วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทบ.จับมือเอกชนพัฒนาเครื่องช่วยฝึกยิงเลเซอร์


เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต พล.ท.อำพล ชูประทุม ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก  (ผช.เสธ.ทบ.) เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการวิจัยและพัฒนาเครื่องช่วยฝึกยิง ด้วยแสงเลเซอร์ ระหว่างสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก (สวพ.ทบ.) และบริษัท เมก้า ฟอร์ซ อินเตอร์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยระดับเทคโนโลยีระดับสูง พร้อมมอบนโยบายดำเนินการแก้นายทหารโครงการเพื่อการปฏิบัติงานตามแผนงาน
โดยพล.ต. หม่อมหลวง ระวีวัฒน์ เกษมสันต์ ผอ.สวพ.ทบ. กล่าวว่าจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหากรณีพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ของผู้ก่อความไม่สงบและผู้ไม่หวังดี กองทัพบกเป็นหน่วยงานหลักในการจัดเตรียมกำลังพลจำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมกำลัง พลให้มีความพร้อมต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของกรมยุทธศึกษา ทหารบก และเพื่อให้การฝึกมีประสิทธิภาพสูงสุด หน่วยงานฝึกจำเป็นต้องอาศัยเครื่องฝึกจำลองการยิงอาวุธทหารราบด้วยแสง เลเซอร์ จัดซื้อมาจากต่างประเทศตั้งแค่ปี 35 แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่นำไปทดแทนของเดิมที่ชำรุด ทำให้สวพ.ทบ.ได้มีโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกับบริษัทเมก้าฯ ดำเนินการวิจัยและพัฒนาต้นแบบเครื่องช่วยฝึกยิงแสงเลเซอร์ฝีมือคนไทยภายใต้ ชื่อ แอลซีซีเอส ที่สามารถผลิตได้ในประเทศ โดยมีศักยภาพเทียบเท่ากับเครื่องที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีความเหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ใช้สอดคล้องกับการฝึกตามระเบียบหลัก สูตรการฝึกของกองทัพบก อย่างไรก็ตามสวพ.ทบ.เป็นผู้อำนวยสถานที่ เครื่องมือ และยุทโธปกรณ์ที่จัดหาได้ภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการพึ่งพาตนเองทางทหาร รวมถึงแก้ไขปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ด้านนายศักดา ศรีวิริยะไพบูลย์  กรรมการผู้จัดการบ.เมก้าฯ กล่าวว่า ต้นแบบเครื่องฯเป็นชุดยิงเลเซอร์ติดประกอบปืนจริง เพื่อใช้ฝึกแทนกระสุนจริงโดยใช้ได้ทั้งเอ็ม 16 ปืนเล็กยาว หรืออื่นๆตามความเหมาะสมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกำลังพลในหารใช้อาวุธ จริงเมื่อต้องออกปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ที่เสี่ยงภัย และสามารถประหยัดงบประมาณในการฝึกได้ ทั้งยังมีความปลอดภัยต่อกำลังพลในขณะฝึก โครงการดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 180 วันนับจากวันที่ได้รับอนุมัติให้เริ่มดำเนินการ ซึ่งใช้งบประมาณการวิจัย 3.5 ล้านบาท จากบริษัทเมก้าฯทั้งหมด เพื่อพัฒนาเครื่องต้นแบบจำนวน 24 ชุด เดิมซื้อจากต่างประเทศชุดละ 3 แสนบาท ในส่วนที่ไทยผลิตเองชุดละประมาณ 2 แสนกว่าบาท ทำให้สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อชุดไปร้อยละ 30 อย่างไรก็ตามการที่ไทยเป็นผู้ผลิตเครื่องช่วยฝึกยิงเลเซอร์นั้นสามารถออกแบบ ให้สอดคล้องกับระบบการฝึกเพื่อประโยชน์สูงสุด รวมถึงการซ่อมแซมที่สะดวกมากกว่า.

นายกฯยอมรับพื้นที่ต้นน้ำบางส่วนเตรียมรับน้ำไม่ทัน



วันนี้ (3 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมครม. ถึงการเรียกประชุมสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ(สบ อช.)ในช่วงเย็น ว่า ช่วงนี้ใกล้แล้วในฤดูฝน และแม้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุกภัย (กบอ.) ทำงานในการติดตามอยู่แล้ว จึงอยากติดตามและรับฟังรายงานจากทุกหน่วยงานโดยตรง รวมถึงหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การเตรียมการในส่วนของพื้นที่ต้นน้ำยังมีบางส่วนที่ยังล่าช้า จึงขอฟังและเช็ครายละเอียด ซึ่งหลายหน่วยงานได้เร่งรัดในการทำงาน เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะเสร็จทัน แต่อาจจะมีบางส่วนที่กำหนดการเสร็จต้องเลื่อนออกไปจากเดือน มิ.ย.นี้ แต่ต้องดูว่าเป็นสาระสำคัญหรือไม่ และดูว่าจะมีการปรับแผนกันอย่างไร
เมื่อถามว่าขณะนี้เกิดเหตุพื้นดินทรุดตัวที่จ.อ่างทอง อยุธยา และปทุมธานี โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม ได้สั่งการให้ติดตามอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตาม แต่ตนยังไม่ได้รับรายงานผลที่ละเอียดมา ซึ่งถ้าทราบรายละเอียด ตนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถามต่อว่าในการเตรียมการรับมือสถานการณ์น้ำขณะนี้สบายใจขึ้นหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนสบายใจในบางส่วนแล้ว เพราะการบริหารการจัดการน้ำ โดยเฉพาะการพร่องน้ำในเขื่อนซึ่งเราได้ทำแล้ว ส่วนการขุดลอกคูคลองนั้น แม้จะมีบางส่วนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ถ้าดูจากความก้าวหน้า ก็คาดว่าน่าจะรองรับได้ ทั้งนี้ ตนยังเป็นห่วงเรื่องสิ่งก่อสร้าง เพราะกว่าจะมีการทำหนังสือจัดซื้อจัดจ้าง ต้องใช้เวลามาก ตนอยากให้ดูให้แน่ใจว่าก่อนที่น้ำจะมา สิ่งก่อสร้างได้เตรียมพร้อมรองรับแล้ว ซึ่งหลายหน่วยงานจะปรับวิธีการในการทำชั่วคราว ดึงในส่วนที่มีความสำคัญขึ้นมาเร่งทำงานก่อน ส่วนที่เหลือเราต้องพูดคุยประสานงานกัน.

ไฟเขียวปรับค่าเสี่ยงภัยใต้ พม. จาก 2,500ขยับเป็น5,000บาท


ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 3 ก.ค. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม. ว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ให้ปรับอัตราเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้การเคหะแห่งชาติปรับอัตราเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่พนักงานที่ ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูแลขวัญและกำลังใจของพนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยท่ามกลาง เหตุก่อการร้ายซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา จึงมีมติเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติปรับอัตราเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้จากอัตรารายละ 2,500 บาทต่อเดือน เป็นอัตรารายละ 5,000 บาทต่อเดือน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ครม.อนุมัติ

“มาร์ค" ชักล้าค้านปรองดอง แนะทุกฝ่ายจับเข่าหาทางออก


วันนี้ ( 3 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการฟ้าวันใหม่ ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกายแชลแนล ถึงกรณีที่ผลโพล ถึง 73 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยให้ถอนร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ ออกไปว่า ตนอยากถามว่า ถ้าถอนออกไป แล้วจะทำอะไรต่อ และหากถอนแล้ว แนวคิดเรื่องการปรองดองทั้งหมด ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมาพูดคุยกัน อาทิ รัฐบาล ฝ่ายค้าน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ง ชาติ(คอป.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กมส.) เป็นต้น หรือถ้าจะนำคู่กรณี อย่างแกนนำคนเสื้อแดง หรือกลุ่มอื่นๆ มาร่วมพูดคุยก็สามารถทำได้ เพื่อที่จะมาตั้งหลักกันอีกครั้ง แต่ถ้าแค่ปล่อยเวลาผ่านไปเพื่อรอดูจังหวะว่าจะแอบนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้ามาสู่การพิจารณาได้ในช่วงเวลาไหน ตนเห็นว่าคงไม่เกิดประโยชน์ เพราะบ้านเมืองก็จะอยู่บนความไม่แน่นอนและความหวาดระแวง.

