เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (18 ต.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนรัฐคูเวตอย่างเป็นทางการ
และเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ว่า
การประชุม ACD ครั้งนี้ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีมาก
ถือเป็นเวทีเดียวของระดับผู้นำในเอเชีย โดยไทยได้เสนอจุดยืน
และทุกประเทศก็เห็นสอดคล้องกัน คือต้องช่วยกันแก้ปัญหาความยากจน
ลดความเหลื่อมล้ำ และทำอย่างไรให้ภูมิภาคเอเชียใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่
รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกัน
ทุกส่วนเห็นถึงความสำคัญเรื่องความมั่นคงทางอาหาร และพลังงาน
หลังจากนี้จะมีการประชุมในระดับรมต.เพื่อสานต่อให้เป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้การที่ไทยจะได้เป็นแหล่งอาหารของโลกถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น ไทยและประเทศในอาเซียนจึงได้ช่วยกันผลักดัน เพราะขณะนี้หลายประเทศต้องนำเข้าอาหาร เช่นคูเวต นำเข้าอาหารถึงร้อยละ 90 การเดินทางไปร่วมประชุมครั้งนี้จึงถือว่าได้นำผู้ซื้อและผู้ขายไปพูดคุยได้ อย่างสอดคล้องต้องกัน ส่วนการเจรจาเรื่องข้าวนั้น ก็ได้พูดคุยกัน แต่เป็นการพูดคุยในภาพรวมที่อยากเห็นประเทศไทยเป็นแหล่งส่งออกอาหาร โดยเริ่มตั้งแต่ข้าว และอาจมีพืชอื่น ๆ ด้วย สำหรับการหารือกับผู้นำคูเวตนั้น ได้เห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระดับ รมต.จากเดิมที่เป็นแค่ระดับเจ้าหน้าที่ จะนำสิ่งต่าง ๆเหล่านี้ไปหารือในการประชุม ACD ระดับรมต.ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพเป็นครั้งแรก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความการซื้อข้าวแบบจีทูจีเข้าข่ายผิดมาตรา 190 (2) ว่า รัฐบาลทำตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งได้ผ่านการหารือและความเห็นชอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อย่างไรก็ตามเราก็ยินดีชี้แจงและให้ข้อมูล เมื่อถามว่าทางกฤษฎีกายืนยันว่าการขายข้าวแบบจีทูจีเข้าข่ายมาตรา 190 หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สัมภาษณ์แล้ว เรายืนยันว่าได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอน
"ก็ต้องขอฝ่ายตรงข้ามที่หยิบเรื่องนี้เล่นงานรัฐบาล อยากให้มองไปที่ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับว่ามีมากเพียงใด อาจจะมีข้อกังวลบ้าง แต่อยากให้มองภาพรวมมากกว่า ไม่เช่นนั้นการเดินหน้าเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในส่วนอื่นก็ คงทำได้ยาก รัฐบาลพยายามรับข้อห่วงใยต่างๆไปทำงานให้รัดกุมขึ้น แต่ถ้ารัดกุมมากก็จะทำให้เกิดขั้นตอนที่ยุ่งยากตามมา ดังนั้นคงต้องขอความเห็นใจ ไม่อยากให้มองเป็นประเด็นการเมืองมากไป"นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนกรณีที่ทีดีอาร์ไอเสนอให้ลดราคารับจำนำลงมาเหลือ 1.3 หมื่นบาทต่อตันเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็ต้องมาคุยกันว่าตัวเลข 1.3 หมื่นบาทมาอย่างไร หากบอกว่ามาจากฐานราคาเก่าก็ต้องเรียนว่าเป็นราคาที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรม กับราคาสินค้าหรือราคาข้าวให้กับเกษตรกรจริงๆ สิ่งที่เราทำคือพยายามให้กลับไปสู่กลไกราคาที่เหมาะสม
เมื่อถามว่ายังยืนยันที่จะเดินหน้ารับจำนำในราคา 1.5 หมื่นบาทต่อตันต่อไปใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ยังดำเนินการตามราคานี้ไปก่อน ซึ่งต้องดูตามกลไก ยืนยันว่าเป็นราคาที่ต่ำจริง ๆ แต่ขณะเดียวกันในอนาคตก็ต้องสำรวจดูเพื่อให้เหมาะสม เมื่อถามว่าวันนี้ยังมั่นใจหรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่กลับมาเป็นดาบทิ่ม รัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราทำด้วยเจตนาที่ต้องการสร้างรายได้ให้เกษตรกร จึงต้องดูที่วัตถุประสงค์ก่อน อย่ามองไปที่เรื่องอื่น และต้องช่วยแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อทำให้ประเทศเราก้าวไปข้างหน้าได้
ที่รัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ ส.ว. 67 คนเข้าชื่อเพื่อร้องให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าสัญญาการขายข้าวของรัฐบาล แบบรัฐต่อรัฐนั้น เข้าข่ายเป็นสัญญาตามมาตรา 190 และมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินหรือไม่ ว่า ส่วนตัวมองว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนั้นถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลทำได้ เพราะได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้แล้ว และสัญญาการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐนั้น เชื่อว่าไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาตามาตรา 190 อย่างแน่นอน แต่เมื่อมีผู้ยื่นเรื่องให้ตนแล้ว ตามกระบวนการต้องพิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นคาดว่าจะส่งเรื่องไปได้ภายในวันที่ 19 ต.ค. นี้.
ทั้งนี้การที่ไทยจะได้เป็นแหล่งอาหารของโลกถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น ไทยและประเทศในอาเซียนจึงได้ช่วยกันผลักดัน เพราะขณะนี้หลายประเทศต้องนำเข้าอาหาร เช่นคูเวต นำเข้าอาหารถึงร้อยละ 90 การเดินทางไปร่วมประชุมครั้งนี้จึงถือว่าได้นำผู้ซื้อและผู้ขายไปพูดคุยได้ อย่างสอดคล้องต้องกัน ส่วนการเจรจาเรื่องข้าวนั้น ก็ได้พูดคุยกัน แต่เป็นการพูดคุยในภาพรวมที่อยากเห็นประเทศไทยเป็นแหล่งส่งออกอาหาร โดยเริ่มตั้งแต่ข้าว และอาจมีพืชอื่น ๆ ด้วย สำหรับการหารือกับผู้นำคูเวตนั้น ได้เห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระดับ รมต.จากเดิมที่เป็นแค่ระดับเจ้าหน้าที่ จะนำสิ่งต่าง ๆเหล่านี้ไปหารือในการประชุม ACD ระดับรมต.ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพเป็นครั้งแรก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความการซื้อข้าวแบบจีทูจีเข้าข่ายผิดมาตรา 190 (2) ว่า รัฐบาลทำตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งได้ผ่านการหารือและความเห็นชอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อย่างไรก็ตามเราก็ยินดีชี้แจงและให้ข้อมูล เมื่อถามว่าทางกฤษฎีกายืนยันว่าการขายข้าวแบบจีทูจีเข้าข่ายมาตรา 190 หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สัมภาษณ์แล้ว เรายืนยันว่าได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอน
"ก็ต้องขอฝ่ายตรงข้ามที่หยิบเรื่องนี้เล่นงานรัฐบาล อยากให้มองไปที่ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับว่ามีมากเพียงใด อาจจะมีข้อกังวลบ้าง แต่อยากให้มองภาพรวมมากกว่า ไม่เช่นนั้นการเดินหน้าเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในส่วนอื่นก็ คงทำได้ยาก รัฐบาลพยายามรับข้อห่วงใยต่างๆไปทำงานให้รัดกุมขึ้น แต่ถ้ารัดกุมมากก็จะทำให้เกิดขั้นตอนที่ยุ่งยากตามมา ดังนั้นคงต้องขอความเห็นใจ ไม่อยากให้มองเป็นประเด็นการเมืองมากไป"นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนกรณีที่ทีดีอาร์ไอเสนอให้ลดราคารับจำนำลงมาเหลือ 1.3 หมื่นบาทต่อตันเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็ต้องมาคุยกันว่าตัวเลข 1.3 หมื่นบาทมาอย่างไร หากบอกว่ามาจากฐานราคาเก่าก็ต้องเรียนว่าเป็นราคาที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรม กับราคาสินค้าหรือราคาข้าวให้กับเกษตรกรจริงๆ สิ่งที่เราทำคือพยายามให้กลับไปสู่กลไกราคาที่เหมาะสม
เมื่อถามว่ายังยืนยันที่จะเดินหน้ารับจำนำในราคา 1.5 หมื่นบาทต่อตันต่อไปใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ยังดำเนินการตามราคานี้ไปก่อน ซึ่งต้องดูตามกลไก ยืนยันว่าเป็นราคาที่ต่ำจริง ๆ แต่ขณะเดียวกันในอนาคตก็ต้องสำรวจดูเพื่อให้เหมาะสม เมื่อถามว่าวันนี้ยังมั่นใจหรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่กลับมาเป็นดาบทิ่ม รัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราทำด้วยเจตนาที่ต้องการสร้างรายได้ให้เกษตรกร จึงต้องดูที่วัตถุประสงค์ก่อน อย่ามองไปที่เรื่องอื่น และต้องช่วยแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อทำให้ประเทศเราก้าวไปข้างหน้าได้
ที่รัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ ส.ว. 67 คนเข้าชื่อเพื่อร้องให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าสัญญาการขายข้าวของรัฐบาล แบบรัฐต่อรัฐนั้น เข้าข่ายเป็นสัญญาตามมาตรา 190 และมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินหรือไม่ ว่า ส่วนตัวมองว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนั้นถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลทำได้ เพราะได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้แล้ว และสัญญาการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐนั้น เชื่อว่าไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาตามาตรา 190 อย่างแน่นอน แต่เมื่อมีผู้ยื่นเรื่องให้ตนแล้ว ตามกระบวนการต้องพิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นคาดว่าจะส่งเรื่องไปได้ภายในวันที่ 19 ต.ค. นี้.
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น