วันนี้ (25 เม.ย.)ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) มีมติรับคดีพิเศษเพิ่ม 2 คดี ประกอบด้วย กรณีบุคคลสมคบกันในลักษณะเป็นขบวนการเพื่อกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยการโทรศัพท์หลอกลวงให้ทำธุรกรรมทางการเงิน(คดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์) ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยบอร์ด กคพ. เน้นให้ดำเนินการเอาผิดกับตัวการใหญ่ ส่วนผู้รับจ้างเปิดบัญชีและผู้ติดต่อจะกันไว้เป็นพยาน และจากนี้คดีคอลเซ็นเตอร์ทุกคดีจะอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ นอกจากนี้ยังมีมติรับกรณีที่มีขบวนการลักลอบนำยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจะดำเนินการครอบคลุมการนำเข้าทุกประเทศ ไม่เฉพาะที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีและจีน โดยจะประสานการทำงานร่วมกันทั้งดีเอสไอ อัยการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) ทั้งนี้ ตนจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวเอง
นายธาริต กล่าวต่อว่า จากนี้จะนัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันวางแผนการทำคดีรวมถึงกำหนดวันที่จะเดินทางไปตรวจสอบข้อมูลที่ประเทศเกาหลี ซึ่งเบื้องต้นนอกจากสัญญาของบริษัท ยูแทค ไทย จำกัด ที่สั่งซื้อยาจากประเทศเกาหลีจำนวน 40 ตัน 850 ล้านเม็ดแล้ว ยังพบเอกสารการสัญญาสั่งซื้อยาจากประเทศจีนซึ่งตามเอกสารสัญญาระบุยอดสั่งซื้อยาจำนวน 10,000 ล้านเม็ดด้วย โดยสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ระบุการจัดส่งยาล็อตแรกเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2550 จำนวน 2 ล้านเม็ด ซึ่งตัวยาที่ส่งมาจากทั้ง 2 ประเทศมียี่ห้อเดียวกันคือ โคลโคลโค (COLCOLCO) ทั้งนี้ ดีเอสไอพบหลักฐานภาพถ่ายบุคคลที่เป็นผู้นำสินค้าออกจากคาร์โกแล้ว เบื้องต้นโดยหลักการถือว่าบริษัทชิปปิงต้องถูกดำเนินคดีฐานมีส่วนรู้เห็นเป็นใจและให้การสนับสนุน เนื่องจากการนำเข้าสินค้ามีการสำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าอื่น เช่น ยาปฏิชีวนะ และเครื่องอิเล็คทรอนิคส์ ทั้งที่ต้นทางไม่ได้สำแดงเท็จเพราะยาดังกล่าวในประเทศเกาหลีไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย
“พบว่าสัญญาที่ประเทศเกาหลีส่งมาให้นั้นมีเอกสารสัญญาการสั่งซื้อยาจากประเทศจีนติดมาด้วย โดยเป็นสัญญาที่ทำกับบริษัท ยูแทคฯ เช่นเดียวกัน โดยในสัญญาระบุยอดการสั่งซื้อยาจำนวนมากถึง 10,000 ล้านเม็ด และไม่ได้ระบุถึงกำหนดการที่ต้องจัดส่งให้แล้วเสร็จ แต่ระบุการจัดสั่งล็อตแรกในวันที่ 31 ก.ค. 2009 จำนวน 2 ล้านเม็ด ” นายธาริต กล่าว
นายธาริต กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบบริษัท ยูแทค ไทย จำกัด ขณะนี้ยังให้การถูกอ้างชื่อไปใช้ และไม่ไม่ส่วนรู้เห็นเพราะบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งจากการตรวจสอบโรงงานยังไม่พบความผิดปกติ ขณะที่คนงานส่วนใหญ่เป็นคนไทย แต่ในส่วนของผู้บริหารพบว่ามี 4 คน เป็นคนไทย 1 คน และเกาหลี 3 คน อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอจำเป็นต้องเดินทางไปประเทศเกาหลีเพื่อสอบถามข้อมูลการทำสัญญา การจัดส่งขอออกนอกประเทศว่ามีการดำเนินอย่างไร ซึ่งดีเอสไอมั่นใจว่าต้นทางการส่งสินค้าดำเนินการอย่างถูกต้องแต่มีการสำแดงเท็จในขั้นตอนการนำเข้าประเทศไทย
แหล่งที่มาข้อมูล www.dailynews.co.th
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น