พท. จวก “โฆษกกทม.”ให้ข่าวมั่วเงินช่วยน้ำท่วม


วันนี้ (3ก.ค.) ที่รัฐสภา นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวตอบโต้นายวสันต์  มีวงษ์ โฆษกกรุงเทพมหานครที่ออกมาระบุว่าการจ่ายเงินเยียวยาช่วยน้ำท่วมของรัฐบาล 2 มาตรฐาน กรุงเทพฯและต่างจังหวัดไม่เท่ากัน ว่า ยืนยันว่าการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยทั้ง  64 จังหวัดและ และพื้นที่กทม. 42 เขต ได้ใช้หลักเกณฑ์และกติกาเดียวกันตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ปี 2546 ไม่มีข้อแตกต่างรวมทั้งที่ประชุมคณะกรรมการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่มี รมว.มหาดไทยเป็นประธาน เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ได้มีการเพิ่มเวลาออกไปอีกถึงวันที่ 29 ก.ค.นี้เช่นเดียวกัน ทั้งในต่างจังหวัด และกทม.ด้วย แม้ว่าที่ประชุมจะสอบถามถึงปัญหาการจ่ายเงินชดเชย แต่ตัวแทนของผู้ว่ากทม. คือนายสมภพ ระงับทุกข์  รองปลัดกทม.ที่เข้าร่วมได้ระบุว่าไม่ทบทวนการจ่ายเงินโดยยืนยันว่าวงเงินที่ ได้รับถือว่าเพียงพอแล้ว

นายวิชาญ กล่าวอีกว่า แม้ว่าตัวแทนกทม.จะไม่เรียกร้องเงินชดเชยอีกแต่รัฐบาลก็ได้ขยายเวลาเพิ่มให้ เพื่อดำเนินการ ส่วนกรณีที่ผู้ประสบภัยได้รับเงินไม่เท่ากันโดยเฉพาะในพื้นที่กทม. ถือเป็นเรื่องการดำเนินการภายในของกทม. ต้องไปถามผู้ว่ากทม.ในฐานะผู้บริหารจัดการว่าได้ ปฏิบัติ ให้มีการประเมิน ประมาณการอย่างไร ก่อนที่จะตำหนิรัฐบาลควรจะตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ตนขอเรียกร้องว่าไม่ควรนำความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นประเด็นหรือหาเสียง ทางการเมือง จะทำให้ประชาชนเพิ่มความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการบริหารงานของรัฐบาล พร้อมกันนี้ขอให้ผู้ว่ากทม.ได้ส่งตัวแทนไปแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่คันนายาว ที่ได้ร้องเรียนการจ่ายเงินยาที่ไม่เป็นธรรมกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในขณะนี้ด้วย.

นายกฯเรียกถก กบอ. ฉุนจัดรับมือน้ำท่วมอืดอาด


 วันนี้ (3 ก.ค.) ที่สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานกบอ. เพื่อร่วมประชุมและติดตามความคืบหน้างานที่ได้มีการสั่งการและอนุมัติ โครงการและงบประมาณลงไป ซึ่งการประชุมครั้งนี้ไร้เงาของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมเป็นการเร่งด่วน เนื่องจากเกิดความไม่พอใจหลังได้รับการรายงานเรื่องการบริหารจัดการน้ำในบาง พื้นที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยเฉพาะพื้นที่ต้นน้ำ ทั้งที่ได้มีการกำชับและอนุมัติงบประมาณลงไปแล้ว อีกทั้ง ฝนได้เริ่มทยอยตกลงมา ซ่ึงนายกรัฐมนตรีวิตกว่าจะเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำรอย.

โจรใจใต้เหิมซุกบึ้มยะลาวันเดียว 3 จุด


สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันนี้ (3 ก.ค.) เมื่อเวลา 08.50 น. พ.ต.อ.ธนิทธิ์ มัทยาท ผกก.สภ.ลำใหม่ จ.ยะลา  ได้รับแจ้งมีเหตุระเบิด บนถนนสายบ้านเนียง – ลำใหม่ บ้านพิกุล หมู่  6 ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา ห่างจาก สภ.ลำใหม่ประมาณ 300 เมตร รุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบ เศษชิ้นส่วนระเบิดกระจัดกระจายอยู่ทั่ว มีรถยนต์บรรทุกทหารของ ร.5 พัน 1 ตกอยู่ในคูน้ำข้างทาง สภาพรถได้รับความเสียหายเล็กน้อย มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 นาย ถูกส่งไปรักษาตัวที่ รพ.ยะลา คือ จ.ส.อ.สุรศักดิ์ สุขเอียด  จ.ส.อ.ประวิทย์ ฝันฤกษ์  พลทหารสุธน อิ่มใหญ่   พลทหารเอกพล กฎการกั้น   พลทหารคุณากร ทองหนูเอียด  และพลทหารพรชัย สังข์แก้ว ทั้งหมดบาดเจ็บเล็กน้อย
  สอบสวนทราบว่า คนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนัก 5 ก.ก. วางไว้ในตะกร้าหน้ารถจักรยาน แล้วนำกล้วยมาวางทับไว้เพื่ออำพราง พอผู้บาดเจ็บผ่านมา คนร้ายที่ซุ่มอยู่ในป่าสวนยางก็กดระเบิดเสียงดังสนั่น จนรถเสียหายตกไปในคูน้ำ จากนั้นคนร้ายอีก 4 คน ขับรถโตโยต้า วีโก้ สีขาว ไม่ทราบทะเบียน มาจอดประกบ ก่อนใช้อาวุธปืนยิงซ้ำใส่เจ้าหน้าที่  จนเกิดการยิงปะทะ 5 นาที จนคนร้ายได้ถอยร่นไปขึ้นรถหลบหนีไป คาดว่าคนร้ายต้องการปลิดชีพทหารเพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรง

  ต่อมา เวลา 12.15 น. พ.ต.ท.แสนชัย เจษรินทร์  สวส.สภ.โกตาบารู อ.รามัน จ.ยะลา รับแจ้งมีเหตุระเบิดขึ้นอีก บริเวณ หมู่ 5 บ้านลือมุ ต.บือมัง ถนนสายลือมุ- พงษ์ตา จึงไปตรวจสอบพร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด พบรถกระบะ มิตซูบิชิ  สตาด้า สีแดงคาดเทา ทะเบียน บฉ 8225 ยะลา ถูกแรงระเบิดจนขาดเป็นสองท่อน ส่วนผู้ขับคือ นายมะรอมือลี  เจ๊ะกูโน อายุ 49 ปี เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 ต.บือมัง ถูกระเบิดจนร่างกายขาดวิ่น เลือดไหลนอง ใกล้กันพบเศษถังดับเพลิง มีชนวนลากเข้าไปในสวนยางยาว 80 เมตร จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
 สอบสวนทราบว่า ขณะที่ผู้ตาย เดินทางกลับจากประชุมที่ อ.รามัน คนร้ายได้จุดระเบิดด้วยแบตเตอรี่ จนรถพังยับและมีผู้เสียชีวิตทันที ส่วนสาเหตุเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ ต้องการสังหารผู้ตาย เนื่องจากผู้ตาย ให้ความร่วมมือประสานกับทางการมาโดยตลอด จากนั้น ได้เกิดระเบิดขึ้นที่ หมู่ 2 บ้านกือลอง อ.บันนังสตา ทำให้มีทหารสังกัด ร้อย ร. 7021 ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ขณะกำลังเดินลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยครู ซึ่งคนร้ายน่าจะเป็นชุดเดียวกับที่เพิ่งฆ่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 เมื่อชั่วโมงที่แล้ว
  อีกจุดช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ไปดูเหตุระเบิดที่บ้านกือลอง หมู่ที่ 2 ต.ตลิ่งชัน ถนนสายปาลอปาตะ พบรถทหารสังกัดร้อย ร.7021 สังกัด ฉก.ยะลา 15 ตัวถังถูกระเบิดเสียหายบางส่วนมี  ส.อ.รณชัย สาพา อายุ 22  ปี ได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาล คาดว่าคนร้ายไม่ต่ำกว่า 2 คน ดักซุ่มจุดระเบิด.

โรคลึกลับคร่าชีวิตเด็กเขมรแล้ว 60 ราย


วันนี้ (3 ก.ค.) คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก (ฮู) ประจำกัมพูชา กำลังเร่งตรวจสอบหาสาเหตุ และตัวตนของโรคลึกลับชนิดหนึ่ง ซึ่งคร่าชีวิตเด็กเล็กในกัมพูชา 60 รายแล้ว ในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา โดย ดร.นิมา อัสการี ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของฮูประจำกัมพูชา เผยที่กรุงพนมเปญ ในวันนี้ ว่า ผู้ป่วยทั้งหมดล้วนเป็นเด็กเล็กอายุไม่เกิน 7 ขวบ ถูกนำส่งโรงพยาบาลในกรุงพนมเปญ และจังหวัดเสียมเรียบ เมืองท่องเที่ยวทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มีผู้ป่วยติดเชื้อเท่าที่พบ 61 ราย รอดชีวิตแค่รายเดียว นอกนั้นเสียชีวิตทั้งหมด โดยรายแรกเสียชีวิตในเดือน เม.ย. อาการที่พบคือ มีไข้ขึ้นสูง เจ็บหน้าอกรุนแรง และเด็กบางรายมีอาการทางประสาทเกี่ยวข้องด้วย

ดร.นิมา กล่าวอีกว่า การสอบสวนยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น โรคนี้ถือว่าเข้าขั้นร้ายแรง เมื่อดูจากจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าโรคนี้มีการติดต่อ ไม่มีแพทย์พยาบาล หรือเพื่อนบ้านล้มป่วย ด้วยอาการคล้ายคลึงกัน.

แกนนำแดงลั่นกลองรบ ประกาศชัดไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรธน.


วันนี้ิ (3 ก.ค.) ที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว พรรคเพื่อไทยจัดปราศรัยครั้งที่ 5 ภายใต้หัวข้อ "ทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ 50 ทำไมต้องปรองดอง" แกนนำกลุ่ม นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยสลับขึ้นปราศรัยต่อเนื่อง ขณะที่ประชาชนก็ทยอยเดินทางมาฟังปราศรัยต่อเนื่องท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา นานกว่าครึ่งชั่วโมง จนเต็มพื้นที่ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ปราศรัยว่า รัฐบาลดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญและมีกฎหมายปรองดองตามนโยบายที่แถลงต่อสภา แก้รัฐธรรมนูญให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ใครมีปัญหามีความเห็นอย่างไรก็เสนอต่อ ส.ส.ร. แต่ยังไม่ทันมีเลือกตั้ง ส.ส.ร.พรรคประชาธิปัตย์และพวกก็ร้องคัดค้านด้วยข้อกล่าวหาไร้สาระว่าล้มล้าง ระบอบการปกครอง เปลี่ยนโครงสร้างประเทศเป็นระบอบประธานาธิบดี แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็รับไว้ ศาลรัฐธรรมนูญกำลังล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ จะเป็นกบฏโดยไม่รู้ตัวหรืออย่างไร นี่เป็นความผิดอาญาที่ต้องถูกยื่นถอดถอน ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะปล้นอำนาจไปจากประชาชนอีกครั้ง ซึ่งยอมไม่ได้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินอย่างไร เราจะเดินหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน
ต่อมานายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ปราศรัยว่า เราไม่จำเป็นเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 5-6 ก.ค.เพราะเรามีเกียรติยศและจิตใจที่มีความยุติธรรมพอ ไม่ต้องเดินทางไปขอความเมตตาจากคนที่ไม่มี วันที่ 23 ก.ค.นี้ศาลอาญาจะมีคำวินิจฉัยเรื่องถอนประกันตนหรือไม่ แต่ไม่รู้ว่าระหว่างวันที่ 5-8 จะเกิดอะไรขึ้นก่อน แต่ 20 วันที่เหลือจากนี้จะเดินสายสู้ทุกที่ทุกทาง นายจตุพร ปราศรัยต่อว่า ระยะทางต่อไปนี้เป็นสถานการณ์ที่สำคัญ ไม่รู้ว่าวันนี้ใครไปวางแผนเหมือนการยุบพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชนหรือไม่ แต่วันนี้ทหารไม่กล้ายึดอำนาจเพราะรู้ว่าเราจะสู้ จึงต้องใช้กลไกพิเศษที่เรียกว่า "อมาตยาภิวัฒน์
" มันกำลังออกฤทธิ์กับทุกองค์กรเพราะมั่นใจว่าทำอะไรก็ได้ จึงจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ 50 เพราะคนในองค์กรอิสระมาจากเครือข่ายอำมาตย์ วันที่ 5-6 ก.ค.ขอให้พี่น้องติดตามการแถลงข่าวทางช่องเอเชียอัพเดท และขอให้พี่น้องเก็บเสื้อผ้าเตรียมใจเตรียมกายให้พร้อมเพื่อรักษา ประชาธิปไตย ใจนี้จะไม่ยอมจำนนพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรม ขอสัญญาใจ 1 ข้อไม่ว่านายจตุพร จะอยู่ในคุก ในโลง ขอให้พี่น้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรมจนกว่าจะได้รับชัยชนะ จากนั้นเวลา 21.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำ นปช. ปราศรัยว่า  วันที่ 5-6 ก.ค.ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่รัฐบาลและสภาจะเดินหน้าต่อไป เราจะไม่ยอมรับเพราะการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำตามอำเภอใจ ไม่ได้ยึดข้อกฎหมาย ไม่เข้าด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และรัฐธรรมนูญให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเสนอแก้ไข ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิ์มาชี้ว่าเราผิดหรือถูกเพราะศาลทำผิดมาแต่ ต้น เราจะไม่ยอมให้ล้มรัฐบาลที่มาจากฉันทานุมัติประชาชนอีกแล้ว "ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาชุดแดงมาใส่และกวัดแกว่งธงรบ เพราะขณะนี้มีขบวนการคนหน้าเดิม ฉายหนังเรืองเดิมเรื่องพิฆาตประชาธิปไตย เราจะสยบให้กับอำนาจอยุติธรรมไม่ได้" นายณัฐวุฒิ กล่าว .

นร.ปากน้ำโพเล่นระเบิด-บึ้มมือขาดสยอง


วันนี้ ( 3 ก.ค.55) ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยนครสวรรค์ว่า มีเหตุนักเรียน 2 ราย ของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์  ได้รับบาดเจ็บสาหัส  จากการถูกแรงระเบิด ไม่ทราบชนิด มาเข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จึงเดินทางไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลดังกล่าว พบว่า นักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นเยาวชนชาย อายุ 14 ปี  ทั้งคู่ คือ ด.ช.เอและ ด.ช.บี (ทั้งคู่นามสมมุติ) โดย ด.ช.เอ ได้รับบาดเจ็บสาหัส มือซ้ายฉีกขาด ส่วน ด.ช.บี มีบาดแผลถูกสะเก็ดระเบิดพุ่งเข้าตามร่างกายหลายแห่ง ซึ่งขณะนี้ ยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยมีแพทย์และพยาบาล คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
จากการสอบถามข้อมูล ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บ ถูกแรงระเบิดชนิดอะไร เนื่องจาก ทั้งคู่ ยังให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ แต่ในเบื้องต้น ทราบว่า ก่อนหน้านี้ ด.ช.เอได้ไปเจอลูกระเบิด แบบมีสลัก ตกอยู่ในพื้นที่ใกล้บ้าน จึงได้เก็บเอาไว้ แล้วนำติดตัวมาโชว์ให้ ด.ช.บี ดูภายในโรงเรียน จนเกิดเหตุระเบิดขึ้น ซึ่งคาดว่า สลักระเบิดน่าจะหลุดในช่วงระหว่างที่ ด.ช.เอนำออกมาโชว์ให้เพื่อนรักดู
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุ นักเรียนทั้งคู่ ถูกนำตัวส่งสถานีอนามัยใกล้กับโรงเรียนที่เกิดเหตุ ก่อนที่ทีมหน่วยกู้ภัยนครสวรรค์จะเดินทางมารับตัว พาไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ในเวลาต่อมา ซึ่งในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์  จะดำเนินการสอบสวนถึงที่มาของระเบิด และในช่วงเกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง.

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources