วันนี้ (4 เม.ย.)นายสมศักดิ์ มุนีพีระกุล นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาบ้านมือสองตกต่ำถึงขีดสุด 10-30% เนื่องจากมีบ้านมือสองพร้อมขายในตลาดเพิ่มขึ้น 10-20% จากเดิมที่มีอยู่แล้วเกือบ 400,000 หน่วย หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ถูกน้ำท่วมแห่ขายบ้านเพิ่มขึ้นอีก ไม่น้อยกว่า 150,000 หน่วย จึงต้องการขอให้รัฐบาลช่วยขยายมาตรการให้ครอบคลุมบ้านมือสองด้วยโดยด่วนหลังจากมาตรการที่ออกมาช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านนั้นไม่ตรงจุดกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งแนะนำให้ประชาชนอย่าเพิ่งตัดสินใจขายบ้านหนีน้ำท่วมครึ่งปีแรกนี้
“ตลาดธุรกิจบ้านมือสองไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น ยังคงอยู่ในภาวะยังคงซบเซาต่อเนื่อง ขณะที่มีบ้านมือสองที่พร้อมจะขายในตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 150,000 หน่วยหลังเหตุการณ์น้ำท่วม ทั้งนี้ จากการสำรวจโซนน้ำท่วมพบว่ามีทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสองได้รับผลกระทบ 1.5-1.6 ล้านหน่วย ในจำนวนนี้มีทั้งบ้านที่เข้าอยู่อาศัยมานานแล้ว บ้านที่เพิ่งเข้าอยู่อาศัย และบ้านที่ยังไม่เคยเข้าอยู่อาศัยเลย รวมทั้งกลุ่มบ้านมือสองที่กำลังประกาศขายอยู่ เพราะหลังจากน้ำท่วมแล้วทำให้มีบ้านมือสองที่พร้อมจะขายในตลาดเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาบ้านที่ลดลง 10-30% ขึ้นอยู่กับความเสียหาย และในกรณีที่น้ำท่วมมาก ๆ ก็จะกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ และมักจะขายไม่ได้ราคา เพราะผู้ซื้อจะต่อรองราคาค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สามารถขายได้ราคาดีนัก”
นอกจากนั้น ความช่วยเหลือของภาครัฐ ก็ไม่ได้เน้นบ้านมือสองเลย เห็นได้จากมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมา มักไม่ถึงบ้านมือสองโดยตรง เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ดีมาก แต่ข้อเสียคือต้องเป็นการซื้อบ้านใหม่เท่านั้น ซึ่งสมาคมฯ ได้พยายามชี้แจงให้ภาครัฐได้เห็นว่าหลังเหตุการณ์น้ำท่วม มีบ้านมือสองประกาศขายเพิ่มขึ้น หากประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านมือสองในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นบ้านมือสองและเป็นบ้านหลังแรกได้รับผลจากมาตรการนี้ด้วยช่นกัน ก็จะทำให้คนขายบ้านในโซนน้ำท่วมขายได้ง่ายและมากขี้น และทำให้ตลาดคึกคักเพราะจะเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อ และภาครัฐจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
“ความจริงแล้ว รัฐก็ไม่ได้ทอดทิ้งธุรกิจบ้านมือสองเลยทีเดียว เนื่องจากมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดการซื้อบ้านมือสองราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท และได้สิทธิดอกเบี้ย 0% นาน 3 ปี แต่เงื่อนไขไม่ได้ช่วยเหลือบ้านมือสองทั้งหมด เพราะช่วยเหลือเฉพาะผู้ซื้อบ้านมือสองที่เป็นทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์เท่านั้น ทำให้บ้านมือสองทั่วไปไม่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ดังนั้น รัฐต้องทบทวนมาตรการความช่วยเหลือให้ครอบคลุมบ้านมือสองให้ทั่วถึงด้วย”
ทั้งนี้ หากมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจบ้านมือสอง เชื่อว่าจะทำให้ตลาดมีสภาวะการซื้อขายที่ดีขึ้น และการที่รัฐตั้งงบประมาณไว้ถึง 20,000 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก แต่มีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการไม่ถึง 20% หรือ 2,000-3,000 ล้านบาทเท่านั้น หากมาตรการนี้ ครอบคลุมถึงบ้านมือสองด้วย เชื่อว่าจะมีตัวเลขมากขึ้นแน่นอน
สำหรับยอดขายบ้านมือสองทั้งบ้านประกาศขายเองและเอ็นพีเอแต่ละปีน่าจะอยู่ที่ 50,000-60,000 หน่วย แต่หลังจากน้ำท่วม ยอดขายก็ได้รับผลกระทบ และสมาคมฯ ได้ออกประกาศเตือนผู้บริโภคว่าหากไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าเพิ่งขายบ้านในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เพราะราคาขายจะตกต่ำค่อนข้างมาก เชื่อว่าปลายไตรมาส 2-3 น่าจะทำให้ความรู้สึกเรื่องน้ำท่วมน่าจะเบาบางลง และทำให้ราคาบ้านมือสองดีขึ้น แต่หากภาครัฐมีมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันน้ำท่วม จะเป็นปัจจัยที่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้าน โดยเฉพาะในทำเลที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมซึ่งจะทำให้คนไม่อยากขายบ้านทิ้ง เพราะพฤติกรรมคนไทยนั้นส่วนใหญ่ไม่ต้องการย้ายบ้านจากถิ่นที่เคยอยู่ หรือ ย้ายจากถิ่นที่ทำงานอยู่เดิม
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th