บ 3 แต้มให้ได้ ก่อนที่ เพื่อนตำรวจ จะเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 จากการทำประตูของ แดเนียล คอร์เตส นาทีที่ 48 ทำให้ การท่าเรือไทย มีโอกาสตกชั้นสูงทีเดียว    
  
ชัยชนะนัดนี้ทำให้ “โปลิศ” ขึ้นไปอยู่อันดับ 12 ชั่วคราว และทำให้ บีบีซียู ยังไม่ร่วงตกชั้นแบบแน่นอน เนื่องจากหากชนะ 3 เกมสุดท้ายก็จะเก็บเพิ่มเป็น 34  แต้ม แต่ต้องลุ้นให้ การท่าเรือไทย ปราชัย 2 นัด และ ชัยนาท พ่ายแพ้ 3 นัด “เสือสามย่าน” ถึงจะอยู่รอด ซึ่งแทบจะเป็นไม่ได้เลย      
  
ที่สนามชลบุรี “ฉลามชล” ชลบุรี ทีมอันดับ 2 ลงเตะ 29 นัด มี 60 แต้ม เปิดบ้านพบกับ “ฮัลโหล” ทีโอที ทีมอันดับ 6 ลงเตะ 31 นัด มี 42 แต้ม ปรากฏว่า “เดอะชาร์ค” ยังเล่นในบ้านได้ดี เป็นฝ่ายเอาชนะ ทีโอที ไปได้ 2-0 จากการทำประตูของ เทิดศักดิ์ ใจมั่น นาทีที่ 16, นูรูล ศรียานเก็ม นาทีที่ 90


แข้งเทพเชือดภูเก็ต ด.1
 การแข่งขันฟุตบอล “ลีก ดิวิชั่น 1” หรือ “ยามาฮ่า ลักวัน” ฤดูกาล 2012 เมื่อวันที่ 13 ต.ค.มีการฟาดแข้งกัน 4 คู่ ปรากฏว่า “แข้งเทวดา” แบงค็อก ยูไนเต็ด ชนะ “กิเลนทะเลใต้” ภูเก็ต 2-1, “วัวชนแดนใต้” สงขลา ชนะ “พลังเพลิง” ปตท.ระยอง 1-0, “บลูมาริน” ศรีราชา ชนะ “อีแอ่นเจ้าเวหา” พัทลุง  5-1 ทำให้ ศรีราชา ลงเตะ 32 นัด มี 67 คะแนน แซง สุพรรณบุรี ที่มี 66 แต้ม จากการเตะ  31 นัด ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ชั่วคราว และมีสิทธิลุ้นติดเป็น 1 ใน 3 เลื่อนชั้นไปเตะใน “สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก “ ฤดูกาลหน้า , “สวาดแคท” นครราชสีมา ชนะ “กระต่ายป่า” จันทบุรี 5-0
  
สรุปตารางคะแนน อันดับ 1 ราชบุรี แข่ง 31 นัด 72 แต้ม, อันดับ 2 แบงค็อก ยูไนเต็ด 32 นัด 70 แต้ม, อันดับ 3 ศรีราชา 32 นัด 67 แต้ม, อันดับ 4 สุพรรณบุรี 31 นัด 66 แต้ม, อันดับ 5 ปตท.ระยอง 32 นัด 58 แต้ม  

พี่ชายแฉ"เอ๋-พัชรา แวงวรรณ" บ่นทะเลาะเจ้าของบ้านผิวดำก่อนเป็นศพ


วันนี้( 13 ต.ค.) นายผดุงศักดิ์ แวงวรรณ พี่ชายของ เอ๋-พัชรา แวงวรรณ  อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น ที่ผูกคอตายปริศนาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าทั้งครอบครัวไม่เชื่อว่าน้องสาวจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่เคยมีพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้มาก่อน หลังจากตนแจ้งข้อกังขาไปยังสถานกงสุลไทยที่สหรัฐอเมริกาว่า ไม่เชื่อว่าผูกคอตาย ก็ได้รับแจ้งจากกงสุล ว่าขอให้ทำหนังสือใช้สิทธิของความเป็นญาติพี่น้องและญาติ แจ้งความจำนงไปจึงจะดำเนินการให้ได้
“กำลังเตรียมหลักฐานเอกสารเพื่อจะยื่นผ่านเจ้าหน้าที่ผ่านศาลากลาง จังหวัดร้อยเอ็ด ไปยังสถานกงสุลไทย ประสานส่งไปยังกงสุลไทยที่สหรัฐอเมริกา แสดงความจำนงขอรับศพจากตำรวจสหรัฐ เพื่อชันสูตรและผ่าพิสูจน์ศพหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจนต่อไป ก่อนที่จะนำศพน้องสาวกลับมาประเทศไทย ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย เชื่อว่าจะต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง จึงยอมเสียเวลาพิสูจน์ แล้วจึงจะนำศพกลับมาเมืองไทย” พี่ชาย เอ๋-พัชรา กล่าว

นายผดุงศักดิ์ กล่าวต่อว่า น้องสาวมักเล่าประจำว่า ช่วงที่พักอยู่ที่บ้านในที่เกิดเหตุ ได้เช่าบ้านอาศัยอยู่กับครอบครัวชาวอเมริกันผิวดำชายอายุ 80 ปี ที่ภรรยาเสียชีวิตแล้ว และมีลูกชายผิวดำอายุกว่า 40 ปี อาศัยอยู่ด้วย ซึ่งน้องสาวเล่าประจำว่ามีปัญหาและมีปากเสียง เกิดความขัดแย้งกันเป็นประจำ เดือนละหลายครั้ง และมีปากเสียงกับ 2 พ่อลูกอยู่เสมอ  แต่ก็ต้องทนอยู่ เพราะหาที่อยู่ลำบาก และบ่นไม่สบายใจมาโดยตลอด ดังนั้นเพื่อคลายข้อสงสัยในประเด็นนี้ จึงทำเรื่องยื่นไปขอผ่าพิสูจน์ จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่ได้ถูกฆาตกรรมแล้วจัดฉากแขวนคอตายอำพรางคดี คาดว่าใช้เวลา 1 เดือน จะทราบผล

“สุริยะใส”แนะสังคมจับตาประมูล 3G เพื่อชาติหรือเพื่อใคร


วันนี้ (12 ต.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเรื่องการประมูล 3G ในขณะนี้ ว่าเป็นประเด็นที่สังคมต้องจับตาเพราะประชาชนเป็นเจ้าของทรัพยากรคลื่นความ ถี่วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม ตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระอย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)เป็นแค่หน่วยงานกำกับดูแลเท่านั้น ซึ่งการประมูล 3G ที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 ต.ค.นี้ ได้ถูกนักวิชาการ นักกฎหมายหลายท่านแสดงความห่วงใยว่าจะทำให้ประเทศและประชาชนได้ประโยชน์ไม่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย และหลักเกณฑ์การประมูลที่ออกโดย กสทช. ไปเอื้อให้เกิดการฮั้วกันของเอกชน ไม่เกิดการแข่งขันกันจริงๆ จนมีนักวิชาการบางคนไปร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ระงับการประมูลครั้งนี้ไว้ ก่อน และเรื่องอยู่ระหว่างรอคำสั่งศาลว่าจะออกมาอย่างไร

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้คือความพยายามสร้างกระแสสังคมว่าใครตรวจสอบหรือ วิพากษ์วิจารณ์กระบวนการประมูล กลายเป็นพวกจ้องล้มการประมูล ขัดขวางความเจริญ รวมทั้งพยายามอ้างเพื่อนบ้านว่าเขาใช้ 4G กันไปแล้ว มายาคติแบบนี้ทำให้สังคมละเลยที่จะหันมาตรวจสอบอย่างจริงจังว่ากระบวนการ ประมูลครั้งนี้โปร่งใสและเป็นประโยชน์กับสังคมส่วนรวมจริงหรือไม่ และที่น่าเวทนาคือ กสทช.บางคนถึงกลับออกมาขู่ว่าจะฟ้องคดีอาญาและแพ่งกลับนักวิชาการที่ออกมา ตรวจสอบและร้องศาลปกครองนั้น ผมว่าเป็นท่าทีที่ไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์การตรวจสอบ แม้เป็นสิทธิที่ กสทช.จะฟ้องกลับได้แต่ถือว่าไม่เหมาะสม

นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า แม้ตนจะสนับสนุนการประมูล 3G แต่ต้องเป็นการประมูลที่โปร่งใสและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนได้เต็มเม็ด เต็มหน่วยว่านี้ โดยเฉพาะการไปกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลที่ตำเกินไปจากเดิม กสทช.กำหนดไว้ที่ 6,640 ล้านบาท แต่ไปแก้เหลือ 4,500 ล้านบาท หรือการเปิดช่องให้เกิดการฮั้วกันของบริษัทเอกชน 3 ราย ตามข้อสังเกตของทีดีอาร์ไอ. ในเบื้องต้นกลุ่มกรีนหารือกับองค์กรประชาชนหลายองค์กร และนักวิชาการ นักกฎหมายมีความเห็น 2 แนวทางแนวทางแรกจะรอดูคำสั่งศาลปกครองก่อน และอาจมีการยื่นฟ้องเพิ่มเติมเพื่อให้ กสทช.ปรับราคาประมูลตั้งต้นให้สูงขึ้นและป้องกันการฮั้วประมูลด้วย แนวทางที่สอง อาจยื่นกล่าวโทษต่อคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในภายหลัง หากพบว่าการประมูลครั้งนี้ทำให้ประเทศเสียประโยชน์ที่ควรจะได้

“ผมอยากเตือน กสทช.ว่าจะต้องทบทวนประเด็นและข้อสังเกตเหล่านี้ ไม่มีใครคัดค้านหรือจ้องล้มการประมูล 3G ประชาชนก็อยากให้มี 3G ทั้งนั้น ที่มันล่าช้ามาก็เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบทำหน้าที่บกพร่อง รอบนี้ก็เช่นกัน ถ้าต้องสะดุดหรือไม่เป็นไปตามแผน กสทช. ต้องพิจารณาตัวเองมากกว่าจะไปกล่าวโทษคนอื่น ซึ่งสังคมต้องจับตาการประมูลครั้งนี้อย่างใกล้ชิด”นายสุริยะใส กล่าว

นายกฯเยือนคูเวต 15-17 ต.ค. พร้อมประชุม ACD


วันนี้ (12 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างวันที่ 15-17 ต.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ มีกำหนดการเยือนรัฐคูเวตอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ACD นายกรัฐมนตรีจะหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีแห่งรัฐคูเวต เพื่อกระชับความสัมพันธ์ รวมทั้งขยายความร่วมมือด้านการค้า โดยเฉพาะในสาขาด้านอาหาร เกษตร อุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และขยายโอกาสด้านการลงทุน พร้อมเชิญชวนให้คูเวตมาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดทุนไทย รวมทั้งโครงการพัฒนาอาเซียน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง โดยการเดินทางครั้งนี้ได้นำภาคเอกชนไทยจากหลากหลายสาขาร่วมคณะไปด้วย และนายกรัฐมนตรีจะใช้โอกาสนี้กล่าวเปิดงานกิจกรรมส่งเสริมการค้าและการลงทุน ระหว่างไทยและคูเวต เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของคูเวตต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ของไทยด้วย
ทั้งนี้การประชุม ACD เป็นกรอบความร่วมมือที่ไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2545 เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปเอเชีย รวมทั้งเป็นเวทีหารือระดับนโยบาย ปัจจุบันมีสมาชิก 32 ประเทศ รวมทั้งองค์กรกลางระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นต้น โดยในครั้งนี้ถือเป็นการประชุมระดับผู้นำเป็นครั้งแรก มีเจ้าผู้ครองรัฐคูเวตเป็นประธานการประชุม และมีผู้นำจากประเทศสมาชิกระดับประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาลเข้าร่วม7 ประเทศ อาทิ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ดารุสซาลาม สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน ซึ่งนายกรัฐมนตรี จะใช้โอกาสนี้ขอบคุณองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ที่ได้ให้การสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รวมทั้งจะหารือทวิภาคีเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับผู้นำ ประเทศต่างๆ เช่น ศรีลังกา และทาจิกิสถาน

“บิ๊กอ๊อด” ชี้สถานการณ์ใต้ดีขึ้น เตรียมเปิดเกมรุก


วันนี้ (12 ต.ค.) เวลา 10.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังคงมีร้านค้าหลายร้านกลัว ไม่กล้าเปิดร้านขายของวันศุกร์ตามคำขู่ของกลุ่มก่อการร้ายในภาคใต้ว่า ได้มีการรายงานมาแล้วว่าขณะนี้ร้านค้าในพื้นที่ 3 จังหวัด โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาเก็ตเปิดหมดแล้ว ส่วนในตลาด มีร้านค้าที่เป็นของชาวไทยพุทธเปิดหมดแล้ว มีเพียงร้านค้าของชาวไทยมุสลิมที่ยังมีหลายแห่งไม่กล้าเปิด ยังรีรอดูอยู่ว่าจะมีความปลอดภัยแค่ไหน เขายังมีความกลัวอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ดีขึ้นกว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“ดังนั้นโดยสรุปใน 3 จังหวัดมีบางจังหวัดได้เปิดแล้วประมาณ 30 % บางจังหวัดก็เปิดเกิน 30 % ซึ่งก็ถือว่ายังน้อยอยู่สำหรับชาวไทยมุสลิม สำหรับจังหวัดที่ยังเปิดไม่มากคือยะลาและนราธิวาส ส่วนปัตตานีเปิดมากแล้ว โดยเฉพาะที่ เบตง เปิด 100 เปอร์เซ็นต์” รองนายกฯ กล่าว
พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เปิดสายด่วนอุ่นใจ 1890 หากประชาชนมีปัญหา หรือประสบเหตุสามารถแจ้งได้  เมื่อถามว่า ความจริงตัวที่จะชี้วัดว่าจะสามารถต่อสู้กับกลุ่มโจรได้หรือไม่คือการเปิด ร้านของชาวไทยมุสลิมไม่ใช่หรือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ถูกต้อง แต่ขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่เป็นอย่างไร พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มนี้เขาพยายามปล่อยข่าวว่า การให้หยุดวันศุกร์นั้นไม่ใช่เป็นการกระทำของเขา แต่กลับโยนว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ไทยเอง ที่ต้องการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่และประชาชนว่าเรื่องนี้ เป็นการสั่งการมาจากบางรัฐนอกประเทศ ใบปลิวข่มขู่ต่าง ๆ ก็ไม่ได้พิมพ์จาก 3 จังหวัดภาคใต้ แต่มาจากจังหวัดอื่น
อย่างไรก็ตามขณะนี้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่มีความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิด ขึ้นโดยเฉพาะหลังจากมีการแจกเอกสารของจุฬาราชมนตรีเกี่ยวกับหลักศาสนาของเขา ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นกลุ่มนี้จะบิดเบือนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ตอนนี้ชาวบ้านแค่กลัวเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่จะคุ้มครองเขาได้ตลอดหรือไม่ และเขาจะถูกคุกคามด้วยความรุนแรงหรือไม่ ทั้งนี้ในแง่ของจิตวิทยาการเอาชนะด้วยความกลัวจะไม่ยั่งยืน ดังนั้นเราต้องพยายามจะทำให้ชาวบ้านมีความมั่นใจในความปลอดภัย และสุดท้ายเขาก็จะหันมาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มากขึ้น
รองนายกฯ กล่าวด้วยว่าสำหรับเหตุการณ์ลอบยิงที่เกิดขึ้นทุกวันในขณะนี้เป็นเพราะเขา ต้องการพยายามสร้างความกลัว เพื่อควบคุมประชาชน ซึ่งเราประเมินสิ่งที่กลุ่มก่อการร้ายทำความรุนแรงในขณะนี้คือ 1.เพื่อต้องการไล่ชาวพุทธออกจากพื้นที่ 2.เขาจะปกครองชาวมุสลิมด้วยความกลัวในพื้นที่ต่อไป เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะต้องเข้าไปแก้ปัญหานี้ให้ได้ ต้องดูแลทั้งชาวพุทธและมุสลิมให้ทำมาหากินในพื้นที่ได้และมั่นใจในความ ปลอดภัย โดยขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ ส่วนการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่นั้นยังอยู่ในแผนเตรียมการที่จะเพิ่มกำลังเจ้า หน้าที่ให้มากขึ้น โดยต้องการให้มีกำลังตำรวจเพิ่มอีก 5 พันคน กำลังทหารอีก 4 หมื่นคน และอาสาสมัครอีก 2,700 คนซึ่งมีอยู่ในแผนหมดแล้ว งบประมาณก็มีแล้วจะเรียบร้อยภายใน 6 เดือน ซึ่งทั้งหมดจะเน้นในเรื่องของความปลอดภัย
เมื่อถามว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติเมื่อไหร่ ที่ถูกข่มขู่หยุดขายวันศุกร์ รองนายกฯ กล่าวว่า เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่าเดิมซึ่งเราคงต้องใช้เวลาบ้าง “เราจะพยายามทำให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้” อย่างไรก็ตามกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ทางรมว.ต่างประเทศกำลังมีการประสานอยู่โดยเฉพาะเรื่องของคน 2 สัญชาติ ส่วนเรื่องการข่าวก็มีการแลกเปลี่ยนกันตลอด และประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน จะให้ผอ.ข่าวกรองแห่งชาติของเราไปร่วมประชุมกับสำนักงานข่าวกรองของเขา ทั้งนี้ ตนได้โทรคุยกับทางผบ.ทบ.และแม่ทัพภาค 4 แล้วว่า เราต้องมานั่งคิดกันใหม่ว่า เราต้องเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุก ต่อไปต้องทำงานเป็นฝ่ายรุกตลอด ซึ่งจะรุกอย่างไรก็ต้องรอคุยกันก่อน

