“ถอย...ดีกว่า ไม่เอา...ดีกว่า เธอเล่นเปลี่ยนใจทุกครั้ง หลังอาหาร
ก็ใครจะไปทานทนได้ ถอย...ดีกว่า ไม่เอา...ดีกว่า”
หลายคนคงจะคุ้นหูกับเพลงนี้เป็นแน่แท้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปี
เพลงนี้ก็ยังกึกก้องอยู่ในความทรงจำของคนฟังเสมอ โดยเฉพาะเหล่าแฟนคลับของ
“อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์” วัย 38 ปี ผู้หญิงที่มีบุคลิกห้าว ๆ
จนหลายคนฟันธงว่า เธอเป็นทอม
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และคงไม่บ่อยนักที่เราจะได้มานั่งคุยกับเธอแบบส่วนตั๊ว...ส่วนตัว
ซึ่งพอนัดหมายได้คิวปุ๊บ เราก็ไม่รอช้า รีบมาเจอเธอที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
แถวอโศก
ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เริ่มเมาท์กันเลย ไม่ได้เจอ “อ้อม” นาน มั่ก...มาก ชีวิตชีวาตอนนี้เป็นยังไงบ้าง “ก็สบายดีค่ะ อยู่กับแม่ตามปกติ ชีวิตก็ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ไม่ต้องผ่อนบ้านผ่อนรถ ที่ไม่ซื้อเพราะว่ากลัวทำ ๆ อยู่ อยากเลิกทำงานจะต้องมามีภาระผ่อนบ้านไม่ชอบ...ไม่ชอบ แม่บอกซื้ออะไรหน่อยมั้ย ที่เป็นของที่เก็บไว้ได้ ก็บอกไม่ซื้อดีกว่าเพราะถ้าเกิดว่าทำงานแล้วอยากออก เบื่อชีวิตทำงาน ขี้เกียจผ่อนขี้เกียจมีภาระ ก็เลยไม่ทำอะไรเลย ปกติเมื่อก่อนเปลี่ยนรถ 2-3 ปี เดี๋ยวนี้ไม่ได้เปลี่ยนแม่ไม่ให้เปลี่ยน แม่บอกซื้อรถมีแต่ลด ราคามันตกลงเรื่อย ๆ ถ้าอยากเปลี่ยนรถอ้อมว่าเปลี่ยนรถไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือทะเลาะกับแม่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็หยุดเปลี่ยนดีกว่า ก็ไม่เดือดร้อนอ้อมก็นั่งมอเตอร์ไซค์”
กิจวัตรประจำวันของ “อ้อม” เป็นยังไง “ตื่นประมาณ 8 โมง ก็แล้วแต่วันนะ มันจะรู้สึกตัวก่อน 6 โมง 7 โมงครึ่ง บางวัน 7 โมงครึ่งถ้ามีลูกฮึดจะนั่งสมาธิ ถ้าไม่มีก็หลับจนถึง 8 โมงครึ่งพอถึงตอนนั้นก็จะอืด ๆ ช้า ๆ อ่านหนังสือที่มีอยู่ 2-3 แบบ คือนิยายแปล หนังสืออ่านเล่นประเภทนิทาน หรือเป็นวรรณกรรมเด็ก, หนังสือธรรมะ รู้สึกว่ามีความรู้เข้าหัวบ้าง อย่างน้อยในแต่ละวัน ถ้าไม่ได้นั่งสมาธิไม่ได้สวดมนต์ ก็ขอให้มีความรู้อย่างอื่นเข้าหัวบ้าง แต่ก็อ่านได้ไม่กี่หน้า นะคะ อ่านแล้วก็อ่านซ้ำเพราะมันไม่ค่อยเข้าใจ สติปัญญายังไม่ถึงไหน ต้องอ่านซ้ำไปเรื่อย ๆ”
“ถ้าอยู่บ้านก็จะหาอะไรทานตอนเช้า เพราะเชื่อว่าอาหารมื้อเช้าสำคัญ แล้วก็อาบน้ำ ทำตัวเองให้เรียบร้อยแล้วก็ออกจากบ้าน จากเมื่อก่อนที่ใช้เวลา 15 นาที ในการทำอะไรทุกอย่างรวมได้หมดแต่ไม่กินข้าว เดี๋ยวนี้กลายเป็นต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง กว่าจะเคลื่อนตัวออกมาได้” เป็นเพราะอะไรเหรอ? “เพราะรู้แล้วว่าการรีบมันดี เวลาแต่ละวันมันเยอะ แต่เราจะไม่รู้ตัวเลยว่าประสาทเราเสียไปแล้วตอนเช้า ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว คือพอเรารีบมาก ๆ มันเหมือนเราลนลนแล้วล้ก แล้วเราก็จะไปอารมณ์เสียง่ายบนถนน หรือไปอารมณ์เสียง่ายเมื่อเราต้องรอใคร รู้สึกว่าฉันอุตส่าห์รีบทำไมฉันต้องมารอเธอ เขาก็คงนึกก็ไม่ได้ใช้ให้มารอ แต่มันต้องรอ แต่ก็ไม่มีใครใช้ให้เรารีบ แต่เรามักคิดว่าเวลาเรามีค่าเสมอ โดยที่ลืมไปว่าเวลาของคนอื่นเขาก็มีเหมือนกัน ก็เลยกลายเป็นว่า ก็ค่อย ๆ ไปแต่กะเวลาให้พอดี มาถึงบริษัทตอกบัตรทัน”
ทุกวันนี้ทำงานตอกบัตรด้วย “ใช่ค่ะ เป็นมนุษย์เงินเดือน เข้าทำงาน 11 โมง ก็ต้องตอกบัตร 10 โมง 45 อย่างช้า ถ้าตอกสายจะโดนหักเงินเดือน ที่มันจำเป็นจะต้องตรงวินัย เดี๋ยวเงินเดือนที่มันน้อยอยู่แล้วมันจะน้อยไปกว่านี้ อ้อมเป็นมนุษย์เงินเดือนมาตั้งแต่เป็นดีเจ นี่คือความใฝ่ฝันของอ้อม มนุษย์เงินเดือนความรู้สึกของอ้อมมันเจ๋งดี มันดูว่าเราได้ใช้วิชาชีพ คือสมมุติว่าร้องเพลงหรือเล่นคอนเสิร์ต ก็ได้เงินเยอะดีนะ เยอะเกินเงินเดือน แต่มันไม่เท่ แต่การมีเงินเดือนรู้สึกว่านี่แหละที่เราเรียนมา เราหาเงินได้จากสิ่งที่เราเรียน ที่แม่ส่งเสียมา จากที่เรานั่งเรียนหลังขดหลังแข็งมากี่ปี อ้อมเรียนด้านวิทยุโทรทัศน์ ก็ได้เอามาใช้ ซึ่งเป็นการเรียนที่ถูกสายถูกกับงาน”
มีนักร้องหลายคนที่เงียบไป พอกลับมาอีกที มักจะมีคอนเสิร์ตของตัวเอง แล้ว “อ้อม” ล่ะ จะมีกับเขาบ้างมั้ย “ไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้นะคะ อ้อมเหนื่อย ขี้เกียจ ถ้าจะพูดกันตรง ๆ ไปแจมนะไหว แต่ให้มารับผิดชอบทั้งคอนเสิร์ตนะไม่ไหว เคยมีคนชวนแต่ปฏิเสธเขาไป คืออ้อมชอบนะเวลาอยู่ห้องซ้อม ชอบเวลาเล่นคอนเสิร์ต แต่อ้อมก็เหนื่อยกับการต้องมาทำทั้งคอนเสิร์ตเพราะอ้อมไม่ได้มีอาชีพนักร้อง เหมือนอย่างคนอื่นเค้า ในปัจจุบันที่เค้าสามารถทุ่มเวลาซ้อมได้เยอะ เค้าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่อ้อมมีงานประจำไงค่ะ พอเรามีงานประจำ อ้อมรู้สึกว่าอ้อมติดกับคำว่างานประจำ เราต้องรับผิดชอบหน้าที่งานประจำเราให้ดีก่อน อย่างอื่นเป็นงานเสริม”
จากนี้ไปแฟน ๆ จะมีโอกาสได้เห็นผลงานการแสดงของ “อ้อม” บ้างมั้ย “ยากค่ะ แหม..คนรุ่นอ้อมเล่นเป็นแม่กันหมดแล้ว คือละครเป็นอะไรที่น่าเล่น ถ้าบทมันดี การแสดงไม่ว่าละครหรือหนังสำหรับอ้อมมันมีเสน่ห์ อ้อมว่ามันอยู่ที่บทถ้าบทมันทำให้อ้อมรู้สึกว่า เราได้เปลี่ยนตัวเองแล้วลองสวมบทเป็นคนอื่น ที่เป็นตัวละคร ที่มีความคิดอะไรอีกแบบนึง มันมีเสน่ห์อยู่แล้วค่ะ คือตัวเราเราเป็นของเรา มันจำเจอยู่แล้ว แต่ตัวละครเหมือนถอดตัวเองออก”
อัพเดทงานบันเทิงตอนนี้หน่อย มีอะไรบ้าง “ถ้าเอาในแง่ของงานอาสาสมัคร ก็จัดรายการวิทยุที่เสถียรธรรมสถาน เดือนละสองครั้งกับคุณแม่ชีศันสนีย์ ส่วนที่วัดพระรามเก้า ทำรายการธรรมะ แต่ส่วนตัวทำอีกอย่างคือทำรายการให้ กรีน แชนแนล ชื่อรายการธรรมทัวร์ เป็นรายการท่องเที่ยวกึ่งธรรมะ ทุกวันพุธ เวลาบ่ายสามโมง แล้วก็มีรายการที่คลื่น 94 อีเอฟเอ็ม ช่วงวิกอโศก เวลาสิบเอ็ดโมง วันจันทร์-วันศุกร์ ด้วยบุคลิกอ้อมยอมรับว่า อ้อมไม่ใช่คนธรรมะจ๋า ไม่ได้เป็นแบบธรรมะชุดขาว ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ...ไม่ อ้อมมองว่าเรื่องพวกนี้มันอยู่ในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นทำรายการอ้อมก็ทำให้มันเป็นวิถีของเรา อย่าไปทำอย่างเดียวให้มันมุ่งมั่นขนาดนั้น”
ขอถามเรื่องหัวจิตหัวใจบ้างนะ ชีวิตนี้จะไม่คิดมีครอบครัว (มีคู่ชีวิต) กับเขาบ้างเหรอ?... “อ้อมก็มีนะ อ้อมยอมรับว่ามีคนคุยด้วย แต่อ้อมไม่นิยมการต้องบอกสื่อ หรือบอกคนว่าเรามีหรือไม่มี อ้อมอาจจะเหมือนนักแสดงรุ่นเก่าก็ได้ ที่เค้าไม่ค่อยพูดเรื่องแบบนี้กัน การไม่พูดมันก็ง่ายกว่า เพราะเดี๋ยวคนชอบไม่ชอบ แล้วก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องสาธารณะซะทุกเรื่อง อ้อมว่าที่รุ่นเก่าเค้าไม่พูดกัน ก็ด้วยเหตุผลเหล่านี้เหมือนกัน จะรักจะเลิกกันมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน ที่มันจะทำให้ไปกดดันกันหลาย ๆ อย่าง ก็อยู่เงียบ ๆ ไป” ก็คือไม่ปฏิเสธว่าไม่มี “ใช่ ๆ ไม่ได้ปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะโตป่านนี้ถ้าไม่มีมันก็น่าคิด เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีมันก็คิดได้ว่า นิสัยไม่ดีซะจนไม่มี หรือว่าเลือกแล้วที่จะไม่มี อันนี้มันก็แล้วแต่ อ้อมโตมากับเรื่องที่มันไม่ค่อยพูดนะ ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าการพูดเป็นสิ่งผิด และหลาย ๆ ครั้งที่เราอยู่วงการนี้ เราก็เห็นอยู่ว่า พูดมันก็ไม่ได้เสีย แต่มันก็ไม่ใช่ว่าได้ สำหรับบางคน บางคนตอนมีแฟนอยากพูดเหลือเกินอยากบอก เพราะฉะนั้นในเมื่อคุณกล้าบอกเวลาคุณแสดงความรัก ก็ต้องยอมรับเวลาคนถาม”
งั้น..คนพิเศษของ “อ้อม” เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย “อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด ถ้าอ้อมตอบว่าเป็นผู้ชายก็จะไม่เชื่ออ้อม อ้อมตอบเป็นผู้หญิงก็จะหาว่า อ้าว..แล้วที่ผ่านมาไม่เห็นตอบอะไร เพราะฉะนั้นเป็นคำถามที่อ้อมไม่เคยตอบอะไรเลย เพราะอ้อมเคยประสบมาแล้วว่า อ้อมตอบอะไรอ้อมก็ไม่ได้รับความสำเร็จในการเชื่อ อ้อมก็จะเลี่ยงไม่ตอบ เพราะอะไรเพราะทุกคนมีคำตอบในใจแทนอ้อม อ้อมเคยไม่ได้รับการให้เกียรติในการเชื่อมาแล้ว เพราะฉะนั้นอ้อมก็จะไม่ตอบในคำถามที่อ้อมเคยตอบไปแล้ว และพูดความจริงไปแล้ว แต่ถูกปฏิเสธมาแล้ว อ้อมว่าพอวิธีคิดมันเปลี่ยน มันทำให้การที่เราใช้ชีวิตกับใครสักคนในการพูดคุยมันเปลี่ยนไปอีกมุมนึง การเอาแต่ใจบางอย่างมันลดลง”
มีอะไรที่ “อ้อม” อยากจะทำอีกมั้ย “อ้อมชอบชีวิตตอนนี้นะ ทำงานพอประมาณเพื่อที่จะมีรายได้ เหมือนมนุษย์คนอื่นแล้วก็มีเวลาว่างได้หยุดพัก แล้วก็เอาเวลาส่วนหนึ่งคืนให้กับสังคมบ้าง ซึ่งจริง ๆ เป็นคำพูดที่ดูดี แต่จริง ๆ แล้วในขณะที่เราไปทำอย่างนั้น เรากลับเป็นผู้รับมากกว่าเป็นผู้ให้ เพราะว่าเราได้ฝึกนิสัยตัวเอง เหมือนเราไปให้เค้า แต่จริง ๆ แล้วเราไปพัฒนาตัวเองด้วยซ้ำ มันเป็นโรงเรียนที่ทำให้เราได้พัฒนาอย่างไม่ต้องเสียสตางค์ และไม่มีความเจ็บช้ำอะไรเลย”
คุยกำลังเพลินเชียว..เนื้อที่หมดพอดี “อ้อม”อยากจะฝากอะไรถึงแฟน ๆ บ้างมั้ย “อ้อมอยากให้ทุกคนมีความสุข อ้อมเชื่อว่าความสุขหาไม่ยาก ความสุขหาได้ง่าย และการได้หันกลับมามองตัวเอง มันอาจจะทำให้มีความสุขกว่านั่งมองเรื่องคนอื่นก็ได้ บางครั้งการนั่งมองเรื่องคนอื่นเยอะ มันเหมือนไม่สนใจตัวเอง แล้วสุดท้ายเราอาจจะไม่รู้จักตัวเราเองก็ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกัน พยายามให้เวลากับตัวเองกันเยอะ ๆ และอาจจะทำให้อะไรบางอย่างในชีวิตมันสบายขึ้น จริง ๆ อ้อมก็พูดไม่ค่อยเป็นหรอก แต่ก็โอเคนะคะ”
ก็โอเคค่ะ..รักนะจุ๊บ ๆ.
“ปรางค์ ปิ๊กมี่”
ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เริ่มเมาท์กันเลย ไม่ได้เจอ “อ้อม” นาน มั่ก...มาก ชีวิตชีวาตอนนี้เป็นยังไงบ้าง “ก็สบายดีค่ะ อยู่กับแม่ตามปกติ ชีวิตก็ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ไม่ต้องผ่อนบ้านผ่อนรถ ที่ไม่ซื้อเพราะว่ากลัวทำ ๆ อยู่ อยากเลิกทำงานจะต้องมามีภาระผ่อนบ้านไม่ชอบ...ไม่ชอบ แม่บอกซื้ออะไรหน่อยมั้ย ที่เป็นของที่เก็บไว้ได้ ก็บอกไม่ซื้อดีกว่าเพราะถ้าเกิดว่าทำงานแล้วอยากออก เบื่อชีวิตทำงาน ขี้เกียจผ่อนขี้เกียจมีภาระ ก็เลยไม่ทำอะไรเลย ปกติเมื่อก่อนเปลี่ยนรถ 2-3 ปี เดี๋ยวนี้ไม่ได้เปลี่ยนแม่ไม่ให้เปลี่ยน แม่บอกซื้อรถมีแต่ลด ราคามันตกลงเรื่อย ๆ ถ้าอยากเปลี่ยนรถอ้อมว่าเปลี่ยนรถไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือทะเลาะกับแม่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็หยุดเปลี่ยนดีกว่า ก็ไม่เดือดร้อนอ้อมก็นั่งมอเตอร์ไซค์”
กิจวัตรประจำวันของ “อ้อม” เป็นยังไง “ตื่นประมาณ 8 โมง ก็แล้วแต่วันนะ มันจะรู้สึกตัวก่อน 6 โมง 7 โมงครึ่ง บางวัน 7 โมงครึ่งถ้ามีลูกฮึดจะนั่งสมาธิ ถ้าไม่มีก็หลับจนถึง 8 โมงครึ่งพอถึงตอนนั้นก็จะอืด ๆ ช้า ๆ อ่านหนังสือที่มีอยู่ 2-3 แบบ คือนิยายแปล หนังสืออ่านเล่นประเภทนิทาน หรือเป็นวรรณกรรมเด็ก, หนังสือธรรมะ รู้สึกว่ามีความรู้เข้าหัวบ้าง อย่างน้อยในแต่ละวัน ถ้าไม่ได้นั่งสมาธิไม่ได้สวดมนต์ ก็ขอให้มีความรู้อย่างอื่นเข้าหัวบ้าง แต่ก็อ่านได้ไม่กี่หน้า นะคะ อ่านแล้วก็อ่านซ้ำเพราะมันไม่ค่อยเข้าใจ สติปัญญายังไม่ถึงไหน ต้องอ่านซ้ำไปเรื่อย ๆ”
“ถ้าอยู่บ้านก็จะหาอะไรทานตอนเช้า เพราะเชื่อว่าอาหารมื้อเช้าสำคัญ แล้วก็อาบน้ำ ทำตัวเองให้เรียบร้อยแล้วก็ออกจากบ้าน จากเมื่อก่อนที่ใช้เวลา 15 นาที ในการทำอะไรทุกอย่างรวมได้หมดแต่ไม่กินข้าว เดี๋ยวนี้กลายเป็นต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง กว่าจะเคลื่อนตัวออกมาได้” เป็นเพราะอะไรเหรอ? “เพราะรู้แล้วว่าการรีบมันดี เวลาแต่ละวันมันเยอะ แต่เราจะไม่รู้ตัวเลยว่าประสาทเราเสียไปแล้วตอนเช้า ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว คือพอเรารีบมาก ๆ มันเหมือนเราลนลนแล้วล้ก แล้วเราก็จะไปอารมณ์เสียง่ายบนถนน หรือไปอารมณ์เสียง่ายเมื่อเราต้องรอใคร รู้สึกว่าฉันอุตส่าห์รีบทำไมฉันต้องมารอเธอ เขาก็คงนึกก็ไม่ได้ใช้ให้มารอ แต่มันต้องรอ แต่ก็ไม่มีใครใช้ให้เรารีบ แต่เรามักคิดว่าเวลาเรามีค่าเสมอ โดยที่ลืมไปว่าเวลาของคนอื่นเขาก็มีเหมือนกัน ก็เลยกลายเป็นว่า ก็ค่อย ๆ ไปแต่กะเวลาให้พอดี มาถึงบริษัทตอกบัตรทัน”
ทุกวันนี้ทำงานตอกบัตรด้วย “ใช่ค่ะ เป็นมนุษย์เงินเดือน เข้าทำงาน 11 โมง ก็ต้องตอกบัตร 10 โมง 45 อย่างช้า ถ้าตอกสายจะโดนหักเงินเดือน ที่มันจำเป็นจะต้องตรงวินัย เดี๋ยวเงินเดือนที่มันน้อยอยู่แล้วมันจะน้อยไปกว่านี้ อ้อมเป็นมนุษย์เงินเดือนมาตั้งแต่เป็นดีเจ นี่คือความใฝ่ฝันของอ้อม มนุษย์เงินเดือนความรู้สึกของอ้อมมันเจ๋งดี มันดูว่าเราได้ใช้วิชาชีพ คือสมมุติว่าร้องเพลงหรือเล่นคอนเสิร์ต ก็ได้เงินเยอะดีนะ เยอะเกินเงินเดือน แต่มันไม่เท่ แต่การมีเงินเดือนรู้สึกว่านี่แหละที่เราเรียนมา เราหาเงินได้จากสิ่งที่เราเรียน ที่แม่ส่งเสียมา จากที่เรานั่งเรียนหลังขดหลังแข็งมากี่ปี อ้อมเรียนด้านวิทยุโทรทัศน์ ก็ได้เอามาใช้ ซึ่งเป็นการเรียนที่ถูกสายถูกกับงาน”
มีนักร้องหลายคนที่เงียบไป พอกลับมาอีกที มักจะมีคอนเสิร์ตของตัวเอง แล้ว “อ้อม” ล่ะ จะมีกับเขาบ้างมั้ย “ไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้นะคะ อ้อมเหนื่อย ขี้เกียจ ถ้าจะพูดกันตรง ๆ ไปแจมนะไหว แต่ให้มารับผิดชอบทั้งคอนเสิร์ตนะไม่ไหว เคยมีคนชวนแต่ปฏิเสธเขาไป คืออ้อมชอบนะเวลาอยู่ห้องซ้อม ชอบเวลาเล่นคอนเสิร์ต แต่อ้อมก็เหนื่อยกับการต้องมาทำทั้งคอนเสิร์ตเพราะอ้อมไม่ได้มีอาชีพนักร้อง เหมือนอย่างคนอื่นเค้า ในปัจจุบันที่เค้าสามารถทุ่มเวลาซ้อมได้เยอะ เค้าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่อ้อมมีงานประจำไงค่ะ พอเรามีงานประจำ อ้อมรู้สึกว่าอ้อมติดกับคำว่างานประจำ เราต้องรับผิดชอบหน้าที่งานประจำเราให้ดีก่อน อย่างอื่นเป็นงานเสริม”
จากนี้ไปแฟน ๆ จะมีโอกาสได้เห็นผลงานการแสดงของ “อ้อม” บ้างมั้ย “ยากค่ะ แหม..คนรุ่นอ้อมเล่นเป็นแม่กันหมดแล้ว คือละครเป็นอะไรที่น่าเล่น ถ้าบทมันดี การแสดงไม่ว่าละครหรือหนังสำหรับอ้อมมันมีเสน่ห์ อ้อมว่ามันอยู่ที่บทถ้าบทมันทำให้อ้อมรู้สึกว่า เราได้เปลี่ยนตัวเองแล้วลองสวมบทเป็นคนอื่น ที่เป็นตัวละคร ที่มีความคิดอะไรอีกแบบนึง มันมีเสน่ห์อยู่แล้วค่ะ คือตัวเราเราเป็นของเรา มันจำเจอยู่แล้ว แต่ตัวละครเหมือนถอดตัวเองออก”
อัพเดทงานบันเทิงตอนนี้หน่อย มีอะไรบ้าง “ถ้าเอาในแง่ของงานอาสาสมัคร ก็จัดรายการวิทยุที่เสถียรธรรมสถาน เดือนละสองครั้งกับคุณแม่ชีศันสนีย์ ส่วนที่วัดพระรามเก้า ทำรายการธรรมะ แต่ส่วนตัวทำอีกอย่างคือทำรายการให้ กรีน แชนแนล ชื่อรายการธรรมทัวร์ เป็นรายการท่องเที่ยวกึ่งธรรมะ ทุกวันพุธ เวลาบ่ายสามโมง แล้วก็มีรายการที่คลื่น 94 อีเอฟเอ็ม ช่วงวิกอโศก เวลาสิบเอ็ดโมง วันจันทร์-วันศุกร์ ด้วยบุคลิกอ้อมยอมรับว่า อ้อมไม่ใช่คนธรรมะจ๋า ไม่ได้เป็นแบบธรรมะชุดขาว ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ...ไม่ อ้อมมองว่าเรื่องพวกนี้มันอยู่ในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นทำรายการอ้อมก็ทำให้มันเป็นวิถีของเรา อย่าไปทำอย่างเดียวให้มันมุ่งมั่นขนาดนั้น”
ขอถามเรื่องหัวจิตหัวใจบ้างนะ ชีวิตนี้จะไม่คิดมีครอบครัว (มีคู่ชีวิต) กับเขาบ้างเหรอ?... “อ้อมก็มีนะ อ้อมยอมรับว่ามีคนคุยด้วย แต่อ้อมไม่นิยมการต้องบอกสื่อ หรือบอกคนว่าเรามีหรือไม่มี อ้อมอาจจะเหมือนนักแสดงรุ่นเก่าก็ได้ ที่เค้าไม่ค่อยพูดเรื่องแบบนี้กัน การไม่พูดมันก็ง่ายกว่า เพราะเดี๋ยวคนชอบไม่ชอบ แล้วก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องสาธารณะซะทุกเรื่อง อ้อมว่าที่รุ่นเก่าเค้าไม่พูดกัน ก็ด้วยเหตุผลเหล่านี้เหมือนกัน จะรักจะเลิกกันมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน ที่มันจะทำให้ไปกดดันกันหลาย ๆ อย่าง ก็อยู่เงียบ ๆ ไป” ก็คือไม่ปฏิเสธว่าไม่มี “ใช่ ๆ ไม่ได้ปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะโตป่านนี้ถ้าไม่มีมันก็น่าคิด เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีมันก็คิดได้ว่า นิสัยไม่ดีซะจนไม่มี หรือว่าเลือกแล้วที่จะไม่มี อันนี้มันก็แล้วแต่ อ้อมโตมากับเรื่องที่มันไม่ค่อยพูดนะ ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าการพูดเป็นสิ่งผิด และหลาย ๆ ครั้งที่เราอยู่วงการนี้ เราก็เห็นอยู่ว่า พูดมันก็ไม่ได้เสีย แต่มันก็ไม่ใช่ว่าได้ สำหรับบางคน บางคนตอนมีแฟนอยากพูดเหลือเกินอยากบอก เพราะฉะนั้นในเมื่อคุณกล้าบอกเวลาคุณแสดงความรัก ก็ต้องยอมรับเวลาคนถาม”
งั้น..คนพิเศษของ “อ้อม” เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย “อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด ถ้าอ้อมตอบว่าเป็นผู้ชายก็จะไม่เชื่ออ้อม อ้อมตอบเป็นผู้หญิงก็จะหาว่า อ้าว..แล้วที่ผ่านมาไม่เห็นตอบอะไร เพราะฉะนั้นเป็นคำถามที่อ้อมไม่เคยตอบอะไรเลย เพราะอ้อมเคยประสบมาแล้วว่า อ้อมตอบอะไรอ้อมก็ไม่ได้รับความสำเร็จในการเชื่อ อ้อมก็จะเลี่ยงไม่ตอบ เพราะอะไรเพราะทุกคนมีคำตอบในใจแทนอ้อม อ้อมเคยไม่ได้รับการให้เกียรติในการเชื่อมาแล้ว เพราะฉะนั้นอ้อมก็จะไม่ตอบในคำถามที่อ้อมเคยตอบไปแล้ว และพูดความจริงไปแล้ว แต่ถูกปฏิเสธมาแล้ว อ้อมว่าพอวิธีคิดมันเปลี่ยน มันทำให้การที่เราใช้ชีวิตกับใครสักคนในการพูดคุยมันเปลี่ยนไปอีกมุมนึง การเอาแต่ใจบางอย่างมันลดลง”
มีอะไรที่ “อ้อม” อยากจะทำอีกมั้ย “อ้อมชอบชีวิตตอนนี้นะ ทำงานพอประมาณเพื่อที่จะมีรายได้ เหมือนมนุษย์คนอื่นแล้วก็มีเวลาว่างได้หยุดพัก แล้วก็เอาเวลาส่วนหนึ่งคืนให้กับสังคมบ้าง ซึ่งจริง ๆ เป็นคำพูดที่ดูดี แต่จริง ๆ แล้วในขณะที่เราไปทำอย่างนั้น เรากลับเป็นผู้รับมากกว่าเป็นผู้ให้ เพราะว่าเราได้ฝึกนิสัยตัวเอง เหมือนเราไปให้เค้า แต่จริง ๆ แล้วเราไปพัฒนาตัวเองด้วยซ้ำ มันเป็นโรงเรียนที่ทำให้เราได้พัฒนาอย่างไม่ต้องเสียสตางค์ และไม่มีความเจ็บช้ำอะไรเลย”
คุยกำลังเพลินเชียว..เนื้อที่หมดพอดี “อ้อม”อยากจะฝากอะไรถึงแฟน ๆ บ้างมั้ย “อ้อมอยากให้ทุกคนมีความสุข อ้อมเชื่อว่าความสุขหาไม่ยาก ความสุขหาได้ง่าย และการได้หันกลับมามองตัวเอง มันอาจจะทำให้มีความสุขกว่านั่งมองเรื่องคนอื่นก็ได้ บางครั้งการนั่งมองเรื่องคนอื่นเยอะ มันเหมือนไม่สนใจตัวเอง แล้วสุดท้ายเราอาจจะไม่รู้จักตัวเราเองก็ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกัน พยายามให้เวลากับตัวเองกันเยอะ ๆ และอาจจะทำให้อะไรบางอย่างในชีวิตมันสบายขึ้น จริง ๆ อ้อมก็พูดไม่ค่อยเป็นหรอก แต่ก็โอเคนะคะ”
ก็โอเคค่ะ..รักนะจุ๊บ ๆ.
“ปรางค์ ปิ๊กมี่”
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น