วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สภาเร่งสปีดผ่านงบ3มาตรารวด


เมื่อเวลา 18.45 น. วันที่ 17 ส.ค. ที่ประชุมได้พิจารณามาตรา 13 งบประมาณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยราชการในกำกับ วงเงิน 30,657,787,400 บาท โดยที่ประชุมใช้เวลาพิจารณากันไม่ถึง 1 ชั่วโมง
จากนั้นได้มีมติเห็นกับคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยคะแนน284 ต่อ 96 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง หลังจากนั้นได้ให้ความเห็นชอบในมาตรา 14 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วงเงิน 7,598,809,500 บาททันทีเนื่องจากไม่มีผู้อภิปราย โดยเห็นชอบกับคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยคะแนน 287 ต่อ 74 เสียงและเห็นชอบในมาตรา 15 กระทรวงพลังงาน วงเงิน 1,956,623,100 บาท โดยไม่มีผู้อภิปราย ซึ่งได้เห็นชอบกับคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยคะแนน 286 ต่อ 86 เสียง

ปชป.อัดกท.พาณิชย์ไร้ประสิทธิภาพ


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ในการประชุมพิจารณามาตรา 16 กระทรวงพาณิชย์ วงเงิน 7,430,322,600 บาท โดยส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ ส.ส.จันทบุรี อภิปรายติติงการจัดงบประมาณของกระทรวงพาณิชย์ ว่า รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารงบประมาณแบบโม้ โดยในโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง สร้างความเจ็บปวดให้กับเกษตรกรมาก เพราะประสบปัญหาการขาดทุน อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณในกระทรวงนี้ยังไม่เหมาะสม ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่โปร่งใส แก้ปัญหาปากท้อง ของแพงไม่ได้ มีปัญหาพลังงานราคาแพง ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำทำให้ต้นทุนการครองชีพสูงขึ้น มีปัญหาโครงการจำนำข้าว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่แก้ปัญหาในเชิงรุก ทำให้ประชาชนเดือดร้อน โดยเฉพาะโครงการร้านถูกใจ ที่มีปัญหามากมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการฯ ไม่ได้ชี้แจงเกี่ยวกับข้อติติงต่าง ๆ ในที่สุดที่ประชุมได้มีมติเห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยคะแนน 282 ต่อ 69 เสียง

สภาป่วนกลางดึกส.ส.พท.ประท้วง"วัชระ"วุ่น


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการพิจารณางบฯ มาตรา 17 ของกระทรวงมหาดไทย มีการอภิปรายเพียง 30 นาที ที่ประชุมได้ลงมติเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยคะแนน 286 ต่อ 98 เสียง จากนั้นเวลา 21.00 น.ที่ประชุมพิจารณามาตรา 18 กระทรวงยุติธรรม โดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายติติงการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้เกือบ 1,140 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมาดีเอสไอกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองทำร้ายฝ่ายตรงข้าม เช่น การออกหนังสือเรียกผู้บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมปี 2553 ให้สำนักนายกรัฐมนตรีผ่านพรรคประชาธิปัตย์มาสอบ ทั้งที่ยังไม่มีการรับเป็นคดีพิเศษ และคดีนี้ดีเอสไอก็ไม่มีอำนาจสอบสวน ไม่ทราบว่าเป็นการรับลูกทางการเมืองมาหรือไม่ และถือว่าไม่ตรงกับพันธกิจในการบังคับใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม นอกจากนี้รองอธิบดีดีเอสไอ บอกว่าจะเรียกทหารที่ใช้สไนเปอร์มาสอบ แต่ในคดีเกี่ยวกับชายชุดดำในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองกลับไม่มีความคืบ หน้า ไม่ทราบว่ากรรมาธิการฯได้สอบถามเรื่องนี้หรือไม่

ด้านนายชวลิต วิชยสุทธิ์ กรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาการเมืองอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่สบายใจกับการทำงานดีเอสไอ เมื่อการเมืองเปลี่ยน การเมืองอีกฝ่ายก็ไม่พอใจเช่นกัน ซึ่งรู้สึกเห็นใจข้าราชการ แต่ในการพิจารณาคณะกรรมาธิการฯก็ได้ปรับลดงบประมาณของดีเอสไอไปแล้ว

จากนั้นนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการผู้สงวนคำแปรญัตติ ลุกขึ้นอภิปรายโดยอ่านเอกสารที่อ้างว่าเป็นคำชี้แจงของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ต่อคณะกรรมาธิการฯ ที่ระบุว่า ดีเอสไอถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล ทำให้บรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทย พากันลุกขึ้นประท้วง อาทิ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่ลุกขึ้นโดยนำเอกสารที่อ้างว่าเป็นเอกสารจากคณะกรรมาธิการฯ มาอ่านโดยระบุว่า นายธาริต ได้ชี้แจงว่า ดีเอสไอถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายรัฐบาลในคดีก่อการร้าย ซึ่งคนฟังจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลของพรรค ประชาธิปัตย์ ดังนั้นนายวัชระ เอาเอกสารมาอ่านไม่หมดถือว่าบิดเบือน และเอาเอกสารออกมาได้อย่างไร จึงอยากให้นายวัชระ ส่งมอบเอกสารให้ประธานและให้ประธานในที่ประชุมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่อง นี้ด้วย
โดยระหว่างนั้นนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาคนที่ 1 ในฐานะประธานในที่ประชุม ได้พยายามไกล่เกลี่ย ขอให้นายวัชระ อภิปรายให้จบก่อน แล้วให้ส่งเอกสารมาให้ประธานในภายหลัง แต่ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่ยอม พากันลุกขึ้นประท้วงหลายคน ขณะที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็ลุกขึ้นประท้วงเช่นกัน โดยเสนอให้ประธานตรวจสอบเอกสารของนายประชา ที่นำมาอ่านในที่ประชุมด้วย ซึ่งการประท้วงดังกล่าวเสียเวลาการประชุมไปถึง 25 นาที ในที่สุดนายเจริญ ได้วินิจฉัยให้นายวัชระ อภิปรายต่อ และเมื่ออภิปรายเสร็จแล้วขอให้ทั้งสองฝ่ายส่งเอกสารให้ประธานคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าเอกสารของฝ่ายไหนเป็นของจริง.

นายกฯปูรับรัฐบาลเดินตามหลังโจรใต้ รู้การข่าวแต่ป้องกันไม่ได้


ที่วัดบัวแก้วศรัทธาธรรม เขตคลองสามวา เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 17 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า  ได้สั่งการศูนย์ปฏิบัติขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) รวบรวมข้อมูลและติดตามสถานการณ์ รวมทั้งได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดแล้ว

เมื่อถามว่าวันนี้ดูเหมือนเรารู้การข่าวว่าจะเกิดอะไร แต่กลับไม่สามารถป้องกันได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า การปฏิบัติต่าง ๆ จะคงต้องทำให้รวดเร็วกว่านี้ รวมทั้งทำเรื่องของระบบป้องกัน เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในลักษณะของการตามหลัง ดังนั้น จะต้องทำเรื่องระบบป้องกันให้ดี ขณะเดียวกันจะต้องช่วยกัน เพราะปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง การให้ข้อมูลต่าง ๆ ก็ต้องระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางครั้งให้ข้อมูลไปไม่ถูกอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้.

“ปริญญา”เผยนศ.ชายแต่งหญิงเข้ารับปริญญาไม่ใช่เรื่องใหม่


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่โรงแรมเซ็นทรา คอนเวนชันเซ็นเตอร์ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุญาตให้นายบารมี พาณิช (เด่นจันทร์) นักศึกษาชาย แต่งกายเป็นหญิงเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้มีนักศึกษามายื่นความจำนงขอแต่งกายเป็นหญิงเข้า รับพระราชทานปริญญาบัตรด้วยกัน 6 ราย และในปีนี้มีเพิ่มอีก 2 ราย ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะทางมหาวิทยาลัยไม่ได้อนุญาตเป็นการทั่วไป แต่จะพิจารณาอนุญาตเป็นรายบุคคล  ในส่วนของนายบารมีนั้น ได้มีใบรับรองแพทย์มาแสดงว่า จิตใจเป็นผู้หญิง และแพทย์ก็เห็นสมควรว่าอยู่ในวิสัยที่ควรผ่อนปรน  อีกทั้งนักศึกรายนี้ยังได้ทำหนังสือถึงสำนักพระราชวัง เพื่อขออนุญาตแล้ว ซึ่งทางสำนักพระราชวังก็ให้แนวทางว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนที่ทางมหาวิทยาลัยจะอนุญาตนั้น ก็ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า หากนักศึกษาผู้ชายที่ใจเป็นหญิง และต้องการที่จะแต่งกายเป็นผู้หญิงเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรนั้น  จะต้องทำหนังสือขอมาเป็นรายบุคคล รวมถึงต้องแนบใบรับรองแพทย์มาเป็นหลักฐานว่าตนมีสภาพจิตใจที่ไม่ต้องกับเพศ สภาพด้วย

นายปริญญา กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นในการไม่ขานชื่อคำนำหน้าบัณฑิตนั้น เป็นเหตุผลในเรื่องของเวลามากกว่า เพราะจำนวนบัณฑิตของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีจำนวนกว่า 7,000 คน และต้องรับพระราชทานปริญญาบัตรภายในวันเดียว จึงต้องใช้ความรวดเร็วในการขานชื่อ ซึ่งอาจจะขานไม่ตรงชื่อบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าประเด็นนี้อาจจะเป็นบรรทัดฐานให้กับมหาวิทยาลัยอื่นนำ ไปปฏิบัตินั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาแต่ละมหาวิทยาลัย

 “เรื่องนี้คนที่ได้รับอนุญาตก็อยากให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นเหมือน มหาวิทยาลัยนำร่อง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แต่ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละมหาวิทยาลัยในการพิจารณา ทั้งนี้ผมเห็นว่าในสังคมของเรามีเรื่องที่ต้องช่วยกันและแก้ไข ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องช่วยกันพิจารณา เรื่องนี้เปรียบเทียบได้กับนักศึกษาที่ต้องนั่งรถเข็นขึ้นรับพระราชทาน ปริญญาบัตร ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องจัดกระบวนการในการเข้ารับเป็นพิเศษ ก็เช่นเดียวกับนักศึกษาชายขอแต่งกายเป็นหญิง เราก็จะพิจารณาเป็นรายๆไป อย่างไรก็ตามในทางกลับกันหากมีนักศึกษาหญิงยื่นขอแต่งกายเป็นชาย ทางมหาวิทยาลัยต้องพิจารณาเช่นเดียวกัน”นายปริญญา กล่าว

“บิ๊กอ๊อด"แฉคาร์บอมบ์ที่ปัตตานีฝีมือเครือข่ายเดิม“ธรรมาวิทยามูลนิธิ-วัฒนธรรมอิสลาม”


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล  พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์ขอให้ทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนจากข่าวที่ว่านายกรัฐมนตรีไม่พอใจ การจัดทำแผนงานของศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ซึ่งที่จริงแล้ว นายกรัฐมนตรีบอกว่า แผนการปฏิบัติที่ถูกส่งมานั้น เป็นแผนปฏิบัติงานปกติของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง 17 กระทรวง แต่ไม่ใช่แผนแก้ไขปัญหา จึงขอให้กลับไปปรับปรุงเป็นแผนยุทธศาสตร์ร่วมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงต้องมีการจัดลำดับความเร่งด่วนของแผนแต่ละกระทรวง ตรงกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วส่งไปยังกปต.หรือเลขาธิการสม ช.เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรี สำหรับโครงสร้างระบบการทำงานของศปก.กปต.ได้ถูกจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการปรับการทำงานที่ไม่มีความซ้ำซ้อน แต่มีการประสานการทำงานและตอบสนองต่อปัญหาลักษณะวันต่อวัน เน้นงานด้านการข่าวที่เป็นเอกภาพ ทั้งนี้ตนจะลงนามในเย็นวันเดียวกันนี้(17 ส.ค.) แล้วเสนอต่อนายกรัฐมนตรีลงนามอนุมัติต่อไป

พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อมีการอนุมัติโครงสร้างนี้แล้ว จะเริ่มปฏิบัติงานได้ทันที โดยใช้พื้นที่ของตึกสมช. ทั้งนี้ยังไม่มีการกำหนดตัวบุคคลมาทำหน้าที่เลขานุการศูนย์นี้ แต่รองเลขานุการ มี 3 คนจาก สมช. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ส่วนการรวมข่าวและติดตามสถานการณ์นั้น เจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจ จะมาทำงานร่วมกันที่สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ(สขช.) เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวัน ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วส่งข่าวมารวมกันเพื่อให้ทุกคนได้รับทราบข้อมูล และหน่วยงานปฏิบัติสามารถนำข่าวตรงนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหานี้ได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้เชื่อว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ จะเห็นผลความรุนแรงจะค่อย ๆ ลดลง และเห็นภาพของปัญหาที่ชัดขึ้น ขณะเดียวกันในช่วงเวลาเดียวนี้จะมีการปรับตัวบุคลากรในการทำงาน โดยให้อิสระในการคัดเลือกทีมงานแล้ว เช่น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีสิทธิ์เลือกผู้ใต้บังคับบัญชามาทำงาน ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเลือกนายอำเภอ รวมถึงให้อำนาจแก่แม่ทัพภาคที่ 4 เลือกคนทำงานเช่นกัน และถ้าคัดเลือกมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ผู้บังคับบัญชาจะถูกพิจารณาเป็นคนแรก