"เฉลิม" สั่งฝ่ายปกครอง-ตำรวจร่วมมือปราบยาเสพติด


วันที่ (12 ต.ค.) ที่กระทรวงมหาดไทย ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 13.00 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่รับผิดชอบกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการประชุมผ่านระบบวีดิโอทางไกล เพื่อมอบนโยบายและติดตามงานของรองนายกฯ ไปยังผวจ.ทั่วประเทศ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดีทุกกรม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ปปส.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับฟัง

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องทำเป็นเชิงรุกและเด็ดขาด ที่ผ่านมาการปราบปรามทำได้ดี แต่การบำบัดรักษาน้อยเกินไป ต่อไปตนจะประชุมติดตามเรื่องทุก 30 หรือ 45 วัน และต่อไปการประชุมกรรมการป้องและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ขอให้มีตัวแทนกระทรวงมหาดไทยที่เป็นระดับผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมประชุม ด้วยทุกครั้ง เพื่อให้รับทราบถึงสถานะของปัญหา ทั้งนี้ ต่อไปขอให้ฝ่ายปกครองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น คือให้นายอำเภอทำงานใกล้ชิดกับผู้กำกับ ตนหวังว่ากระทรวงมหาดไทยจะเป็นกลไกสำคัญในการปราบปรามยาเสพติด เพราะกระทรวงมหาดไทยกับตำรวจขาดกันไม่ได้ ตนจึงขอมอบนโยบายเพิ่มเติมให้กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงหลักในการแก้ไขปัญหา ยาเสพติดในพื้นที่ เพราะมีความพร้อมในพื้นที่

“เรื่องยาเสพติดฝากบอกผู้ว่าฯจังหวัดเชียงราย ผู้กำกับฯ เชียงรายต้องเข้มแข็งในการทำงานปราบปรามยาเสพติดขอย้ำว่าการทำงานร่วมกันของ ฝ่ายปกครองและตำรวจจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ขอย้ำในปีนี้รัฐบาลยังคงเอาจริงกับการปราบปรามยาเสพติดต่อไป“ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า ฝากไปยังผวจ. ไม่จำเป็นอย่าเปิดสถานบริการมากนัก โดยเฉพาะหน้าสถาบันการศึกษา ขอให้ฝ่ายปกครองทำงานไปด้วยกันกับตำรวจในการป้องกันปราบปราม ถ้าลดแหล่งอบายมุขได้ แม้จะมีอบายมุขมากแค่ไหนก็จะควบคุมได้ ขอให้กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง ช่วยกันและเอาจริงกับเรื่องนี้ ถ้าลดได้ สถานบริการเปิดน้อยจะลดเรื่องยาเสพติดได้ ทั้งนี้ขอให้ผู้ว่าฯ และตำรวจช่วยกันลงพื้นที่ตรวจสถานบริการด้วย 

ผู้ว่าฯกทม.บุกเคลียร์ใจ "ปลอดประสพ" สยบศึกถุงทราย


วันนี้(12 ต.ค.) เวลา 13.30 น. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย(กบอ.)ได้เดินทางมายังตึก สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ(สบอช.) ภายในทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นประธานการประชุม กบอ. จากนั้นเมื่อเวลา 13.45 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เดินทางมายังตึกดังกล่าว แล้วขึ้นมาพบปะพูดคุยกับนายปลอดประสพ ที่ห้องรับรอง ชั้น 3 เพียงสองคน โดยไม่ได้มาร่วมการประชุมกบอ.แต่อย่างใด
ภายหลังการพูดคุยนาน 10 นาที ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า การพบกันวันนี้กับนายปลอดประสพ ได้คุยกัน 2 คน โดยตนขอบคุณที่ให้โอกาสมาพบ ซึ่งคิดว่ามีความเข้าใจตรงกันแล้ว โดยในวันนี้ กทม.ได้ชี้แจงให้กบอ.ทราบถึงเทคนิคการระบายน้ำท่วม นายปลอดประสพก็เข้าใจแล้วว่ากทม.บริหารจัดการน้ำอย่างนี้ และมีความจำเป็น แต่ถ้าถุงทรายในจุดใดที่มีน้ำฝนหมดแล้วไม่จำเป็นต้องใช้อีก ขอให้นำออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกทม.ว่าจะเอาออกไปเมื่อใด ซึ่งก็เข้าใจตรงกัน และยืนยันว่าไม่มีปัญหากับนายปลอดประสพ เพราะรู้จักกันมานาน
ผู้ว่าฯกทม. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนและนายปลอดประสพได้พูดถึงอนาคตว่า รัฐบาลและกทม.น่าจะมาหารือกันว่าจะพัฒนาระบบท่อระบายน้ำของกทม.อย่างไร เพราะในหลายพื้นที่เป็นท่อระบายน้ำที่เก่าแก่ มาตรฐานอาจไม่เหมือนกัน เพราะถูกสร้างมา 3 ทศวรรษแล้ว เราก็จะหารือกันต่อไปในเรื่องนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาวกทม. เมื่อถามว่าปัญหาถุงทรายจบวันนี้แน่นอนแล้วใช่หรือไม่ เพราะตอนที่พบกันก็บอกว่าจบ แต่ข่าวที่ออกมายังมีปัญหากันอยู่ ทำให้ประชาชนสับสน ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ตนได้บอกตั้งแต่ต้นว่าวิธีที่ดีที่สุดคือได้ชี้แจงกันในกรอบของกบอ. ดีใจที่จูนตรงกัน ไม่มีปัญหา เรื่องจะได้ยุติไม่ดีกว่าหรือ
"แนวทางที่กทม.เน้อเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ยืนยันว่ากทม.ไม่ได้ทะเลาะกับรัฐบาล เพราะในที่ประชุมกบอ.ก็มีผู้บริหารระดับสูงของกทม.มาร่วมประชุมทุกครั้ง แต่นี่อาจเป็นครั้งแรกที่หยิบยกวาระของกทม.ขึ้นมา แต่ในการทำงานก็ต้องมีเข้าใจไม่ตรงกันหรือปีนเกลียวกันบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก จึงต้องขอโอกาสมาปรับจูนคลื่นให้ตรงกัน ก็จบ ไม่มีปัญหาใด เราต้องทำเพื่อประชาชน ตอนนี้ยิ่งกว่าจูนติดเสียอีก"ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าว
ต่อข้อถามว่าแสดงว่ากทม.สามารถใช้เทคนิคนี้ต่อไปได้และไม่มีปัญหาใช่หรือ ไม่ ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า เราจะดำเนินการตามที่เคยทำมา ซึ่งหน้าที่ของเราวันนี้คือการชี้แจงให้กบอ.รับทราบ เพราะเวลาที่ผ่านมา อาจเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันแค่นั้น ด้านนายปลอดประสพ กล่าวในที่ประชุม กบอ.ก่อนเข้าสู่วาระพิจารณา ว่า ได้บอกกับทางกทม.ว่าต่อไปนี้ขอให้มาชี้แจงการบริหารพื้นที่กทม.ให้กบอ.ทราบ ด้วยว่าเป็นวิธีทางเทคนิค ยืนยันว่าเราไม่ได้เอาเรื่องมาเล่นการเมือง

"บรรหาร"สั่งลุย กบอ.-ครม. เร่งปล่อยงบป้องกันน้ำท่วม 1.2 แสนล้าน


วันนี้ (12 ต.ค.) เวลา 09.00 น. นายธีระ วงศ์สมุทร รมต.เกษตรและสหกรณ์ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษารมต.เกษตรฯ และนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน เดินทางตรวจเยี่ยมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือและใต้ สำนักงานชลประทานที่ 11 ประตูระบายน้ำพระธรรมราชา และคลอง 13 โดยนายพิสิษฐ์ พิบูลย์ศิริ ผู้อำนวยการโครงการฯกล่าวถึงภาระกิจว่า สภาพพื้นที่รับน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ผ่านคลองระพีพัฒน์แยกตก ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งรังสิต น้ำบางส่วนผลักออกคลองหกวาสายล่างในปีที่ผ่านมาไม่สามารถสูบออกได้ ผลกระทบลงไปสู่คลอรังสิตระยูรศักดิ์ และน้ำระบายเข้าคลองเปรมประชากร อีกคลองแสนแสบ คลองบางขนาก เชื่อมกับคลองพระองค์เจ้าไชยนุชิต จุดสำคัญรับน้ำคลอง 13 ลงไชฟอนพระธรรมราชา และลงคลองรังสิต ลงแม่น้ำนครนายก ที่สถานีสูบน้ำเสาวภาผ่องศรี สำคัญที่สองคลองหกวาสายล่าง คลองสองสายใต้ ลงสู่กรุงเทพฯด้วย ปีนี้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่อีก 16 เครื่อง และถาวรอีก 5 เคร่ื่อง สูบน้ำที่สถานีสมบูรณ์ ลงแม่น้ำนครนายก เป็นสถานีสูบน้ำถาวรและเคลื่อนที่ 9 เครื่อง
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาในเดือน ก.ย.สถานการณ์ทุ่งรังสินใต้ ปริมาณฝนช่วง 6-7 ก.ย.มีฝนจำนวนมาก และ กบอ.ต้องการทดสอบระบบระบายน้ำ ช่วงต้นเดือนมีฝนตกต่อเนื่องตลอดเดือน ทำให้ อ.บางน้ำเปรี้ยวจ.ฉะเชิงเทรา เกิดน้ำท่วม ในการสูบน้ำอกจากคลองรังสิต หกวาสายล่าง ที่ประตูสูบน้ำจุฬาลงกรณ์ เร่งระบายออกเจ้าพระยา เพราะระดับน้ำคลองรังสิตยังสูงกว่าเพราะ มีปริมาณฝนในพื้นที่สูง บริหารร่วมกับพื้นที่เร่งสูบลงแม่น้ำนครนายก จุดสำคัญทำให้กรุงเทพฯได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นสถานีสูบน้ำจุฬาลงกรณ์ มีความสำคัญมากกับการระบายน้ำในทุ่งรังสิตและในพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้ปริมาณน้ำลดลงในเขตฉะเชิงเทราด้วย ขณะนี้พร่องน้ำลงรับฝนปลายเดือนตุลาคมด้วย สภาพปัจจุบันน้ำจากนครนายกไม่มาเติมและลดการระบายน้ำ เพื่อเตรียมไว้เพาะปลูกในหน้าแล้ง

ด้านนายบรรหาร กล่าวว่า ภาพน้ำท่วมปี 54 ในแถบนี้มีมวลน้ำ 7,000 ลบม.ต่อวินาที ไหลมาจากนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ลงคลองระพีพัฒน์แยกตก มาคลองรังสิต มีการเคลื่อนย้ายเครื่องสูบน้ำมาจำนวนมาก เพราะเครื่องสูบน้ำ 3 คิวดึงน้ำลงไปแค่ 1.80 เมตรไม่ถึง 3 เมตร ถ้าน้ำมาเหมือนปี 54 สูบออกได้อีกมากหากเครื่องสูบน้ำได้ถึง 3.80 เมตร ต้องร่วมกันวางแผนถ้าน้ำมาแบบปีกลายจะทำอย่างไรให้รอด เอาปี 54 เป็นบทเรียนต้องพยายามแก้ไข แต่ขณะนี้ยังไม่ได้งบประมาณโครงการปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยทิศใต้ งบ 432 ล้านบาททำให้คันคลองยังขาดอีก 4 ก.ล.ถ้าไม่ทำน้ำมาก็ท่วมนิคมอุตสาหกรรมนวนคร แน่ ถือเป็นจุดเป็นจุดตายของกรุงเทพฯตนถามไป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปแล้วว่าทำไม่เอาเข้า กบอ.เสียที ตนให้นายเลิศวิโรจน์ไปลุยใน กบอ.หากยังไม่พิจารณาในวันอังคาร ที่ 16 ต.ค.ตนจะให้นายธีระไปลุยต่อในครม. ตนไม่ทราบว่าทำไมถึงล่าช้า เป็นโครงการเฉพาะหน้าในงบ 1.2 แสนล้านบาท โครงการประตูระบายน้ำคลองพระพิมล ที่จะไม่ทำให้น้ำท่วม อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี กบอ.ก็ยังไม่ให้งบเช่นกัน และโครงการเสริมคันคลองชัยนาท -ป่าสัก ยังไม่ได้รับงบ เรื่องสำคัญๆทั้งนั้น แต่ กบอ.ไม่สนใจ ตนไม่รู้จะทำอย่างไรหากน้ำมามากก็ท่วมเหมือนปี 54 อีก
ส่วนนายธีระ กล่าวว่า ปัญหาเกิดขึ้นในปีนี้ที่นครนายก มีสถานีสูบน้ำเสาวภาผ่องศรีมีเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม รวมทั้งที่ตลอดคลองรังสิต กำแพงกั้นสูบหมดสูบออกได้เต็มที่ แต่วันนี้ปัญหาคนในพื้นที่ไม่ให้สูบน้ำไปใส่ คลอง 1-12 ยอมหรือไม่ตรงนี้ต้องคุยให้จบ ได้รับงบประมาณ 1.2 แสนล้านทำแค่คลองเปรมประชากร แต่คันคลองช่วงถนนพหลโยธินยังขาดอีก ตรงนี้น้ำก็ท่วมตรงจุดนี้กับประตูน้ำคลองพระพิมลที่ตนมีปัญหาใน ครม.

“เกษตรกร”หารือ“ อ.นิด้า” โครงการจำนำข้าว วอน“รัฐ”ช่วยลดต้นทุนการทำนา


วันนี้ (12 ต.ค.) ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) จัดงาน เสวนา เรื่อง ข้าว : นิด้าพบชาวนา โดยมีตัวแทนเกษตรกรจาก สภาเกษตรกรกรุงเทพมหานคร ประมาณ 40 คนเข้าร่วม โดยนายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศษฐกิจ (นิด้า) กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวที่ถือเป็นการผูกขาดตลาด และจะทำลายอนาคตการส่งออกของข้าวไทย เกษตรกรรายย่อยไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึง จึงควรจำกัดการนำครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน เพื่อกระจายรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อย และข้าวเป็นสินค้าที่ซื้อขายระหว่างประเทศ หากราคาข้าวผันผวนเราก็ได้รับรับผลกระทบ รัฐบาลต้องพยายามรักษาสเถียนรภาพของราคา เช่นการซื้อขายล่วงหน้าหรือการประกันราคา ทั้งนี้การรับจำนำในราคาสูงกว่าราคาตลาดทำให้เกษตรกรไม่มาไถ่ถอนคืน ข้าวก็จึงค้างในโกดังเป็นจำนวนมากจะทำกับคุณภาพของข้าวให้เสื่อมลงและทำให้ ราคาที่จะขายได้ลดลงไปด้วย และการรับจำนำในราคาที่สูงทำให้ต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้ง ปุ๋ยเคมี และราคาค่าเช่าที่นาดังนั้นการยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้นไม่ใช่ตัวชี้วัดว่า ทำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

ขณะที่ นายไพศาล เนาวะวาทอง รองประธานสภาเกษตรกร กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับนโยบายการรับจำนำข้าวเพราะชาวนาได้ประโยชน์จริง แต่รัฐต้องเพิ่มกลไกการตรวจสอบมากกว่านี้ โดยเฉพาะการตรวจวัดความชื้นข้าว ที่ปัจจุบันไม่มีมาตรฐานที่ดี ตนจึงเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงแล็บตรวจในแต่ละโรงสีให้มีมาตรฐานกว่านี้ เพราะเรื่องความชื้นได้ส่งผลต่อราคาข้าว ทำให้ชาวนาไม่ได้รับเงินจำนำตามกรอบที่รัฐบาลวางไว้ในแต่ละพื้นที่

ด้าน นายยงยุทธ เทียนรุ่งเรือง ตัวแทนเกษตรกร เขตคลองสามวา กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เป็นโครงการที่ดีสำหรับเกษตรกรที่ทำให้มีรายได้สูงขึ้น แต่เกษตรกรจะขาดอิสระในการขาย และโรงสีแต่ละแห่งไม่มีมาตราฐานในการตรวจสอบคุณภาพที่เท่าเทียมกัน ทั้งการตรวจวัดสิ่งเจือปนและความชื้น ทั้งนี้มองว่าหากรัฐบาลนำงบประมาณในโครงการจำนำข้าวไปให้ความสำคัญกับการ ช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิต เช่น การให้สิทธิเกษตรกรซื้อปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดเมื่อแสดงบัตรเกษตรกร พร้อมเสนอว่ารัฐบาลควรมีหลักประกันราคาข้าว แบบเดียวกันการประกันภัยหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้ง ที่ส่งผลให้ข้าวเกิดความเสียหาย

นอกจากนี้ตัวแทนเกษตรกรรายอื่นๆยังได้สะท้อนความเห็นถึงโครงการรับจำนำข้าว ว่าเห็นด้วยกับโครงการนี้เพราะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวนาดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนความห่วงใยของนักวิชาการเรื่องคุณภาพสายพันธุ์ข้าวที่อาจต่ำลงจากแรงจูง ใจของราคาการรับจำนำ แล้วหันไปปลูกข้าวที่ไม่มีคุณภาพนั้น ไม่สามาถที่เป็นไปได้ เพราะโรงสีเขาไม่รับซื้อข้าวคุณภาพต่อ ส่วนที่นักวิชาการเห็นว่าควรมีกำจำกัดปริมาณการรับจำนำนั้นข่าว เกษตรกรมีความเห็นที่แตกต่างว่า ข้าวทั้งหมดมีต้นทุนที่เท่ากันหากเข้าโครงการได้นำนวนจำกัดจะต้องนำผลกำไร ข้าวที่เข้าร่วมโครงการไปแบ่งให้กับข้าวที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการด้วย

ทั้งนี้ในตอนท้ายนายอดิศร์ กล่าวว่าจากการพูดคุยในวันนี้ได้รับฟังปัญหาของเกษตรกรและจะนำไปศึกษาเพิ่ม เติม และหลังจากนี้อาจจะจัดให้มีการพูดคุยในสักษณะนี้กับเกษตรกลุ่มอื่นอีก

ปชป.จัดแรลลี่"ตามล่าชายชุดดำ"อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


วันนี้ (12 ต.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดขบวนแรลลี่เดินหน้าผ่าความจริงครั้งที่ 1 ซึ่งมีนายบุญยอด สุขถิ่นไทยส.ส.กรุงเทพฯ และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ โฆษกประจำตัวผู้นำฝ่ายค้าน เป็นแกนนำขึ้นขบวนรถปราศรัยที่มีข้อความข้างรถ “ที่นี่มีชายชุดดำ” โดยได้เดินทางจากที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ไปยังหน้าวัดปทุมวนาราม และเคลื่อนต่อไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของการจัดกิจกรรมดังกล่าว โดยมีนายชื่นชอบ คงอุดม และนางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ส.ส.กรุงเทพฯเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มเติม ทั้งนี้ในแต่ละจุดมีกลุ่มประชาชนชูแผ่นป้ายที่เขียนข้อความยืนยันว่ามีชาย ชุดดำจริง รวมทั้งมีชายแต่งการเป็นชายชุดดำจำลองพร้อมอาวุธซึ่งสวมเสื้อที่มีข้อความ ว่า “ที่นี่มีชายชุดดำ” ด้วย
ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยประมาณ 10 คนปักหลักชูป้ายข้อความโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีข้อความว่า “รถติดทั้งเมือง ทำบ้าอะไร” “คิดอะไรไม่เป็นทำได้แค่นี้”แต่ก็ไม่เกิดความวุ่นวายเนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ ตำรวจจำนวนมากมา ดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ตลอดการเดินทาง
ด้านนายบุญยอด กล่าวว่าการเดินทางครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ามีชายชุดดำ ซึ่งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ระบุในรายงานสรุปว่ามีชายชุดดำถึง 34 จุด อยากเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม “ผ่าความจริงใครบงการมัจจุราชชุดดำรับจ้างฆ่าประเทศไทย” ที่จัดขึ้นในวันที่ 13 ต.ค.นี้ ที่สวนลุมพินี ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป และหลังจากทำกิจกรรมเสร็จขบวนแรลลี่ก็ได้สลายตัวไป
โดยนายแทนคุณ กล่าวปราศรัยว่า การมาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่ามีชายชุดดำปรากฏอยู่จริง และต้องการเรียกร้องให้คืนความยุติธรรมให้ผู้เสียชีวิตทุกศพ และอยากเรียกร้องให้คนทุกสี รวมทั้งคนเสื้อแดง มาร่วมค้นหาความจริงให้ได้ว่าใครคือชายชุดดำ เพราะเราไม่ต้องการให้มีการจับ “แพะ” ไปดำเนินคดี

ผบ.ทบ. ยันมีชายชุดดำใจร้ายหลังแนวม็อบแดงยิงใส่ทหาร


วันนี้ (12 ต.ค.) ที่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) จ.ปราจีนบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จัดแรลลี่ตามรอยชายชุดดำว่า ข้อมูลชายชุดดำเรามีอยู่ เป็นเรื่องของกฎหมายทางกระบวนการยุติธรรมต้องสอบสวนกันไป แต่ชายชุดดำจะมีหรือไม่ตนไม่ทราบ แต่รู้ว่ามีผู้บาดเจ็บสองฝ่าย ทั้งประชาชน ทหาร ตำรวจ โดยอีกฝ่ายบอกว่าทหารยิง ส่วนฝ่ายทหารก็บอกว่าถูกคนแต่งกายที่ไม่รู้ว่าจะสีแดง สีดำ หรือเหลือง ยิงและขว้างระเบิดใส่ ซึ่งก็ต้องพิสูจน์หาให้เจอ

“คำว่าชายชุดดำไม่ใช่ว่าต้องใส่ชุดดำ พอไม่ใส่ชุดดำแล้วบอกว่าไม่ใช่ มัน ก็คงไม่ใช่ จะชุดอะไรก็ได้ แต่วันที่เกิดเรื่อง10 เม.ย.53 นั้นพูดกันว่าชุดดำเพราะแต่งชุดดำ หลังจากนั้นมันก็ไม่ได้แต่งดำ แต่จะถามว่าแล้วมีรูปที่มันยิงหรือไม่ ใครจะไปถ่ายรูปมันได้ ก็ต้องรอรูปจาก สื่อมวลชน ทหารออกไปในตอนนั้นไม่คิดว่าจะมีคนใจร้ายแบบนี้ออกมาเท่านั้นเอง และเมื่อเขาใจร้ายใส่เรา เราก็ยังไม่ได้ตอบโต้ ผมถามว่าลูกน้องที่นอนเจ็บ อยู่ที่โรงพยาบาลว่าเห็นคนยิงเขาหรือไม่ คนที่ท้องทะลุที่เป็นผู้บังคับกองพัน นายสิบ และยังมีพิการอีกหลายคน ซึ่งเขาบอกว่าเขาก็เห็น แต่พวกนั้นอยู่ข้างหลังประชาชน ซึ่งผมก็ไม่ได้โทษว่าเป็นพวกใคร ผมก็ถามว่าทำไมไม่ยิงสู้ ยิงไม่ได้เหรอ เขาก็บอกว่ายิงไม่ได้ เพราะถ้ายิงก็จะโดนประชาชนที่ขวางหน้าอยู่ ผมก็ถามว่าผู้ที่อยู่ข้างหน้าเป็นใคร เขาก็บอกว่าเป็นประชาชนที่มาประท้วง มาเดินขบวนทั้งหมด เขาก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ซึ่งทำร้ายเขาไม่ได้ ผมฟังแล้วผมก็สะอึก นั่นคือลูกน้องผม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่โทษกันและว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง จึงไม่มี ประโยชน์ที่จะพูดว่าชุดดำหรือชุดไม่ดำ ถ้าพูดกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่น่า จะจบ อยากให้ลดกันไปสักข้างหนึ่ง ซึ่งตนก็ลดลงไปข้างหนึ่งแล้ว ต้องเห็นใจตนเพราะลูกน้องบาดเจ็บล้มตาย ลูก เมียเดือดร้อนเขาร้องมาให้กองทัพบกปกป้อง เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของเขา ที่ไปหาว่าเขาไปยิงประชาชน ตนก็ไปสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจ สอบ และใช้กระบวนการยุติธรรมในการชี้แจง หากผิดก็ต้องรับผิด ถ้าไม่ผิดจะให้เขารับผิดมันก็ไม่ใช่ ตอนนี้เราไม่รู้ ก็ต้องไปหาให้เจอว่าพวกไหน ตนไม่ได้โทษว่าเป็นพวกใคร แต่อีกข้างบอกว่าเป็นทหารทั้งนั้น อย่างนี้ถือว่าไม่เป็นธรรม

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources