วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เดินหน้าลุยบุกรุกอุทยานฯ สิรินาถ เตรียมส่ง จนท.ลงพื้นที่ทวงคืน 3,000ไร่ปลายต.ค.นี้


วันนี้ (17 ต.ค.) นายเริงชัย ประยูรเวช รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาการบุกรุกอุทยานแห่งชาติสิรินาถ (หาดในยาง) อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ว่า การแก้ปัญหาการบุกรุกอุทยานฯ สิรินาถนั้น  ในวันที่ 24-25 ต.ค.นี้ ตนจะเชิญหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่กรมอุทยานฯ ได้ตั้งขึ้นมาทั้งหมด  366 ชุดมาทำความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะหลักปฏิบัติทางกฎหมายที่จะเข้าดำเนินคดีกับผู้บุกรุกพื้นที่อุทยานฯ สิรินาถ  เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สู้กันด้วยเอกสารหลักฐานเป็นสำคัญจึงต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปฏิบัติ งานโดยมีกฎหมายเป็นตัวรองรับอำนาจการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จากนั้นจะฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ประมาณ 1 สัปดาห์  ช่วงปลายเดือน ต.ค. เจ้าหน้าที่ชุดแรก 120 ชุดจะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ที่ตัวเองรับผิดชอบได้
นายเริงชัย กล่าวอีกว่า กรณีการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ ทับลาน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมาและ อ.นาดี จ. ปราจีนบุรีนั้น ก็ยังคงดำเนินนโยบายเดิมของนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งขณะนี้คดีที่เตรียมรื้อถอนยังอยู่ในชั้นศาลปกครอง 22 ราย หากศาลพิจารณาไม่คุ้มครอง ก็จะให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ รื้อถอนทันที แต่ถ้ามีขนาดสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่เกินความสามารถรื้อถอนของเจ้าหน้าที่ อุทยานฯ ทับลาน ก็จะส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้าไปรื้อถอนร่วมกัน
ทั้งนี้นายเริงชัย ยังกล่าวถึงกรณีความล่าช้าในการแต่งตั้งอธิบดีกรมอุทยานฯว่า ยอมรับว่าข้าราชการในกรมอุทยานฯ  บางส่วนเริ่มไม่แน่ใจในนโยบายของกรมอุทยานฯ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด  แต่ยืนยันว่าไม่ว่าใครจะเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ก็ตามคงต้องดำเนินนโยบายแบบ เดิม และข้าราชการมีความยินดีและสามารถปฏิบัติงานร่วมกับอธิบดีได้ทุกคน
ด้านนายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าอุทยานฯ สิรินาถ กล่าวว่า ขณะนี้ได้จัดทำแฟ้มข้อมูลรายละเอียดพื้นที่ทั้ง 366 แปลง เนื้อที่กว่า 3,000 ไร่เรียบร้อยแล้ว โดยแบ่งให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ทั้ง 16 แห่งทั่วประเทศของกรมอุทยานฯ   ไปดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ในแต่ละสำนักฯ จับสลากเลือกแปลงบุกรุกที่ต้องรับผิดชอบกันเองแล้ว   ทั้งนี้แต่ละสำนักฯ จะรับผิดชอบพื้นที่โดยเฉลี่ย 17-61 แปลงตามขนาดเนื้อที่  โดยสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ รับไปดำเนินการมากที่สุด 61 แปลง  โดยเป้าหมายหลักจะอยู่บริเวณหาดในทอน หาดไม้ขาว  เชิงทะเล หาดในยาง เป็นต้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดแรก 120 ชุดนั้น จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการเข้าไปตรวจสอบพื้นที่เป้าหมาย หลังจากนั้นชุดที่ 2 และ 3 ก็จะทยอยเข้าพื้นที่ตามลำดับ  จากนั้นแต่ละทีมจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ในการเปรียบเทียบข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศและเอกสารที่ดินที่เกี่ยวข้อง
นายชีวะภาพ กล่าวต่อว่า  คาดว่าภายใน 1 เดือน จะสามารถแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกได้และจะทยอยดำเนินคดีจนกว่าจะครบ ทั้ง 366 แปลง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นทีเกษตรกรรม พื้นที่รกร้างว่างเปล่า และบางส่วนเป็นผืนป่าที่มีสภาพสมบูรณ์แต่ถูกนำไปออกโฉนด  ส่วนที่เหลือเป็นบ้านพักตากอากาศและโรงแรมขนาดกลาง 3-4 แห่งเท่านั้น   ส่วนคดีทั้งหมดจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลได้เมื่อไร ก็ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนเพราะเอกสารที่เกี่ยวข้องมีมาก  ทั้งนี้สำหรับความคืบหน้าการดำเนินการกับโรงแรม รีสอร์ทหรู 14 แห่งมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทนั้น  ได้แจ้งความดำเนินคดีไป 11 แปลงแล้ว ส่วนอีก 3 แปลงอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสาร
ด้านนายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานฯ ทับลาน กล่าวว่า  จากการติดตามความคืบหน้าการรื้อถอนบ้านทะเลหมอกรีสอร์ทในส่วนอาคารที่เหลือ  ซึ่งก่อนเกษียณอายุราชการเมื่อปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมานายดำรงค์เตรียมเข้าไปรื้อถอนให้จบนั้น  แต่เจ้าของรีสอร์ทแจ้งมาว่าจะขอรื้อถอนและเคลื่อนย้ายทรัพย์สินที่เหลือออก ไปเอง อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้พบว่ายังไม่รื้อถอนอาคารในส่วนที่เหลือออกไป ซึ่งตนกำลังเตรียมหารือกรมอุทยานฯ เพื่อให้บังคับคดีให้เจ้าของรีสอร์ทยอมออกไปจากพื้นที่  ทั้งนี้กระบวนการบังคับคดีและเจ้าของรีสอร์ทต้องส่งมอบพื้นที่ให้อุทยานฯ สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ช่วงปี 2550-2551 ซึ่งเจ้าทุกข์คืออุทยานฯ ทับลานก็ได้รับมอบพื้นที่ไว้หมดแล้ว  แต่จนถึงขณะนี้เจ้าของรีสอร์ทก็ยังไม่ยอมออกไปจากพื้นที่ ดังนั้นจึงจะหารือกับทางฝ่ายกฎหมายของกรมอุทยานฯว่าจะต้องรื้อฟื้นการบังคับ คดีขึ้นมาใหม่หรือไม่ และจะต้องดำเนินการอย่างไร.

“ประยุทธ์” ดีใจ “ธาริต” ตั้งค่าหัวล่าชุดดำ


 เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ ( 17 ต.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายธาริต  เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้รางวัลนำจับแก่ผู้แจ้งเบาะแสชายชุดดำที่ก่อเหตุระหว่างการสลายการชุมนุม ของกลุ่มคนเสื้อแดงคดีละ 1 ล้าน บาทว่า ตนพูดในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ว่าอย่าไปพูดกันไปมาว่ามีชายชุดดำหรือไม่ ต้องนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาพูดว่ามีผู้บาดเจ็บและสูญเสียทั้งสองฝ่าย คือเจ้าหน้าที่ และประชาชน แต่ด้วยเหตุอะไรไม่ทราบที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากัน ซึ่งมีเหตุผลอยู่ ทุกคนคงทราบ เมื่อเกิดเหตุบาดเจ็บ สูญเสียทั้งสองฝ่าย ถ้าประชาชนสูญเสียข้างเดียว แน่นอนว่าต้องหมายถึงเจ้าหน้าที่ เพราะถืออาวุธเพียงฝ่ายเดียว แต่ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ขอให้มองในมุมกลับ เมื่อมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตจึงน่าจะมีคนถืออาวุธมากกว่าเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องไปหามา แต่จะสีไหนตนไม่ทราบ จะสีดำหรือสีอะไรไม่แน่ใจ เพราะมีหลายสี ซึ่งเป็นผู้ร้าย              
“ผมรู้สึกดีใจ และถือเป็นสิ่งที่ดีที่ได้ข่าวว่า ตั้งรางวัลนำจับ คิดว่าเจ้าหน้าที่รับได้ ถ้าหาให้เจอว่าใครทำร้ายใคร แต่ถ้าทำร้ายเจ้าหน้าที่อย่างเดียวถือว่าไม่ค่อยเป็นธรรม เพราะเจ้าหน้าที่ก็เหมือนประชาชนที่สูญเสียเหมือนกัน ถามว่า เจ้าหน้าที่ถืออาวุธฝ่ายเดียวใช่หรือไม่ ถ้าเจ้าหน้าที่ถืออาวุธฝ่ายเดียว เจ้าหน้าที่ไม่น่าตาย แต่จะเป็นใครล่ะ ผมไม่รู้ ก็ดีใจที่จะไปหาผู้กระทำผิดมา ต้องไปหาหลักฐาน และต้องทำงานไปด้วยเหตุผล ส่วนใครจะยิงใคร และเป็นพวกไหน ผมไม่รู้ แต่ต้องไปหามาให้เจอ และให้ความเป็นธรรมเขา จะเจตนาหรือไม่ หรือเข้าใจผิด หรือเป็นพวกไหน ไม่มีใครรู้ แต่ผมทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ได้ต้องการยิงใส่ประชาชนตรงๆ  เรา ไม่เคยทำ เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาก็ทำไปตามระเบียบ การยิงคนไม่ใช่ยิงง่ายๆ ต้องไปหากลุ่มคนตรงกลางที่ยิงให้เจอ ซึ่งคนพวกนี้ใจร้ายมาก หวังว่า คงจะหาให้พบ และว่ากันไปตามกระบวนการตามกฎหมาย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว              
เมื่อถามว่า มองว่า การตั้งค่าหัวชายชุดดำเป็นการประชดของดีเอสไอหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอไม่เคยบอกว่า มีชายชุดดำอยู่ในเหตุการณ์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงเป็นมาตรการหนึ่งที่จะทำให้หาคนร้ายได้  ซึ่งถ้ากฎหมายสามารถให้ตั้งรางวัลนำจับได้ก็ทำไป ตนไม่ได้ว่าอะไร.

“ประยุทธ์” สั่งคุมเข้มครบรอบตากใบ


วันนี้ (17 ต.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะครบรอบเหตุการณ์ อ.ตากใบ ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ ว่าในฐานะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ตนรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ทุกวัน และห่วงใยประชาชน เพื่อให้ปลอดภัยเป็นอันดับ 1 เจ้าหน้าที่จะเพิ่มความเข้มงวดให้มากขึ้นไม่ว่าจะครบรอบอะไรก็ตาม เราเตรียมการทุกครั้งโดยเจ้าหน้าที่ พลเรือน ตำรวจ ทหารก็ทำหน้าที่ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ขณะนี้ศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไข ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.)กำลังดำเนินการในรายละเอียด เพื่อปรับปรุงแผนการทำงาน การเพิ่มตำรวจไม่ใช่จะเข้าไปกดดันประชาชน เพื่อให้เกิดความมั่นคงในอนาคตเพื่อรองรับการทดแทนการถอนทหารออกจากพื้นที่ ทั้งนี้การบังคับใช้กฎหมายเรายังใช้แบบไทยๆ ซึ่งใช้กฎหมายไม่กี่ฉบับ เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบ เนื่องจากมีประชาชนที่เดือดร้อนและไม่เดือดร้อน ดังนั้นเราต้องใช้กฎหมายตรงกลางให้พอดี              
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เราแก้ไขปัญหาทุกจุดแล้ว ไม่ว่าการเยียวยา สร้างความเข้าใจ การแสดงความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน กระบวนการตามกฎหมายดำเนินการเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียังไม่ลงนามโครงสร้าง ศปก.กปต.น่าจะติดในข้อกฎหมายบางอย่าง ซึ่งต้องดูทุกแง่ทุกมุม และนายกฯน่าจะให้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่ อย่างไรก็ตามประเด็นสถานการณ์ภาคใต้ที่คล้ายกับต่างประเทศคือเขามีหลายกลุ่ม แต่สาเหตุแห่งปัญหาไม่เหมือนกัน ความรับผิดชอบของกลุ่มปฏิบัติไม่เหมือนกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดียวกันได้ด้วยการพูดคุย แต่คงไม่ใช่การเจรจาเพราะเรายกระดับไม่ได้ และฝ่ายตรงข้ามไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบ                
“คนที่สร้างสถานการณ์ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย หากต้องการจะคุยกับเจ้าหน้าที่ต้องออกมาแสดงตัวว่าเป็นใครในสังคม การข่าวทราบว่ามีหลายกลุ่มแต่เขาไม่ได้อยู่ในประเทศนี้ หลบไปหลบมา ข้ามไปในหลายๆประเทศ แต่สั่งการที่เป็นเสรีโดยก่อเหตุรุนแรงให้มากที่สุด ฆ่าผู้บริสุทธิ์ให้มากขึ้น เพื่อยกระดับ นั่นคือผู้ร้าย อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรทดแทนชีวิตคนได้แม้แต่คนเดียว เจ็บคนเดียว ตายคนเดียวก็ไม่คุ้มค่าเพราะเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.

“สดศรี” น้อมรับรับคำวินิจฉัยศาลฎีกาฯยกคำร้องใบแดง “มนต์ไชย”


วันนี้ (17 ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ  กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง มีคำพิพากษายกคำร้องของกกต. ที่มีมติ  3 ต่อ 2 เสียง ให้ใบแดงกับนายมนต์ไชย  ชาติวัฒนศิริ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 5 พรรคภูมิใจไทย ว่า เมื่อผลออกมาเช่นนี้ กกต.คงต้องยอมรับเพราะถือว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาฯเป็นที่สิ้นสุด โดยกระบวนการสืบสวนสอบสวนของศาลฎีกาฯ อาจแตกต่างไปจาก กกต. โดยเฉพาะเรื่องพยานบุคคลที่เคยมาให้ข้อมูลกับกกต. ก็อาจจะไม่กล้าไปให้ข้อมูลกับศาลฎีกาฯก็ได้  สาเหตุที่คำร้องของ กกต.โดนศาลฎีกาฯพิพากษายกคำร้องอยู่ บ่อยครั้ง อาจจะเกิดจากการที่พยานไม่ให้ความร่วมมือกับ กกต. โดยในบางคำร้องถึงกับระบุว่าสามารถให้ข้อมูลกับทาง กกต.ได้ แต่จะไม่ไปให้ข้อมูลกับศาลฎีกาฯ จึงทำให้น้ำหนักพยานหลักฐานการสืบสวนของกกต.กับศาลฎีกา ออกมาแตกต่างกัน  อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ กกต.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ไปร่วมฟังการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา เพื่อจะได้นำคำพิพากษาของศาลฎีกา มาแจ้งให้กกต.ทราบ และนำคำพิพากษามาพิเคราะห์พิจารณาว่ามีข้อบกพร่องแตกต่างไปจากของกกต.อย่าง ไรต่อไป.

กต.ยันไม่ทิ้ง“วีระ-ราตรี” ยังเดินหน้าหาช่องได้โอนตัวกลับไทย


วันนี้ (17 ต.ค.) ที่กระทรวงการต่างประเทศ  นายภาสกร ศิริยะพันธุ์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กล่าวถึงกรณีที่นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอให้รัฐบาลไทยและสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ประสานทางการกัมพูชาดูแลผู้ถูกคุมขังที่เป็นคนไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำของกัมพูชา ว่า การขอพระราชทานอภัยโทษให้กับนายวีระ และน.ส.ราตรี มีขั้นตอนตามกฎหมายของกัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลของสถานทูตไทยฯได้ไปเยี่ยมนายวีระ และน.ส.ราตรี ทุกสัปดาห์ ขณะเดียวกัน กระทรวงฯได้เล็งเห็นถึงช่องทางต่างๆที่จะให้มีการปล่อยตัวทั้ง 2 คนโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการขอลดหย่อนโทษ และการโอนตัวนักโทษ ซึ่งเราก็พยายามทำทุกทาง แต่ตอนนี้เพียงรอเวลาที่คนทั้งสองจะมีสิทธิได้รับการลดหย่อนโทษ เพื่อนำไปสู่การโอนตัวนักโทษต่อไป และเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษของไทยกับกัมพูชา ถ้านักโทษชาวกัมพูชาครบเวลาที่ถูกจำคุกในไทยครบเวลาตามเงื่อนไขที่ไทยมีกับ ฝ่ายกัมพูชา กัมพูชาก็สามารถขอตัวไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกับนักโทษชาวไทยในกัมพูชา ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวครอบคลุมถึงนักโทษชาวไทยในเรือนจำของกัมพูชาทุก กรณี ไม่ได้จำกัดเฉพาะกรณีของนายวีระ และน.ส.ราตรี เท่านั้น
ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  (กสม.)มีการจัดเสวนาเรื่อง “มุมมองของศาสนิกและผู้มีปฏิสัมพันธ์กับวีระ-ราตรี ต่อแนวทางมนุษยธรรมในการช่วยให้ทั้งสองกลับมาตุภูมิโดยเร็ว” เพื่อวิเคราะห์ถึงสิทธิที่นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 คนไทยที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำประเทศกัมพูชา จะได้รับการดูแลตามหลักมนุษยชนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีผู้นับถือศาสนาต่างๆ เข้าร่วมประชุม ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม

โดยน.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดเสวนาว่า กรรมการสิทธิฯ ได้ติดต่อไปยังสถานทูตไทยประจำประเทศกัมพูชา เพื่อให้ประสานทางการกัมพูชาดูแลผู้ถูกคุมขังที่เป็นคนไทยเป็นอย่างดี ประสานและเตรียมทำจดหมายถึง นายกรัฐมนตรี แสดงภาพลักษณ์ ของนายวีระ และได้สะท้อนให้ทางกัมพูชาเห็นว่าทั้ง 2 ไม่ใช่สายลับแต่เป็นนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และไม่ควรถูกกล่าวหาด้วยข้อหาด้วยข้อหาที่ไม่เป็นจริง ทั้งนี้มองว่าปัญหานี้เป็นปัญหาทางการเมืองจึงต้องใช้การเมืองแก้ แต่ต้องไม่ทำให้จุดยืนของนายวีระ เสียไป

ด้านพระอธิการดุษฎี เมธังกุโร เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ จ.ชุมพร กล่าวว่า จากที่ได้ไปเยี่ยมนายวีระ เห็นได้ชัดว่ามีสุขภาพที่ดี แต่สิ่งที่ต้องการเรียกร้องสิทธิให้กับนายวีระ คือสิทธิของการอ่านและเขียน เพราะถือเป็นสิทธิที่สมควรได้รับ และนายวีระถือเป็นนักต่อสู้ที่มีประสบการณ์ หากไม่ได้รับการบันทึกความคิดเอาไว้ ประสบการณ์ที่ดีอาจสูญหายได้

ผู้สื่อข่าวรายงานผู้ร่วมเวทีเสวนาได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในการช่วยทั้ง 2 คนกลับมายังประเทศไทย โดยเห็นว่าใช้วิธีด้านสิทธิมนุษยชนในการดำเนินการ ไม่ใช้วิธีทางกฎหมายที่จะยกประเด็นเรื่องของเขตแดนมาพิจารณาเพราะจะทำให้การ ช่วยเหลือล่าช้า และผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการปล่อยตัวทั้ง 2 ขึ้นอยู่กับผู้นำของเขา รวมถึงต้องสร้างกระแสพูด นายวีระ และ น.ส.ราตรี อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทางการกัมพูชาเกรงใจที่จะดำเนินการใดใดกับทั้ง 2 รวมถึงกำหนดขั้นตอนและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ในช่วงท้ายการเสวนา  น.พ.นิรันดร์ ได้กล่าวสรุปว่า กรรมการสิทธิฯ จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 ไม่ใช่สายลับ และ นายวีระ เป็นนักต่อสู้ภายเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยจะรวบรวมทัศนะจากผู้ที่เคยทำงานกับนายวีระ ทำเป็นหนังสือขึ้นมา 1 เล่ม เพื่อแสดงตัวตนของนายวีระ ออกให้ให้สังคมได้รับรู้ตรงกัน.

วันประท้วงการศึกษาโลกจี้รัฐเรียนฟรีค้านออกนอกระบบ


วันนี้ (18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ด้านหน้าอาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน มีกลุ่มตัวแทนนักศึกษาจากหลายสถาบันราว 30 คน  มาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการศึกษาอย่างเป็นธรรม และเท่าเทียม รวมทั้งคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยนักศึกษาที่มาชุมนุมได้ใส่หน้ากากและถือป้ายข้อความ  อาทิ ปลดปล่อยเสรีภาพทางวิชาการ  เราต้องการรัฐสวัสดิการ การศึกษาไม่ใช่สินค้า ใบปริญญาไม่ใช่การซื้อขาย มหาวิทยาลัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม นอกจากนี้ยังปราศัยพร้อมอ่านแถลงการณ์  “ประเทศนี้ต้องเป็นรัฐสวัสดิการ การศึกษาต้องฟรี” ก่อนยื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร
นายธิวัชร์ ดำแก้ว เลขาธิการศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันประท้วงการศึกษาโลก “GLOBAL EDUCATION STRIKE “ นักศึกษาทั่วโลกได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้รัฐแต่ละประเทศจัดการศึกษาอย่าง เป็นธรรม ในประเทศไทยกลุ่มนักศึกษาได้จัดการเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องรัฐบาล ที่ผ่านมารัฐบาลทุกชุดไม่ได้ผลักดันการศึกษาให้เป็นไปในลักษณะ สวัสดิการรัฐ แต่กลับผลักดันให้มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบ ส่งผลกระทบให้ค่าเล่าเรียน หรือค่าหน่วยกิตแพงขึ้น โดยขณะนี้มีร่างพ.ร.บ.ที่จะผลักดันให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบอีก 2 ฉบับ จึงขอเรียกร้องให้ยับยั้งร่างดังกล่าว และสนับสนุนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นรัฐสวัสดิการ การศึกษาจะต้องเรียนฟรี และรัฐต้องจัดการศึกษาเป็นบริการสาธารณแก่ประชาชนทั่วไปอย่างเท่าเทียม.

พท.ร้องดีเอสไอสอบ"ดุษฎี-มงคลกิตติ์"ปล่อยข่าวไซฟ่อนเงิน


วันนี้ ( 18 ต.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายพร้อมพงศ์  นพฤทธิ์  โฆษกพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือถึงนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ  ขอให้ตรวจสอบกรณีนายมงคลกิตติ์  สุขสินธารานนท์  เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งชาติ(ภตช.) ออกมาระบุว่าพบการไซฟ่อนเงินที่ฮ่องกง 1.6 หมื่นล้านบาท  พร้อมอ้างมีข้าราชการและนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจนถูกนำมาขยายผลทางการ เมือง  ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานใด ๆยืนยันข้อเท็จจริง
ดังนั้นเชื่อว่าน่าจะเป็นการกุข่าวเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ประเทศ   เนื่องจากก่อนหน้านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.)ที่มีหน้าที่ตรวจ สอบเส้นทางการเงินและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) ต่างยืนยันว่าไม่มีเรื่องดังกล่าว  จึงต้องการให้ดีเอสไอตรวจสอบว่ามีการไซฟ่อนเงินจริงหรือไม่  หากไม่มีมูลก็จะขอให้ดีเอสไอตรวจสอบพฤติกรรมของนายมงคลกิตติ์  นายองอาจ  คล้ามไพบูลย์  ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์   และ    พ.ต.อ.ดุษฎี  อารยวุฒิ  รองปลัดกระทรวงยุติธรรม  เนื่องจากตั้งข้อสังเกตว่าอาจอยู่เบื้องหลังการสร้างข่าวดังกล่าวที่ส่งผล กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ รวมถึงกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและฮ่องกงด้วย
นายธาริต  กล่าวว่า  ดีเอสไอจะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา และเห็นควรให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวอย่างกว้างขวาง  แต่ทราบว่าทางปปง.ของฮ่องกงก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เบื้องต้นจึงเห็นว่าคำร้องมีมูลดังนั้นต้องเชิญนายมงคลกิตติ์  และพ.ต.อ.ดุษฎี  ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการปล่อยข่าวมาให้ข้อมูล เพื่อสอบถามว่ามีหลักฐานหรือมีหน้าที่อย่างไรในการออกมาพูดถึงเรื่องดัง กล่าว หากพบมีความผิดจะดำเนินการขั้นต่อไป เพราะถือว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ  โดยจะมอบหมายให้สำนักคดีความมั่นคงเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ
ส่วนที่รัฐสภา พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตผู้ช่วยหัวหน้าทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวยอมรับว่าตนเป็นผู้ก่อตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.)เมื่อวันที่ 22 เม.ย.54 แต่ได้ลาออกจากการเป็นประธาน ภตช.ตั้งแต่วันที่8 ส.ค.55 โดยมีหลักฐานปรากฏชัดเจนอยู่ในเว็บไซต์ของ ภตช.http://www.anti-corruptionnetwork.com ที่ระบุว่าแจ้งข่าวการลาออกของพล.อ.กิตติศักดิ์ ประธาน ภตช. เมื่อประธานลาออก คณะกรรมการทั้งคณะ ก็ต้องหมดหน้าที่ตามวาระไปด้วย ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.55 ดังนั้นกรณีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ รักษาการเลขาธิการฯ ไปดำเนินการในเรื่องการให้ข้อมูลการไซฟ้อนเงิน  1.6 หมื่นล้าน ที่ฮ่องกง เมื่อวันที่5-7 ก.ย.55 จึงเป็นเรื่องของนายมงคลกิตติ์ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอดีตคณะกรรมการฯที่หมดวาระไปแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ขอให้ไปถามกับนายธีรพัฒน์ คำคูบอน รักษาการประธาน ภตช.
“นายธีรพัฒน์ รักษาการประธาน ภตช.  ปัจจุบันเป็นประธาน นปช.แปดริ้ว เคยทำงานสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2544 เรื่องนี้ก็อยากให้นายก่อแก้ว ไปตรวจสอบดูจะดีกว่า ไม่ใช่มาให้ข่าวจริงบ้างไม่จริงบ้าง ข้อมูลสับสนไปหมด”พล.อ.กิตติศักดิ์ กล่าว
พล.อ.กิตติศักดิ์ ยังได้โต้ตอบนายก่อแก้วที่ระบุถึงสาเหตุการถอนตัวไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซ่อม ส.ส.กทม.ในนามพรรคการเมืองใหม่เพราะนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากให้ลงมาตัดคะแนนกับพรรคประชาธิปัตย์ นั้น  ตรงนี้ก็ไม่เป็นความจริง นายชวน ไม่เคยมาพูดกับตน แต่เป็นเพราะนายคำนูณ สิทธิสมานและนายปานเทพ  พัวพงษ์พันธ์  แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง 2 คนมาออกมาให้ข่าวต่อว่าตน ทำให้ตนตัดสินใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง  อย่างไรก็ตามตนพร้อมให้ตรวจสอบและพิสูจน์ในทุกๆเรื่อง.

“เฉลิม” เชียร์ดีเอสไอตั้งนำจับชายชุดดำหัวละล้าน


วันนี้ (18 ต.ค.) ที่รัฐสภา  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตั้งรางวัลนำจับชายชุดดำ ว่าถือเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนที่สนใจและหากรู้เบาะแสจะได้แจ้งข้อมูลไปยัง เจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการจับกุมซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อถามว่า การตั้งค่าหัวแบบนี้แสดงว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมได้เอง หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่บางครั้งต้องรับฟังข้อมูลจากประชาชนและหากได้รับให้ ความร่วมมือจากประชาชนก็ทำให้การทำงานง่ายขึ้น
เมื่อถามว่า แรงจูงใจดังกล่าวจะทำให้สามารถจับชายชุดดำได้เร็วขึ้นหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ชายชุดดำมีจริงหรือไม่ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ แต่ถึงแม้จะมีชายชุดดำอยู่จริงก็ไม่ใช่เหตุผลว่าต้องมีคนตายถึง 98 ศพ มันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็น และการที่ระบุว่ามีชายชุดดำอยู่ในที่ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อ ต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)เป็นความเห็นของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ได้แต่กรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง แนวร่วม นปช. เป็นดุลพินิจของศาล ที่ระบุว่าตายโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฎิบัติตามคำสั่งของ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ตรงนี้จะต้องมีคนติดคุก ส่วนเรื่องชายชุดดำจะมีจริงหรือไม่นั้นก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ
ส่วนที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตกรรมาธิการ (กมธ.)พิจาณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 กล่าวกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตั้งรางวัลเงินนำจับชายชุดดำ 1 ล้านบาท ว่า ตรงนี้ต้องขอขอบคุณนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ได้ตั้งรางวัลนำจับตามข้อเสนอของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในระหว่างการเข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.งบประมาณปี56 แต่ในวันนั้นนายนายธาริตได้บอกต่อกมธ.ว่าจะตั้งวงเงินรางวัลนำจับอยู่ที่ 10 ล้านบาท  ไม่ใช่ 1 ล้านบาท จึงอยากถามว่าเหตุใดวงเงินถึงได้ลดลงมามากขนาดนี้ แล้วจะคุ้มค่ากับการเสี่ยงชีวิตหรือไม่

“กมธ.”สรุปขุนค้อนทัวร์ยุโรปถกจริยธรรม25 ต.ค.


วันนี้ (18 ต.ค.) ที่รัฐสภา นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการสภาผู้แทนราษฎร  แถลงหลังการประชุมว่าที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นการเดินทางไปศึกษาดูงานของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะสื่อมวลชนที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 20-28ก.ย.55 โดย น.ส. ศิรวศา ทศถมทรัพย์  ผอ.สำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ทำเอกสารชี้แจงกมธ.ถึงรายละเอียดค่าใช้จ่ายการศึกษาดูงานของนายสมศักดิ์ พร้อมคณะ โดยค่าใช้จ่ายของนายสมศักดิ์และคณะรวม 9 คน  ไม่รวมค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน เป็นเงิน 3.4 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายคณะที่เหลืออีก 13 คน ส่วนใหญ่เป็นสื่อมวลชน และดำเนินการผ่านบริษัททัวร์ รวมตั๋วโดยสารเครื่องบิน มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 1.3 ล้านบาท เมื่อรวมวงเงินใช้จ่ายทั้งคณะ เป็นเงิน 4.8 ล้านบาท
นายบุญยอด กล่าวว่า นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงต่อกมธ. ว่า ปัญหาของเรื่องนี้อยู่เวลากระชั้นชิดในการจัดโครงการเดินทางดูงานเพียง 2 เดือน ทำให้ไม่ฉุกคิดอย่างรอบคอบ น่าจะหารือกับสื่อมวลชน ในส่วนของการเดินทางร่วมคณะให้เหมาะสมและหลากหลายกว่านี้ อย่างไรก็ตามกรณีตั๋วชมฟุตบอลไม่สามารถเบิกจากงบประมาณดูงานในส่วนสำนัก ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ การประชุมกมธ.วันที่ 25 ต.ค.นี้ จะเชิญนายสมพล วณิคพันธุ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาชี้แจงอีกครั้งก่อนสรุปว่า กมธ.จะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรต่อไปหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับรายจ่ายของคณะเดินทาง ตามเอกสารที่เจ้าหน้าที่มอบให้ กมธ. พบรายละเอียด ว่า นายสมศักดิ์ ในฐานะหัวหน้าคณะ  มีค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 2,892,320 บาท  ได้ตั้งเบิกเป็นส่วนกลาง เช่น ค่าของขวัญ ค่ายานพาหนะภายในของต่างประเทศ 2.น.ส.ภูวนิดา  มีค่าใช้จ่าย 69,420 บาท3.นายสมพล  116,220บาท 4.นายธัชชญาณัช   65,500 บาท5.นายวสันต์ อุดมผลวณิช ที่ปรึกษาประธานสภาฯ  58,900 บาท6.น.ส. ศิรวศา เทศถมทรัพย์  69,420 บาท 7.นางปิยรัตน์ คชสังข์สีห์ นักวิเทศสัมพันธ์ชำนาญการ กลุ่มพิธีการทูต  49,668 บาท 8.น.ส.ปิลันธนา  ทองสัมฤทธิ์สีห์ นักวิเทศสัมพันธ์ชำนาญการ กลุ่มพิธีการทูต  66,654 บาท 9.น.ส.ปรียชนัน โรจนปุณยกุล  กองร้อยทหารสารวัตรหญิง กองพันทหารสารวัตรที่ 11 มณฑลทหารบกที่ 11 กองทัพบก ช่วยราชการสำนักงานเลขาธิการสภาฯ  49,168 บาท
นอกจากนี้ยังปรากฎว่า นายศักดา แซ่เอียว ตัวแทนไทยรัฐ นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข  ตัวแทนจากประชาไท นายสมบูรณ์ อิชยาวรกุล ตัวแทนโลกวันนี้ นายสมยศ กัลป์วิชา ตัวแทนช่อง 5 นายชายันต์ อร่ามศรี  ตัวแทนสำนักข่าวไทย  นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการ นางศิริพร วงศ์สวัสดิ์ ตัวแทนจากแม็กซิม่า เทเลวิชั่น นายวินทร์ วงศ์สวัสดิ์ ตัวแทนแม็กซิม่า เทเลวิชั่น มีค่าใช้จ่ายต่อคน รวม 106,354 บาท  นายพิสิฐ กิรติการกุล ตัวแทนช่อง 7 มีค่าใช้จ่าย 97,692 บาท, นายวิโรจน์ อาลี นักวิชาการ มีค่าใช้จ่าย 97,692 บาท  นายโอฬาร เชื้อบาง ตัวแทนจากสยามกีฬา นายคมกริช สินพูนภักดิ์ ตัวแทนจากวอยซ์ทีวี คนละ 110,044 บาท
สำหรับในเอกสารของเจ้าหน้าที่ปรากฎรายชื่อผู้งดเดินทาง รวม 13 คน ได้แก่ นายสุชาติ ศรีสุวรรณ ตัวแทนจากมติชนรายวัน 2.นายน้ำเพชร เชื้อชม ตัวแทนจากวอยซ์ทีวี 3.นายสมบูรณ์ อิชยาวรกุล ตัวแทนจากโลกวันนี้ 4.นายคชาชาญ มงคลเจริญ ตัวแทนจากช่อง 3  5.นายสุวิทย์ มิ่งมล ตัวแทนจากช่อง 9  6.นายนภพัฒน์จักษ์ อัตตานนท์ ตัวแทนจากเดอะเนชั่น  7.น.ส.กฤติยา สินธุวราวัน ตัวแทนสำนักข่าวไทย 8.นายอนุสรณ์ จิตต์ชื่นโชต์ ตัวแทนไทยรัฐ, 9.นายจักรพันธ์ ยมจินดา ตัวแทนอสมท 10.น.ส.ศิริภาส ยมจินดา ตัวแทนแม็กซิม่า เทเลวิชั่น, 11.นายชาคริต อ่อนน้อม ตัวแทนวอยซ์ทีวี 12.นายชัยธัช รัตนจันทร์ ตัวแทนวอยซ์ทีวี และ13. น.ส.นฤมล เขียนนุกุล ตัวแทนจาก อสมท.

แฉนักการเมือง-ขรก.เอี่ยวนำเข้ารถเลี่ยงภาษี


                  วันนี้  ( 16 ต.ค. ) ที่รัฐสภา    พ.ต.อ.ดุษฎี  อารยะวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม อดีต เลขาป.ป.ท.  กล่าวภายหลังเข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบทุจริตทางคมนาคม  วุฒิสภา  ถึงกรณีการทุจริตภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ  ว่า  การตรวจสอบพบว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องในขบวนการ 3 – 4 ราย  และเป็นรายเดิมที่ดำเนินการด้วยพฤติกรรมเดิม ๆ มาตั้งแต่ปี 2551  แล้ว โดยนำเข้ารถยนต์ประมาณปีละ 1 หมื่นคัน  เฉลี่ยเลี่ยงภาษีคันละ 1 ล้านบาทขึ้นไป มีการหลบเลี่ยงภาษีรวมแล้วไม่ต่ำกว่า  6 หมื่นล้านบาท
                 พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า  แม้ข้อมูลที่ตรวจพบยังไม่อาจโยงไปถึงข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองระดับ ชาติ  แต่เมื่อเป็นกลุ่มผู้นำเข้าหน้าเดิม และ ยังทำธุรกิจแบบเดิม ๆ มาได้โดยตลอด  ถ้าไม่โยงกับข้าราชการระดับสูง  ก็ต้องโยงกับนักการเมืองถึงจะอยู่ได้  ไม่อย่างนั้นทำไมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้ง 108 คน ถึงยังอยู่ตำแหน่งเดิมตลอดไม่ยอมไปไหน  มันจึงเป็นเหตุให้ ป.ป.ช. รับเรื่องไปดำเนินการ ซึ่งตนจะรอ ป.ป.ช. แต่งตั้งเป็นอนุกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้เพื่อเดินหน้าต่อ และอีกทางหนึ่งในฐานะอนุกรรมาธิการคมนาคมของวุฒิสภา  ก็จะเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ ชุดใหญ่  ซึ่งมีอำนาจเรียกหน่วยงานให้ส่งเอกสารมาตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย  แต่จะยังไม่ขอเปิดเผยหน่วยงานที่จะถูกเรียกตรวจสอบ  เพื่อไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดการไหวตัว
                 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ยังกล่าวด้วยว่า  ได้ชี้แจงกับอนุกรรมาธิการถึงวิธีการตรวจสอบการนำเข้ารถยนต์โดยเลี่ยงภาษี ไว้ 3 แนวทาง  คือ 1. ให้นำหลักฐานการขอคือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ประเทศอังกฤษ เพราะส่วนใหญ่สั่งมาจากประเทศอังกฤษ หรือจากประเทศที่ส่งออกรถยนต์  ก็จะตรวจสอบราคาจริงของการซื้อขายได้  เพราะศุลกากรจะต้องประเมินภาษีจากราคาจริง  2.  ให้ตรวจสอบราคาไขว้กันระหว่างตัวแทนบริษัทรถยนต์กับเกณฑ์ราคาตลาด  ฝ่ายไหนเสนอราคามาให้รับไว้ก่อน หากตรวจสอบย้อนหลังก็ยังสามารถกลับไปเรียกคืนภาษีได้  และ 3. ตรวจสอบสถานะการเงินของบริษัทผู้นำเข้า  เพราะบางทีก็พบว่ามีการจดทะเบียนบริษัทหลอก

ม็อบพยาบาลทวงสัญญารัฐบาล


วันนี้ (16 ต.ค.)  เมื่อเวลา 8.30น. เครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราว กระทรวงสาธารณสุข จากทั่วประเทศ นำโดยนายสราวุธ ที่ดี ประธานเครือข่ายฯ ประมาณ 500 คน มาชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ฝั่งเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ถนนพิษณุโลก เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากรัฐบาล ในเรื่องการบรรจุแต่งตั้งพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งลูกจ้างชั่ว คราวในโรงพยาบาลของรัฐบาล ให้เป็นข้าราชการ เนื่องจากตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวมีสวัสดิการและความมั่นคงไม่เท่าข้าราชการ แต่รัฐบาลกลับไม่เปิดกรอบบรรจุเพิ่ม จึงเกิดการขาดแคลนพยาบาลในระบบบริการสุขภาพ ซึ่งโดยสถิติแล้ว ในปีแรกจะมีพยาบาลจบใหม่มาทำงานในโรงพยาบาลของรัฐบาล และพบว่าพยาบาลลาออกไป 50% ปีที่ 2 ลาออกไปอีก 25% และปีที่ 3 จะเหลือพยาบาลวิชาชีพในระบบเพียง 25 % เท่านั้น เหมือนกับรัฐบาลจงใจผลิตพยาบาลที่มีประสบการณ์ให้เข้าทำงานในระบบบริการ สุขภาพของโรงพยาบาลเอกชนมากกว่า

ทั้งนี้ นายสราวุธ กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯเคยชุมนุมเรียกร้องต่อรัฐบาลมาแล้วเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งรมว.สาธารณสุข (สธ.) ได้รับปากว่า สธ.จะรับบรรจุให้หลังสิ้นปีงบประมาณ แต่เมื่อถึงเวลา เรื่องดังกล่าวก็ยังคงเงียบหาย ดังนั้น พวกตนได้ไปสอบถามที่สธ.เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้รับคำตอบว่าสธ.ขอเวลาเลื่อนไปอีก 3 เดือน เนื่องจากต้องจัดทำข้อมูลเพื่อใช้พิจารณาบรรจุเป็นข้าราชการต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เป็นช่วงมีการเปลี่ยนตัวบุคลากรที่เป็นผู้บริหารของกระทรวงฯ จึงเกรงว่าการดำเนินการเรื่องนี้จะหายไป และการมาชุมนุมเรียกร้องในวันนี้ก็เพื่อขอความเห็นใจและความเป็นธรรม

“เราไม่ได้เอาชีวิตคนไข้เป็นตัวประกัน เพียงแต่อยากให้สังคมรับรู้ถึงสิ่งที่เราเรียกร้องว่าความจริงที่เกิดขึ้นจะ ส่งผลต่อระบบบริการสุขภาพของคนไทยอย่างไร”

จากนั้น เมื่อเวลา 10.20 น. นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี น.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายชนะชาติ พลพงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ได้ร่วมหารือกับตัวแทนกลุ่มเครือข่ายฯ ซึ่งบรรดากลุ่มพยาบาลได้ชี้แจงถึงเหตุผลจำเป็นที่ต้องการบรรจุให้เป็นข้า ราชการ ทั้งเรื่องของบุคคลากรในโรงพยาบาลของรัฐที่ยังขาดแคลน และกรณีที่พยาบาลทำงานใช้ทุนรัฐบาลหมดแล้วลาออกเพื่อไปทำงานในโรงพยาบาล เอกชนจำนวนมาก รวมถึงเรื่องของสวัสดิการต่างๆ

ด้าน นพ.ณรงค์ กล่าวว่า  ทางกระทรวงฯได้รับข้อมูลเรื่องนี้ และนำมาวิเคราะห์ รวมถึงตน นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการ ก.พ. และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้หารือกันถึงเรื่องดังกล่าว ภายหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้เร่งแก้ปัญหานี้ ซึ่งจะมีการออกมาตรการระยะสั้น คือจะมีการบรรจุให้เป็นข้าราชการในจุดที่วิกฤติในเรื่องของบุคคลากรก่อน ซึ่งจะมีคำตอบในเดือน พ.ย.นี้  จากนั้นในเดือน ธ.ค.จะมีการออกแผนปฏิบัติการที่จะพิจารณาเรื่องของอัตรากำลังข้าราชการ สวัสดิการและค่าตอบแทน ซึ่งซึ่งทาง สธ.กับ ก.พ.มีการหารืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะพยายามให้เกิดผลภายในปีนี้  ยืนยันว่าเรื่องของสวัสดิการและค่าตอบแทนเป็นหัวใจสำคัญซึ่งทุกคนจะได้รับ อย่างเป็นธรรมเช่นเดีจยวกับวิชาชีพอื่นๆ ตนในฐานะที่เป็นปลัดกระทรวงฯ ยืนยันพร้อมทำงานและแก้ปัญหาในเรื่องนี้จะดูแลทุกๆคน ขอเป็นแนวหน้าทำงาน ตนมีศักดิ์ศรีพอที่จะออกมารับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่สวก็จะเปิดโอกาสให้ตัวแทนของกลุ่ม พยาบาลเข้ามาร่วมหารือพิจารณาด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการหารือเสร็จทั้งหมดก็ได้นำผลไปแจ้งต่อกลุ่มผู้ ชุมนุม แต่ก็ยังมีพยาบาลบางส่วนตะโกนสอบถามถึงความชัดเจนว่าจะมีการบรรจุให้เป้นข้า ราชการจริงหรือไม่ เพราะเคยเดินทางมาเรียกร้องและมีการรับปากแล้ว แต่เรื่องกลับเงียบหายไป ซึ่งทางปลัด สธ.ยืนยันว่าจะเร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว  ขณะที่ มีพยาบาลบางส่วนได้สอบถามถึงเงินเดือน 15,000 บาท ที่รัฐบาลมีนโยบายให้กับผู้ที่ขบปริญญาตรี แต่พยาบาลที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวยังไม่ได้รับ ทำให้ปลัด สธ.ยิ้มด้วยสีหน้าไม่สู้ดีและรับปากว่าจะนำไปแก้ปัญหาให้พร้อมๆกับเรื่อง อื่นๆ  ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนไม่พอใจและตะโกนวิพากวิจารณ์ถึงนโยบายรัฐบาล ซึ่ง น.พ.ประสิทธิ์ ก็พยายามชี้แจงโดยอ้างเหตุผลว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของโรงพยาบาล บางแห่งก็มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงนำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้ เพื่อจะได้มีเงินมาบำรุงในส่วนของโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม หลังการเจรจา แกนนำได้ประกาศให้มีชุมนุมและมีการเคลื่อนขบวนไปยังรัฐสภาเพื่อขอความเป็น ธรรมและเห็นใจจากทุกๆ ฝ่าย.

"ปู"ย้ำไทยพร้อมมีบทบาทนำในเอเชีย


วันนี้ ( 16 ต.ค. )  ที่พระราชวังบายัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำ ACD โดยมี H.H. Sheikh Sabah Al-Ahmed Al-Jaber Al-Sabah เจ้าผู้ครองรัฐคูเวตรอให้การต้อนรับ และเป็นประธานในพิธีเปิดร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิก ACD กว่า 32 ประเทศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นประเทศผู้ประสานงาน ได้กล่าวว่า ปัจจุบันโลกต้องเผชิญช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย วิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปและปัญหาความยุ่งยากต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้คาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะโตที่ 3.3 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าการค้าโลกจะลดต่ำลงจาก 5.8 เมื่อปีที่แล้วเหลือเพียง 3.2 ในปีนี้  ซึ่งไม่ช้าหรือเร็ว ประเทศในเอเชียย่อมได้รับผลกระทบด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การประชุม ACD ในวันนี้ จึงมีความสำคัญ และทันต่อเวลา เพราะเป็นการส่งข้อความว่าเอเชียได้ยืนยัน ที่จะขยายความร่วมมือและการค้าการลงทุนภายในเอเชียและเชื่อมไปยังส่วนอื่น ของโลก ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว  ACD เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้ประเทศสมาชิกในเอเชียก้าวไปสู่เป้าหมายแห่งความ สำเร็จได้ โดย 1. สร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งหมายถึงการมีการขนส่งที่ดีขึ้น มีการเชื่อมโยงทางโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งจากโครงการเส้นทางรถไฟเชื่อมเอเชีย และโครงการเส้นทางรถไฟสายทรานไซบีเรีย ที่จะช่วยให้การค้าและการลงทุนหมุนเวียนได้ดีขึ้น และจะช่วยให้ทวีปเอเชียมีความเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น แต่จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎและระเบียบด้านการขนส่งข้ามพรมแดนที่คล้าย คลึงกัน และความเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังสามารถสร้าง "เส้นทางสายไหม" ใหม่สำหรับเอเชีย ที่สามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นให้กับทุกคนได้ และเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ประเทศสมาชิกต้องร่วมกันหาเงินทุนที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดัง กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยว่า 2. ด้านความมั่นคงทางอาหาร  ซึ่งยังเป็นจุดแข็งของทวีปเอเชีย โดยประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารหลักของโลก ได้สร้างกลยุทธ์ใหม่ในโครงการ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ซึ่งไทยกำลังมองหาประเทศพันธมิตรทั้งในและนอก ACD เพื่อช่วยในด้านการผลิต การส่งออกอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยรวมถึงอาหารฮาลาล ให้ไปสู่ “ครัวโลก” บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน  ขณะเดียวกันไทยได้เตรียมพร้อมสำหรับการหารือเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร ภายใน ACD จากประสบการณ์ของไทยในอาเซียนและอาเซียนบวกสาม เกี่ยวกับคลังข้าวสำรองฉุกเฉินด้วย 3.ความมั่นคงทางพลังงาน  ซึ่งเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับความมั่นคงทางอาหาร เพราะถ้าพลังงานมีเสถียรภาพ ก็หมายถึงการมีอาหารอย่างพอเพียงสำหรับทุกคน ทั้งนี้ การสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มประเทศสมาชิก ACD ในด้านความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ด้านการเพิ่มพูนแหล่งเงินทุนภายในภูมิภาค รวมถึงการส่งเสริมการทำงานร่วมกันในภูมิภาค เพื่อความเชื่อมโยงที่มากยิ่งขึ้น จะทำให้ ACD มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของภูมิภาคเอเชีย และช่วยสนับสนุนพัฒนาการในด้านต่างๆของโลกด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างไรก็ตามขณะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ACD ควรมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อช่วยวางแผนและติดตามการดำเนินการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการประชุมหารือของอดีตประธาน ACD ประธาน ACD ปัจจุบัน รวมถึงอนาคตประธาน ACD อีกทั้ง ไทยยังเสนอให้มีการจัดตั้งเลขาธิการ ACD เพื่อให้การดำเนินการต่างๆเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งการประชุมในประเด็นต่างๆเหล่านี้ควรจัดขึ้นในการประชุมระดับรัฐมนตรีใน ปี 2013 นี้ และไทยยังเสนอให้มีการจัด ACD Summits ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยมีความพร้อมในการทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกทุกประเทศ และในการเป็นเจ้าภาพ ACD Summits ในปี 2015 ซึ่งเป็นปีแห่งการรวมตัวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อให้ ACD ประสบความสำเร็จสูงสุดในการดำเนินการ.

นายกฯโวประชุมเอซีดีไทยเป็นครัวโลก-ยันขายข้าวจีทูจีถูกกม.


 เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (18 ต.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนรัฐคูเวตอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ว่า การประชุม ACD ครั้งนี้ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีมาก ถือเป็นเวทีเดียวของระดับผู้นำในเอเชีย โดยไทยได้เสนอจุดยืน และทุกประเทศก็เห็นสอดคล้องกัน คือต้องช่วยกันแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และทำอย่างไรให้ภูมิภาคเอเชียใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกัน  ทุกส่วนเห็นถึงความสำคัญเรื่องความมั่นคงทางอาหาร และพลังงาน หลังจากนี้จะมีการประชุมในระดับรมต.เพื่อสานต่อให้เป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้การที่ไทยจะได้เป็นแหล่งอาหารของโลกถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น ไทยและประเทศในอาเซียนจึงได้ช่วยกันผลักดัน เพราะขณะนี้หลายประเทศต้องนำเข้าอาหาร เช่นคูเวต นำเข้าอาหารถึงร้อยละ 90 การเดินทางไปร่วมประชุมครั้งนี้จึงถือว่าได้นำผู้ซื้อและผู้ขายไปพูดคุยได้ อย่างสอดคล้องต้องกัน ส่วนการเจรจาเรื่องข้าวนั้น ก็ได้พูดคุยกัน แต่เป็นการพูดคุยในภาพรวมที่อยากเห็นประเทศไทยเป็นแหล่งส่งออกอาหาร โดยเริ่มตั้งแต่ข้าว และอาจมีพืชอื่น ๆ ด้วย สำหรับการหารือกับผู้นำคูเวตนั้น ได้เห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระดับ  รมต.จากเดิมที่เป็นแค่ระดับเจ้าหน้าที่ จะนำสิ่งต่าง ๆเหล่านี้ไปหารือในการประชุม ACD ระดับรมต.ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพเป็นครั้งแรก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความการซื้อข้าวแบบจีทูจีเข้าข่ายผิดมาตรา 190 (2) ว่า รัฐบาลทำตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งได้ผ่านการหารือและความเห็นชอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อย่างไรก็ตามเราก็ยินดีชี้แจงและให้ข้อมูล เมื่อถามว่าทางกฤษฎีกายืนยันว่าการขายข้าวแบบจีทูจีเข้าข่ายมาตรา 190 หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สัมภาษณ์แล้ว เรายืนยันว่าได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอน
"ก็ต้องขอฝ่ายตรงข้ามที่หยิบเรื่องนี้เล่นงานรัฐบาล อยากให้มองไปที่ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับว่ามีมากเพียงใด อาจจะมีข้อกังวลบ้าง แต่อยากให้มองภาพรวมมากกว่า ไม่เช่นนั้นการเดินหน้าเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในส่วนอื่นก็ คงทำได้ยาก รัฐบาลพยายามรับข้อห่วงใยต่างๆไปทำงานให้รัดกุมขึ้น แต่ถ้ารัดกุมมากก็จะทำให้เกิดขั้นตอนที่ยุ่งยากตามมา ดังนั้นคงต้องขอความเห็นใจ ไม่อยากให้มองเป็นประเด็นการเมืองมากไป"นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนกรณีที่ทีดีอาร์ไอเสนอให้ลดราคารับจำนำลงมาเหลือ 1.3 หมื่นบาทต่อตันเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็ต้องมาคุยกันว่าตัวเลข 1.3 หมื่นบาทมาอย่างไร หากบอกว่ามาจากฐานราคาเก่าก็ต้องเรียนว่าเป็นราคาที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรม กับราคาสินค้าหรือราคาข้าวให้กับเกษตรกรจริงๆ สิ่งที่เราทำคือพยายามให้กลับไปสู่กลไกราคาที่เหมาะสม
เมื่อถามว่ายังยืนยันที่จะเดินหน้ารับจำนำในราคา 1.5 หมื่นบาทต่อตันต่อไปใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ยังดำเนินการตามราคานี้ไปก่อน ซึ่งต้องดูตามกลไก ยืนยันว่าเป็นราคาที่ต่ำจริง ๆ แต่ขณะเดียวกันในอนาคตก็ต้องสำรวจดูเพื่อให้เหมาะสม เมื่อถามว่าวันนี้ยังมั่นใจหรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่กลับมาเป็นดาบทิ่ม รัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราทำด้วยเจตนาที่ต้องการสร้างรายได้ให้เกษตรกร จึงต้องดูที่วัตถุประสงค์ก่อน  อย่ามองไปที่เรื่องอื่น และต้องช่วยแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อทำให้ประเทศเราก้าวไปข้างหน้าได้
ที่รัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.  67 คนเข้าชื่อเพื่อร้องให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าสัญญาการขายข้าวของรัฐบาล แบบรัฐต่อรัฐนั้น เข้าข่ายเป็นสัญญาตามมาตรา 190 และมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินหรือไม่ ว่า ส่วนตัวมองว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนั้นถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลทำได้ เพราะได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้แล้ว และสัญญาการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐนั้น เชื่อว่าไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาตามาตรา 190 อย่างแน่นอน แต่เมื่อมีผู้ยื่นเรื่องให้ตนแล้ว ตามกระบวนการต้องพิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นคาดว่าจะส่งเรื่องไปได้ภายในวันที่ 19 ต.ค. นี้.

แก๊งชิงทรัพย์อาละวาดสาดน้ำยาล้างห้องน้ำใส่ตา


เมื่อเวลา 03.30 น. วันนี้ (18 ต.ค.) พ.ต.ท.ไพรัช รอดทอง พงส.สภ.สามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม  รับแจ้งจากน.ส.นิด อายุ 19 ปี และ นายทิพย์ อายุ 22 ปี ชาวไทยใหญ่ ทำงานอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่งว่าถูกคนร้ายพยายามชิงทรัพย์ โดยใช้น้ำยาล้างห้องน้ำฉีดเข้าตา เหตุเกิดในซอยข้างปั๊มน้ำมันสุรชัยออย หมู่ 10 ถนนเพชรเกษม ต.คลองใหม่ หลังเกิดเหตุมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นำผู้บาดเจ็บส่งรพ.สามพราน ให้แพทย์ช่วยล้างตา ก่อนเข้าแจ้งความ
โดยให้การว่า ขณะเดินกลับบ้าน คนร้าย 2 คนขับขี่รถจยย.แบบหญิง จำสีทะเบียนไม่ได้ ขับผ่านไป ก่อนจะวนกลับมาอีกรอบ และใช้น้ำยาล้างห้องน้ำฉีดเข้าหน้าของทั้ง 2 คน รู้สึกปวดแสบปวดร้อน และพยายามจะชิงกระเป๋าสะพายแบบหญิง แต่ยังไม่ได้กระเป๋าไป โดยทั้ง 2 คนวิ่งหนีและตะโกนร้องให้คนช่วย ไม่ถึง 5 นาที อาสาสมัครมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์ก็เข้ามาช่วยนำส่งรพ.ฯ
อาสาสมัครมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นายหนึ่ง เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ คนร้ายแวะเข้าห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน ขณะขับรถออกเด็กปั๊มเห็นมีน้ำยาล้างห้องน้ำขวดเล็กพกอยู่ในกระเป๋ากางเกง ซึ่งผิดปกติของคนทั่วไป เพราะไม่ใช่สิ่งของพกไปพกมา อีกทั้งเมื่อวันที่ 17 ต.ค.  คนร้ายขี่รถจยย.มาสอบถามถึงหญิงวัยกลางคน ลักษณะเหมือนคนที่ถูกก่อเหตุชิงทรัพย์ไปเมื่อ 3 วันก่อน
ด้าน พ.ต.ท.ไพรัช กล่าวว่า ช่วงนี้เกิดเหตุชิงทรัพย์บ่อยครั้ง คนร้ายมักออกมาก่อเหตุช่วงเวลา 03.00 – 05.00 น. ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นแม่ค้า หรือคนทำงานกลางคืน โดยเฉพาะเดินในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ เช่น ข้ามสะพายลอย ขับรถในซอยเปลี่ยว สะพายกระเป๋า หรือเป็นผู้หญิง  ส่วนใหญ่จับคนร้ายไม่ได้ เพราะผู้เสียหายจำตำหนิ รูปพรรณสัณฐานผู้ก่อเหตุไม่ได้ เบื้องต้นได้ประสานชุดสืบสวนไปหาภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามคนร้ายมา ดำเนินคดีต่อไป.

เมาสุราคลั่งไล่ยิงญาติเจ็บเพื่อนตาย


เมื่อเวลา 04.30 น.วันนี้ (18 ต.ค.) ร.ต.อ.ไพโรจน์  บุญยินดี  ร้อยเวรสภ.เมือง จ.ราชบุรี รับแจ้งเหตุคนถูกปืนยิงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต  บนถนนสายนาหนอง – ดอนแร่ หมู่ 3 ต.อ่างทอง จึงแจ้งพ.ต.อ.อาคเนย์  แดงด้อมยุทธ์ ผกก.สภ.เมืองราชบุรี ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมแพทย์เวร รพ.ราชบุรี และเจ้าหน้าที่มูลนิธิประชานุกูล
ที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บนอนร้องครวญครางขอความช่วยเหลือ มูลนิธิฯจึงได้รีบนำส่งรพ.ราชบุรี ทราบชื่อนายสมคิด  ศรีสุวรรณ  อายุ 35 ปี ถูกปืนยิงเข้าราวนมขวา 1 นัด อาการสาหัส    ห่างกันเล็กน้อยพบผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 ราย นอนคว่ำหน้าสวมเสื้อยีนแขนยาว กางเกงยีนขายาว สวมรองเท้าหนังหุ้มข้อ  ถูกยิงที่ชายโครงซ้าย 1 นัดกระสุนฝังใน  ทราบชื่อต่อมานายนิธินัย  สัมพัทธ์ตระกูล  อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 54/1 หมู่5 ต.อ่างทอง ที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 11 มม. 2 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน  ส่วนมือปืนรายนี้ชื่อนายธนพงศ์ ศรีสุวรรณ  อายุ 45 ปี เป็นญาติผู้บาดเจ็บและเป็นเพื่อนผู้ตาย  หลังก่อเหตุขับขี่รถจยย.หลบหนีไป
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า  ผู้บาดเจ็บกับผู้ตาย และนายธนพงศ์ มือปืน  กับเพื่อนๆอีกหลายคนนั่งดื่มเหล้ากันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมือง ราชบุรี จากนั้นมีปากเสียงกันทำให้นายสมคิดขี่รถจยย.พ่วง นำนายนิธินัยผู้ตายออกมาก่อน   เมื่อขี่รถมาถึงที่เกิดเหตุรถน้ำมันหมดผู้ตายโทรศัพท์ไปหานายธนพงศ์ให้ช่วย ซื้อน้ำมันรถมาให้ ทำให้นายธนพงศ์ซึ่งมึนเมาและไม่พอใจทั้งคู่อยู่แล้วจึงต่อว่าทางโทรศัพท์
จากนั้นผู้ตายได้โทรศัพท์หานายไพวัลย์ มณีโชติ อายุ 49 ปี เพื่อนบ้านให้ช่วยเอาน้ำมันมาให้ โดยนายไพวัลย์ก็ขี่รถ จยย.มากับภรรยา ขณะนั้นนายธนพงศ์ขี่รถจยย.มากับเพื่อน  ถึงที่เกิดเหตุเห็นว่ามีคนนำน้ำมันมาให้แล้วก็ไม่พอใจ เดินไปต่อว่าพร้อมชักปืนยิงนายสมคิดจนล้มฟุบลงไป   เมื่อผู้ตายเห็นก็พยายามวิ่งหนีแต่นายธนพงศ์ตะโกนบอกให้ผู้ตายกลับมา ก่อนถูกนายธนพงศ์ยิงใส่จนเสียชีวิตส่วนมือปืนหลบหนีไป   ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆอีกหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์
เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบประวัติของนายธนพงศ์พบว่าไม่นานมานี้เพิ่งถูกจับใน คดีค้ายาบ้า  มาก่อเหตุยิงผู้อื่นจนบาดเจ็บและเสียชีวิตอีก  เจ้าหน้าที่จะขออนุมัติหมายจับเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป.

ลุยค้นไร่หมอสุพัฒน์รอบ 13


วันนี้ (18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.พิชัย ปกป้อง ผกก.สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปขุดค้นหาศพของ 2 สามีภรรยา จ.เพชรบุรี ที่ไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ อีกครั้ง เป็นรอบที่ 13 โดยศาลอนุญาตให้ขุดได้เฉพาะจุดที่ต้องสงสัย  ซึ่งตำรวจจะขุดหาศพ ข้าง ๆ ศาลาไม้ ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตามที่บิดาของผู้สูญหายสงสัยว่า อาจถูกฝังในจุดดังกล่าว
ผกก.สภ.ท่าไม้รวก กล่าวอีกว่า ส่วนสำนวนของคดีนั้น การจะแจ้งข้อหาเพิ่มแก่ผู้ต้องหาโดยเฉพาะข้อหาฆ่าคนตายนั้น ต้องรอบคอบอย่างมาก ทางผู้บังคับบัญชา สั่งการมาว่า ไม่ต้องรีบร้อน ขอให้รวบรวมหลักฐานให้แน่นหนาที่สุดก่อน เนื่องจากทราบว่าฝ่ายผู้ต้องหาเองก็หาช่องทางจะฟ้องกลับทางพนักงานสอบสวนใน คดีนี้อยู่ โดยระบุว่า พนักงานสอบสวน ให้ข่าวนำเสนอด้านเดียว แต่ความจริง ตำรวจทำงานตรงไปตรงมาตามข้อมูลที่ได้ ไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือทำคดีด้านเดียวแน่ ส่วนการชี้แจงกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนฯ เมื่อวานนี้ ถือว่าเป็นไปตามหน้าที่ และกรรมาธิการ ก็ไม่ได้มีข้อเสนอแนะอะไรพิเศษ และคงไม่ต้องไปชี้แจงอะไรมากอีกแล้ว.

สุนัขใต้นราฯพลีชีพเหยียบระเบิดแทนทหาร ส่วนยะลาอดีตทหารถูกจ่อยิง


วันนี้ (18 ต.ค.) ร.ต.อ.บุญศักดิ์ หนูหมาด ร้อยเวร สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุระเบิด ริมถนนในหมู่บ้านป่าไผ่ หมู่ 5 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จึงพร้อมด้วย พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 ร.ต.ท.นัฐวิทย์ วันเพ็ญศรี รอง หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส รวมทั้งกำลังตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบที่ริมถนน มีหลุมระเบิดลึก 1 ฟุต กว้าง 2 ฟุต และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกระป๋องปลา กระป๋องยี่ห้อหนึ่งหนัก  0.5 กก.จุดชนวนด้วยระบบเท้าเหยียบตกกระจายเกลื่อน นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนของสุนัขที่กระจุยกระจายไปทั่ว เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนทราบว่า ช่วงคืนที่ผ่านมาได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวนำระเบิดมาฝังไว้ เพื่อดักสังหารทหารพรานกรมทหารพรานที่ 45 ที่ได้ออกปฏิบัติการกดดันแกนนำและสมาชิกกองกำลังติดอาวุธ RKk ที่แฝงตัวเคลื่อนไหวอยู่ในหมู่บ้านตันหยงลิมอ แต่ปรากฎว่ามีสุนัขของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงเดินเหยียบกับระเบิดเสีย ก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่รอดอย่างหวุดหวิด
พ.อ.เฉลิมชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มแกนนำและสมาชิกแนวร่วมที่แฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านตันหยงลิมอและหมู่ บ้านใกล้เคียงถูกทหารกดดันอย่างหนักจนระส่ำระสายไม่สามารถรวมตัวเป็นกลุ่ม ก้อนในการเคลื่อนไหวก่อเหตุร้ายได้จึงได้แฝงตัวนำระเบิดมาตอบโต้ลอบดัก สังหารเจ้าหน้าที่ โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ถือเป็นเรื่องโชคร้ายมากที่มีสุนัขรับเคราะห์แทน
อีกเหตุการณ์ ที่ จ.ยะลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ร.ต.ต.เฉลิมศักดิ์  ศรีสาย ร้อยเวร สภ.กรงปินัง  ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เกิดเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตที่บนถนนในสวนยางหมู่ 3 ต.ห้วยกระทิง อ.กรงปินัง  จึงได้แจ้ง พ.ต.อ.สุชาติ  คล้ายจันทร์พงศ์ รักษาราชการ ผกก.สภ.กรงปินัง พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.ยะลา เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา เดินทางเข้าตรวจสอบ
จุดเกิดเหตุ เป็นถนนภายในสวนยางพบศพ  นายพิภพ หอมหวน อายุ 49 ปี สภาพถูกยิงเข้าที่ศีรษะ กะโหลกเปิด นอนเสียชีวิตข้างรถ จยย.ฮอนด้า รุ่นเวฟ สีน้ำตาล ทะเบียน กนง 312 ยะลา  นอกจากนั้นพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม16 ตกอยู่จำนวนมาก  จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนทราบว่า ผู้ตาย ขี่ จยย.ออกจากบ้านเพื่อเข้าสวนยาง  เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ซุ่มอยู่ข้างทาง ชักปืนยิงใส่จนเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ เนื่องจากผู้ตายเคยเป็นอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันยังเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านด้วย
มีรายงานจากแหล่งข่าวจากชุดสืบสวน ระบุว่า กลุ่มคนร้ายที่ออกอาละวาดในช่วงนี้ ได้พุ่งเป้าไปยังกลุ่มแนวร่วมของนายอิสมาแอ ระยะหลง หรืออุสตาซโซ๊ะ ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตามจะนำปลอกกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุไปตรวจสอบว่า ปืนดังกล่าวเคยใช้ก่อเหตุใดมาบ้าง เพื่อเชื่อมโยงหลักฐานคนร้ายที่ก่อเหตุ.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources