วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายก่อแก้ว พิกุลทอง
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ระบุว่านายนิพนธ์
พร้อมพันธ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เป็นสุภาพบุรุษที่เป็นตัวแทน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในการล็อบบี้ให้พรรคประชาธิปัตย์
เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ว่า ต้องถามกลับไปว่า
ที่ผ่านมาบอกว่าไม่เคยมีการทาบทามไม่ใช่หรือ
“ส่วนกรณีที่ กกต.มีมติให้ใบแดง นายการุณ โหสกุล สส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ผมมองว่า รอให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยก่อน เรื่องที่ร้องเรียนมาก็ชัดเจน แต่แปลกใจว่าใช้เวลานานกว่าจะวินิจฉัยออกมา เพราะไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ลงพื้นที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งหากศาลมีคำตัดสินก็ยังจะส่งนายแทนคุณลงสมัครอีกครั้ง ส่วนคาดหวังอย่างไรนั้น ขณะนี้ยังไกลไป ต้องรอศาลพิจารณาก่อน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อซักถามที่ว่า คนเสื้อแดงต่อต้านระหว่างการลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายกฯอบจ.เชียงใหม่ หาเสียงเลือกตั้งนั้น หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวว่า มีผู้มาชูป้ายต่อต้าน 3-4 คน และมีนักศึกษาโห่ไล่ แต่ทีมงานไม่อยากให้มีเรื่อง กลัวว่าจะเกิดการปะทะก็พยายามหลีกเลี่ยงเท่านั้นเอง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการไม่มีจิตวิญญาณนักประชาธิปไตย ในการมาขัดขวางการลงพื้นที่ของคนอื่น และคิดว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะการเลือกตั้งไม่มีทางเป็นธรรมได้ หากฝายหนึ่งสามารถหาเสียงได้อย่างอิสระ แต่อีกฝ่ายกลับถูกขัดขวางตลอดเวลา
เมื่อถามว่าคิดว่ามีใครชักใยอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติ มีการประกาศเชิญชวนผ่านสถานีวิทยุ และกลุ่มเชียงใหม่ 51 ดังนั้น กกต.มีบรรทัดฐานมีกติกาที่ชัด ต้องยืนยันฟ้องกับสังคมว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตย ไม่เข้าใจว่าที่ผ่านมาเคยเรียกร้องให้ กกต.ดูเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเพิกเฉยได้อย่างไร ทั้งที่เป็นเรื่องพื้นฐาน และ ความจริงอาจผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยซ้ำน่าจะพูดให้ชัด ทั้งนี้ต้องถามไปถึงพรรคเพื่อไทย ถามถึงนายกฯ กกต. ว่าตกลงนี่คือประชาธิปไตยแบบไหน เมื่อฝ่ายหนึ่งมีอิสระ ในการทำทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพคนอื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นเพราะกกต.กลัวคนเสื้อแดงหรือไม่ถึงไม่กล้าทำอะไร นายอภิสิทธิ์ ให้ความเห็นว่า กกต.ต้องไม่กลัว ถ้ากลัวก็ไม่ต้องมีกกต. อย่างไรก็ตาม การใช้มวลชนมากดดันมากขึ้น ไม่เป็นผลดี วันนี้เราจำเป็นต้องมาทบทวนว่าต้องการอนาคตประชาธิปไตยไทย สังคมไทยแบบไหน ถ้าใช้การข่มขู่คุกคามโดยมวลชน ก็จะทำให้ประเทศถลำลึกในวิกฤติ ในแง่ภาพลักษณ์ด้วย รัฐบาลมีหน้าที่โดยตรง อย่างดีเอสไอ ก็ต้องไปถอนประกัน คนข่มขุ่คุกคามที่ผิดเงื่อนไขการประกันตัว และเวลาเกิดเหตุรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และ อย่างน้อยที่สุด นายกฯ สามารถพูดกับผู้สนับสนุนตัวเองได้ว่าควรจะเลิกพฤติกรรมแบบนี้ การไม่พูดก็เท่ากับการสนับสนุนอยู่กลายๆ
นอกจากนี้ ผู้นำฝ่ายค้าน ยังกล่าวถึงกรณี ที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าจะทำการสานเสวนาในเชิงลับ ว่า หากสภาจะเข้ามาดำเนินการสานเสวนาก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมาดูว่าจะต้องทำอย่างไร คำว่าสานเสวนาในที่นี้คงไม่ได้หมายความว่าจะนำคนเพียงไม่กี่คนมาพูดคุยกัน เพราะจำเป็นต้องให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมผ่านการรับรู้ถึงประเด็นต่างๆ และไม่สามารถทำเป็นลักษณะปกปิดได้ เพราะวัตถุประสงค์ ของการสานเสวนาคือการพยายามสร้างความเข้าใจร่วมกันของคนในสังคม รวมถึงการไว้วางใจซึ่งกันและกันมากขึ้น แต่ถ้าหากใช้วิธีการพูดคุยแล้วไม่เปิดเผย อาจจะทำได้ในบางขั้นตอน แต่สุดท้ายต้องเปิดให้ประชาชนรับรู้รับทราบและมีส่วนร่วม
“ขณะนี้กำลังติดตามตรวจสอบ ในหลายพื้นที่ของภาคอีสาน ภาคเหนือ ที่นำเอกสารไปให้ประชาชนเซ็นจัดตั้งจังหวัดใหม่ แต่ไม่ระบุตัวกฎหมาย แต่อย่างที่เคยบอก ขณะนี้รัฐบาลกำลังวางแผนสร้างความชอบธรรม โดยกระบวนการต่างๆ ซึ่งการสานเสวนาไม่ใช่รูปแบบเช่นนี้ เพราะสถาบันพระปกเกล้าทำคู่มือมาชัดว่า การจะไปดำเนินการไม่ใช่การออกแบบสอบถาม ไม่ใช่ลงมติเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย รับหรือไม่รับ ต้องมาแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผล ต้องเข้ามาคัดคนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมให้มั่นใจว่าเป็นตัวแทนของคนทุกส่วน”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องที่พรรคเพื่อไทยแบ่งออกเป็น 9 สาย ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจใน พ.ร.บ.ปรองดอง นั้น ตนคิดว่าสังคมก็ต้องรู้เท่าทัน ว่านี่ไม่ใช่กระบวนการที่พึงทำว่าจะอ้างว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรมในการเดิน หน้า ส่วนจะรุนแรงหรือไม่นั้น ไม่มีคำตอบว่าจะเป็นการคลี่คลายสถานการณ์ หรือไม่ มีแต่จะพยายามตอกย้ำจุดยืนที่แตกต่างกันมาก คอป.ต้องทำงานให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมาย รัฐบาลจะใช้หรือไม่นั้นสังคมต้องจับตาดูต่อไป.
“ส่วนกรณีที่ กกต.มีมติให้ใบแดง นายการุณ โหสกุล สส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ผมมองว่า รอให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยก่อน เรื่องที่ร้องเรียนมาก็ชัดเจน แต่แปลกใจว่าใช้เวลานานกว่าจะวินิจฉัยออกมา เพราะไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ลงพื้นที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งหากศาลมีคำตัดสินก็ยังจะส่งนายแทนคุณลงสมัครอีกครั้ง ส่วนคาดหวังอย่างไรนั้น ขณะนี้ยังไกลไป ต้องรอศาลพิจารณาก่อน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อซักถามที่ว่า คนเสื้อแดงต่อต้านระหว่างการลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายกฯอบจ.เชียงใหม่ หาเสียงเลือกตั้งนั้น หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวว่า มีผู้มาชูป้ายต่อต้าน 3-4 คน และมีนักศึกษาโห่ไล่ แต่ทีมงานไม่อยากให้มีเรื่อง กลัวว่าจะเกิดการปะทะก็พยายามหลีกเลี่ยงเท่านั้นเอง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการไม่มีจิตวิญญาณนักประชาธิปไตย ในการมาขัดขวางการลงพื้นที่ของคนอื่น และคิดว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะการเลือกตั้งไม่มีทางเป็นธรรมได้ หากฝายหนึ่งสามารถหาเสียงได้อย่างอิสระ แต่อีกฝ่ายกลับถูกขัดขวางตลอดเวลา
เมื่อถามว่าคิดว่ามีใครชักใยอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติ มีการประกาศเชิญชวนผ่านสถานีวิทยุ และกลุ่มเชียงใหม่ 51 ดังนั้น กกต.มีบรรทัดฐานมีกติกาที่ชัด ต้องยืนยันฟ้องกับสังคมว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตย ไม่เข้าใจว่าที่ผ่านมาเคยเรียกร้องให้ กกต.ดูเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเพิกเฉยได้อย่างไร ทั้งที่เป็นเรื่องพื้นฐาน และ ความจริงอาจผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยซ้ำน่าจะพูดให้ชัด ทั้งนี้ต้องถามไปถึงพรรคเพื่อไทย ถามถึงนายกฯ กกต. ว่าตกลงนี่คือประชาธิปไตยแบบไหน เมื่อฝ่ายหนึ่งมีอิสระ ในการทำทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพคนอื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นเพราะกกต.กลัวคนเสื้อแดงหรือไม่ถึงไม่กล้าทำอะไร นายอภิสิทธิ์ ให้ความเห็นว่า กกต.ต้องไม่กลัว ถ้ากลัวก็ไม่ต้องมีกกต. อย่างไรก็ตาม การใช้มวลชนมากดดันมากขึ้น ไม่เป็นผลดี วันนี้เราจำเป็นต้องมาทบทวนว่าต้องการอนาคตประชาธิปไตยไทย สังคมไทยแบบไหน ถ้าใช้การข่มขู่คุกคามโดยมวลชน ก็จะทำให้ประเทศถลำลึกในวิกฤติ ในแง่ภาพลักษณ์ด้วย รัฐบาลมีหน้าที่โดยตรง อย่างดีเอสไอ ก็ต้องไปถอนประกัน คนข่มขุ่คุกคามที่ผิดเงื่อนไขการประกันตัว และเวลาเกิดเหตุรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และ อย่างน้อยที่สุด นายกฯ สามารถพูดกับผู้สนับสนุนตัวเองได้ว่าควรจะเลิกพฤติกรรมแบบนี้ การไม่พูดก็เท่ากับการสนับสนุนอยู่กลายๆ
นอกจากนี้ ผู้นำฝ่ายค้าน ยังกล่าวถึงกรณี ที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าจะทำการสานเสวนาในเชิงลับ ว่า หากสภาจะเข้ามาดำเนินการสานเสวนาก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมาดูว่าจะต้องทำอย่างไร คำว่าสานเสวนาในที่นี้คงไม่ได้หมายความว่าจะนำคนเพียงไม่กี่คนมาพูดคุยกัน เพราะจำเป็นต้องให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมผ่านการรับรู้ถึงประเด็นต่างๆ และไม่สามารถทำเป็นลักษณะปกปิดได้ เพราะวัตถุประสงค์ ของการสานเสวนาคือการพยายามสร้างความเข้าใจร่วมกันของคนในสังคม รวมถึงการไว้วางใจซึ่งกันและกันมากขึ้น แต่ถ้าหากใช้วิธีการพูดคุยแล้วไม่เปิดเผย อาจจะทำได้ในบางขั้นตอน แต่สุดท้ายต้องเปิดให้ประชาชนรับรู้รับทราบและมีส่วนร่วม
“ขณะนี้กำลังติดตามตรวจสอบ ในหลายพื้นที่ของภาคอีสาน ภาคเหนือ ที่นำเอกสารไปให้ประชาชนเซ็นจัดตั้งจังหวัดใหม่ แต่ไม่ระบุตัวกฎหมาย แต่อย่างที่เคยบอก ขณะนี้รัฐบาลกำลังวางแผนสร้างความชอบธรรม โดยกระบวนการต่างๆ ซึ่งการสานเสวนาไม่ใช่รูปแบบเช่นนี้ เพราะสถาบันพระปกเกล้าทำคู่มือมาชัดว่า การจะไปดำเนินการไม่ใช่การออกแบบสอบถาม ไม่ใช่ลงมติเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย รับหรือไม่รับ ต้องมาแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผล ต้องเข้ามาคัดคนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมให้มั่นใจว่าเป็นตัวแทนของคนทุกส่วน”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องที่พรรคเพื่อไทยแบ่งออกเป็น 9 สาย ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจใน พ.ร.บ.ปรองดอง นั้น ตนคิดว่าสังคมก็ต้องรู้เท่าทัน ว่านี่ไม่ใช่กระบวนการที่พึงทำว่าจะอ้างว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรมในการเดิน หน้า ส่วนจะรุนแรงหรือไม่นั้น ไม่มีคำตอบว่าจะเป็นการคลี่คลายสถานการณ์ หรือไม่ มีแต่จะพยายามตอกย้ำจุดยืนที่แตกต่างกันมาก คอป.ต้องทำงานให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมาย รัฐบาลจะใช้หรือไม่นั้นสังคมต้องจับตาดูต่อไป.
0 - ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 083-792-5426:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น