วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ผงะพบแก๊สพิษร้ายแรงบริเวณแผ่นดินเดือด


ตรวจพบแก๊สพิษสะสมบริเวณแผ่นดินเดือด"นครไทย" ทางอำเภอต้องประกาศเตือนเป็นเขตอันตรายห้ามเข้าใกล้ ยันไม่ใช่พื้นที่ภูเขาไฟ
วันนี้ (25เม.ย.) นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค นำเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในชั้นบรรยากาศ มาทำการตรวจวัดในพื้นที่บริเวณพื้นที่ หมู่ 9 บ.โนนตาโพน ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก หลังจากที่ นายเกรียงวิชญ์ ไกรพวิมล นายอำเภอนครไทย ได้เข้ามาตรวจสอบก่อนหน้านี้พร้อมกับสั่งกั้นพื้นที่เป็นเขตอันตราย เนื่องจากในพื้นดิน มีความร้อน และมีควันพวยพุ่งออกมาจากบริเวณพื้นดิน ซึ่งเคยเป็นพื้นที่โรงเลื่อยเก่า ติดริมถนนสายพิษณุโลก-นครไทย

ภายหลังจากเข้าตรวจสอบแล้ว นายกิตติ เปิดเผยในภายหลังว่า กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในบรรยากาศได้มากกว่า 100 ชนิด มาทำการตรวจหาแก๊สพิษรอบๆหลุมไฟ ผลปรากฏว่า พบแก๊สหลายชนิด ทั้งมีเทน  แอมโมเนียที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมี 2 ชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟล์ ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 พีพีเอ็ม เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 พีพีเอ็ม และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 พีพีเอ็ม แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า
สำหรับคาร์บอนไดซัลไฟล์ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐาน เป็นแก๊สที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนัง และ ทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตาและผิวหนัง และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตาอักเสบ ถ้าระยะยาว จะเจ็บหน้าออก ปวดกล้ามเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพารากิลสันที่สั่นตลอด  รวมทั้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมากสำหรับคนที่อยู่ใกล้ เราแนะนำว่าควรจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร เพราะอาจมีลมพัดสารพิษตัวนี้ไป สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษคือคนท้องไม่ควรมารับสารพิษชนิดนี้ อาจจะมีผลต่อการก่อมะเร็ง
ส่วนแก๊สมีเทนมีปริมาณที่น้อยมาก เบื้องต้นได้ประสานกับอบต.หนองกะท้าว ให้นำป้าย และเชือกมากั้น และจัดเวรยามเฝ้าระวังประชาชน ไม่ให้เข้าไปใกล้ในระยะอันตรายแล้ว
โดยก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเกรียงวิชญ์ ไกรพวิมล นายอำเภอนครไทย ร่วมกับนายสกล แก้วพวงคำ ปลัดอำเภออาวุโสอำเภอนครไทย ได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบยังพื้นที่ หมู่ 9 บ.โนนตาโพน ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก หลังจากทราบข่าวจากประชาชนว่าเกิดกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากบริเวณพื้นดิน บริเวณพื้นที่โรงเลื่อยเก่า ติดริมถนนสายพิษณุโลก-นครไทย โดยก่อนหน้านี้มีคนงานก่อสร้าง หลงเดินเข้าไปแล้วขาตกหลุมดิน ได้รับบาดเจ็บจากความร้อน 2 ราย
เมื่อไปถึงพบว่า  ที่บริเวณดังกล่าวพบเป็นเนินดินกว้าง กว่า 1 ไร่  มีกลุ่มชาวบ้านจำนวนมาก กำลังจับกลุ่มมุงดูอยู่บริเวณรอบๆเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเอง โดยเจ้าหน้าที่ อบต.หนองกะท้าวได้นำป้ายไม่อัดสีแดง เขียนข้อความว่า “เขตอันตรายห้ามเข้า” มาปักดินไว้และนำเชือกขึงเป็นเขตอันตราย เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปยังจุดอันตราย ซึ่งในพื้นที่เขตอันตรายนั้นยังมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากใต้พื้นผิวดินเป็นระยะ ลักษณะของพื้นที่ดังกล่าวนั้นจะเป็นลักษณะคล้ายดินทรายเมื่อโยนก้อนหินหรือเศษไม้เข้าไปก็จะเกิดกลุ่มควันลุกขึ้นมา โดยบริเวณรอบรอบจะเกิดการยุบตัวของพื้นดิน ซึ่งมีความร้อนสูง

ทั้งนี้ นายเกรียงวิชญ์ ได้ทำการลองใช้ไม้ทิ่มลงไปบนผิวดิน ก็จะมีกลุ่มควันพร้อมกับมีประกายไฟลุกไหม้ขึ้นมา และทดสอบด้วยการใช้กระดาษจี้ลงไปยังพื้นดิน ก็จะเกิดเปลวไฟลุกไหม้กระดาษทันที จนชาวบ้านที่มายืนจับกลุ่มต่างวิพากษ์วิจารณ์กันถึงสาเหตุในครั้งนี้ ว่าสาเหตุที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากใต้ดินเป็นป่องภูเขาไฟ หรืออาจเป็นแหล่งแก๊ซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม นายเกรียงวิชญ์ ได้ติดต่อขอรถบรรทุกน้ำของ ศูนย์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ให้นำรถน้ำมาฉีดเพื่อดับความร้อน บริเวณดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่นำน้ำมาฉีดเข้าไปในบริเวณพื้นที่ที่มีความร้อน ก็เกิดกลุ่มควันดำพรวยพุ่งออกมาจำนวนมาก จนเจ้าหน้าที่ต้องหยุดการฉีดน้ำ เพราะเกรงจะเกิดอันตรายกับประชาชนที่มายืนมุงดู ประกอบกับมีไอความร้อนสูงแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนชาวบ้านต้องถอยออกจากพื้นที่ดังกล่าวเพราะเกรงได้รับอันตราย

ด้านนายเกรียงวิชญ์  กล่าวว่า ทางอำเภอได้ประกาศเตือนให้เป็นพื้นที่อันตราย ห้ามผู้ใดเข้าไปในบริเวณดังกล่าวแล้ว พร้อมกับได้ประสานรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นไปยังจังหวัดเพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่ที่ในด้านธรณีวิทยา เข้ามาทำการตรวจสอบหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า  ก่อนหน้านี้ บริษัท ทวินซ่า ออยด์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานจาก กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้เจาะสำรวจปิโตรเลียม ของแปลงสำรวจบน บกหมายเลข L 7/50 ในพื้นที่ของตำบลหนองกะท้าว อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ในช่วงปี 51-52 ที่ผ่านมา บริษัท ฯ เคยสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน ประเมินแล้วน่าจะมีก๊าซและน้ำมันดิบ เป็นจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เพราะบริเวณดังกล่าว เป็นแหล่งธรรมชาติ

ทางด้าน รศ.ดร.กิจการ  พรหมมา  อาจารย์ภาควิชาทรัพย์ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพย์ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุการณ์พบความร้อนที่พื้นดิน หมู่ 9 ต.หนองกระท้าว อ.นครไทย ในเบื้องต้นตนเองยังไม่ได้ไปดูที่เกิดเหตุ แต่จากที่ติดตามข่าวสาร นั้น คาดว่าน่าจะมีสาเหตุมากจากไฟรั่ว เพราะสภาพผิวดินมีความร้อนจัดจนน้ำที่มีอยู่ในดินระเหยทำให้ดินร่วนซุยได้ง่าย  ด้วยความร้อนถ้าโยนกระดาษเข้าไปทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ เพราะเกิดความร้อนสูงมากไม่น่าจะมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ของธรรมชาติอย่างอื่นได้

ส่วนการสันนิษฐานความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือการทำปฏิกิริยาของฟอสฟอรัสขาว  ซึ่งฟอสฟอรัสขาวนั้นส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดินที่มีน้ำท่วมขังซึ่งทราบว่าจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากแม่น้ำแควน้อยไม่มากนัก อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อปริมาณแม่น้ำแห้งลง ทำให้ฟอสฟอรัสขาวโผล่พ้นน้ำทำให้เกิดปฏิกิริยากับอากาศ จนทำให้เกิดความร้อนได้ แต่จากรายงานที่เกิดเหตุยังไมพบฟอสฟอรัสขาวแต่อย่างไร จึงต้องให้ผู้เชียวชาญเข้าไปตรวจสอบอย่างระเอียดอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนคำถามที่ว่า อาจเกิดจากเดิมที่เป็นภูเขาไฟ หรือไม่  ขอยืนยันว่าไม่น่าจะใช่ เนื่องจาก การสำรวจพื้นที่ในประเทศไทยนั้นยังไม่พบว่ามีพื้นที่รอยแยกที่จะเกิดภูเขาไฟ และจะมีความร้อนของการแทรกตัวของลาวาขึ้นมาผิวดิน ซึ่งพื้นที่รอยแยกที่จะพบนั้นต้องเป็นที่บริเวณกว้างเป็นแนวยาว ซึ่งต่างจากพื้นทีที่พบนั้นมีขนาดเล็กไม่กว้างมากนักจึงคิดว่าเป็นไปได้ยาก
จากการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นโรงเลื่อยเก่า จึงสันนิษฐานในเบื้องต้นอาจจะเป็นการสะสมของขี้เลื่อยมาเป็นเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดก๊าซใต้ดินได้ แต่ถ้าจะให้เกิดไฟลุกถึงขั้นกระดาษไหม้นั้น ความร้อนจากแสงแดดน่าจะต้องอยู่ ที่ 200-300 องศาเซลเซียส

โดยล่าสุดทางด้านสำนักงานควบคุมโรคติดต่อเขต 9 พิษณุโลก ได้นำอุปกรณ์เครื่องตรวจวัดแก๊สพิษเข้าไปในพื้นที่เพื่อทำการตรวจหาสารพิษ หรือแก๊สพิษ ในพื้นที่ เพื่อเป็นการป้องกัน หากสาเหตุที่เกิดนั้นเกิดจากแก๊สใต้ดิน  จึงต้องนำอุปกรณ์ตรวจหาแก๊สพิษเข้าไปดำเนินการตรวจหา ตามคำสั่งด่วนของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีคำสั่งให้เร่งนำอุปกรณ์เข้าไปดำเนินการตรวจหาแก๊สพิษ เพื่อเป็นการควบคุมอันตรายที่อาจจะเกิดกับประชาชนในพื้นที่
ทางด้าน นายทินกร ทาทอง ผอ.ศูนย์ปฎิบัติการธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรธรณีได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบในพื้นที่หมู่  9 บ้านโนนตาโพน ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย  จ. พิษณุโลก ที่มีไฟระอุจากใต้พื้นดินกว่า 100 ตารางวาแล้ว  พบว่าลึกลงไปใต้ดินไม่มากมีขี้เลื่อยสะสมอยู่ในช่วงประมาณ 30 ปี กินพื้นที่ประมาณ 15 คูณ 40 เมตร หนาประมาณ 2 เมตร เมื่อเวลาผ่านไปก็มีตะกอนดินไหลลงมาทับถมปิดด้านบน เมื่อขี้เลื่อยดังกล่าวถูกหมักหมมเป็นเวลานาน ประกอบกับอากาศร้อนจัดจึงเกิดติดไฟลุกขึ้นมา เหมือนในสมัยโบราณที่มักจะเกิดปรากฎการณ์ส้วมระเบิด เพราะมีการหมักหมมจนเกิดก๊าซมีเทนเพราะไม่มีที่ระบายอากาศ  เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไร แต่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ด้วยวิทยาศาสตร์ได้
เมื่อถามว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ มากน้อยแค่ไหน นายทินกร กล่าวว่า  ขึ้นอยู่กับว่าใต้พื้นดินมีอินทรีย์วัตถุหมักหมมอยู่หรือไม่ หากมีการหมักหมม และไม่มีการระบายอากาศ ก็มีโอกาสจะเกิดเปลวไฟลุกขึ้นมาเช่นนี้ได้อีก เมื่อถามอีกว่าห้องส้วมที่มีอยู่ในประเทศไทย มีโอกาสหมักหมมจนเกิดการระเบิดอีกหรือไม่ นายทินกร กล่าวว่า ส้วมสมัยนี้  ถูกออกแบบให้มีรูระบายอากาศเอาไว้อยู่แล้ว จึงมีโอกาสเกิดการระเบิดขึนน้อยมาก

0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Blog Archive

Design Downloaded from ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ | Free Textures | Web Design Resources