ส่วนเหตุคาร์บอมบ์ที่ลานจอดรถหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ตนลงไปทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อีกทั้งยังแสดงความห่วงใยเรื่องนี้ และสอบถามถึงจุดอ่อนที่ต้องได้รับการแก้ไข  ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในช่วงที่ไม่มีการสูญเสีย เพราะเขาไม่ต้องการให้มีการเสียชีวิต เนื่องจากมีญาติพี่น้องของเขาทำงานอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม ได้โทรศัพท์พูดคุยกับพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ถึงสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม ตลอดจนการย้ำเตือนให้พูดคุยกับกำลังตำรวจและเจ้าหน้าที่พลเรือนในพื้นที่ว่า ต้องมีการตรวจตราเข้มงวดมากขึ้น เพราะรถที่ถูกใช้ทำระเบิดครั้งนี้เป็นรถที่เรากำลังตามหาถูกปล้นมาจากจ.ยะลา และป้ายทะเบียนติดอยู่ด้านหน้ากับด้านหลังรถเป็นคนละป้าย

อีกทั้งเป็นรถคันเดียวกับที่ใช้ในเหตุการณ์ไล่ยิงทหาร 4 นาย อย่างไรก็ตาม ได้พูดคุยกับฝ่ายตำรวจแล้วว่าต่อไปนี้ขอให้มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบยานพาหนะที่ เข้า-ออกสถานที่ราชการต่าง ๆ ของพลเรือน เช่น ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล เป็นต้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอจนถูกฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพราะที่ผ่านมาไม่มีตรวจตรา ผู้ก่อเหตุจึงเข้าไปได้ในฐานะผู้เข้ามาติดต่องาน นอกจากนี้พบว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของเครือข่ายเดิมของโรงเรียนธร รมาวิทยามูลนิธิ และโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม ร่วมมือกัน และอยู่ระหว่างการติดตามตัวผู้ก่อเหตุอยู่และคาดว่าคงใช้เวลาไม่นานจะสามารถ จับกุมตัวไว้ได้.

“ขุนค้อน”สั่งรัฐบาลส่งเอกสารงบฯให้ฝ่ายค้าน


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2556 ในวาระ 2  ก่อนจะเริ่มพิจารณาในมาตรา 10  กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 10,516 หมื่นล้านบาท
ปรากฎว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ได้หารือในที่ประชุมพร้อมทั้งทวงถามเอกสารรายละเอียดงบประมาณ ที่ได้ขอไปตั้งแต่การพิจารณางบประมาณวันแรกคือวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับ โดยเอกสารที่ขอไปมี 2  ชุด คือ 1.เอกสารแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในปี 55 จำนวน 1.2 แสนล้านบาท ที่นายกรัฐมนตรีมาขอเงินจากสภาเป็นแค่ตัวเลขไม่มีรายละเอียด  ซึ่งเราจะมาตรวจสอบว่านำเงินไปใช้อะไรบ้าง และ 2. งบกลาง ฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งรัฐบาลบอกว่าใช้ไปแล้ว 3 หมื่นล้าน ก็อยากทราบว่าเอาไปใช้อะไรบ้าง

“วันนี้เราได้เอกสารมาแค่ครึ่งเดียวแต่ไม่ได้มีการบอกว่านำเงินไปใช้อะไร บ้าง ไม่มีการลงลึกไปในรายละเอียด หากรัฐบาลไม่สามารถนำมาแสดงได้  ก็ขอตั้งข้อกล่าวหาว่าเรียกหัวคิว 35% เป็นความจริงทำให้รัฐบาลกลัวไม่กล้าแจกเอกสารและมีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจ สอบ”นายจุรินทร์ กล่าวย้ำ
ด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมาธิการฯพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า สำนักงบประมาณได้ส่งเอกสารในภาพรวมของงบน้ำท่วมหมดแล้ว จำนวน 612 ชิ้น คิดเป็นร้อยละ 63 จากทั้งหมด 917 ชิ้น ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอยู่ที่หน่วยงานต่าง ๆ  จะทยอยส่งให้ต่อไป ส่วนรายละเอียดลึกๆ ได้ส่งให้กมธ.งบประมาณหมดแล้ว ซึ่งอยู่ในกล่องงบประมาณของพวกท่าน โดยขณะนี้ หน่วยงานต่างๆ ก็จะทยอยส่งเอกสารมาให้ หากได้เอกสารมาถึงมือตนเมื่อไหร่ จะมอบให้ประธานวิปฝ่ายค้านทันที

ขณะที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้พยายามไกล่เกลี่ยโดยขอร้องให้นายวรวัจน์ รวบรวมเอกสารดังกล่าวและทยอยมอบให้สมาชิกเพื่อให้การประชุมเดินหน้าต่อไป

"ทวี"ขู่19นปช.ก่อการร้ายไม่มาศาลตามนัดถูกถอนประกันแน่


เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 17 ส.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม และเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ เพื่อกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัย ในวันที่ 22 ส.ค. ที่ศาลนัดสอบถามนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ผู้ช่วยเลขานุการรมช.มหาดไทย กับพวกแกนนำและแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยในคดีร่วมกันก่อการร้าย รวม 19 คน ว่า ในวันดังกล่าว ศาลจะสอบถามนายยศวริศ ต่อจากเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ส่วนในเวลา 15.00 น. จะเป็นการนัดฟังคำสั่งเพิกถอนประกันแกนนำ 19 คน จะไม่มีเหตุอะไรให้เลื่อนคงจะจบในวันนั้น ศาลอาญาจึงขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล กองปราบปราม และกรมราชทัณฑ์ ซึ่งผลสรุปแล้วคือศูนย์ปฏิบัติการร่วมรักษาความปลอดภัย ศปก.เห็นว่าจะกำหนดมาตรการเหมือนวันที่ 9 ส.ค. ทั้งการวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ จัดสถานที่สื่อมวลชน และผู้สนับสนุนในพื้นที่เดิม การที่จำเลยหรือผู้ติดตามจะเข้าห้องพิจารณาคดีก็ต้องแลกบัตรจำแนกสี รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้คู่ความและประชาชนด้วย

นายทวี กล่าวว่า ในครั้งนี้ ได้เตรียมการในกรณีที่องค์คณะผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนอาจมีคำสั่งเพิกถอน ประกัน ซึ่งกรณีนี้ตนยังไม่ทราบผลว่าจะออกมาอย่างไร เพราะองค์คณะเจ้าของสำนวนกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งแผนการที่เจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการบังคับตามคำสั่งศาล ทางราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการอย่างไร เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องช่วยสนับสนุนอย่างไร จะต้องมองสถานการณ์ในทุกมิติให้รอบคอบโดยอาศัยบทเรียนในวันที่ 9 ส.ค. มาทบทวนและเพิ่มเติมในส่วนที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับการดำเนินการ ภาวนาว่าในวันนั้นฝ่ายผู้สนับสนุนคงจะมาไม่เยอะ ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องเดินทางมา ดูทีวีจะดีกว่า แต่ถ้าเดินทางมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่ผู้สนับ สนุนยืนรอนอกศาล ทางเราเตรียมการที่จะรับมือทุกรูปแบบโดยมีการสมมติสถานการณ์เบาที่สุดเป็น อย่างไร หนักที่สุดเป็นอย่างไร ส่วนเหตุการณ์เฉพาะหน้าจะมีการประเมิน ทุก 2 ชั่วโมง

นายทวี กล่าวอีกว่า ศาลยังมีการประกาศใช้ข้อกำหนดห้ามกระทำพฤติการณ์ใดที่ที่เป็น การรบกวนการพิจารณาคดีที่จะเป็นการละเมิดอำนาจศาลอยู่ ยังไม่ได้ยกเลิก หลังเสร็จสิ้นการพิจารณาจึงมีการยกเลิก ต้องขอร้องให้เห็นใจด้วย ศาลต้องการรักษาความสงบให้มากที่สุดหากศาลทำไม่ได้ ก็คงไม่มีที่ไหนในประเทศไทยทำได้ เพราะว่าเรามีทั้งอำนาจตามกฎหมาย มีอำนาจเจ้าหน้าที่บ้านเมืองสนับสนุน คงจะทำเท่าที่คู่ความ ผู้สนับสนุน หรือประชาชนภายนอกเดือดร้อนน้อยที่สุด เพื่อให้ไม่มีปัญหา แต่เท่าที่คุยกันก็คงใช้กำลังเจ้าหน้าที่เท่าเดิมแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะ ใช้กำลังเท่าใดเป็นหน้าที่ของผู้ปฎิบัติ กลุ่มผู้สนับสนุนที่จะมาศาลก็ไม่ปิดกั้น แต่ไม่มาดีกว่า

เมื่อถามถึงแผนการรับมือหากมีการถอนประกันแกนนำแดงที่อาจมีการปิดถนนหรือ ล้อมรถราชทัณฑ์ ว่า ทางกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการพูดคุยกันแล้วในภาพกว้างๆ รายละเอียดจะพาไปเรือนจำเส้นทางไหนยังไหน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะประชุมกันในวันที่ 22 สิงหาคม ช่วงเช้าอีกที่ ตนเองก็ยังไม่ทราบ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่ต้องรู้บางคนเท่านั้น เพราะภารกิจการนำตัวจำเลยเข้าสู่เรือนจำ
ถามว่าในวันที่ 22 ส.ค. หากมีจำเลยคนใดคนหนึ่งไม่มาหรือจะขอเลื่อนฟังคำสั่ง นายทวี กล่าวว่า โดยผลของกฎหมายแล้วจำเลยทุกคนต้องมา ถ้าไม่มาถือว่าผิดสัญญาประกัน ศาลสามารถถอนประกันได้เลยโดยไม่ต้องเรียกมาสอบถามใดๆ  เพราะถือว่า ผิดสัญญาประกันโดยปริยาย จึงขอเตือนจำเลยทั้ง 19 คน ล่วงหน้า ว่า อย่าเล่นเกมเด็ดขาด ถ้าจะใช้ไม้ไหนยังไงศาลก็คงจะมีมาตรการรับมืออยู่แล้ว แต่คงบอกไม่ได้ คนที่ไม่มาอาจถูกถอนประกันก่อนคนที่มาก็ได้ซึ่งจะเป็นเรื่องร้ายแรงกว่า ดังนั้นจำเลยทุกคนควรจะมา ตอนนี้ตนยังไม่รู้ผลจะออกมาอย่างไรอยู่ระหว่างองค์คณะกำลังปรึกษาหารือเขียน คำสั่งอยู่ในส่วนของจำเลย 18 คนที่สอบถามเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนนายยศวริศ คงต้องรอข้อมูลในวันที่ 22 ส.ค. ช่วงเช้าอีกส่วนหนึ่งนำไปประกอบกับการเขียนคำสั่งแต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มี ฝ่ายผู้ร้องหรือฝ่ายนายยศวริศ ยื่นเอกสารพยานหลักฐานมาเพิ่มเติม แต่ยังมีเวลายื่นอีกหลายวัน

“อยากให้ฝ่ายจำเลยมาศาลกันให้ครบ หากไม่มาศาลก็ถอนประกันเหมือนคดีอาญาทั่วไป แต่ศาลไม่อยากให้ยืดเยื้อ เพราะประชาชนจะเดือดร้อน อยากให้มันจบไปในวันนั้น เพราะถ้าเป็นการอ่านคำสั่งในคดีอาญาจะต้องอ่านพร้อมกันทีเดียว บางคนแย้งว่าจำเลยกลุ่ม ส.ส. 5 คน ไม่อยู่ แต่ส่วนใหญ่ 19 คนอยู่แต่คิดว่าในวันนั้นจะมีทิศทางที่ดี ยังไงวันที่ 22 ส.ค.นี้จะไม่มีการเลื่อนฟังคำสั่ง ยกเว้นมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ซึ่งผมคิดว่าไม่มี และหากศาลเลื่อนก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการคาดเดาผลไปต่างๆ แต่ศาลบริสุทธิ์ใจตัดสินไปตามกฎหมาย ไม่มีอคติหรือการแฝงเร้น ซึ่งองค์คณะเจ้าของสำนวนวางตัวได้อย่างเหมาะสมเป็นแบบอย่าง เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆจะคลี่คลายในช่วงเย็น” อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากล่าวตอนท้าย.

ตร.เร่งพิสูจน์เอกลักษณ์เหยื่อไฟไหม้คลอกสยองผับดัง 4 ศพ


จากกรณีความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ “ไทเกอร์ดิสโก้เธค” ซอยบางลา หาดป่าตอง ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ทำให้ผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีก 11 ราย
เมื่อวันที่ 17 ก.ค. พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก สิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบ มี 2 เรื่อง คือ การสอบสวนหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ และในเบื้องต้นพบว่าก่อนเกิดเหตุมีหม้อแปลงไฟฟ้าบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ระเบิดทำให้ไฟฟ้าในพื้นที่ป่าตองดับ รวมทั้งจะต้องตรวจสอบในเรื่องของการต่อเติมอาคาร เรื่องของการใช้วัสดุต่าง ๆ และการตรวจสอบอาคารว่า จะสามารถใช้ต่อได้หรือไม่

ส่วนเรื่องที่ 2.จะต้องเร่งดำเนินการคือการตรวจสอบพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของศพผู้เสียชีวิต ทั้ง 4 ราย ว่า เป็นศพของใครบ้าง เนื่องจากขณะนี้ศพของผู้เสียชีวิตถูกไฟไหม้เกรียม ดำเป็นตอตะโกไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร โดยในวันเดียวกันนี้  เจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากกรุงเทพฯ จะเดินทางลงมายังพื้นที่ เพื่อตรวจสอบพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลโดยเร็วที่สุด

ขณะที่นางสาวกัญญาพร ขันทอง ชาวจังหวัดศรีษะเกษและเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนี้ กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุกำลังไปเที่ยวกับเพื่อนและมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ อยู่ในร้านจำนวนมาก ระหว่างนั้นมีคนตะโกนบอกว่าเกิดเพลิงไหม้ แต่ไม่มีใครเชื่อ แต่หลังจากนั้นไม่นานมีควันเข้ามาทางบาร์น้ำพร้อมมีประกายไฟเกิดขึ้น จากนั้นมีหลอดไฟตกลงมากับพื้น จึงพยายามวิ่งหลบหนีออกมาด้านนอก แต่มาค้างอยู่ที่ประตูทางออก แต่โชคดีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพากันหลบหนีออกมาได้ทัน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นเกิดจากถูกผลักตกบันใด

ขณะที่นายธำรงศักดิ์ บุญรักษ์ กรรมการผู้จัดการดูแลเครือไทเกอร์ กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้คาดว่ามีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ส่วนตัวอาคารจะใช้ได้หรือไม่จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจ สอบอย่างละเอียดอีกครั้ง.

บทเรียนโจรใต้!พลาดเองเจอระเบิดฉีกร่างเละสุดสยอง


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. พ.ต.อ.มานิตย์ ยิ้มซ้าย ผกก.สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุระเบิด บริเวณสวนมะพร้าว บ้านคลอง หมู่ 2 ต.ดอน ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุพบหลุมระเบิดขนาดใหญ่ และพบศพชายไทยไม่ทราบชื่อ สภาพถูกแรงระเบิดจนร่างกายแหลกเหลว ชิ้นส่วนอวัยวะตกกระจัดกระจายเกลื่อนทั่วบริเวณ มีเพียงขาสองข้างและส่วนศีรษะที่ยังพอมองเห็นได้ชัดเจน จากการตรวจสอบพบชิ้นส่วนระเบิด ชิ้นส่วนถังแก๊ส วิทยุสื่อสาร แบตเตอร์รี่ เหล็กเส้น และชิ้นส่วนรถ จยย. ตกกระจัดกระจายไปทั่ว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมา นายมือลี มะเซ็ง อายุ 60 ปี ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุพร้อมนำหลักฐานมาแสดงว่าผู้เสียชีวิตคือนายซะการียา มะเซ็ง อายุ 22 ปี บุตรชาย นักเรียนโรงเรียนปอเนาะ ใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี  โดยนายมือลี เปิดเผยว่า ลูกชายไปเรียนหนังสือและไม่ค่อยได้กลับบ้าน ล่าสุดกลับมาในช่วงก่อนถือศีลอด แล้วก็หายตัวไป  มาทราบอีกครั้งโดยมีเพื่อนของลูกชาย มาบอกว่าลูกชายเสียชีวิตแล้ว จึงมารับศพดังกล่าว ซึ่งไม่รู้ว่าลูกชายอยู่ในกลุ่มแนวร่วมตั้งแต่เมื่อไหร่

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายน่าจะเคลื่อนย้ายระเบิด แต่ระหว่างนั้นอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นทำให้ระเบิดทำงาน จนถูกแรงระเบิดฉีกร่างเสียชีวิตสยดสยอง
อีกราย วันเดียวกัน พ.ต.อ.ต่วนเดร์ จุฑานันท์ ผกก.สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี รับแจ้งคนร้ายลอบยิงฐานทหาร ในหมู่บ้าน  บ้านบือแนกือบง หมู่ 3 ต.ประจัน จึงนำกำลังไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบว่าคนร้ายได้ยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ฐานทหาร เบื้องต้นทราบว่ามีทหารได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ขณะนี้ถูกนำตัวส่งรพ.ปัตตานีแล้ว ส่วนสาเหตุคาดเป็นฝีมือโจรใต้สร้างสถานการณ์ต่อเนื่อง

"พิ้งกี้"รับส่งเอสเอ็มเอสกลับหา"พี่เป๊ก"ฝากคนปล่อยคลิปหยุดขำได้แล้ว


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ชั้น 8 ห้างสรรพสินค้าเซน ในเซ็นทรัลเวิล์ด ได้จัดงาน “เซน บอดี้ เซนท์ 2012” โดยมีนางเอกสาว “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” มาร่วมงานด้วย ภายในงาน “พิ้งกี้” ถูกกองทัพสื่อมวลชนรุมล้อมสัมภาษณ์กรณีส่งเอสเอ็มเอส ถึง “เป๊ก-ร.ท.สัญชัย เองตระกูล” สามีดาราสาว “ธัญญ่า-ธัญเรศ เองตระกูล” จนเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในช่วงนี้ โดยผู้สื่อข่าวได้ถามคำถามแรกว่า ตอนนี้รู้สึกยังไง “พิ้งกี้” กล่าวว่า วันนี้มาร่วมงาน ไม่ได้มาแถลงข่าว เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับใคร ขอให้จบได้แล้ว

ทั้งนี้ พิ้งกี้ กล่าวยอมรับว่าเอสเอ็มเอสเป็นของตัวเองจริง แต่เป็นเอสเอ็มเอสปกติ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เจตนาที่ส่งก็ไม่มีอะไร เพราะพี่เป๊กส่งมาหาตนก่อนในโทรศัพท์เบอร์เก่าที่เลิกใช้เป็นปีแล้ว ตนไปเปิดเครื่องเจอข้อความเข้ามาพอดีจึงตอบกลับไปโดยไม่คิดอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าตอบกลับไป มันเหมือนเอสเอ็มเอสที่ส่งให้เพื่อนๆ ทุกคน ก็ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ขอยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ในสมองนอกจากพ่อแม่และครอบครัว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องคลิป ตนอยู่ของตนดีๆ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับคลิป ส่วนคุณแม่ก็ต้องเข้าใจท่าน

อย่างไรก็ตาม ต้องฝากขอโทษด้วย ถ้าเอสเอ็มเอสของพิ้งกี้ทำให้ใครเข้าใจผิด พิ้งกี้ไม่มีเจตนา รวมทั้งขอโทษที่คุณแม่ไม่ดี แต่คุณแม่ไม่มีเจตนา พูดด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมที่จะต้องอัดเสียง หวังอะไรต่างๆ นานา

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะหยุดส่งเอสเอ็มเอสหรือไม่ พิ้งกี้ กล่าวว่า ไม่เคยหยุด ไม่เคยส่ง พี่เป๊กส่งมาก่อน พอเปิดเครื่องเจอก็ตอบกลับไปเป็นภาษาแชท ที่คนแชททุกคนตอบกันเป็นปกติ เป็นแค่มารยาท เราเป็นมนุษย์ความเป็นมิตรมันควรจะส่งกันได้ โดยปกติพิ้งกี้ไม่ได้ใช้เบอร์นี้อยู่แล้ว อีกทั้งพิ้งกี้กับแม่ต้องทำงานทั้ง 7 วัน คงไม่มีเวลามานั่งส่งเอสเอ็มเอสถึงใครๆ และยืนยันว่าพิ้งกี้มีแต่พ่อแม่และครอบครัวอยู่ในสมอง เรื่องนี้ขอให้จบได้แล้ว ขอร้องไม่ต้องมาถามอีก ไม่ต้องกังวลรับประกันว่าจะไม่ทำให้พี่ๆ นักข่าว หรือใครๆ เดือดร้อนต้องเครียดอีก แต่ฝากขอร้องถึงคนที่ปล่อยคลิปที่สนุกได้หัวเราะกันแล้วกลับไปทำอะไรที่เป็น ประโยชน์กับสังคมบ้างดีกว่า

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources