ที่สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นายประพันธ์ นัยโกวิท
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง
กล่าวถึงกรณีที่กกต.มีมติเสียงข้างมาก สั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง(ใบแดง)
นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ว่าการพิจารณาของ กกต.
ที่มีการพิจารณาเพียง 4 ท่านนั้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นการนัดหมายตามปกติ
หาก กกต. 1 คนติดภารกิจไปต่างจังหวัดเราก็มีการประชุมตามปกติอยู่ได้
อีกทั้งในที่ประชุมวันนั้น มีการพิจารณา ส.ส.อยู่หลายเรื่อง
รวมถึงมีการพิจารณาของเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นเกือบ 10 เรื่อง
ดังนั้นการพิจารณาเรื่องของนายการุณ เป็นการพิจารณาตามปกติ
และทางคณะอนุวินิจฉัย ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิก็มีมติเอกฉันท์ให้ใบแดงนายการุณ
ตนเห็นด้วยกับคณะอนุวินิจฉัยในครั้งนี้
ส่วนในรายละเอียดของการพิจารณาตนคงไม่ขอออกความเห็นใด ๆ
ซึ่งสำนวนที่ทางกกต. เสนอไปยังศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งนั้น
ยังไม่ได้ชี้ว่าบุคคลนั้นต้องผิด แต่เพียงบอกว่าพยานหลักฐานนั้นมีมูล
ซึ่งก็เป็นเพียงความเห็นของ กกต.เท่านั้นที่เสนอไปยังศาล
“ถ้าหากเลื่อนออกไปก็ต้องเลื่อนคำร้องออกไปทั้งหมด การประชุมที่มีองค์ประชุม 4 คนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ถ้าเสียงออกมาเท่ากัน ประธานในที่ประชุมก็สามารถออกเสียงชี้ขาด โดยอาศัยอำนาจของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องปกติของข้อกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนที่ กกต.บางคนออกมาระบุว่า จะต้องมีองค์ประชุมให้ครบก่อนที่จะมีการพิจารณาดังกล่าวนั้น ยืนยันว่า องค์ประชุมครบแล้ว” นายประพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีการปราศรัยโจมตี ที่กกต.มีมติให้ใบแดงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า ในมาตรา 53( 5 ) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. บัญญัติไว้แล้วการใส่ร้าย ให้ความเท็จ ซึ่งบัญญัติไว้ตั้งแต่ฉบับที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎเช่นนั้นก็เข้าข่ายในตัวบทกฎหมาย ส่วนผลสรุปจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง จะพิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนมองว่า กกต. มีธงจะโจมตีพรรคเพื่อไทย นายประพันธ์ กล่าวว่า กกต. ไม่มีธงในการพิจารณาคำร้อง เพราะเราพิจารณาไปตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ซึ่งในกรณีได้มีการพิจารณาไปแล้วครั้งหนึ่ง และมีการสั่งสอบเพิ่มเติม เพื่อให้แจ้งข้อกล่าวหา เพราะว่าที่ทำสำนวนมายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา จึงทำให้กระบวนการพิจารณาล่าช้า จึงต้องกลับไปแจ้งข้อกล่าวหาก่อน
“ตั้งแต่ผมมาเป็น กกต. เรียนตามตรงว่า ไม่มีใครว่าสั่งให้ กกต. ทำอะไรในลักษณะเช่นนี้ หรือผู้มีอิทธิพล อำมาตย์ ก็ไม่เคยมี ซึ่งการปราศรัยให้ร้ายโจมตี เคยมีการให้ใบแดง เมื่อ ปี 50 ยืนยันว่าการพิจารณาของ กกต. ไม่เคยดูในตัวบุคคลว่าคนนั้นเป็นใครหรือพรรคการเมือง ยืนยันว่าเราดูจากข้อเท็จจริง หลักฐาน และกฎหมายเป็นหลัก ถ้าเป็นในส่วนของตัวผมที่ได้ลงมติไปนั้น สามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง”นายประพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่ากรณีการให้ใบแดงนายการุณ กังวลหรือไม่ว่าจะมีมวลชนมาปิดล้อม นายประพันธ์ กล่าวว่า การจะทำอะไรก็ต้องหนักแน่น ทำอะไรอย่าใช้ความรุนแรง ถ้ามีมวลชนมาก็ไม่เป็นไร เพราะมวลชนก็เคยมากกต. ถ้ามาแล้วก็ควรพูดจาด้วยเหตุด้วยผล อย่าใช้ความรุนแรง ส่วนกรณีนี้ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ถือเป็นมุมมองของแต่ละคน ก็เหมือนการตีความในมาตรา 68 ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องโดยตรง แต่อัยการสูงสุดการยกคำร้อง ถือเป็นของการตีความ
นายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องตามมาตรา 68 ว่า อยู่ที่การตีความของกฎหมาย ตอนยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่นึกถึงตรงนี้ คิดว่าจะให้ยื่นอัยการสูงสุด ยืนยันว่าเป็นเรื่องของการตีความ ทั้งนี้ กฎหมาย เจตนารมณ์ของคนร่างจะมีความเห็นไปอีกทิศทางหนึ่ง แต่พอออกเป็นกฎหมาย ศาลไม่จำเป็นต้องตีความตามคนร่าง นี่เป็นหลักของนิติศาสตร์สากล ซึ่งถ้อยคำสามารถตีความได้หลายอย่าง ถือเป็นมุมของกฎหมายและความสวยงามของกฎหมาย
“ถ้าหากเลื่อนออกไปก็ต้องเลื่อนคำร้องออกไปทั้งหมด การประชุมที่มีองค์ประชุม 4 คนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ถ้าเสียงออกมาเท่ากัน ประธานในที่ประชุมก็สามารถออกเสียงชี้ขาด โดยอาศัยอำนาจของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องปกติของข้อกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนที่ กกต.บางคนออกมาระบุว่า จะต้องมีองค์ประชุมให้ครบก่อนที่จะมีการพิจารณาดังกล่าวนั้น ยืนยันว่า องค์ประชุมครบแล้ว” นายประพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีการปราศรัยโจมตี ที่กกต.มีมติให้ใบแดงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า ในมาตรา 53( 5 ) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. บัญญัติไว้แล้วการใส่ร้าย ให้ความเท็จ ซึ่งบัญญัติไว้ตั้งแต่ฉบับที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎเช่นนั้นก็เข้าข่ายในตัวบทกฎหมาย ส่วนผลสรุปจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง จะพิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนมองว่า กกต. มีธงจะโจมตีพรรคเพื่อไทย นายประพันธ์ กล่าวว่า กกต. ไม่มีธงในการพิจารณาคำร้อง เพราะเราพิจารณาไปตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ซึ่งในกรณีได้มีการพิจารณาไปแล้วครั้งหนึ่ง และมีการสั่งสอบเพิ่มเติม เพื่อให้แจ้งข้อกล่าวหา เพราะว่าที่ทำสำนวนมายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา จึงทำให้กระบวนการพิจารณาล่าช้า จึงต้องกลับไปแจ้งข้อกล่าวหาก่อน
“ตั้งแต่ผมมาเป็น กกต. เรียนตามตรงว่า ไม่มีใครว่าสั่งให้ กกต. ทำอะไรในลักษณะเช่นนี้ หรือผู้มีอิทธิพล อำมาตย์ ก็ไม่เคยมี ซึ่งการปราศรัยให้ร้ายโจมตี เคยมีการให้ใบแดง เมื่อ ปี 50 ยืนยันว่าการพิจารณาของ กกต. ไม่เคยดูในตัวบุคคลว่าคนนั้นเป็นใครหรือพรรคการเมือง ยืนยันว่าเราดูจากข้อเท็จจริง หลักฐาน และกฎหมายเป็นหลัก ถ้าเป็นในส่วนของตัวผมที่ได้ลงมติไปนั้น สามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง”นายประพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่ากรณีการให้ใบแดงนายการุณ กังวลหรือไม่ว่าจะมีมวลชนมาปิดล้อม นายประพันธ์ กล่าวว่า การจะทำอะไรก็ต้องหนักแน่น ทำอะไรอย่าใช้ความรุนแรง ถ้ามีมวลชนมาก็ไม่เป็นไร เพราะมวลชนก็เคยมากกต. ถ้ามาแล้วก็ควรพูดจาด้วยเหตุด้วยผล อย่าใช้ความรุนแรง ส่วนกรณีนี้ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ถือเป็นมุมมองของแต่ละคน ก็เหมือนการตีความในมาตรา 68 ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องโดยตรง แต่อัยการสูงสุดการยกคำร้อง ถือเป็นของการตีความ
นายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องตามมาตรา 68 ว่า อยู่ที่การตีความของกฎหมาย ตอนยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่นึกถึงตรงนี้ คิดว่าจะให้ยื่นอัยการสูงสุด ยืนยันว่าเป็นเรื่องของการตีความ ทั้งนี้ กฎหมาย เจตนารมณ์ของคนร่างจะมีความเห็นไปอีกทิศทางหนึ่ง แต่พอออกเป็นกฎหมาย ศาลไม่จำเป็นต้องตีความตามคนร่าง นี่เป็นหลักของนิติศาสตร์สากล ซึ่งถ้อยคำสามารถตีความได้หลายอย่าง ถือเป็นมุมของกฎหมายและความสวยงามของกฎหมาย
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น