เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องที่นายสุริยะใส
กตะศิลา แกนนำกลุ่มกรีน กับพวกรวม 6 คน
ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. กรณีขอให้มีคำสั่งเพิกถอนประกาศกสทช.
เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคม
เคลื่อนที่สากลย่าน 2.1 กิ๊กกะเฮิรตซ์
และยกเลิกการประมูลคลื่นความถี่ที่จัดให้มีขึ้นในวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา
เนื่องจากเห็นว่า หลักเกณฑ์การประมูลที่กสทช.กำหนดขึ้นขัดต่อ
พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง
วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
และไม่เป็นไปตามขั้นตอนและระเบียบ กสทช.
ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะ พ.ศ.2548
โดยศาลเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำขอของนายสุริยะใสกับพวกที่ขอให้ศาลเพิกถอนเพียงข้อ 6 วรรคสอง ที่กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตแต่ละราย มีสิทธิยื่นประมูลคลื่นความถี่สูงสุดไม่เกิน 15 เมกะเฮิรตซ์ และข้อ 10.2.3 ที่กำหนดราคาขั้นต่ำในการประมูลไว้ที่ 4,500 ล้านบาทต่อ 5 เมกะเฮิรตซ์ ของประกาศกสทช. โดยมิได้ประสงค์ที่จะให้ศาลฯยกเลิกประกาศทั้งฉบับประกอบกับขอให้ศาลยกเลิก การประมูลในวันที่ 16 ต.ค.หมายความว่า นายสุริยะใสและพวกประสงค์จะโต้แย้งการใช้ดุลพิพนิจในการกำหนดจำนวนช่วงคลื่น ความถี่สูงสุดที่จะอนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตแต่ละรายอาจประมูลได้ครั้งนี้ และมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สูงสุดที่จะใช้เป็นราคา เริ่มต้นในการประมูล ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 6 วรรคสอง และข้อ 10.2.3 ของประกาศกสทช. ประกาศดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งทางปกครองทั่วไป
ผู้ที่จะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลฯ อันเกี่ยวเนื่องกับประกาศในลักษณะนี้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรง เช่น ผู้ที่มีความประสงค์จะขอให้รับใบอนุญาต แต่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศ หรือผู้ที่ชนะการประมูล แต่ต่อมาภายหลังมิได้รับใบอนุญาตจากผู้ฟ้องคดี เป็นต้น เพราะบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรือมีส่วนได้เสียใกล้ชิดที่อาจจะได้รับความเดือนดร้อน หรือเสียหายจากประกาศฉบับดังกล่าวโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่งแห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง
ดังนั้นผู้ที่จะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อให้ตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจ ในการออกคำสั่งทางปกครองทั่วไป ในกรณีได้แก่ผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่หากเป็นบุคคลทั่วไป บุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิหรือเสีภาพและได้ความเดือดร้อน เสียหายโดยตรงจากประกาศของกสทช. แม้ว่าเหตุแห่งการฟ้องคดีของนายสุริยะใสกับพวกที่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำ ฟ้องจะมีข้อเท็จจริงพวกสมควรที่ทำให้ศาลในคดีนี้เห็นว่าอาจจะมีประเด็นที่ สมควรตรวจสอบการใช้ดุลพินิจและความชอบด้วยกฎหมายของประกาศกสทช. แต่เมื่อนายสุริยะใสกับพวกเป็นประชาชนทั่วไป มิได้มีส่วนได้เสียกับประกาศของกสทช. จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้เดือดร้อนเสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง
อย่างไรก็ตามหากในอนาคตเห็นว่า กสทช.มีการกระทำทางปกครองที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์สาธารณะและ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของนายสุริยะใสกับพวก ก็อาจนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้
ทั้งนี้ศาลยังได้ระบุถึงอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีนี้ไว้ด้วยว่า รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 47 กำหนดให้กสทช.ซึ่งเป็นองค์กรทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนระดับชาติและท้องถิ่น และการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ดังนั้นหากมีบุคคลใดเห็นว่า กสทช.ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญตามที่กำหนดไว้นั้นหรือ ปฏิบัติล่าช้า หรือไม่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย บุคคลนั้นสมารถใช้สิทธิร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 มาตรา 23 และ 32 เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาและสอบสวนข้อเท็จจริงและให้ความเห็น พร้อมข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไข กับกสทช. เพื่อให้ทราบและดำเนินการต่อไปด้วย
ขณะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นตัวแทนของรัฐในการปกป้องดูแลและคุ้มครอง ประโยชน์สาธารณะ หากพบเห็นการกระทำทางปกครองที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมจะใช้ดุลพินิจที่จะ เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองได้ทันที เพื่อให้ศาลตรวจสอบการกระทำทางปกครองนั้นที่จะเป็นเหตุให้ประโยชน์สาธารณะ อย่างหนึ่งอย่างใดต้องเสียไป ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีสิทธิและหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดี ได้ตามมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง ฯ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้ใช้สิทธิร้องเรียนหรือต้องรอให้เกิดความเสียหาย แก่ประชาชนเสียก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังมีคำสั่ง นายสุริยะใส เปิดเผยว่า จะมายื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ตามแนวทางคำสั่งศาลปกครองในช่วงเวลา 13.00 น.วันนี้
โดยศาลเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำขอของนายสุริยะใสกับพวกที่ขอให้ศาลเพิกถอนเพียงข้อ 6 วรรคสอง ที่กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตแต่ละราย มีสิทธิยื่นประมูลคลื่นความถี่สูงสุดไม่เกิน 15 เมกะเฮิรตซ์ และข้อ 10.2.3 ที่กำหนดราคาขั้นต่ำในการประมูลไว้ที่ 4,500 ล้านบาทต่อ 5 เมกะเฮิรตซ์ ของประกาศกสทช. โดยมิได้ประสงค์ที่จะให้ศาลฯยกเลิกประกาศทั้งฉบับประกอบกับขอให้ศาลยกเลิก การประมูลในวันที่ 16 ต.ค.หมายความว่า นายสุริยะใสและพวกประสงค์จะโต้แย้งการใช้ดุลพิพนิจในการกำหนดจำนวนช่วงคลื่น ความถี่สูงสุดที่จะอนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตแต่ละรายอาจประมูลได้ครั้งนี้ และมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สูงสุดที่จะใช้เป็นราคา เริ่มต้นในการประมูล ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 6 วรรคสอง และข้อ 10.2.3 ของประกาศกสทช. ประกาศดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งทางปกครองทั่วไป
ผู้ที่จะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลฯ อันเกี่ยวเนื่องกับประกาศในลักษณะนี้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรง เช่น ผู้ที่มีความประสงค์จะขอให้รับใบอนุญาต แต่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศ หรือผู้ที่ชนะการประมูล แต่ต่อมาภายหลังมิได้รับใบอนุญาตจากผู้ฟ้องคดี เป็นต้น เพราะบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรือมีส่วนได้เสียใกล้ชิดที่อาจจะได้รับความเดือนดร้อน หรือเสียหายจากประกาศฉบับดังกล่าวโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่งแห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง
ดังนั้นผู้ที่จะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อให้ตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจ ในการออกคำสั่งทางปกครองทั่วไป ในกรณีได้แก่ผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่หากเป็นบุคคลทั่วไป บุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิหรือเสีภาพและได้ความเดือดร้อน เสียหายโดยตรงจากประกาศของกสทช. แม้ว่าเหตุแห่งการฟ้องคดีของนายสุริยะใสกับพวกที่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำ ฟ้องจะมีข้อเท็จจริงพวกสมควรที่ทำให้ศาลในคดีนี้เห็นว่าอาจจะมีประเด็นที่ สมควรตรวจสอบการใช้ดุลพินิจและความชอบด้วยกฎหมายของประกาศกสทช. แต่เมื่อนายสุริยะใสกับพวกเป็นประชาชนทั่วไป มิได้มีส่วนได้เสียกับประกาศของกสทช. จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้เดือดร้อนเสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง
อย่างไรก็ตามหากในอนาคตเห็นว่า กสทช.มีการกระทำทางปกครองที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์สาธารณะและ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของนายสุริยะใสกับพวก ก็อาจนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้
ทั้งนี้ศาลยังได้ระบุถึงอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีนี้ไว้ด้วยว่า รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 47 กำหนดให้กสทช.ซึ่งเป็นองค์กรทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนระดับชาติและท้องถิ่น และการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ดังนั้นหากมีบุคคลใดเห็นว่า กสทช.ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญตามที่กำหนดไว้นั้นหรือ ปฏิบัติล่าช้า หรือไม่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย บุคคลนั้นสมารถใช้สิทธิร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 มาตรา 23 และ 32 เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาและสอบสวนข้อเท็จจริงและให้ความเห็น พร้อมข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไข กับกสทช. เพื่อให้ทราบและดำเนินการต่อไปด้วย
ขณะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นตัวแทนของรัฐในการปกป้องดูแลและคุ้มครอง ประโยชน์สาธารณะ หากพบเห็นการกระทำทางปกครองที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมจะใช้ดุลพินิจที่จะ เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองได้ทันที เพื่อให้ศาลตรวจสอบการกระทำทางปกครองนั้นที่จะเป็นเหตุให้ประโยชน์สาธารณะ อย่างหนึ่งอย่างใดต้องเสียไป ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีสิทธิและหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดี ได้ตามมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง ฯ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้ใช้สิทธิร้องเรียนหรือต้องรอให้เกิดความเสียหาย แก่ประชาชนเสียก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังมีคำสั่ง นายสุริยะใส เปิดเผยว่า จะมายื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ตามแนวทางคำสั่งศาลปกครองในช่วงเวลา 13.00 น.วันนี้
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น