ที่ห้องพิจารณา 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (19 ก.ค.)
ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีดำ อ.3500/51 ที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2
เป็นโจทก์ฟ้อง ส.ต.ท.หญิง รัตน์ติยา หรือวริศรา มูลศรีสุข อายุ 38 ปี
อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจการเงิน สังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 5
เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด
เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต
,เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องสรุปว่าเมื่อระหว่างวันที่ 2 พ.ย.– 26 พ.ย.51 วันเวลาใด ไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการด้านการเงิน ได้รับเงินค่าธรรมเนียมจาก โครงการบัณฑิตอาสา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับทบวงมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ซึ่งเป็นเงินที่เรียกเก็บจากบัณฑิตที่เข้าโครงการคนละ 10 บาท รวม 7,300 บาท ซึ่งจำเลยต้องออกใบเสร็จและส่งธนาคารกรุงไทยฯ เป็นการนำเงินเข้าหลวงตาม ระเบียบ แต่จำเลยกลับกระทำผิดยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวไว้โดยทุจริต สร้างความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชาชน เหตุเกิดที่ แขวง ใดไม่ปรากฏชัด เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157 จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง จึงให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลย ไว้ 3 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าไม่ได้กระทำผิด เพราะรับเงินจำนวนดังกล่าวไว้จริง แต่หลงลืมส่งเข้าหลวงเพราะต้องไปซ้อมสวนสนาม โดยมีนายตำรวจหลายนายเป็นพยาน ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการฝ่ายการเงินต้องมีความชำนาญในการเก็บ รับ ส่ง รวบรวม เอกสารด้านการเงิน เมื่อรับเงินมาแล้วต้องส่งผู้บังคับบัญชา ที่จำเลยอ้างว่าหลงลืมโดยเก็บใส่ซองไว้ในลิ้นชักโต๊ะส่วนตัวเป็นเวลานาน จึงฟังไม่ขึ้นอีกทั้งนายตำรวจที่เป็นพยานขณะพบเงินก็ไม่เบิกความยืนยัน เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน .
โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องสรุปว่าเมื่อระหว่างวันที่ 2 พ.ย.– 26 พ.ย.51 วันเวลาใด ไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการด้านการเงิน ได้รับเงินค่าธรรมเนียมจาก โครงการบัณฑิตอาสา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับทบวงมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ซึ่งเป็นเงินที่เรียกเก็บจากบัณฑิตที่เข้าโครงการคนละ 10 บาท รวม 7,300 บาท ซึ่งจำเลยต้องออกใบเสร็จและส่งธนาคารกรุงไทยฯ เป็นการนำเงินเข้าหลวงตาม ระเบียบ แต่จำเลยกลับกระทำผิดยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวไว้โดยทุจริต สร้างความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชาชน เหตุเกิดที่ แขวง ใดไม่ปรากฏชัด เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157 จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง จึงให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลย ไว้ 3 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าไม่ได้กระทำผิด เพราะรับเงินจำนวนดังกล่าวไว้จริง แต่หลงลืมส่งเข้าหลวงเพราะต้องไปซ้อมสวนสนาม โดยมีนายตำรวจหลายนายเป็นพยาน ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการฝ่ายการเงินต้องมีความชำนาญในการเก็บ รับ ส่ง รวบรวม เอกสารด้านการเงิน เมื่อรับเงินมาแล้วต้องส่งผู้บังคับบัญชา ที่จำเลยอ้างว่าหลงลืมโดยเก็บใส่ซองไว้ในลิ้นชักโต๊ะส่วนตัวเป็นเวลานาน จึงฟังไม่ขึ้นอีกทั้งนายตำรวจที่เป็นพยานขณะพบเงินก็ไม่เบิกความยืนยัน เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน .
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น