วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

บ้านโซนน้ำท่วมราคาทรุด ยอดบ้านมือสองพุ่งเพียบ วอนอย่าเพิ่งรีบขายบ้านครึ่งปีแรกนี้


วันนี้ (4 เม.ย.)นายสมศักดิ์ มุนีพีระกุล นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาบ้านมือสองตกต่ำถึงขีดสุด 10-30% เนื่องจากมีบ้านมือสองพร้อมขายในตลาดเพิ่มขึ้น 10-20% จากเดิมที่มีอยู่แล้วเกือบ 400,000 หน่วย หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ถูกน้ำท่วมแห่ขายบ้านเพิ่มขึ้นอีก ไม่น้อยกว่า 150,000 หน่วย จึงต้องการขอให้รัฐบาลช่วยขยายมาตรการให้ครอบคลุมบ้านมือสองด้วยโดยด่วนหลังจากมาตรการที่ออกมาช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านนั้นไม่ตรงจุดกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งแนะนำให้ประชาชนอย่าเพิ่งตัดสินใจขายบ้านหนีน้ำท่วมครึ่งปีแรกนี้

“ตลาดธุรกิจบ้านมือสองไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น ยังคงอยู่ในภาวะยังคงซบเซาต่อเนื่อง ขณะที่มีบ้านมือสองที่พร้อมจะขายในตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 150,000 หน่วยหลังเหตุการณ์น้ำท่วม ทั้งนี้ จากการสำรวจโซนน้ำท่วมพบว่ามีทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสองได้รับผลกระทบ 1.5-1.6 ล้านหน่วย ในจำนวนนี้มีทั้งบ้านที่เข้าอยู่อาศัยมานานแล้ว บ้านที่เพิ่งเข้าอยู่อาศัย และบ้านที่ยังไม่เคยเข้าอยู่อาศัยเลย รวมทั้งกลุ่มบ้านมือสองที่กำลังประกาศขายอยู่ เพราะหลังจากน้ำท่วมแล้วทำให้มีบ้านมือสองที่พร้อมจะขายในตลาดเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาบ้านที่ลดลง 10-30% ขึ้นอยู่กับความเสียหาย และในกรณีที่น้ำท่วมมาก ๆ ก็จะกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ และมักจะขายไม่ได้ราคา เพราะผู้ซื้อจะต่อรองราคาค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สามารถขายได้ราคาดีนัก”

นอกจากนั้น ความช่วยเหลือของภาครัฐ ก็ไม่ได้เน้นบ้านมือสองเลย เห็นได้จากมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมา มักไม่ถึงบ้านมือสองโดยตรง เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ดีมาก แต่ข้อเสียคือต้องเป็นการซื้อบ้านใหม่เท่านั้น ซึ่งสมาคมฯ ได้พยายามชี้แจงให้ภาครัฐได้เห็นว่าหลังเหตุการณ์น้ำท่วม มีบ้านมือสองประกาศขายเพิ่มขึ้น หากประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านมือสองในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นบ้านมือสองและเป็นบ้านหลังแรกได้รับผลจากมาตรการนี้ด้วยช่นกัน ก็จะทำให้คนขายบ้านในโซนน้ำท่วมขายได้ง่ายและมากขี้น และทำให้ตลาดคึกคักเพราะจะเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อ และภาครัฐจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพิ่มขึ้น

“ความจริงแล้ว รัฐก็ไม่ได้ทอดทิ้งธุรกิจบ้านมือสองเลยทีเดียว เนื่องจากมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดการซื้อบ้านมือสองราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท และได้สิทธิดอกเบี้ย 0% นาน 3 ปี แต่เงื่อนไขไม่ได้ช่วยเหลือบ้านมือสองทั้งหมด เพราะช่วยเหลือเฉพาะผู้ซื้อบ้านมือสองที่เป็นทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์เท่านั้น ทำให้บ้านมือสองทั่วไปไม่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ดังนั้น รัฐต้องทบทวนมาตรการความช่วยเหลือให้ครอบคลุมบ้านมือสองให้ทั่วถึงด้วย”
ทั้งนี้ หากมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจบ้านมือสอง เชื่อว่าจะทำให้ตลาดมีสภาวะการซื้อขายที่ดีขึ้น และการที่รัฐตั้งงบประมาณไว้ถึง 20,000 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก แต่มีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการไม่ถึง 20% หรือ 2,000-3,000 ล้านบาทเท่านั้น หากมาตรการนี้ ครอบคลุมถึงบ้านมือสองด้วย เชื่อว่าจะมีตัวเลขมากขึ้นแน่นอน

สำหรับยอดขายบ้านมือสองทั้งบ้านประกาศขายเองและเอ็นพีเอแต่ละปีน่าจะอยู่ที่ 50,000-60,000 หน่วย แต่หลังจากน้ำท่วม ยอดขายก็ได้รับผลกระทบ และสมาคมฯ ได้ออกประกาศเตือนผู้บริโภคว่าหากไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าเพิ่งขายบ้านในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เพราะราคาขายจะตกต่ำค่อนข้างมาก เชื่อว่าปลายไตรมาส 2-3 น่าจะทำให้ความรู้สึกเรื่องน้ำท่วมน่าจะเบาบางลง และทำให้ราคาบ้านมือสองดีขึ้น แต่หากภาครัฐมีมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันน้ำท่วม จะเป็นปัจจัยที่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้าน โดยเฉพาะในทำเลที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมซึ่งจะทำให้คนไม่อยากขายบ้านทิ้ง  เพราะพฤติกรรมคนไทยนั้นส่วนใหญ่ไม่ต้องการย้ายบ้านจากถิ่นที่เคยอยู่ หรือ ย้ายจากถิ่นที่ทำงานอยู่เดิม
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

บึ้มหาดใหญ่ท่องเที่ยวสะดุดรัฐ-เอกชนตื่นเรียกเชื่อมั่นคืน


แม้เสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวจากโรงแรมลีการ์เดนส์ หาดใหญ่เมื่อ 31 มี.ค.ที่ผ่านมาจะเงียบสนิทลงแล้ว แต่กลับทิ้งคราบรอยน้ำตาให้ญาติเหยื่อผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ แถมยังฝากความบอบช้ำให้ภาคธุรกิจหาดใหญ่ โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่เข้าข่ายบอบช้ำแสนสาหัส! เพราะเหตุระเบิดครั้งนี้ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มีต่อหาดใหญ่มากมาย และอาจบานปลายไปถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อการท่องเที่ยวของไทยในภาพรวม หากภาครัฐและเอกชนยังไม่ระแวดระวังเพียงพอ และปล่อยให้มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีก

“ประกิตติ์ พิริยะเกียรติ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า เหตุระเบิดครั้งนี้กระทบตลาดมาเลเซียเป็นหลัก เพราะเป็นตลาดสำคัญที่เดินทางไปหาดใหญ่ ส่วนตลาดสิงคโปร์ไม่กระทบมากเท่า ขณะที่ตลาดอื่นไม่กระทบเลย ไม่มีการสอบถามเกี่ยวกับเหตุระเบิดเข้ามา เชื่อว่าสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใจดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุในพื้นที่ความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ขยายมายังอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แต่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่อื่นของไทย ส่วนการออกประกาศเตือนของต่างชาตินั้น เป็นปกติอยู่ ประเทศทางยุโรปที่เคยมีคำแนะนำหลีกเลี่ยงการเดินทางมายัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คงประกาศนี้เอาไว้นานแล้ว เพียงแต่เพิ่มการเตือนครอบคลุมอำเภอหาดใหญ่ พื้นที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีเมื่อเกิดเหตุการณ์ ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร

อย่างไรก็ตาม ททท. คงต้องหาแนวทางร่วมกับเอกชนและหน่วยงานท้องถิ่นในหาดใหญ่ว่า หลังจากนี้อาจต้องเพิ่มการเดินสายโรดโชว์ในต่างประเทศ รวมทั้งดึงตัวแทนบริษัททัวร์และสื่อจากมาเลเซีย และสิงคโปร์ มาสำรวจเส้นทางท่องเที่ยว (แฟมทริป) ที่หาดใหญ่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาเร็วที่สุด

ด้าน  “สมชาติ พิมพ์ธนะพูนพร”  ประธานสภาอุตสาหกรรมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา และนายกสมาคมธุรกิจโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา บอกว่า นักท่องเที่ยวจากมาเลเซียและสิงคโปร์ ปกติคิดเป็น 70-80% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มาหาดใหญ่ ปัจจุบันหดหายไปเกือบครึ่งหนึ่งจากยอดปกติ หลังจากมีเหตุระเบิด ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในหาดใหญ่เงียบเหงาลงไปมาก โดยในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ที่จะมีการจัดงานหาดใหญ่ มิดไนท์ สงกรานต์ เดิมทีคาดว่าจะช่วยให้เกิดเงินสะพัดกับธุรกิจท่องเที่ยวในหาดใหญ่ 50-60 ล้านบาท แต่เมื่อเหตุระเบิดขึ้น ก็ทำใจว่า หากมีรายได้เข้ามาในธุรกิจท่องเที่ยวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่คาดไว้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ทั้งนี้ผู้ประกอบการก็เตรียมหาทางไว้ฟื้นคืนชีพธุรกิจท่องเที่ยวแล้ว โดยเบื้องต้นจะร่วมมือกับ ททท. จัดงานแกรนด์ เซลส์ ให้ผู้ประกอบการศูนย์การค้า โรงแรม รวมถึงร้านค้าทั่วไปในหาดใหญ่ พร้อมใจกันลดราคาสินค้าและบริการไม่ต่ำกว่า 50% เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลับมาใช้บริการในระยะสั้น โดยเชื่อว่าการจัดแกรนด์ เซลส์ จะดึงคนไทยให้กลับมาเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยในหาดใหญ่ได้ใน 3-6 เดือน และจากนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะมาเลเซีย และสิงคโปร์ เห็นคนไทยกลับมาเที่ยว ก็คงจะเชื่อมั่นกลับมาเที่ยวตาม ซึ่งก็คงได้เห็นภาพการท่องเที่ยวปกติเร็วที่สุดปลายปีนี้

“ช่วงปี 47-48 ที่หาดใหญ่เกิดเหตุระเบิดขึ้น และมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นประปราย หลังจากนั้นส่งผลให้บางสายการบิน ยกเลิกเที่ยวบินมาหาดใหญ่ นักท่องเที่ยวหนีไปเที่ยวกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่กันหมด ทำให้การท่องเที่ยวหาดใหญ่เงียบเหงา 5-6 ปี เพิ่งจะกลับสู่ภาวะปกติ 1-2 ปีที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุระเบิดอีก จึงเชื่อว่าคงต้องใช้เวลาเร็วที่สุดปลายปีนี้จึงจะฟื้นการท่องเที่ยวเป็นปกติได้”

ขณะที่ “กงกฤช หิรัญกิจ” ประธานฝ่ายนโยบายสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เชื่อว่า เหตุระเบิดครั้งนี้คงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวหาดใหญ่ 2-3 เดือน จึงจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้หมายความว่าต้องไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำอีกด้วย ส่วนสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ตอนนี้เพื่อฟื้นการท่องเที่ยวคือ ผู้ประกอบการในหาดใหญ่ต้องร่วมมือกับภาครัฐรักษาความมั่นคง โดยภาครัฐต้องให้ข้อมูลด้านความมั่นคงที่ชัดเจนกับเอกชน เพื่อให้ความร่วมมือได้เต็มที่ ต้องระบุให้ชัดเจนถึงลักษณะของผู้ต้องสงสัยที่เอกชนควรจับตา ไม่ใช่บอกเพียงให้เอกชนเป็นหูเป็นตาแต่ไม่ให้เบาะแสอะไรเลย

ขณะเดียวกันภาครัฐต้องสร้างข่าวบวกกลบกระแสข่าวลบออกมาต่อเนื่อง เหมือนเช่นที่ทำอยู่ อาทิ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน การเดินทางไปเยี่ยมประเทศคู่ค้า หรือการเชิญผู้นำสำคัญเข้ามาในไทย

จากตัวเลขของกรมการท่องเที่ยว พบว่า 9 เดือนของปี 54 หาดใหญ่ มีนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ ทั้งที่ไปแบบค้างคืนและไม่ค้างคืน 3.17 ล้านคน สร้างรายได้ 18,414.86 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปี 53 ตัวนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ ทั้งที่ไปแบบค้างคืนและไม่ค้างคืน อยู่ที่ 2.94 ล้านคน สร้างรายได้ 15,888.82 ล้านบาท

นี่....เป็นตัวเลขหนึ่งที่บ่งชี้ว่าการท่องเที่ยวหาดใหญ่กำลังมีทิศทางเติบโตอย่างสวยงาม แต่เมื่อเหตุระเบิดเกิดขึ้น ความสวยงามต้องมีอันพังทลายแน่นอน

อย่างไรก็ตามหากภาครัฐสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าดูแลความมั่นคงและปลอดภัยในบ้านเมืองได้ดีเพียงพอ ไม่นานนักท่องเที่ยวจะกลับมาอย่างรวดเร็ว เหมือนทุกครั้งที่ไทยมีวิกฤตินานาประเภท เมื่อทุกอย่างผ่านไป นักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวรวดเร็ว  เพราะจุดเด่นของการท่องเที่ยวไทย มีเสน่ห์มากมายในสายตาต่างชาติอยู่แล้ว หากไร้หมอกควันมาบดบัง.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

เบาะแสเพียบชี้เหตุฆาตกรรมนิสิตวิศวะม.เกษตร


กรณีพบศพนายทศพร หรือมายด์ เลี้ยงใจ อายุ 21 ปี นิสิตปี 1 คณะวิศวกรรมจักรกล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ถูกไฟคลอกคาเตียง ขณะที่ตำรวจหวั่นถูกฆาตกรรม เนื่องจากพบพิรุธประตูห้องถูกล็อกสายยูจากภายนอก และพบก้อนหินกับเศษกองผ้าวางสุมบนศพ รวมทั้งสภาพศพมีรอยแตกที่กะโหลกศีรษะเหนือกกหู  ขณะที่นางกาญจนา เลี้ยงใจ มารดา ระบุว่าเป็นผู้แนะนำใช้ลูกชายเข้าทางหน้าต่างด้านหลัง เพราะทำกุญแจห้องหาย พร้อมยืนยันว่าลูกเป็นคนหลับลึก ส่วนก้อนหินใช้กั้นประตูเท่านั้น  เหตุเกิดในห้องเลขที่ 201 หอพักไม่มีชื่อ เลขที่ 98/18 ถนนงามวงศ์วาน ซอย 52 แยก 13 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าในวันนี้ ( 6 เม.ย. ) นางกาญจนา  พร้อมญาติเดินทางไปติดต่อขอรับศพนายทศพร เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่วัดบางเตย ถนนนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม บรรยากาศเศร้าโศก  นางกาญจนา ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ เพราะอยู่ระหว่างทำใจ ส่วนเรื่องคดีให้ตำรวจดำเนินการ
ด้าน พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.น. 2 ร่วมกับฝ่ายสืบสวน สน.พหลโยธิน ลงพื้นที่หาข่าวอย่างละเอียด เพื่อคลี่คลายคดีหลังได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนถึงผลชันสูตรศพ เบื้องต้นพบแผลที่ลำคอก่อนเกิดเพลิงไหม้ โดยที่เกิดเหตุมีหลักฐานบางอย่างบ่งบอกถึงการเคลื่อนย้ายศพด้วย แต่ยังไม่สามารถระบุบถึงแผนประทุษกรรมที่ชัดเจนได้อยู่ระหว่างรอผลตรวจอย่างละเอียด จากเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
นอกจากนี้มีรายงานว่าชุดสืบสวนได้เบาะแสเพิ่มเติมว่าช่วงเที่ยงวันที่ 4 เม.ย.มีพยานเห็นชายรูปร่างอวบมาเก็บเสื้อผ้าของผู้ตายที่ตากอยู่หน้าห้องด้วย
ส่วนพ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.พหลโยธิน ได้เรียกชุดสืบสวนประชุมอย่างเคร่งเครียดใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นเปิดเผยว่า ผลชันสูตรอย่างเป็นทางการจะออกวันที่ 10 เม.ย.นี้ เพราะจากการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้ง 5 ปาก ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน ผู้ดูแลหอ และเพื่อนข้างห้อง ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการฆาตกรรม โดยเฉพาะเรื่องของทรัพย์สินคงต้องรอสอบจากญาติที่รู้เสียก่อน  ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดไม่พบเลย  ตอนนี้ยังไม่สรุปหรือตัดประเด็นใดทิ้ง ขอเวลาทำงานก่อน คาดว่าไม่นานจะชัดเจนมากขึ้น.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

สาวท้อง8เดือนยิงดับผัวเชื่อแม่


เช้าวันนี้(6เม.ย.) พ.ต.ท.คเณรศ์  ริ้ววิยะ สารวัตรเวร สภ.บางปู จ.สมุทรปราการ รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรัทรินทร์บางปู มีเหตุชายถูกยิงด้วยอาวุธปืนได้รับบาดเจ็บสาหัสมาเข้ารักษาที่โรงพยาบาลและเสียชีวิต จึงเดินทางไปตรวจสอบทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือนายดาวเรือง เอี่ยมมี อายุ 19 ปี มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ชายโครงข้างขวา 1 นัด ที่ต้นขาขวา 1 นัด และที่ขาขวาท่อนล่างอีก 1 นัด สอบสวนทราบว่าเหตุเกิดที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 717 หมู่ 3 ซอยนวภัทร ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จึงเดินไปตรวจสอบพบว่าเป็นบ้านชั้นเดียว มีรถบรรทุก6ล้อจอดอยู่หน้าบ้านที่เบาะนั่งด้านคนขับมีรอยเลือดหยดเป็นทางเข้าไปในบ้าน จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน สอบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือน.ส.วันนิสา มากสาคร อายุ 21 ปี เป็นภรรยาของผู้ตายเอง ที่กำลังท้อง 8 เดือน หลังก่อเหตุได้หลบหนีไป ต่อมาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองสมุทรปราการว่า น.ส.วันนิสา ได้เข้ามอบตัวอยู่ที่สภ.เมือง จึงเดินทางไปรับตัวมาสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
สอบสวนน.ส.วันนิสา ให้การรับสารภาพว่าทำงานอยู่ที่ห้างเทสโกโลตัส บางปู และได้รู้จักผู้ตายมีอาชีพขับรถหกล้อส่งของ จนมาอยู่กินกันอย่างสามีภรรยาจนตั้งท้อง มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่แม่ผู้ตายบังคับให้ทำแท้ง กระทั่งท้องอีกครั้งจนถึงทุกวันนี้ได้ 8 เดือน พอแม่ผัวทราบเรื่องก็ไม่พอใจอีกและตั้งข้อรังเกียจว่าตนเคยมีครอบครัวมาแล้ว และกลัวว่าจะมาแย่งความรักจากลูกชายไป เลยพยายามกีดกันทุกอย่างและบังคับให้ผู้ตายแยกทางกับตน เลยเรียกค่าทำคลอดไป 3 หมื่นบาท และบอกว่าหากคลอดแล้วแม่ผัวจะเอาลูกมาเลี้ยงเองโดยไม่ให้ตนยุ่งกับลูก กระทั่งเมื่อวานนี้แม่ผัวได้นำเงินมาจ่ายให้พร้อมกับพูดจาเสียดสีดูถูกดูแคลนตลอดเวลา ทำให้โกรธและเกิดความแค้น เลยนำเงินที่ได้มา 3 หมื่นบาท ไปซื้อปืน รอจนวันนี้ช่วงสายๆขณะผู้ตายกำลังขึ้นรถออกไปทำงาน เลยหยิบปืนออกมาหลับหูหลับตายิงเข้าใส่ 3 นัด แล้ววิ่งหนีออกมา ส่วนปืนได้ตกหายไป ก่อนตัดสินใจมอบตัวดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยมีการไตร่ตรองไว้ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

บุกซัดลูกซองเมียผช.ผญบ.เจ็บปางตาย


มือปืนวัยรุ่น ควบฟีโน่ บุกลั่นไกยิงเมีย ผช.ผญบ.คนดัง กระสุนทะลุกระจกหน้าต่างเจาะศีรษะ อาการร่อแร่ปางตาย ขณะลุกขึ้นยืนเตรียมอุ้มหลานไปนอนในห้อง ส่วนหลานชายวัย 3 ขวบ รอดหวุดหวิด
            เมื่อเวลา 00.15 น. วันนี้( 7 เม.ย.)  ร.ต.อ.พิเชษฐ์  ซูซัน ร้อยเวร สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงที่บ้านเลขที่ 136 หมู่ที่ 6 ต.บางรัก อ.เมือง จ.ตรัง หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมด้วย พ.ต.ท.เมธี จันทร์งาม รอง ผกก.สส.สภ.เมืองตรัง  พ.ต.ท.สราวุธ  จงจิต  สารวัตรพิสูจน์หลักฐานจังหวัดตรัง  และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพ EMS โรงพยาบาลศูนย์ตรัง รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบชาวบ้านมุงดูอยู่บริเวณหน้าบ้าน ตรวจสอบภายในบ้านพบกองเลือดจำนวนมาก และบริเวณบ้านมีร่องรอยกระสุนปืนทั้งบริเวณฝาผนังบ้านและหน้าต่างกับทีวี รวม 9 รู สอบสวนทราบว่าผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ทราบชื่อนางจรรยา แก้วบุญ อายุ 48 ปี เจ้าของบ้านถูกยิงเข้าบริเวณศีรษะ 1 นัด อาการสาหัส จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนทราบว่า นางจรรยา เป็นภรรยาของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ต.บางรัก  และยังเป็นญาติกับนายอุดม แก้วบุญ สจ.เขต อ.นาโยง โดยบ้านเกิดเหตุผู้บาดเจ็บอยู่กับลูกหลาน รวม 3 คน ส่วนสามีและนายอุดม เดินทางไปทำธุระที่นอกหมู่บ้าน ขณะเกิดเหตุกำลังนั่งดูทีวีอยู่ภายในบ้านมีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้ปืนลูกซองยิงเข้าใส่ 1 นัด กระสุนกระจายทั่วบ้านและถูกนางจรรยาบาดเจ็บดังกล่าว
            เบื้องต้นทางตำรวจ สันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน หลังจากนั้นก็ได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงจากริมถนนเข้ามาทางกระจกหน้าต่างบ้าน จนถูกนางจรรยาซึ่งกำลังยืนอยู่พอดี จนได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว ส่วนสาเหตุได้มุ่งประเด็นความขัดแย้งไปที่เรื่องส่วนตัว ชู้สาว การเมืองท้องถิ่น หรือการยิงผิดตัว ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และจะได้เรียกเพื่อนบ้านของนางจรรยาฯซึ่งนั่งอยู่ในงานศพห่างจากบ้านผู้บาดเจ็บประมาณ 100 เมตร และเห็นว่ามีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ขับขี่รถ จยย.ยามาฮ่า ฟีโน่ สีม่วง-ดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ขับผ่านบ้านนางจรรยาไปประมาณ 80 เมตร แล้วเลี้ยวหัวกลับตรงหัวโค้ง เพื่อมาจอดที่บริเวณสามแยกซึ่งเป็นจุดที่มืดที่สุด จากนั้นมีเสียงอาวุธปืนดังขึ้น ก่อนที่คนร้ายทั้ง 2 จะขับรถ จยย.เลี้ยวกลับหลบหนีเข้าไปในซอยข้างๆ และต่อมาทราบว่า นางจรรยาถูกยิงดังกล่าว 
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

หวั่นคาร์บอมบ์ซ้ำตร.จัด7เซฟตี้โซน


วันนี้ (7 เม.ย.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. กล่าวถึง มาตรการการเตรียมพร้อมป้องกันการก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกแผนมาตรการดูแลป้องกันเหตุความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ไว้แล้ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเบื้องต้น ได้สั่งให้ตั้งด่านสกัดในพื้นที่ จ.สงขลา รวม 46 จุด เข้าออก 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อตรวจตราป้องกันกรณีการนำรถเข้าไปก่อเหตุ
นอกจากนี้ จะจัดเตรียมทำพื้นที่เซฟตี้โซน 7 จุดในย่านไทย-พุทธที่มักจะตกเป็นเป้าหมายในการก่อเหตุ เพื่อให้รถบุคคลจากนอกพื้นที่เข้าไปจอด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันเหตุคาร์บอมบ์ ซึ่งหากประสบผลสำเร็จจะดำเนินการขยายไปให้ครบทั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนกระแสข่าวการพยายามก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั้น ทางตำรวจได้ป้องกันดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ซึ่งภายในอาทิตย์นี้จะเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้อีกครั้ง เพื่อตรวจดูความพร้อมในการรักษาความปลอดภัย.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

รวบแก๊งแมวน้ำเจ้าพระยาอาละวาด


วันนี้ ( 7 เม.ย.) พ.ต.ต.พิภพ นามพุทรา สว.กก.สส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา นำกำลังซุ่มดักจับกุมแก๊งแมวน้ำ หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการว่า สินค้าที่บรรทุกมาทางเรือได้ถูกกลุ่มคนร้ายลอบโจรกรรมไปหลายครั้ง โดยที่บริเวณป่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา หมู่ 2 ต.ตลาดเกรียบ อ.บางปะอิน เจ้าหน้าที่พบเรือยนต์ต้องสงสัยขับเข้ามาจอดขนถ่ายสินค้าขึ้นรถกระบะ 2 คันที่จอดอยู่ริมฝั่ง จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบว่าเรือลำดังกล่าวชื่อ “โชคขวัญฤทัย” ภายในเรือมีกระสอบบรรจุน้ำตาลทรายแดง กระสอบละ 50 กิโลกรัม จำนวน 250 กระสอบ น้ำหนักรวม 1.5 ตัน มูลค่ากว่า 300,000 บาท
จากการสอบสวน นายวิรัตน์ พัชนี อายุ 27 ปี คนขับเรือ รับสารภาพว่า มีอาชีพขับเรือยนต์ลากจูงเรือบรรทุกสินค้า ได้ร่วมกันคนงานไทย และชาวเขมรโจรกรรมน้ำตาลทรายจากเรือบรรทุกสินค้าที่จอดอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับวัดโพธิ์เผือก ต.บ้านใหม่ อ.พระนครศรีอยุธยา โดยใช้เรือขนาดเล็กเข้าไปจอดเทียบเรือบรรทุกสินค้าในช่วงกลางคืน แล้วจึงกรีดผ้าใบก่อนช่วยกันโกยน้ำตาลทรายใส่กระสอบที่เตรียมไว้ขนใส่เรือยนต์ แล้วค่อยนำมาถ่ายขึ้นรถกระบะเพื่อนำไปขาย กระสอบละ 900 บาท โดยมีนายจอม ไม่ทราบนามสกุล จาก อ.ท่าเรือ เป็นนายทุน ซึ่งทำมาแล้วหลายครั้ง พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ยังได้จับกุม นายบุญธรรม ซ้งนุ่ม อายุ 28 ปี นายคัมภีร์ ศรีรักษา อายุ 30 ปี นายสุรชัย ประสงค์กลิ่น อายุ 30 ปี และชายชาวกัมพูชา อีก 5 คน ผู้ร่วมขบวนการ พร้อมของกลาง รถกระบะนิสสัน สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน บต 5663 พิจิตร และรถกระบะนิสสัน สีดำ ทะเบียน บจ 4010 พระนครศรีอยุธยา ไปสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

มุ่งประเด็นฆาตกรรมอำพรางนิสิต ม.เกษตรฯ ถูกไฟคลอก


วันนี้ (7 เม.ย.) พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพบศพ นายทศพร หรือ มายด์ เลี้ยงใจ อายุ 21 ปี นิสิตปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมจักรกล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ถูกไฟคลอก เสียชีวิตคาเตียง ว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นการสืบสวนไปที่เหตุฆาตกรรม ซึ่งเบื้องต้นได้สอบปากคำพยานไปแล้ว 7 ปาก เป็นคนที่อาศัยอยู่ในหอ แต่คดียังไม่คืบหน้ามากนัก เนื่องจากผู้พักอาศัยต่างคนต่างอยู่
สำหรับบาดแผลที่ศีรษะทางแพทย์พบว่า ถูกของแข็งกระแทกอย่างแรง ลำคอมีร่องรอยคล้ายถูกแทง อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่จะต้องรอผลตรวจอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 เม.ย.นี้ จึงยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า บาดแผลดังกล่าว เกิดขึ้นช่วงใด ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวน บก.น.2 ไปหากล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้เคียง ส่วนชุดสืบสวน สน.พหลโยธิน ไปดูเรื่องเบาะแส และมูลเหตุจูงใจ และหาเหตุการณ์ก่อน และหลังเกิดเหตุ เพื่อเชื่อมโยงความเป็นไปได้ของคดีนี้.
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดร่วงลง 15.68 จุด


ตลาดหุ้นไทยวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดวัน โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงสุดได้แค่ 1,197.04 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงไปต่ำสุดที่ 1,177.83 จุด และขยับขึ้นมาเล็กน้อย ปิดตลาดที่ 1,182.41 จุด ลดลง 15.68 จุด จากวันก่อนหน้า หรือ 1.31% โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 29,665.82 ล้านบาท ขณะที่ตลาดเอ็มเอไอ ดัชนีปิดตลาดที่ 290.52 จุด ลดลง 2.58 จุด มูลค่าการซื้อขาย 356.02 ล้านบาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุท์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลดลง จากแรงกดดันความกังวลปัญหาเศรษฐกิจยุโรป ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยในประเทศ จากการที่นักลงทุนทยอยขายทำกำไรหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนรับสิทธิ์รับเงินปันผล(เอ็กซ์ดี) ไปแล้ว โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าตลาดสูง ส่วนแนวโน้มการลงทุนสัปดาห์หน้า ดัชนีมีแนวรับที่ 1,170 จุด แนวต้านวันเปิดทำการวันแรกของสัปดาห์ที่ 1,190-1,192 จุด และมีแนวต้านทั้งสัปดาห์ที่ 1,200 จุด
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th 

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources