วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

มารี โคลวิน:ตำนานเหยี่ยวข่าวสงคราม


เปิดโลกวันอาทิตย์ : มารี โคลวิน:ตำนานเหยี่ยวข่าวสงครามหญิงเดนตาย โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
                 ดิฉันเคยแปลหนังสือ "ตำนานเหยี่ยวข่าวสงครามหญิงโลก" แปลไปร้องไห้ไปด้วยความชื่นชมระคนรันทดถึงการต่อสู้เพื่อบุกเบิกวิชาชีพนี้ให้แก่ผู้หญิงรุ่นหลังๆ โดยเปิดตัวด้วยชีวิตของเหยี่ยวข่าวสงครามหญิงคนแรกของโลกที่ต้องปลอมตัวเป็นชายขณะเดินทางจากบ้านเกิดที่สหรัฐไปทำสงครามที่ทวีปเก่ายุโรป

 เรื่องของเหยี่ยวข่าวสงครามหญิงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่เสี่ยงตายแข่งกับเหยี่ยวข่าวสงครามชายเพื่อไปทำข่าวที่แนวหน้าเป็นคนแรก พวกเธอได้สร้างความแปลกใหม่ในการนำเสนอข่าวแทนที่จะเน้นแต่เรื่องตัวเลขคนตายเจ็บ หรือข่าวแถลงของกองทัพดังที่นักข่าวชายทำกัน แต่หันไปเน้นการทำข่าวชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันของทหาร ความเดือดร้อนความทุกข์ยากของชาวบ้าน ฯลฯ
                  เหยี่ยวข่าวสงครามหญิงคนสุดท้ายในตำนานเหยี่ยวข่าวสงครามหญิงโลกก็คือช่างภาพสงครามหญิงในช่วงสมัยสงครามเวียดนามซึ่งเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่
                  ไม่นึกฝันว่าหลังจากนั้นร่วม 20 ปี ดิฉันก็ต้องมาบันทึกเรื่องราวของมารี โคลวิน เหยี่ยวข่าวสงครามหญิงเดนตายชาวอเมริกันจากหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ส ของอังกฤษ ด้วยความเศร้าสลดอีกครั้ง เมื่อเธอต้องสังเวยชีพขณะปฏิบัติหน้าที่จนนาทีสุดท้ายจากระเบิดของฝ่ายรัฐบาลซีเรียที่ยิงถล่มศูนย์ข่าวในเมืองฮอมส์ พร้อมด้วยเรมี่ ออชลิก ช่างภาพฝีมือดีชาวฝรั่งเศสวัยแค่ 28 ปี ที่เคยเข้าไปถ่ายภาพช่วงที่เกิดกระแสล้มล้างรัฐบาลหลายประเทศในตูนีเซีย อียิปต์ ลิเบีย และซีเรีย ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ออชลิกเพิ่งได้รับรางวัลภาพข่าวดีเด่นโลกจากภาพข่าวที่ถ่ายในลิเบีย ส่วนนักข่าวตะวันตกอีกอย่างน้อยสองรายได้รับบาดเจ็บ
                  ช่วงที่สถานการณ์ในเมืองฮอมส์ทวีความตึงเครียดมากขึ้นนั้น สื่อเจ้าของสังกัดได้สั่งให้นักข่าวและช่างภาพต่างชาติถอนตัวออกจากเมืองนั้นเพื่อความปลอดภัย แต่ทั้งโคลวินและออชลิก รวมทั้งเพื่อนนักข่าวเดนตายอีก 2-3 คนตัดสินใจดื้อแพ่งขอทำข่าวต่อ โดยยืนกรานจะรับผิดชอบความปลอดภัยเอง
                  เธอตัดสินใจอยู่ต่อทั้งๆ ที่มีการเตือนว่าเธอถูกทางการซีเรียสั่งจับตาย เว็บไซต์แท็บลอยด์ เดลี่เมล ของอังกฤษเผยว่า เจ้าหน้าที่ข่าวกรองเลบานอนได้ดักฟังการสื่อสารระหว่างนายทหารของกองทัพซีเรียที่สั่งการให้พุ่งเป้าการโจมตีไปที่ศูนย์ข่าวชั่วคราวโดยตรง โดยย้ำว่าถ้าสังหารนักข่าวได้ ก็จะอ้างว่านักข่าวเหล่านั้นเสียชีวิตโดยบังเอิญช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างทหารรัฐบาลกับกลุ่มก่อการร้าย หลังจากที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพต่างหมดความอดทนกับการเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาของโคลวิน
                  ฌอง ปิแอร์-เปอร์แรง เหยี่ยวข่าวของหนังสือพิมพ์ลิเบอเรชั่นของฝรั่งเศส ที่อยู่กับโคลวินในเมืองฮอมส์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่สามารถหนีตายจากสมรภูมิเดือดไปยังกรุงเบรุต ใน เลบานอน เผยว่านักข่าวทุกคนต่างได้รับคำเตือนให้ออกจากเมืองฮอมส์ทันที หลังจากได้รับข่าวลับว่ากองทัพซีเรียจะถล่มศูนย์ข่าวและเตรียมสังหารโคลวินทันทีที่พบตัว เปอร์แรงจึงได้ออกจากเมืองฮอมส์พร้อมกับโคลวิน แต่เธอกลับเข้าไปใหม่เพราะเห็นว่ายังไม่มีการเปิดฉากถล่มครั้งใหญ่และอยากเสนอข่าวให้เสร็จอีกสักข่าว
                  เปอร์แรง กล่าวว่า ทางการซีเรียทราบดีว่า ศูนย์ข่าวได้แพร่ภาพหลักฐานการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รวมทั้งฆาตกรรมผู้หญิงและเด็ก ดังนั้นทางเดียวที่จะสกัดกั้นไม่ให้ข่าวจากเมืองฮอมส์แพร่สู่สายตาชาวโลกได้ก็คือทำลายศูนย์ข่าวแห่งนั้น ซึ่งแม้จะถูกตัดไฟและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่ยังดีที่มีเครื่องปั่นไฟ กองทัพซีเรียจึงได้ล็อกเป้าการโจมตีจากสัญญาณสื่อสารของโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม
                  ก่อนจะเสียชีวิต โคลวินได้รายงานข่าวให้แก่เครือข่ายสถานีโทรทัศน์หลายช่อง รวมทั้งบีบีซีและซีเอ็นเอ็น ซึ่งเธอได้กล่าวหาประธานาธิบดีอัสซาด และกองทัพว่าเป็นฆาตกร ตอนหนึ่งเธอระบุว่า กองทัพซีเรียโกหกโดยสิ้นเชิงที่แถลงว่าพุ่งเป้าโจมตีแต่เฉพาะผู้ก่อการร้าย แต่แท้ที่จริงกองทัพกำลังยิงถล่มเมืองที่ประชาชนต้องอยู่ท่ามกลางความหนาวและหิวโหยต่างหาก
                  ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตหนึ่งวัน เธอได้ถ่ายทำวิดีโอข่าวให้แก่บีบีซี ซึ่งได้เผยแพร่รายงานข่าวชิ้นสุดท้ายที่เธอเตือนให้โลกตระหนักถึงโศกนาฏกรรมในเมืองฮอมส์ว่าเต็มไปด้วยความหนาวเย็นและความหิวโหย มีแต่เสียงระเบิดดังกึกก้อง ทั้งไฟฟ้าและโทรศัพท์ถูกตัดขาด ร้านค้าต่างปิดตาย ครอบครัวต่างๆ ต้องแบ่งปันอาหารกินกันตาย  คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เสียชีวิตขณะออกไปหาอาหารประทังชีวิต เธอเล่าว่าเห็นเด็กเล็กๆ วัยเพียง 2 ขวบ เสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา จากกระสุนที่เจาะเข้าที่อกด้านซ้าย แพทย์ได้แต่บอกเพียงว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
                  ขณะที่ผลงานชิ้นสุดท้ายของเธอที่ได้ตีพิมพ์ในซันเดย์ ไทม์ส เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเปิดเผยว่าประชาชนในเมืองฮอมส์ได้แต่ "รอคอยช่วงเวลาที่จะมีการสังหารหมู่...ชะตากรรมของเมืองนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ต่างก็อยู่ภายใต้ความกลัว แทบทุกครอบครัวต่างก็ต้องมีคนที่รักเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ"
                  และก่อนหน้าเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง เธอเพิ่งรายงานข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 และรายการนิวส์ แอท เทน ของสถานีโทรทัศน์ไอทีเอ็นว่า เธอกับออชลิกกำลังหนีออกจากอาคารที่ถูกถล่มด้วยจรวด
                  ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งเปิดเผยว่า ได้หนีออกจากอาคารที่ถูกถล่ม และวิ่งไปหลบที่บ้านฝั่งตรงข้าม กระสุนปืนใหญ่ยังคงระดมโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยศพของผู้สื่อข่าวทั้งสองยังนอนอยู่บนพื้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายวันก็ตามเนื่องจากทางการยังไม่ยอมหยุดยิงเพื่อเปิดโอกาสให้กาชาดสากลเข้าไปเก็บศพเหยี่ยวข่าวสงครามทั้งสองคน
                  ขณะที่ฮัฟฟินตัน โพสต์ ของอังกฤษรายงานเพิ่มเติมโดยอ้างคำเปิดเผยของนักข่าวพลเมืองผู้หนึ่งที่เห็นเหตุการณ์การโจมตีในเมืองฮอมส์ว่าระหว่างที่กำลังวิ่งหลบกระสุนที่ระดมการยิงอย่างต่อเนื่อง ก็พบศพของนักข่าวคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น แต่ไม่สามารถนำศพออกมาจากพื้นที่ได้แม้จะอยู่ห่างจากกันไม่กี่เมตรก็ตาม เนื่องจากมีการระดมยิงอย่างหนัก
                  มารี โคลวิน เหยี่ยวข่าวสงครามเดนตายหญิงวัย 55 ปี เป็นชาวเมืองอีสต์ นอร์วิค รัฐนิวยอร์ก เป็นพี่สาวคนโตของน้องๆ อีก 4 คน สำเร็จการศึกษาด้านมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยเยล โดยไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อนว่าจะกระโจนสู่อาชีพนักข่าว ยิ่งไม่ต้องพูดไกลไปถึงการเป็นเหยี่ยวข่าวสงครามเดนตายหญิง ด้วยพื้นฐานจากการต้องศึกษาคนและสถานที่ ทำให้ข่าวของเธอโดดเด่นกว่าคนอื่น เนื่องจากเต็มไปด้วยชีวิตของคนที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม
                  เธอทำงานให้แก่หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ส ของอังกฤษมานาน 25 ปี แม้จะประจำการที่ตะวันออกกลางมากว่า 2 ทศวรรษ แต่เธอมักจะไปฝังตัวเป็นเวลาหลายสัปดาห์ในพื้นที่ที่เป็นสมรภูมิเดือดในหลายประเทศ เช่นที่บอลข่าน ซึ่งเธอตระเวนไปทั่วพร้อมกับกองทัพปลดปล่อยโคโซโวที่กำลังเปิดศึกกับชาวเซิร์บ ที่เชชเนีย เธอต้องหลบกระสุนที่ยิงจากเครื่องบินรบรัสเซียขณะรายงานว่ากบฏเชเชนกำลังสู้เพื่อเอกราช
                  เธอยังเสี่ยงตายขณะรายงานความขัดแย้งที่เซียร์ราลีโอน ติมอร์ตะวันออก ศรีลังกา รวมทั้งล่าสุดในเหตุการณ์ที่ตูนิเซีย อียิปต์ และลิเบีย โดยเธอยืนหยัดปกป้องเสรีภาพในการรายงานข่าว รวมทั้งยึดมั่นที่จะตีแผ่ให้โลกได้เห็นถึงชะตากรรมของเด็กและผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อสงครามที่ไม่ได้ก่อ
                  ช่วงที่ทำงานในศรีลังกาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อปี 2544 เธอได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ทหารฝ่ายรัฐบาลบุกถล่มที่มั่นของกลุ่มกบฏพยัคฆ์ทมิฬอีแลมที่เธอฝังตัวอยู่ด้วย โชคดีที่แค่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียดวงตาข้างหนึ่ง จนต้องใช้ผ้าดำคาดตาข้างที่มองไม่เห็น กลายเป็นเหยี่ยวข่าวตาเดียวแบบเดียวกับนายพลโมเช่ ดายัน วีรบุรุษของอิสราเอลในช่วงก่อร่างสร้างประเทศ แต่เธอยังยืนยันที่จะสวมเสื้อเกราะกันกระสุนทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวสงครามต่อไป
                  เมื่อปี 2553 เธอได้พูดถึงอันตรายของชีวิตนักข่าวในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งระหว่างพิธีรำลึกที่จัดขึ้นเป็นเกียรติแก่ผู้สื่อข่าวที่เสียชีวิตในหน้าที่ว่า "งานของเราก็คือการสะท้อนความจริงให้ผู้มีอำนาจได้รับรู้...เราบันทึกช่วงเวลาที่ยากเข็ญของประวัติศาสตร์ แต่เราสามารถสร้างความแตกต่างได้ด้วยการเสนอภาพความโหดร้ายของสงคราม โดยเฉพาะประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อความโหดร้ายนั้น" เมื่อมีการตั้งคำถามว่า คุ้มค่าหรือไม่กับความสูญเสียดังกล่าว เธอตอบว่าสุดจะคุ้มค่าเสียอีก
                  เธอและเพื่อนนักข่าวไม่กี่คน ได้รับเลือกให้สัมภาษณ์พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำลิเบีย เป็นกรณีพิเศษเมื่อปีที่แล้ว ก่อนที่กัดดาฟีจะถูกฝ่ายกบฏที่ตะวันตกหนุนหลังยึดกรุงตริโปลี จากนั้นถูกไล่ล่าและถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดในอีกไม่กี่เดือนถัดมา
                  โคลวิน ได้รับรางวัลผู้สื่อข่าวต่างประเทศยอดเยี่ยมจากสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษถึง 2 ครั้งจากการรายงานข่าวความขัดแย้งในยูโกสลาเวีย อิหร่าน ศรีลังกา และซิมบับเว ส่วน วีเมนส์ มีเดีย ฟาวเดชั่น หรือมูลนิธิสื่อสตรีของสหรัฐ ได้มอบรางวัลผู้สื่อข่าวที่กล้าหาญให้แก่เธอ ตอนที่ทำข่าวโคโซโว และเชชเนีย และยังได้รางวัลผู้สื่อข่าวแห่งปีจากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศอีกด้วย
                  รูเพิร์ธ เมอร์ด็อค ผู้บริหารนิวส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของซันเดย์ ไทม์ส ได้ยกย่องโคลวินว่า ทำข่าวสงครามโดยไม่หวั่นกลัวใดๆ ทั้งในตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ตลอดระยะเวลา 25 ปี ที่อยู่กับซันเดย์ ไทม์ส เธอเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตรายหลายครั้ง "เพราะถูกขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นที่จะแฉพฤติกรรมอันชั่วร้ายของเหล่าทรราชและความทุกข์ทรมานของเหยื่อที่ไม่เคยถูกตีแผ่"
                  ส่วน จอห์น วิทเธอโรว์ บรรณาธิการของซันเดย์ ไทม์ส กล่าวว่า การจากไปของโคลวินเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจ "มารีเป็นคนพิเศษสำหรับซันเดย์ ไทม์ส มีแรงปรารถนาในการทำข่าวสงครามด้วยความเชื่อว่าสิ่งที่เธอทำอยู่จะส่งผลให้เกิดอะไรได้บ้าง เธอเชื่ออย่างมากว่าการรายงานข่าวจะช่วยลดพฤติกรรมความโหดเหี้ยมของเผด็จการลงได้ และทำให้ประชาคมนานาชาติหันมาสนใจ"
...............................................
(เปิดโลกวันอาทิตย์ : มารี โคลวิน:ตำนานเหยี่ยวข่าวสงครามหญิงเดนตาย โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์)

0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources