วันนี้ (9 ธ.ค.) ที่โรงเรียนปวีณา หงสกุลการบริบาล ถนนสุขาภิบาล 5 ซอย
75 นางปวีณา หงสกุลประธาน “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” กล่าวว่า
สืบเนื่องมาจากที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.เอ (นามสมมุติ)
ทางโทรศัพท์มายังมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี
ขอให้นางปวีณาช่วยเหลือเพื่อนที่ถูกหลอกไปประเทศบราซิล ชื่อ น.ส.บี
(นามสมมุติ) อายุ 24 ปี
เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้แอบขนยาเสพติดใส่กระเป๋าเดินทาง
เพื่อเดินทางกลับประเทศไทย น.ส.บี ได้ส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือว่า “
ช่วยด้วย! ถูกบังคับให้ขนยาเสพติดไม่งั้นจะถูกฆ่า ”
ตนเกรงว่าพวกขบวนการค้ายาเสพติดจะฆ่าเพื่อน
จึงรีบแจ้งมายังมูลนิธิฯเพื่อขอให้นางปวีณา ช่วยเหลือ
หลังจากที่ประธาน “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” ได้รับข้อมูลดังกล่าว จึงรีบตรวจสอบหาข้อเท็จจริงจนทราบชื่อและสถานที่อยู่ของน.ส.บี ที่ประเทศบราซิล จึงรีบประสานไปยังนายสุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล รมว.กระทรวงต่างประเทศและพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการป.ป.ส. และเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบราซิล เพื่อเร่งดำเนินการช่วยเหลือ ไม่นานก็สามารถช่วยน.ส.บีออกมาได้ และได้รับการดูแลจากสถานทูตไทยประจำประเทศบราซิล และส่งตัวกลับโดยออกเดินทางจากเมืองเซ้าท์เบาโล ประเทศบราซิลวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา และมาถึงเมืองไทยแล้ว
ขณะที่น.ส.บี เปิดเผยว่า ตนทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ช่วงพักร้อนมี น.ส.ซี (นามสมมุติ) เพื่อนที่บริษัทชวนไปเที่ยวที่ประเทศบราซิล 1 สัปดาห์ โดย น.ส.ซี บอกว่าจะเดินทางไปก่อนและรอรับที่บราซิล เมื่อตนเดินทางไปถึงกลับไม่ได้พบ น.ส.ซี ตามที่ได้นัดกันไว้ ตนจึงได้เดินทางไปพักที่โรงแรม OMEGA HOTEL วันรุ่งขึ้นตนได้รับการติดต่อจาก น.ส.ซี บอกว่ากลับประเทศไทยแล้ว จากนั้นได้มีชายบราซิลผิวดำ มาเคาะประตูห้องที่โรงแรมและบังคับพาไปบ้านพักแห่งหนึ่ง ซึ่งมีผู้ชายผิวดำควบคุมอยู่ 3 คน ตนถูกบังคับให้ขนยาเสพติด โดยบังคับให้ซุกซ่อนโคเคนในชุดชั้นใน ช่องคลอด และจะมีกระเป๋าที่ทำขึ้นมาพิเศษให้ตนถือเข้าประเทศไทย เมื่อกลับมาถึงจะมีคนรอรับที่สนามบินหากไม่ทำตามจะถูกฆ่า ตนหวาดกลัวมากเพราะขณะที่ถูกขังไว้ตนถูกข่มขืนและทำร้ายร่างกาย เมื่อมีโอกาสจึงได้แอบส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือขอความช่วยเหลือจาก เพื่อน จากนั้นตนได้รับติดต่อจากนางปวีณา แจ้งว่าได้ประสานงานงานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้ช่วย เหลือแล้ว และวันต่อมาเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยประจำประเทศบลาซิล ได้เข้าการช่วยเหลือ แต่ขณะนั้นกลุ่มชายผิวดำได้ไหวตัวทันและหลบหนีไปได้.
นางปวีณา กล่าวว่า หลังจากที่ได้นำข้อมูลประสานนายสุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล รมว.กระทรวงต่างประเทศ , เลขาธิการป.ป.ส.ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบราซิลได้ฝากประชาสัมพันธ์ถึงคนไทยทุกคนที่ มีญาติพี่ น้องเป็นผู้หญิงด้วยว่า ที่บราซิลมีผู้หญิงไทยถูกจับดำเนินแล้ว 42 คน อย่าหลงเชื่อชาวต่างชาติที่ชักชวนไปทำงานด้วย เนื่องจากอาจจะเจอกับพวกขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยบังคับให้เราขนยาเสพติด คนที่รู้ไม่ทันสุดท้ายตกเป็น “ เหยื่อ” โดยไม่รู้ตัวและถูกดำเนินคดีทันที นอกจากนี้ยังมีอีกรายชาวกาฬสินธุ์ในลักษณะคล้ายกัน ที่เข้าร้องทุกข์กับทางมูลนิธิฯเพื่อขอให้ช่วยเหลือ
นางปวีณา กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ขบวนการค้ามนุษย์และขบวนการค้ายาเสพติดได้เข้ามาระบาดในประเทศ ไทยอย่างมากโดยแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวและหลอกลวงหญิงไทยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เดินทางไปต่างประเทศด้วย แต่เมื่อไปถึงจะถูกบังคับค้าประเวณี บังคับขนยาเสพติด ซึ่งทางการไทยไม่สามารถช่วยได้ ส่วนใหญ่หญิงไทยที่ถูกหลอกลวง ตกเป็น “เหยื่อ” นั้น จากสถิติของทางมูลนิธิฯและข้อมูลที่ได้จะเห็นว่าส่วนใหญ่มีปัญหาปากท้อง ความยากจน จึงอยากเสี่ยงไปทำงานต่างประเทศหวังว่าจะได้เงินมาก ๆ แต่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ว่าคนที่ชักชวนนั้นสร้างฝันเกินจริงหรือไม่ อยากวอนขอให้หญิงไทยตระหนัก คิดให้รอบคอบ กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แต่พอเป็นข่าวประชาชนรับทราบข้อมูลไม่นานเรื่องเงียบไป ขอให้ภาครัฐและทุกฝ่ายที่เกี่ยวเห็นความสำคัญของเรื่องนี้และมีการแก้ไข อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อคนไทย หญิงไทยจะไม่ตกเป็น “เหยื่อ” อีกต่อไป.
หลังจากที่ประธาน “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” ได้รับข้อมูลดังกล่าว จึงรีบตรวจสอบหาข้อเท็จจริงจนทราบชื่อและสถานที่อยู่ของน.ส.บี ที่ประเทศบราซิล จึงรีบประสานไปยังนายสุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล รมว.กระทรวงต่างประเทศและพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการป.ป.ส. และเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบราซิล เพื่อเร่งดำเนินการช่วยเหลือ ไม่นานก็สามารถช่วยน.ส.บีออกมาได้ และได้รับการดูแลจากสถานทูตไทยประจำประเทศบราซิล และส่งตัวกลับโดยออกเดินทางจากเมืองเซ้าท์เบาโล ประเทศบราซิลวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา และมาถึงเมืองไทยแล้ว
ขณะที่น.ส.บี เปิดเผยว่า ตนทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ช่วงพักร้อนมี น.ส.ซี (นามสมมุติ) เพื่อนที่บริษัทชวนไปเที่ยวที่ประเทศบราซิล 1 สัปดาห์ โดย น.ส.ซี บอกว่าจะเดินทางไปก่อนและรอรับที่บราซิล เมื่อตนเดินทางไปถึงกลับไม่ได้พบ น.ส.ซี ตามที่ได้นัดกันไว้ ตนจึงได้เดินทางไปพักที่โรงแรม OMEGA HOTEL วันรุ่งขึ้นตนได้รับการติดต่อจาก น.ส.ซี บอกว่ากลับประเทศไทยแล้ว จากนั้นได้มีชายบราซิลผิวดำ มาเคาะประตูห้องที่โรงแรมและบังคับพาไปบ้านพักแห่งหนึ่ง ซึ่งมีผู้ชายผิวดำควบคุมอยู่ 3 คน ตนถูกบังคับให้ขนยาเสพติด โดยบังคับให้ซุกซ่อนโคเคนในชุดชั้นใน ช่องคลอด และจะมีกระเป๋าที่ทำขึ้นมาพิเศษให้ตนถือเข้าประเทศไทย เมื่อกลับมาถึงจะมีคนรอรับที่สนามบินหากไม่ทำตามจะถูกฆ่า ตนหวาดกลัวมากเพราะขณะที่ถูกขังไว้ตนถูกข่มขืนและทำร้ายร่างกาย เมื่อมีโอกาสจึงได้แอบส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือขอความช่วยเหลือจาก เพื่อน จากนั้นตนได้รับติดต่อจากนางปวีณา แจ้งว่าได้ประสานงานงานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้ช่วย เหลือแล้ว และวันต่อมาเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยประจำประเทศบลาซิล ได้เข้าการช่วยเหลือ แต่ขณะนั้นกลุ่มชายผิวดำได้ไหวตัวทันและหลบหนีไปได้.
นางปวีณา กล่าวว่า หลังจากที่ได้นำข้อมูลประสานนายสุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล รมว.กระทรวงต่างประเทศ , เลขาธิการป.ป.ส.ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบราซิลได้ฝากประชาสัมพันธ์ถึงคนไทยทุกคนที่ มีญาติพี่ น้องเป็นผู้หญิงด้วยว่า ที่บราซิลมีผู้หญิงไทยถูกจับดำเนินแล้ว 42 คน อย่าหลงเชื่อชาวต่างชาติที่ชักชวนไปทำงานด้วย เนื่องจากอาจจะเจอกับพวกขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยบังคับให้เราขนยาเสพติด คนที่รู้ไม่ทันสุดท้ายตกเป็น “ เหยื่อ” โดยไม่รู้ตัวและถูกดำเนินคดีทันที นอกจากนี้ยังมีอีกรายชาวกาฬสินธุ์ในลักษณะคล้ายกัน ที่เข้าร้องทุกข์กับทางมูลนิธิฯเพื่อขอให้ช่วยเหลือ
นางปวีณา กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ขบวนการค้ามนุษย์และขบวนการค้ายาเสพติดได้เข้ามาระบาดในประเทศ ไทยอย่างมากโดยแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวและหลอกลวงหญิงไทยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เดินทางไปต่างประเทศด้วย แต่เมื่อไปถึงจะถูกบังคับค้าประเวณี บังคับขนยาเสพติด ซึ่งทางการไทยไม่สามารถช่วยได้ ส่วนใหญ่หญิงไทยที่ถูกหลอกลวง ตกเป็น “เหยื่อ” นั้น จากสถิติของทางมูลนิธิฯและข้อมูลที่ได้จะเห็นว่าส่วนใหญ่มีปัญหาปากท้อง ความยากจน จึงอยากเสี่ยงไปทำงานต่างประเทศหวังว่าจะได้เงินมาก ๆ แต่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ว่าคนที่ชักชวนนั้นสร้างฝันเกินจริงหรือไม่ อยากวอนขอให้หญิงไทยตระหนัก คิดให้รอบคอบ กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แต่พอเป็นข่าวประชาชนรับทราบข้อมูลไม่นานเรื่องเงียบไป ขอให้ภาครัฐและทุกฝ่ายที่เกี่ยวเห็นความสำคัญของเรื่องนี้และมีการแก้ไข อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อคนไทย หญิงไทยจะไม่ตกเป็น “เหยื่อ” อีกต่อไป.
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น