จริงใจเพื่อชาติ ชี้ขาดปรองดอง
สะกดรอย “ทักษิณ” บินส่วนหน้าช่วยน้อง “ยิ่งลักษณ์”
กว่าครึ่งปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาดเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ
ทั้งนี้นับตั้งแต่เริ่มแรกหลังชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จนมาถึงวันนี้ ทุกฝ่ายทั้งในและนอกแวดวงการเมืองต่างก็มองว่า
“ยิ่งลักษณ์” เป็นนายกฯนอมินี
เป็นตัวแทนของพี่ชาย คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง
ที่ขณะนี้ยังต้องตะลอนๆอยู่ต่างแดน บินไปประเทศนั้น โฉบมาประเทศนี้ ใช้ชีวิตประจำวันทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ
ยังกลับบ้าน กลับเมืองไทยไม่ได้ เพราะมีโทษจำคุก มีคดีติดตัว
แต่ในฐานะที่เป็นอดีตนายกฯของประเทศไทย มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านต่างประเทศ รู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับบรรดาผู้นำ และนักธุรกิจหลายประเทศทั่วโลก
จึงใช้โอกาสนี้คอยทำหน้าที่ “นายกฯส่วนหน้า” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ในการเดินทางไปเจรจากับรัฐบาลเกือบทุกประเทศ ที่นายกฯยิ่งลักษณ์มีคิวที่จะเดินทางไปเยือน เพื่อเจรจาความเมือง การค้า การลงทุน กระชับความสัมพันธ์
พี่ชายที่แสนดี ช่วยเบิกทางนำร่องให้เกือบทั้งสิ้น
อย่างล่าสุด ที่นายกฯยิ่งลักษณ์มีโปรแกรมเดินทางไปเยือนประเทศเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ ในระหว่างวันที่ 24–27 มีนาคมนี้
พ.ต.ท.ทักษิณก็เพิ่งเดินทางไปพบปะหารือกับผู้นำรัฐบาลเกาหลีใต้ และร่วมเสวนาเรื่องบทบาทผู้นำในประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจมาหมาดๆ
หรือในห้วงก่อนหน้านี้ ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ได้รับเชิญเป็นแขกพิเศษ โดยเป็นผู้นำรัฐบาลเพียงประเทศเดียวที่ได้รับเกียรติให้ไปร่วมงานฉลองวันชาติอินเดีย
พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนนำร่องไปเจรจากับทางรัฐ-บาลอินเดียก่อนล่วงหน้า
รวมถึงการเดินทางไปเยือนประเทศบรูไน สิงคโปร์ พม่า ลาว กัมพูชา และการเดินไปเยือนแดนปลาดิบ
ทริปล่าสุดของนายกฯยิ่งลักษณ์
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องแผนบริหารจัดการน้ำป้องกันปัญหาอุทกภัยของไทย ให้แก่บรรดานักธุรกิจนักลงทุนชาวญี่ปุ่น
ก็เป็น พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำหน้าที่เป็นนายกฯส่วนหน้า เดินทางไปเจรจาหารือกับทางรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ กรุยทางสะดวกให้น้องสาวก่อนทั้งสิ้น
ปรากฏการณ์ตรงนี้ เป็นการตอกย้ำให้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกว่า “ทักษิณ” คือผู้ถืออำนาจที่แท้จริงในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ถือเป็นโมเดลใหม่ของโลก
ที่ผู้กุมอำนาจตัวจริงของรัฐบาล ไม่ได้อยู่ในประเทศ แต่ทำหน้าที่และใช้อำนาจอยู่นอกประเทศ
ทั้งนี้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ความเชี่ยวชาญด้านต่างประเทศ ใช้ความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับบรรดาผู้นำรัฐบาลและนักธุรกิจประเทศต่างๆ
เดินสายกรุยทางช่วยนายกฯยิ่งลักษณ์ในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ เพื่อให้การเจรจาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นไปด้วยความราบรื่น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเจรจาของรัฐบาล
ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด
แถมเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป ถ้าการประสานงานของ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถช่วยทำให้การดำเนินภารกิจของรัฐบาลไทยในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งด้านการเจรจาการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านต่างๆบรรลุผลสำเร็จ
ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะได้ประโยชน์ในการที่จะเพิ่มศักยภาพการพัฒนาประเทศ สร้างความเจริญก้าวหน้า เป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยส่วนรวม
ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับกันว่า การทำงานในเวทีต่างประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่สะดวกราบรื่นและประสบผลสำเร็จ
นั่นก็เพราะความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นของพี่ชายที่ชื่อ “ทักษิณ”
อย่างไรก็ตาม การที่ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามขับเคลื่อนการใช้อำนาจอยู่นอกประเทศในฐานะ “นายกฯส่วนหน้า”
เดินทางไปเจรจากับผู้นำรัฐบาล และกลุ่มนักธุรกิจในประเทศต่างๆ ก่อนที่นายกฯยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปเยือนประเทศนั้นๆอย่างเป็นทางการ
ก็อาจถูกตั้งข้อสงสัย และเกิดความเคลือบแคลงจากสังคมได้เช่นกัน
เพราะด้วยภาพพฤติกรรมเก่าๆ ในสมัยที่ “ทักษิณ” นั่งเป็นนายกรัฐมนตรี ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่ถูกกล่าวหาเรื่องการใช้อำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง
มีเรื่องอื้อฉาว มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในหลายรูปแบบ เกิดปัญหาคอรัปชันเชิงนโยบายหลายซับหลายซ้อน
จนนำมาสู่การรัฐประหารยึดอำนาจ โดนคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ตรวจสอบ และส่งสำนวนดำเนินคดีหลายคดี
รวมทั้งคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปี
จากปรากฏการณ์ต่างๆทำให้เป็นที่จับตาจากสังคม โดยเฉพาะฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามและต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ยังติดตามจับจ้องด้วยความไม่ไว้วางใจว่า
การขับเคลื่อนอำนาจในต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เดินทางนำร่องไปเจรจาหารือกับรัฐบาลและกลุ่มนักธุรกิจในประ-เทศต่างๆ ก่อนที่นายกฯยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปเยือนเพื่อเจรจาหารือทำข้อตกลงต่างๆอย่างเป็นทางการ
มีการเจรจาผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ด้วยหรือไม่
แม้การเดินทางไปเป็น “นายกฯส่วนหน้า” ของ “ทักษิณ” ยังไม่มีอะไรฟ้องออกมาชัดเจนเป็นรูปธรรมว่ามีพฤติกรรมอย่างที่มีการตั้งแง่สงสัย
แต่ด้วยพฤติกรรมการเคลื่อนไหวทั้งในทางลึกและทางเปิดก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ช่วงปลายสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณเทขายหุ้นชินคอร์ป ให้กองทุนเทมาเสกของสิงคโปร์
ได้เคยประกาศไว้ชัดเจนว่าเป็นความต้องการเปลี่ยนไลน์ธุรกิจ จากด้านสื่อสารโทรคมนาคมหันไปทำธุรกิจด้านพลังงาน
และก็บังเอิญเหลือเกินว่า ต่อมาในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน ที่เกิดปัญหาเรื่องการทำบันทึกข้อตกลงยินยอมให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้แต่เพียงฝ่ายเดียว
มีการกล่าวหาลากโยงไปถึงประเด็นการเอื้อประโยชน์เกี่ยวกับการเข้าไปทำธุรกิจด้านพลังงานทางทะเล ทั้งก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน รวมถึงการพัฒนาที่ดินในกัมพูชา
และเมื่อมาถึงยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของนายกฯยิ่งลักษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้เดินทางเข้ากัมพูชาบ่อยครั้ง
เพราะมีความสนิทสนมแนบแน่นกับสมเด็จฮุน เซน นายกฯกัมพูชา ถึงขั้นผู้นำกัมพูชาประกาศตัวเป็นเพื่อนตายของ “ทักษิณ”
ด้วยเหตุนี้ในช่วงการไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณทำหน้าที่เป็น “นายกฯส่วนหน้า” นำร่องไปก่อน
ก็ทำให้ถูกจับตามองในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนในธุรกิจเกี่ยวกับทรัพยากรพลังงานทางทะเลเป็นพิเศษ
ยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระบุว่า ปัญหาข้อพิพาทเขต
แดนไทย–กัมพูชา ฝ่ายไทยเสียเปรียบเขมร ต้องหาทางออกด้วยเจรจากันแบบวิน–วิน
ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายที่จับตามองเรื่องประโยชน์ทับซ้อน เกิดความระแวงมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ ในห้วงก่อนที่นายกฯยิ่งลักษณ์เดินทางไปเยือนประเทศพม่าอย่างเป็นทางการ ก็เป็น พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำหน้าที่ “นายกฯส่วนหน้า” นำร่องเข้าไปหารือกับทางการพม่า
ท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่า มีการเจรจากันเรื่องธุรกิจพลังงาน ทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมไปถึงเรื่องโครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย
และเมื่อย้อนโยงกลับไปในยุคของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ ก็มีเรื่องของเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 4,000 ล้านบาท ช่วยเหลือพม่าในเรื่องการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคม
ที่ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นจำเลยฐานใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ทางธุร-กิจ และคดียังคาราคาซังอยู่ในศาล ฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ต่างๆเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้สังคมอดระแวงสงสัยไม่ได้ว่า การทำหน้าที่ “นายกฯส่วนหน้า” ของ “ทักษิณ” ในการนำร่องไปเจรจากับรัฐบาลประเทศต่างๆก่อนที่นายกฯยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปเยือนอย่างเป็นทางการ
จะมีปัญหาเอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจส่วนตัวแฝงอยู่ด้วยหรือไม่
ซึ่งก็คงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไปในระยะยาว
ยิ่งในห้วงนี้ กลุ่มธุรกิจใหญ่ระดับโลกจากหลายประเทศเดินทางเข้ามาพบปะหารือกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นจำนวนมาก เพื่อหาลู่ทางลงทุนในประเทศไทย
ก็ยิ่งมีการจับตาว่า “ทักษิณ” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเปิดดีลกับกลุ่มทุนเหล่านี้หรือไม่ มีอะไรเป็นเงื่อนไขทับซ้อนหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม หากการขับเคลื่อนอำนาจอยู่นอกประเทศของ “ทักษิณ” ในฐานะ “นายกฯส่วนหน้า” ที่มาช่วยภารกิจของน้องสาวอย่างนายกฯยิ่งลักษณ์
ดำเนินการด้วยความจริงใจ มุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติส่วนรวมอย่างตรงไปตรงมา
ทำคุณไถ่โทษ โดยไม่มีวาระแฝงเอื้อประโยชน์ส่วนตัว
การทำหน้าที่ตรงนี้ก็อาจจะเป็นอานิสงส์ ให้สิ่งที่มุ่งหวังอยากให้มีการปรองดอง อยากให้มีการให้อภัย ก็อาจเป็นไปได้ง่ายขึ้น
แต่ถ้าสิ่งที่ทำไป มีการหมกเม็ด แฝงประโยชน์ทับซ้อน แสวงประโยชน์และอำนาจเพื่อตัวเอง มากกว่าประโยชน์ของชาติ
เรื่องปรองดอง เรื่องอยากกลับบ้าน ก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก.
“ทีมการเมือง”
แหล่งที่มาข้อมูล www.thairath.co.th
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น